คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #139 : Login 136: บทปฐมกาล Genesis
Login
136: บทปฐมกาล Genesis
‘ทูตสวรรค์’ เรมิเอลได้แจ้งเตือนให้แฟรนเซียมกับทัพมนุษย์ต่างดาวให้ถอยกลับไป
หากประเมินจากพลังที่สังหารชั้นศิษย์ทั้งหมดด้วยการเป่าแตรเพียงครั้งเดียว
เรมิเอล ก็คือหนึ่งใน ‘ทูตสวรรค์’ ชั้นสูงที่เป่าแตรแห่งวันวินาศตามพระคัมภีร์
เป็นปีศาจที่มีพลังอำนาจแก่กล้ายากจะจัดการแต่ไม่ถึงกับต้องถอยหนี
หากยังเป็นมนุษย์คงทำอะไรไม่ได้
แต่ต่อให้เป็นมนุษย์ต่างดาวผลลัพธ์มันก็ไม่ได้ต่างกันอยู่ดี ‘ทูตสวรรค์’ ก็ยังเป็นฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่าเพราะมนุษย์ต่างดาวแพ้ทางปีศาจ
แต่แฟรนเซียมในตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นแค่มนุษย์ต่างดาวธรรมดาๆ
เหมือนกัน
เขาตวัดดาบทำให้มันยืดออกเป็นสายแล้วทะลุมิติไปจู่โจมจากด้านหลังของ
‘ทูตสวรรค์’
“ถือว่าข้าเตือนไปแล้วนะ”
เรมิเอลกล่าวจากนั้นดาบก็เสียบทะลุร่าง…
มันควรจะเป็นอย่างนั้นจนกระทั่งดาบเข้าปะทะแต่ดันเกิดเสียงเหมือนโลหะกระทบกันดัง
แกร๊ง
ดาบกระเด็นออก
มันกระแทกเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นแล้วกระดอนไปในทิศทางอื่น
‘ทูตสวรรค์ยกคันแตรขึ้นอีกพร้อมกับสูดลมหายใจคงจะปลดปล่อยการโจมตีที่รุนแรงกว่าเมื่อครู่
เป็นการโจมตีที่ฆ่าได้แม้แต่มนุษย์ต่างดาวชั้นครูอย่างแน่นอน แต่ว่า…
“ก็คิดเอาไว้แล้วล่ะน่า!”
แฟรนเซียมตวัดด้ามดาบ
บังคับให้ใบดาบที่กระดอนออกหักเลี้ยวแล้ววนรอบตัว ‘ทูตสวรรค์’ ดาบพยายามจะรัดพันร่างของเรมิเอลแต่กลับติดกำแพงอากาศที่ห้อมล้อมจนสัมผัสตัวไม่ได้
“รัดให้แหลกไปพร้อมกับโล่ป้องกันเลย!”
แฟรนเซียมสั่งออกไปพร้อมกันนั้น
“…”
ก็รู้สึกได้ว่าเลือดถูกสูบออกไปจำนวนมากเสียจนเกือบจะหน้ามืดทีเดียว
โลหิตดำทะมึนถูกฉีดเข้าไปในดาบทำให้สีของมันยิ่งเข้มขึ้นและผลิตท่อนดาบให้ยืดยาวออกไปอีก
‘ดาบแห่งมังกรเทวะผู้นำมาซึ่งจุดจบอาซี-ซาฮาค’ เกิดจากโลหิตของแฟรนเซียม
ยิ่งได้เลือดของเขาไปมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งแข็งแกร่งและทวีพลังทำลายล้างอย่างดุดัน
ดาบแต่ละท่อนยังคงผุดออกจากโพรงอากาศโดยไม่รู้จักหมดสิ้นความยาวที่มันปรากฏออกมามากกว่าสองกิโลเมตรเกินจากขนาดปกติที่มันแสดงให้เห็นก่อนยืดตัวแถมยังแหวกโพรงแล้วไปผลุบโผล่อยู่อีกหลายที่จนกระทั่ง
เรมิเอล ถูกสายโซ่ดาบมัดเป็นทรงกลมตามรูปร่างของกำแพงล่องหน
ดาบที่พันทบไปมากๆ
เข้ายิ่งทำให้มีแรงกดดันเพิ่มเหมือนกับถูกบีบด้วยแรงอัดหลายร้อยตัน
ดาบรัดแน่นมากขึ้น
มากขึ้น…
มากขึ้นไปอีก…
เพล้ง!!
เสียงเหมือนแก้วแตกดังลั่น
ก้อนโซ่ที่พันทบเป็นทรงกลมเริ่มยุบตัวจนได้ยินเสียงรัดแน่นดัง กึ้ด กึ้ด กึ้ด
ไม่นานนักก็
‘โพละ’
สิ่งที่อยู่ข้างในนั้นถูกบีบจนแหลกละเอียดอย่างแน่นอน
ก้อนโซ่ดาบยุบลงไปจนกระทั่งโซ่แต่ละเส้นปะทะกันเองมันก็รัดพันกันจนมั่วไปหมด
แฟรนเซียมถอนดาบออกจากโพรงอากาศทำให้โซ่ทั้งหมดหายไป
พริบตานั้นขนนกจำนวนมหาศาลก็ปลิวกระจัดกระจายท่ามกลางอณูแสงสว่างที่เกิดจากร่างของ
‘ทูตสวรรค์’ ดับสูญ
“แต่มันก็ไม่ตายอยู่ดีล่ะนะ”
แฟรนเซียมบอกกับตัวเองอย่างนั้นเพราะได้ยินเสียงโห่อย่างยินดีมาจากพวกชั้นครูที่อยู่ด้านหลัง
“ท่านลำดับที่หนึ่งสุดยอด!”
“สมกับเป็นท่านแฟรนเซียมผู้แข็งแกร่งที่สุด”
เสียงชื่นชมและให้กำลังใจเหล่านั้นสูญเปล่า
ปีศาจนั้นเมื่อถูกทำลายก็จะกลับไปหาสิ่งที่มันทำพันธสัญญาด้วยอย่าง...
อาวุธที่ติดตั้งแอพพลิเคชั่นปีศาจ
หรือสิ่งมีชีวิตอื่นที่ทำสัญญาด้วย
หรือไม่ก็วัตถุที่มีความผูกพันเป็นพิเศษ
จะอย่างไหนปีศาจก็ไม่มีวันตาย
หากไม่มีที่ไปมันก็แค่ออกจากโลกนี้แล้วกลับไปยัง ‘ราก’ ที่เรียกว่าอาคาชิกเรคคอร์ด หรือ ‘บันทึกแห่งอากาศิกส์’ และรอวันที่พันธสัญญาจะผูกมัดพวกมันลงมายังโลกนี้อีกครั้งซึ่งซีลอร์ดเรียกมันว่า
‘ดาวน์โหลดโชคชะตา’
“…”
หลังจากสังหารเรมิเอลก็ยังไม่เห็นวี่แววของ
‘ทูตสวรรค์’ ตนอื่นรวมถึงมนุษย์ที่น่าจะออกมาเป็นกำลังเสริม
ที่นี่มีกองกำลังป้องกันอยู่เพียงแค่นั้น?
“เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วน่า”
ถ้าข้อมูลที่ได้มาเป็นความจริงที่นี่ควรจะต้องมีการป้องกันหนาแน่นกว่านี้มากเพราะมีสิ่งสำคัญของฝ่ายนั้นที่จะต้องปกป้องอยู่หรือจะบอกว่า
เรมิเอล คือการป้องกันขั้นสูงสุดที่เตรียมได้แล้วอย่างนั้นหรือ
แฟรนเซียมไม่ได้คิดเชื่อสันนิษฐานลอยๆ
ของตัวเองแม้แต่น้อย
ทว่าหากจะบุกเข้าไปทั้งแบบนี้เลยก็ยังมีความเสี่ยงที่อาจจะเป็นแผนตลบหลังแล้วถูกปิดล้อมไว้ข้างในแทน
“ตรึงกำลังล้อมที่นี่เอาไว้ฉันจะเข้าไปตรวจดูข้างในหน่อย”
เขาสั่งไว้แบบนั้นแล้วเดินไปข้างหน้าโดยที่ไม่มีใครคิดห้ามหรือขอติดตามไปด้วยเพราะต่างก็มั่นใจในพลังของมนุษย์ต่างดาวที่แข็งแกร่งที่สุด
แฟรนเซียมกระโดดข้ามรั้วสูงเข้าไปข้างในเขตรัฐสภาแล้วแต่ก็ยังไม่มีวี่แววของศัตรู
ไม่มีแม้แต่กับดัก ไม่มีอะไรเลย
“สามคนนั่นควรจะอยู่ที่นี่”
แฟรนเซียมบอกกับตัวเองอย่างนั้น
เหตุผลที่มาที่นี่
เหตุผลที่หลอกใช้เมตไตรย
อารย-สนธยา และอิงศร
เหตุผลที่ต้องกำจัดเป้าหมายในคราวนี้
พวกอดีตราชครูที่ก่อกบฏเอาวิธีอัญเชิญปีศาจลงมาที่โลกจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมมนุษย์ต่างดาวถึงมีอาวุธติดตั้งปีศาจระดับสูงอยู่ในมือตั้งแต่แรกอย่าง
ลูซิเฟอร์ หรือ มาสเทม่า เพราะว่าผู้คิดค้นระบบการอัญเชิญก็คือมนุษย์ต่างดาว
แต่คนที่ทำให้มันสำเร็จเป็นจริงขึ้นมาคือซีลอร์ด
แฟรนเซียมท่องชื่อของผู้ทรยศสามตนนั้นอย่างแม่นยำ
“ฟอสฟอรัส
เบริลเลียม ซามาเรียม”
เจ้าพวกนั้นลงมาที่โลกแล้วทำการทดลองจนเกิดมนุษย์ครึ่งปีศาจที่ถูกเรียกว่า
‘เนฟิลิม’ ซึ่งปัจจุบันนี้ถูกต่อยอดจนสำเร็จเป็น
‘เดโมนอยด์’ ไปแล้ว
ในสมัยก่อน ‘เนฟิลิม’ เป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์บนโลกจึงถูกกำจัดด้วยน้ำมือของมนุษย์ต่างดาวที่ถูกส่งมาตามล่าตัวผู้ทรยศ
มนุษย์ที่ชื่อ เอโนค เป็นผู้จดบันทึกการไล่ล่าครั้งนั้นจนออกมาเป็นตำนานในศาสนาอย่างที่รู้จักกันในชื่อ
‘คัมภีร์แห่งเอโนค’
จารึกอยู่ในหัวข้อเกี่ยวกับ ‘กริกอรี่’
มีแต่คำศัพท์เฉพาะเต็มไปหมดเพราะว่าซีลอร์ดพยายามจะเล่าให้เข้าใจในแบบที่มนุษย์จะเข้าใจได้ซึ่งมันให้ผลตรงกันข้ามในทีแรก
เวลาต่อมาหลังจากได้ศึกษาคัมภีร์ฉบับปัจจุบันถึงรู้ว่าผู้ทรยศยังไม่ถูกจับตัวกลับไปและร่วมมือกับพวกทูตสวรรค์ก่อเรื่องมากมาย
โลกถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไงล่ะ
“เวลาของเจ้าพวกนั้นหมดลงวันนี้ล่ะ”
แฟรนเซียมเดินเข้ามาในอาคารรัฐสภาตอนนี้หยุดอยู่ที่โถงประชุมขนาดใหญ่ซึ่งเคยเห็นในโทรทัศน์
สถานที่ที่พวกนักการเมืองมาสุมหัวถกเถียงกันเรื่องทิศทางการดำเนินไปของประเทศ
ภายในห้องว่างเปล่าไม่มีวี่แววของคนหรืออะไรเลยทั้งที่ได้รับรายงานมาว่าที่นี่คือสถานที่ทดลองวิจัยแอพพลิเคชั่นปีศาจก่อนโลกจะล่มสลาย
แฟรนเซียมลองเงี่ยหูฟังด้วยประสาทสัมผัสระดับมนุษย์ต่างดาวเขาได้ยินเสียงบางอย่างจากใต้ดินลึกลงไปใต้อาคารแห่งนี้
แต่เสียงก็ดังเกินกว่าจะเป็นบริเวณแคบๆ
มันมีทั้งเสียงคนกำลังพูดคุย เสียงเดิน เสียงเครื่องจักร
ดังก้องไปมาจากหลายที่ในเวลาเดียวกัน
“รอยัลเซเบอร์”
แฟรนเซียมร่ายสกิลแล้วตวัดดาบฟันลงไปที่พื้น
“บริโอแน็คส์!”
ดาบเปล่งแสงสว่างแล้วแสงนั่นก็ยืดขยายออกไปตัดผ่าพื้นห้องทะลุลงไปถึงใต้ดิน
ผลลัพธ์คืออาคารรัฐสภาถล่มพังลงไปยังช่องว่างที่อยู่ใต้ดิน
แฟรนเซียมกระโดดลงยังชั้นใต้ดินนั่น
ข้างล่างมืดสนิทแต่ดวงตาของมนุษย์ต่างดาวซึ่งเป็นบุตรแห่งแสงนั้นความมืดไม่อาจกล้ำกรายเข้ามาได้
มองเห็นชัดเจนเหมือนใส่กล้องอินฟาเรดเลยล่ะ
จากมุมมองของกล้องอินฟาเรดนั่นเองเลยรู้ว่าสถานที่ซึ่งตกลงมาคือใจกลางห้องนั่งเล่น
มีเฟอร์นิเจอร์กับเครื่องใช้อำนวยความสะดวกเท่าที่จำเป็นแล้วก็ที่ข้างหน้าซึ่งเขากำลังมองไปนั้น
มีเงาคนอยู่สามคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ซึ่งติดตั้งอุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อสายจากร่างกายไปยังเครื่องจักรขนาดใหญ่โตดูแปลกตา
ทั้งสามคนเป็นชายชราสวมชุดแบบเดียวกันเป็นชุดผ้าสีเขียวเนื้อบางเหมือนชุดคนป่วยใบหน้าเหี่ยวย่นจนเปิดดวงตาไม่ได้และสภาพก็เจียนอยู่เจียนไป
สามคนนี้คือพวก
‘กริกอรี่’ อย่างนั้นหรือ?
แฟรนเซียมไม่ค่อยแน่ใจนักเพราะมนุษย์ต่างดาวไม่แก่ชราแล้วอีกอย่างสามคนตรงหน้าก็ไม่มีแถบพลังชีวิตกับชื่อแสดงให้เห็นอาจจะโดนทำการทดลองจนไม่สามารถรับอมฤตได้หรือไม่ก็เสียชีวิตไปแล้ว
แต่หนึ่งในสามนั้นกลับพูดขึ้นมา…ยังไม่ตายสินะ
“มาแล้วเรอะผู้บุกรุก”
น้ำเสียงนั้นค่อนข้างแหบและฟังออกได้ยากราวกับคนใกล้ตาย
“พวกแกคือกริกอรี่งั้นเรอะ”
แฟรนเซียมถาม
ชายอีกคนตอบด้วยเสียงใกล้ตายแบบเดียวกันว่า
“ไม่ได้ยินซะนานหลังจากถูกจับตัวไว้ที่นี่แกเป็นใครกัน”
เจ้าพวกนี้คือผู้ทรยศตัวจริง
แต่ทำไมล่ะ...
“ทำไมพวกแกถึงได้แก่ลงไปขนาดนั้น”
มีเสียงสูดหายใจแผ่วเบาดังมาจากอีกคน
“แกรู้ว่าพวกเราเป็นใครสินะก็ไม่รู้หรอกว่ามาทำไมแต่ขอบใจที่ช่วยทำลายเครื่องยื้อชีวิตให้เท่านี้ก็จะไม่ต้องทนทรมานแล้ว”
ดูเหมือนว่าเครื่องยื้อชีวิตจะถูกซากอาคารรัฐสภาที่ถล่มลงมาทับจนพังพินาศอยู่ใต้เท้าเขานี่เอง
“พวกแกคือ
ฟอสฟอรัส เบริลเลียม ซามาเรียม อย่างนั้นเรอะ”
ชายคนแรกเป็นคนตอบคำถาม
“อ้อ
แกเป็นพวกที่มาตามล่าคนทรยศสินะงั้นก็สบายใจเถอะพวกเราถูกทูตสวรรค์ตลบหลังตอนนี้กลายเป็นแค่เครื่องมือไปแล้วแต่เพราะแกช่วยทำลายเครื่องยื้อชีวิตให้เพราะงั้นพวกเราจะได้ตายกันซะทีไม่ต้องทนทรมานอีกแล้วขอบใจแกมากเพราะงั้นรีบหนีไปซะ”
สรุปก็คือผู้ทรยศทั้งสามไม่ได้ร่วมมือกับทูตสวรรค์แต่ถูกหักหลังและใช้งานจนกระทั่งมีสภาพเป็นอย่างตอนนี้บางทีคงได้รับสารอะไรบางอย่างไปยับยั้งการทำงานของอมฤตในร่างกายหรืออาจจะเป็นผลข้างเคียงของการมาอยู่บนโลกที่ไม่มีอมฤตเป็นเวลายาวนาน
มนุษย์ต่างดาวนั้นก็คือบุตรแห่งแสง
ถือกำเนิดจากแสงสว่างของ ‘แอดมินิสเทรเตอร์ โซลาริส’ อาศัยอยู่ในสวนศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งเต็มไปด้วยอมฤตจึงอาจจะยังไม่เคยมีใครในเผ่าแก่ชรามาก่อน
พอคิดถึงอมฤตก็ทำให้นึกไปถึงตอนที่ซีลอร์ดชุบชีวิตให้กับตัวเขาที่ตายไปแล้วครั้งหนึ่งในการทดลองสร้างแอพพลิเคชั่นปีศาจของพวกทูตสวรรค์
อมฤตทำให้สรรพสิ่งย้อนกลับไปสู่รูปดั้งเดิมหมอนั่นกล่าวไว้แบบนั้น
ดังนั้นมนุษย์ต่างดาวจึงไม่แก่ชรา...
แต่ว่า
เพราะเหตุผลนั้นก็เลยทำให้เขาคืนชีพมาเป็นมนุษย์ต่างดาวไปด้วยอย่างนั้นหรือ?
แค่เพราะซีลอร์ดนำอมฤตที่เข้มข้นใส่เข้ามาในร่างของเขา
ร่างกายจึงย้อนกลับไปถึงขนาดที่เปลี่ยนเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือว่าแท้จริงแล้วบรรพบุรุษของมนุษย์ที่อยู่บนสวนศักดิ์สิทธิ์ก็จะเหมือนกับมนุษย์ต่างดาวกันล่ะ
อดัมก็เป็นบุตรแห่งแสง
ถ้าอย่างนั้นมนุษย์ทุกคนก็เคยเป็นบุตรแสงมาก่อนอย่างนั้นสิ
“…”
แฟรนเซียมไม่เข้าใจเหตุผลของเรื่องพวกนั้นแล้วก็ไม่ได้พยายามจะสนใจ
สิ่งที่เขาสนใจคือต่อจากนี้ไปต่างหาก
อนาคตต่อจากนี้ไปคือโลกที่จะถูกแก้ไขดังนั้นจึงต้องมากำจัดตัวเกะกะแต่ว่าสามคนนั่นก็จะตายในไม่ช้านี้
ไม่สิ เจ้าพวกนี้ไม่ใช่ตัวเกะกะมาตั้งแต่แรก
ถ้าอย่างนั้นตัวเกะกะที่แท้จริงก็เหลือแค่....
ตอนนั้นเอง
มีแสงสว่างแทรกลงมาตรงกึ่งกลางระหว่างเขากับชายชราทั้งสาม
“รีบหนีไปสิมันกำลังจะมาแล้ว”
ชายชราคนเดิมบอกให้หนี
ที่จริงก็เอะใจตั้งแต่ที่พูดมาก่อนหน้านี้แล้วว่าทำไมถึงบอกให้หนี
พวกนั้นรู้แต่แรกว่าอะไรบางอย่างกำลังจะมาที่นี่
บางที...
“เจ้าตัวเกะกะมาแล้วเรอะ”
แฟรนเซียมถีบตัวกระดอนขึ้นจากชั้นใต้ดินในระหว่างนั้นก็มองขึ้นไปด้านบน
แสงปริศนาไม่ได้มีแค่ลำเดียวแต่มันส่องลงมาโดยแหวกผ่านหมู่เมฆจากหลายที่และท้องฟ้าก็สว่างไสวเหมือนตอนที่
เรมิเอล ปรากฏตัว
“บุตรแห่งแสงท่านจักต้องพินาศลงที่นี่”
เสียงกระจ่างใสของทูตสวรรค์
แล้วแฟรนเซียมก็รู้จักมันมาก่อน
มันทำให้เขาเกร็งทั้งร่าง
ทูตสวรรค์ซึ่งเคยปรากฏตัวเห็นในการปิดตายเมืองเพื่อสร้างแอพพลิเคชั่นปีศาจ
“...เมตาตรอนเรอะ!”
เขาเบนสายตาไปทางยังแสงสว่างที่มีรัศมีกว้างที่สุดซึ่งเป็นแสงแรกที่ตกลงไปยังใต้ดินของอาคารรัฐสภา
แล้วจากความว่างเปล่าท่ามกลางแสงสว่างนั้นทูตสวรรค์ซึ่งมีร่างเป็นโลหะเงินทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า
มีเส้นผมสีทองหยิกหยอยยาวเป็นปอยถึงติ่งหู
มีปีกโลหะคู่มหึมาขนาดที่โอบตึกได้ทั้งหลังโบกกระพือส่งเสียงโลหะแหลมสูงกำลังเสียดสีกัน
ดวงตาของทูตสวรรค์มีสีเขียวส่องประกายราวกับแสงระยับของมรกต
ทูตสวรรค์เหวี่ยงมือตรงเข้ามา
แฟรนเซียมดึงดาบขึ้นและคิดว่าจะใช้ป้องกันการโจมตี แต่ทว่ามือนั่นไม่ใช่การโจมตี
“เมกิดโด้”
“สกิล...งั้นเรอะ”
ถึงมารู้ตัวเอาตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว
มีเสียงเหมือนดอกไม้ไฟถูกยิงขึ้นไปดัง วี้ด ยาวๆ ก่อนจะระเบิดปุ้ง
จากท้องฟ้าดวงดาวสุกสกาวกำลังร่วงหล่นลงมา
ดาวตกที่ไม่ได้เล็งพื้นที่ของเขาดวงหนึ่งตกลงไปตรงแถวเขตสวนสัตว์พริบตานั้นเองก็เกิดระเบิดเสียงดังก้อง
มองเห็นบริเวณนั้นถูกเป่าจนกระจุยหากรับเอาไว้คงไม่ดีแน่
แฟรนเซียมเริ่มวิ่ง
เขาหลบหลีกออกจากเส้นทางที่ดวงดาวจะตกใส่
แต่ทูตสวรรค์ก็ไม่ได้ยอมให้ทำอย่างสบายๆ
“รีเวเลชั่น”
ทันใดนั้นร่างของทูตสวรรค์ก็เปล่งประกายไปด้วยแสงระยิบระยับราวกับพลุ
ประกายแสงเหล่านั้นกลายเป็นกระสุนกราดยิงไปทั่วพื้นที่จนหลบหลีกไม่ได้ดั่งใจ
“คุ้มกันที
อาซี-ซาฮาค”
ตอนที่ตะโกนออกไปก็มีดาวตกดวงหนึ่งพุ่งลงมาพอดี
ดาบของเขายืดตัวออกแล้วพุ่งขึ้นไปตัดมันทิ้ง
ดาวตกที่โดนผ่าออกเป็นสองซีกพุ่งตกลงขนาบตัวแฟรนเซียมพอดี
จากนั้นเมตาตรอนก็บินมาอยู่เหนือตัวเขา
กระสุนแสงที่มันปล่อยออกมาพุ่งเข้าใส่แต่แฟรนเซียมตวัดดาบแล้วสั่งให้มันขดเป็นแผ่นวงกลมเหมือนโล่รองหัวเอาไว้
กระสุนปะทะเข้ากับโล่ดาบและระเบิดปุ้งปั้งๆๆ
เหมือนประทัดอยู่สิบครั้งจึงหยุดลง
พอคลายโล่ออกร่างของทูตสวรรค์ก็ไม่ได้เปล่งแสงอีกแล้ว
ถ้าดูจากการรุกรับตอนนี้ทางเขายังเสียเปรียบอยู่
อีกฝ่ายบินได้ ขอบเขตการโจมตีจึงมีมากกว่าแล้วยังจะโจมตีรุนแรงเป็นวงกว้างได้อีกหากเจอกับดาวตกคงใช้โล่ดาบแบบเมื่อครู่ป้องกันไม่ได้แน่ๆ
แล้วจากที่สู้กันเมื่อครู่...
Francium
Lv. 144
[/////56090:100000/....]
ก็ทำให้พลังชีวิตลดลงไปมากพอดู
ถึงจะป้องกันเอาไว้ได้แต่ความร้อนของกระสุนแสงและแรงกระแทกจากการระเบิดก็สร้างความเสียหายชนิดที่หากเป็นคนธรรมดาคงจะตายไปตั้งแต่นัดแรกหรือต่อให้เป็นพลเอกผู้เก่งกาจอย่าง
สิงห์ ธุวดารกะ แห่งเมตไตรยก็ไม่แน่ว่าอาจจะตายในนัดที่สอง
แต่ที่ทำให้พลังชีวิตลดลงไปมากขนาดนี้ไม่ใช่แค่เรื่องนั้น
‘อาซี-ซาฮาค’ เป็นดาบที่ต้องการเลือดเพื่อเพิ่มพลังเพราะมันสร้างขึ้นจากเลือดแล้วเขาก็ป้อนเลือดให้มันมาตั้งแต่เริ่มสงครามที่นี่
ดูจากที่ผ่านมาหากจะใช้พลังที่มีอยู่ในตอนนี้คงเอาชนะไม่ได้แต่ก็ยังพอต้านทานไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะหาจุดอ่อนเจอแต่เลือดคงจะถูกดาบสูบไปจนหมดก่อนได้ฆ่าศัตรู
ทางเลือกจึงเหลือเพียงอย่างเดียว
“ต้องใช้ไอ้นั่น...แล้วสินะ”
แฟรนเซียมสูดลมหายใจเข้าเล็กน้อย
มันจำเป็นต้องทำใจในการจะใช้สิ่งนั้น...
เพราะว่ามีความเสี่ยงที่อาจจะตายหากไม่สำเร็จเนื่องจากต้องป้อนเลือดให้กับดาบในจำนวนที่ทำให้เกือบตายหากพลาดพลั้งถูกจู่โจมขึ้นมาก็จบแค่นั้น
“เมกิดโด้!!
รีเวเลชั่น!!”
การโจมตีของทูตสวรรค์เริ่มขึ้นอีกครั้ง
“...”
แฟรนเซียมพยายามมองหาโอกาสที่ว่าอย่างสุดกำลัง
ทั้งหลบหลีกฝนดาวตก
ทั้งปัดป้องกระสุนประกาบแสง เพียงเท่านั้นก็เต็มกลืนแต่เขาก็ยังไม่หยุดหามัน
ช่วงเวลาที่การโจมตีทั้งหมดจะหยุดลงซักสองวินาทีมันจะต้องมีช่องว่างนั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
แฟรนเซียมวิ่งทิ้งระยะห่างไปด้วยความหวังเช่นนั้น
ทั้งที่วิ่งด้วยความเร็วสูงก็ยังทิ้งห่างไปได้ไม่มากเนื่องจากขนาดตัวของ
เมตาตรอนนั้นเทียบกับคนปกติแล้วใหญ่เป็นเจ็ดเท่า แทบจะสิ้นหวังในการหนีออกห่าง
ทว่า
เวลาที่เขารอคอยก็มาถึงเมื่อกระสุนแสงหยุดลง
แฟรนเซียมดึงดาบที่กางเป็นโล่ไว้กลับมาแล้วหันหลังกลับไปเผชิญหน้า
“เอ้า!
หลั่งเลือดข้าไปให้พอ
เอาไปเท่าที่เจ้าต้องการแต่จงอย่าให้ข้าตายปลดปล่อยขั้นที่สอง ซอร์ดเซอร์ไว!! (sword Survive)”
พอพูดแบบนั้นออกไปเลือดก็ไหลทะลักจากปากแผลที่ข้อมือจนรู้สึกได้ว่ามันฉีกออกเพราะแรงดันของเลือด
ดาบที่สูบกินเลือดจนพลังชีวิตลดลงฮวบฮาบก็เริ่มจะเต้นตุบตับในจังหวะที่เร็วขึ้น
ดวงตาบนใบดาบแต่ละท่อนถูกย้อมเป็นสีดำ
“…ดาบมังกรเทวะแห่งจุดจบ
อาซี-ดาฮากา”
ชื่อของดาบเปลี่ยนไปในตอนนั้นเมื่อแฟรนเซียมตวัดดาบให้มันสร้างโพรงอากาศแล้วผลุบหายเข้าไปก็เกิดโพรงอากาศจำนวนมากปรากฏขึ้นรายล้อมทูตสวรรค์
พริบตาต่อมาดาบก็พุ่งออกมาจากหลุมทั้งหมดในเวลาเดียวกัน
ราวกับเล่นกลแยกร่าง
โซ่ดาบพุ่งเข้าไปมัดตามแขน
ขา และข้อต่อทั้งหมดจนอีกฝ่ายขยับตัวไม่ได้
ความแข็งแรงของดาบคือสิ่งที่ไม่มีวันตัดให้ขาดได้ดังนั้นต่อให้ทูตสวรรค์ตัวใหญ่ยักษ์นี้พยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลังจนเกิดเสียงโลหะแหลมสูงจากการที่ร่างเหล็กเงินเสียดสีกับดาบจนบาดหูก็ไม่สามารถหนีออกไปได้
“จบกันแค่นี้แหละ
เมตาตรอน เท่านี้พวกแกก็มาขัดขวางแผนสร้างโลกใหม่ของฉันไม่ได้แล้ว”
แฟรนเซียมพูดเหมือนกับว่าจะฆ่าปีศาจที่ตัวเองเข้าใจดีว่าไม่มีวันตายได้
ใบหน้าของชายหนุ่มมั่นใจเป็นอย่างมากทั้งที่ตอนนี้ตัวเองก็ขยับตัวไม่ได้เหมือนกันเพราะต้องทุ่มสุดกำลังจับตัวอีกฝ่ายไว้
ตอนนั้นเอง
บนท้องฟ้าก็ปรากฏเครื่องจักรขนาดมหึมาที่ใหญ่เสียยิ่งกว่าตัวของเมตาตรอนถึงสี่เท่า
จักรกลรูปร่างมนุษย์ผิวโลหะสะท้อนแสงมันวาวเหมือนอลูมิเนียมมีของที่ดูเหมือนกับสายไฟงอกจากบริเวณศีรษะเหมือนเป็นเส้นผมและมีรอยนูนบริเวณเนินอกทำให้ดูเป็นเพศหญิง
มีปีกนกแทนแขนทั้งสองข้าง ลำตัวช่วงล่างลงไปเหมือนกับขาของนก
เครื่องทำสวนศักสิทธิ์นั่นเอง
จักรกลครึ่งมนุษย์วิหก
เซปทรูสตาร์ (Septroostar)
ซึ่งเขาเดินเครื่องมันทิ้งเอาไว้บนหุบเขาในกาญจนบุรี
ที่จู่ๆ
ก็ปรากฏมาตรงนี้ไม่ใช่เพราะใช้การเคลื่อนย้ายในพริบตาหรืออะไรทำนองนั้นเครื่องทำสวนเพียงแค่บินทะยานมาที่นี่ด้วยความเร็วสูงสุดของมัน
ในตอนที่เชื่อมต่อกับเซปทรูสตาร์เป็นครั้งแรกก็สามารถจินตนาการถึงการบินรอบโลกได้โดยใช้เวลาแค่หนึ่งนาที
ดังนั้นแค่บินจากต่างจังหวัดมากรุงเทพฯ จึงใช้เวลาเพียงอึดใจเดียว
“ปกติถ้าฆ่าแกซะตรงนี้เดี๋ยวก็กลับมาใหม่อยู่ดีแต่ว่าถ้าให้เครื่องทำสวนจับแกทำเป็นรูปปั้นอยู่ที่นี่แบบนั้นจะเป็นยังไงนะ”
รู้สึกได้ว่าดาบในมือขยับไหวไปมาเพราะแรงขัดขืนสุดใจของทูตสวรรค์ที่โดนตรึงอยู่
แฟรนเซียมเงยหน้าขึ้น
“ยิงเลย!
แต่อย่าให้โดนฉันล่ะ”
พอออกคำสั่งไปดวงตาของเครื่องทำสวนก็ส่องประกายแล้วปล่อยลำแสงสีขาวพุ่งลงมาทางนี้
ลำแสงอาบตัวเมตาตรอนแล้วทะลุผ่านลงมาถึงพื้นเฉียดแฟรนเซียมไปเพียงไม่กี่มิล
ลำแสงไม่ได้ก่อให้เกิดระเบิด ไม่มีความร้อนด้วยซ้ำ
แต่พื้นที่เต็มไปซากอาคารกองพะเนินกลายสภาพเป็นหินปูนกันหมด
ลำแสงยังคงพุ่งต่อไปและลากผ่านไปจนถึงหลุมที่เชื่อมไปยังใต้ดินซึ่งพวกคนทรยศอยู่ที่นั่นก่อนจะหายไป
เมตาตรอนที่อยู่ตรงหน้าบัดนี้กลายเป็นหินไปแล้ว
ไม่เหมือนกับถูกเคลือบด้วยหินแต่เป็นการทำให้ทุกส่วนบนร่างกายแม้แต่เครื่องนุ่งห่มแปรสภาพเป็นหิน
ราวกับกอร์กอนในตำนาน
แม้แต่ ‘อาซี-ดาฮากะ’ ที่มัดอยู่รอบตัวทูตสวรรค์ก็ยังกลายเป็นหินไปแต่ไม่ได้ลุกลามมาจนถึงที่ด้ามดาบที่เขากำเอาไว้
แฟรนเซียมดึงดาบ
พยายามจะดึงมันอออกจากโพรงอากาศแต่กลับไม่ขยับเพราะส่วนปลายที่กลายเป็นหินไปแล้ว
ดังนั้นจึงต้องสั่งให้ดาบสลายตัวเองกลับเป็นเลือดแล้วสูบกลับผ่านทางปากแผลที่ข้อมือ
จากนั้นเมื่อปาดมือลงไปเหนือบาดแผลมันก็สมานตัวในทันที
เป็นปกติของพลังฟื้นตัวระดับราชครูอยู่แล้ว
แฟรนเซียมมองข้ามเมตาตรอนแล้วเดินผ่านไปที่หลุม
ทูตสวรรค์ขยับไม่ได้อีกและไม่กลับไปยัง
‘ราก’ ดังนั้นมันจะถูกจองจำอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล
เมื่อเดินมาอยู่หน้าหลุมแล้วทอดสายตามองลงไปก็เห็นคนทรยศกลายเป็นหินเช่นกันทีนี้….
แฟรนเซียมก็หัวเราะ
“ฮะ ฮะ ฮะ
ตัวขัดขวางก็หมดไปแล้วเหลือแค่กุญแจสินะ”
และยิ้มอย่างเริงร่าถึงแม้ว่าใบหน้าจะไม่ค่อยเปลี่ยนไปจากสีหน้าเย็นชาตามปกติแต่เขาก็รู้สึกรื่นรมย์อยู่จริงๆ
ตอนนั้นเอง
ก็มีเสียงปรบมือดังมา
แปะ แปะ แปะ
“ตกลงว่านายจะเอาจริงสินะ”
เสียงเจื้อยแจ้วดังมาแล้วเสียงนั้นเขาก็รู้จักเป็นอย่างดี
ที่อีกฟากของหลุมเด็กหนุ่มซึ่งอ่อนวัยกว่า
อายุราว 17 - 18 ปี
เด็กหนุ่มผมขาว
แววตาคมกริบ ใส่เฮดโฟน
สวมเสื้อวอร์มสีแดงกับกางเกงยีนส์กำลังเดินตรงมาและหยุดยืนอยู่หน้าหลุมอีกฟาก
ผู้มีพระคุณที่ฟื้นคืนชีพให้กับเขาที่ตายไปแล้วครั้งหนึ่งในตอนที่ยังเป็นแค่ลูกเจี้ยบหัดเดินแสนอ่อนแอ
แต่ก็นึกขอบคุณแค่เรื่องนั้นเพียงเรื่องเดียวเพราะว่าเข้าใจเหตุผลที่ฟื้นคืนชีพให้
เพราะซีลอร์ดมองว่าเขาจะเป็นผู้ชี้นำให้กับมนุษย์ได้เพราะตนเป็นคนที่ฟันเฟืองจะเลือกในภายภาคหน้า
ซึ่งตอนนี้ก็ได้มาแล้ว
“แกจะมาทำอะไรอีก”
พอถามไป
เด็กหนุ่มก็แหงนหน้ามองเครื่องทำสวนที่บินอยู่บนท้องฟ้า
“ทำให้ฟันเฟืองเชื่อฟังได้แล้วเหรอพัฒนาขึ้นไปไกลมากเลยนะสิงห์”
จากนั้นจึงก้มลงและมองตรงมาที่แฟรนเซียม
“เท่านี้ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกก็ครบสี่คนแล้ว”
ไม่ใช่สามคนหรอเรอะ
คนที่มีฟันเฟืองซึ่งถูกระบุตัวแล้วคือ
อิงศร
โรจน์จุฬา
มิ่งขวัญ
โรจน์จุฬา
สิงห์ ธุวดารกะ
แต่กลับบอกว่าครบสี่คน
ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า…
“เจอตัวคนที่สี่แล้วงั้นเรอะ”
ซีลอร์ดพยักหน้า
“ใช่
อาชาดำผู้นำมาซึ่งความตายได้ปรากฏตัวแล้ว”
นั่นหมายถึงเจอผู้ถูกฟันเฟืองเลือกคนที่สี่
ก็ไม่รู้ทำไมแต่หมอนี่มักจะเปรียบเปรยผู้ถือครองฟันเฟืองเข้ากับจตุรอาชาแห่งวันสิ้นโลกตามที่ระยุในพระคัมภีร์
อาชาสีขาวกับธนูแห่งชัยชนะ
คืออิงศร
อาชาสีแดงกับดาบแห่งสงคราม
คือมิ่งขวัญ
อาชาสีดำกับคันชั่งแห่งความอดอยาก คือสิงห์ ธุวดารกะ
และที่ยังระบุตัวไม่ได้
อาชาสีซีดกับเคียวแห่งความตาย
แต่ตอนนี้ซีลอร์ดบอกว่าระบุตัวคนๆ
นั้นได้แล้ว
“เจ้านั่นเป็นใครแล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน”
แฟรนเซียมเกร็งไปทั้งตัว
“เป็นพี่ชายของอาชาสีแดงน่ะตอนนี้ก็อยู่ด้วยกัน”
อาชาสีแดงก็คือมิ่งขวัญ
ถ้าอย่างนั้นก็…
“อิงศรเรอะ!”
แต่มันไม่น่าเป็นไปได้คนๆ
เดียวไม่น่าจะมีเฟืองอยู่ถึงสองอันหรือว่าอิงศรแย่งชิงมาจากผู้ถือครองคนอื่น
หมอนั่นคิดจะเดินหน้าออกนอกลู่นอกทางที่เขากำหนดไว้อย่างนั้นหรือ?
“…”
แฟรนเซียมพยายามข่มสะกดความตื่นเต้นเอาไว้
ตั้งสติแล้วเริ่มคิดอย่างรอบคอบถี่ถ้วนที่สุด
แต่ซีลอร์ดก็ไม่ปล่อยโอกาสแบบนั้นให้
เจ้านั่นส่ายหน้าบอกปัดคำตอบที่เขาสรุปออกไปเมื่อครู่แล้วเฉลยเรื่องน่าเหลือเชื่อกว่านั้นมาแทน
“ไม่ใช่อิงศรหรอก
เพราะอาชาสีซีดคือพี่ชายที่คิดแค้นตัวน้องชายซึ่งได้รับความรักไปมากกว่าจึงได้ก่อคดีฆาตกรรมขึ้นเป็นครั้งแรกบนโลกเป็นฆาตกรผู้นำพาซึ่งความตายมาสู่มวลมนุษย์อย่างแท้จริง
พี่ชายของมิ่งขวัญนั้นคือ กวินทร์ วชิระ”
***รีไรท์แก้คำผิดกับปรับบางช่วงให้ลื่นไหลขึ้น...ที่จริงตอนนี้ควรจะลงไปตั้งแต่เมื่อวานแต่มีเหตุงานเข้าบางประการเลยลงช้าอีกแล้วจ้า TwT เลยว่าจะเปลี่ยนกำหนดของวันเสาร์มาเป้นวีนอาทิตย์แทนแล้วเนี่ยชนบ่อยเหลือเกิน โฮๆๆ ลงไม่ทันมาสามอาทิตย์ติด เอาเป้นว่าไว้ค่อยคิดเรื่องตารางวันอีกทีก็แล้วกัน
เข้าเรื่องหน่อยตอนนี้อาจจะอ่านๆ ไปแล้วเกิดความรู้สึกประมาณว่าเฮ้ย! อะไรเนี่ย ยังไง งง!? เอาเป้นว่าไว้ไปลุ้นตอนหน้าแล้วกันงิว่าจะมาอีหรอบไหน อุ่งๆ***
ความคิดเห็น