ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #138 : Login 135: ก่อปฏิวัติศักดิ์สิทธ์

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 289
      11
      3 ส.ค. 60

    Login 135: ก่อปฏิวัติศักดิ์สิทธ์

     

                กาลครั้งหนึ่ง สิงห์ ธุวดารกะ เคยเป็นมนุษย์

                ในอดีตกาลเนิ่นนานมาแล้วเคยเป็นบุตรแห่งแสง

                แล้วบัดนี้ชายผู้มีความทะเยอทะยานอันมากล้นจะกลายเป็นอะไรกัน

                “….”

                ที่แน่ๆ ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นมนุษย์

                เส้นผมสีเงิน ผิวสีซีด บุตรแห่งแสง

                รอบตัวชายหนุ่มห้อมล้อมไปด้วยฟันเฟือง

                ฟันเฟืองจำนวนมหาศาลรายเรียงกันเป็นกลไกอยู่ด้านนอกห้องกระจกใสที่เขายืนอยู่

                ทั้งเพดาน ทั้งพื้น ทั้งผนังล้วนแต่เป็นแก้วใสที่มองทะลุออกไปยังทะเลฟันเฟืองสีทองคำอร่ามเหล่านั้น

                ที่ผนังห้องด้านหนึ่งมีร่องซึ่งแกะเอาไว้เป็นรูปเฟืองขนาดใหญ่

                สิงห์จ้องมองมันอยู่พักหนึ่งแล้วเริ่มถลกเสื้อเครื่องแบบพันเอกที่สวมออก

                เรือนร่างกำยำ ผิวพรรณขาวซีด บริเวญกระดูกสันหลังเคลื่อนไหวขยุกขยิกราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังชอนไชหาทางออก

                ทันใดนั้นผิวหนังก็ปริแตกสสารสีขาวขุ่นราวกับกระดูกไหลทะลักขึ้นมาจากใต้ผิวหนังแทนโลหิตและคงตัวเป็นรูป

                ฟันเฟืองกระดูกกางแผ่อยู่บนแผ่นหลังของสิงห์…ไม่สิ

                แฟรนเซียม คือนามของเขาในเวลานี้

                ราชครูมนุษย์ต่างดาวลำดับที่หนึ่ง

                “…”

                แฟรนเซียมหันหลังให้กับร่องบนผนังแล้วย่อตัวลง บรรจงสอดฟันเฟืองเข้าไปในร่องนั้นจนกระทั่งเกิดเสียงดัง กริ๊ก จึงเกร็งร่างกายค้างไว้ในท่านั่งยองแล้วทยอยผ่อนน้ำหนักไปที่หลังพลางยืดขาออกจนกลายเป็นท่ายืนพิงแบบสบายๆ

                รู้สึกได้ว่าฟันเฟืองบนหลังกำลังหมุนจากแรงเสียดสีระหว่างแผ่นเฟืองกับผิวหนัง

                ในตอนแรกมันฝืดเสียจนแทบจะไม่ขยับแต่พอเริ่มหมุนได้รอบหนึ่งก็ได้แรงเฉื่อยกับแรงเสริมจากเฟืองที่เชื่อมกันเป็นกลไกส่งแรงขับเคลื่อนกลับมาให้จนกระทั่งเฟืองทุกตัวหมุน

                เสียงเสียดสีของเฟือนแต่ละเพราดังสะท้อนก้องไปมาจากนั้นก็เริ่มมีเสียงกระหึ่มเหมือนเสียเครื่องยนต์ทำงานดังตามมา

                “อุบ…”

                แฟรนเซียมส่งเสียงครางเพราะในหัวเหมือนถูกแทรกแซง

                เขาเริ่มมองเห็นภาพบางอย่าง

                น่าจะเป็นภาพที่เครื่องทำสวนซึ่งตนกำลังพยายามจะขับเคลื่อนมันส่งมาให้ดู

                ภาพที่เห็นเป็นเรื่องก่อนที่เครื่องทำสวนจะลงมาที่โลก

                เล่าผ่านมุมมองของเครื่องทำสวน เซปทรูสตาร์ (Septroostar) หนึ่งในเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบสอง

                ภาพเหล่านี้เปรียบเสมือนโปรแกรมไดรเวอร์ที่จะแนะนำผู้ใช้งานถึงวิธีใช้ ‘สิ่งนี้’

                ดังนั้นจึงเล่าเรื่องในอดีตที่แฟรนเซียมไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย

                เขาเมินมันโดยสิ้นเชิงและรอเวลาที่จะเข้าควบคุมอย่างสมบูรณ์

                เรื่องเล่านั้นพูดถึงความว่างเปล่าที่ต่อมาแอดมินิสเทรเตอร์ก็สรรสร้างเครื่องทำสวนนี้ จากนั้นวันเวลาก็เลยผ่านไปจนกระทั่งมนุษย์ล่วงละเมิดข้อห้ามหรือสูญเสียความตั้งใจที่จะก้าวเดินต่อไปนั่นเอง

                …ภาพความทรงจำจบลง

                ช่วงเวลาอันยาวนานนั้นแท้จริงเป็นเวลาแค่ชั่วพริบตา

                “…”

                แต่แฟรนเซียมยังคงไม่ขยับตัว

                เขายังรักษาสติสัมปชัญญะเอาไว้ได้แม้ในตอนสุดท้ายฟันเฟืองจะพยายามยุยงให้อาละวาด

                ‘วัชพืชจะต้องถูกถอนรากถอนโคน’

                คำพูดแบบนั้นดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่ภายในสมอง

                ดังนั้นแฟรนเซียมจึงคิดหาทางหนุดเสียงน่ารำคาญนั่น เขาพยายามนึกถึง

                ต้นเหตุที่ทำให้ตื่นขึ้นในฐานะมนุษย์ต่างดาว

                ต้นเหตุที่ทำให้ต้องเริ่มดำเนินแผนการณ์เมอร์คาบาห์

                ต้นเหตุที่ทำให้ตนตัดสินใจแก้ไขโลกให้ถูกต้อง

                แฟรนเซียมนั่งคิดถึงแต่เรื่องพวกนั้นแล้วพึมพำ

                “มิคาเอล”

                “เรมิเอล”

                “เมตาตรอน”

                ชื่อของทูตสวรรค์ทยอยหลุดจากปากคำของชายหนุ่ม

                ในอดีตเพื่อที่จะทดสอบแอพพลิเคชั่นปีศาจถึงกับต้องปิดตายเมืองทั้งเมือง

                สังเวยผู้คนเหล่านั้นเพื่อโปรเจคท์ เมอร์คาบาห์

                ว่ากันว่าทั้งหมดนั่นเป็นความละโมบของมนุษย์จึงถูกสวรรค์ลงทัณฑ์

                แต่แฟรนเซียมซึ่งรอดชีวิตมาจากการทดลองนั่นพร้อมกับ กุมภา ธุวดารกะ เท่านั้นที่รู้ถึงเบื้องหลัง

                ว่าแท้จริงทั้งหมดนั่นก็เพื่อการทวงคืนสิทธิ์ของพวกทูตสวรรค์เพียงแต่แอบอ้างใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือ

                ในวิกฤติคราวนั้นเขาสังหาร ‘มิคาเอล’ หนึ่งในสี่อัครทูตลงได้จึงผนึกมันเป็นแอพพลิเคชั่นจากนั้นก็มารู้เอาทีหลังว่ามันถูกส่งต่อจนไปตกอยู่ในมือของมนุษย์ต่างดาวบางตน

                “มิ่งขวัญ”

                เขาลองพูดชื่อของผู้ที่เป็นเจ้าของแอพฯ นั่นในตอนนี้

                ตอนนั้นเอง ที่ความรู้สึกบอกว่า…

                “ใช้ได้แล้วสินะ”

                แล้วจึงดีดตัวให้กระดอนออกจากผนัง

                ผิวหนังที่เชื่อมกับเฟืองถูกดึงจนยืดตึง แต่แฟรนเซียมก็ฝืนดึงตัวเองออกมาจนผิวหนังฉีกขาด

                แต่ก็เป็นบาดแผลเล็กน้อย ด้วยพลังฟื้นตัวระดับราชครูแค่พริบตาเดียวแผลก็สมานตัว

                ฟันเฟืองที่คาอยู่ในร่องยังคงหมุนต่อไปแม้จะแยกออกจากร่างแล้วก็ตาม

                แฟรนเซียมลงจากเครื่องทำสวน

                ตอนที่ก้าวทะลุผนังห้องโปร่งใสออกมาด้านนอกร่างกายก็แตกกระจัดกระจายไปเหมือนเป็นจิ๊กซอร์แล้วกลับมารวมตัวกันอีกครั้งบนพื้นไม่ห่างจากตัวเครื่องนัก

                สถานที่คือใจกลางหุบเขาแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี

                ที่นี่เชื่อมต่อกับที่มั่นในกรุงเทพฯ ผ่านทางเทอมินัลทำให้ใช้เวลาเดินทางไปกลับแค่ชั่วอึดใจเท่านั้น

                “…”

                แฟรนเซียมแหงนหน้ามองก้อนอุกกาบาตที่กักขังเครื่องทำสวนซึ่งตนเพิ่งจะออกมา

                ก้อนอุกกาบาตยักษ์จมอยู่ในเขื่อนที่แห้งขอดไปแล้วเพราะในวันที่มันตกลงมาเขื่อนก็พังทลายจนน้ำรั่วไหลหมดแล้วเขาก็ยืนอยู่บนพื้นที่ครั้งหนึ่งน่าจะเคยจมอยู่ใต้เขื่อน

                “…”

                กระทั่งตอนนี้ก็ยังรับรู้ได้ถึงชีพจรของฟันเฟืองผ่านทางแผ่นหลังหากออกคำสั่งไปเครื่องทำสวนก็พร้อมจะเคลื่อนไหว

                ตอนนั้นเองก็มีมนุษย์ต่างดาวตนหนึ่งเข้ามาใกล้

                เป็นเด็กหนุ่มที่เยาว์วัยถ้าเทียบจากรูปร่างก็เท่ากับชาวโลกอายุราวสิบหกถึงสิบเจ็ด

                เด็กคนนั้นสวมผ้าคลุม ดูเหมือนจะเป็นพวกชั้นครูที่มีความคิดเป้นของตัวเองต่างจากพวกชั้นศิษย์ที่เป็นแค่หุ่นเชิดพวกนั้นจะรับฟังแต่คำสั่งและไม่คิดเข้าหาโดยไม่ได้ถูกสั่ง

                “เครื่องแบบขอรับท่านราชา”

                เด็กหนุ่มพูดอย่างสุภาพพร้อมกับยื่นชุดเครื่องแบบราชครูมา

                “...”

                แฟรนเซียมจ้องมองเด็กคนนั้นพลางคิดไปว่าตอนที่อยู่ท่ามกลางมนุษย์ต่างดาวและดำรงตำแหน่งราชครูจะแต่งตัวเยี่ยงชาวโลกคงไม่เหมาะนักแล้วอีกเดี๋ยวก็จะต้องออกไปควบคุมบัญชาพวกชั้นครูอีกหลายสิบตนกับกองทัพชั้นศิษย์อีกเป็นร้อย

                แล้วตอนนี้ตัวเขาก็ไม่ได้สวมเสื้อจึงตั้งใจว่าจะรับมันไว้

                แฟรนเซียมยื่นมือไปรับเครื่องแบบนั้นมาแต่มืออีกข้างก็ถือเครื่องแบบพันเอกอยู่จึงใส่เสื้อไม่ได้ ทว่าเด็กคนนั้นก็เหมือนจะรู้จึงเคลื่อนตัวใกล้เข้ามาอีกแล้วดึงเสื้อเก่าไปถือไว้

                ความรู้งานนั้นทำให้แฟรนเซียมถามออกไปว่า

                “ชื่ออะไร มาจากไหน”

                ความจริงชื่อนั้นก็เขียนไว้บนแถบพลังชีวิตของเด็กหนุ่มอยู่แล้วแต่ก็จงใจถามไปเพื่อให้อีกฝ่ายบอกสังกัด

                โดยปกติชั้นศิษย์ทุตนจะต้องมีสังกัดกับราชครูตนใดตนหนึ่งแต่เขาซึ่งไม่ค่อยออกมาปรากฏตัวในฐานะราชครูบ่อยนักจึงไม่มีคนใต้สังกัดไว้คอยใช้งาน

                แต่เจ้าหนูนี่ก็จงใจเข้ามาบริการให้อย่างกับถูกใครสั่งมา

                เด็กหนุ่มโค้งให้อย่างนอบน้อมท่วงท่านั้นสง่างามจนชวนนึกถึงใครบางคนซึ่งเป็นอดีตเจ้านายของหมอนี่

                “ข้าพเจ้ามีนามว่าฮีเลียมเป็นผู้สังกัดกับท่านไฮโดรเจนแต่เพียงผู้เดียว”

                เรื่องนั้นเขารู้อยู่ก่อนแล้ว

                นับตั้งแต่ไฮโดรเจนหนีไป ฮีเลียมก็ไม่ได้เลือกสังกัดกับราชครูตนใดเลยเพราะอย่างนั้นถึงอยากรู้ว่า...

                “ทำไมถึงมาคอยตามฉัน”

                “ท่านไฮโดรเจนได้สั่งเสียเอาไว้ว่าให้คอยช่วยเหลือท่านขอรับ”

                “งั้นเรอะ”

                แฟรนเซียมตอบรับห้วนๆ แล้วกางเครื่องแบบออกมาสวม

                ชุดประจำระดับชั้นราชครูสีดำแต่มีที่พิเศษกว่านั้นเล็กน้อย

                มีผ้าคลุมสีเข้มติดมากับชุดด้วยอีกผืนหนึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกความเป็นราชา

                แฟรนเซียมสวมชุดเสร็จก็เดินออกไปทันที

                เดินทางจากเขื่อนไปยังป่าที่ห่างออกไปห้ากิโลเมตร

                ด้วยพลังของมนุษย์ต่างดาวจะไปถึงโดยใช้เวลาแค่สามนาที

                ที่นั่นมีเทอมินัลสำหรับกลับไปกรุงเทพฯ

                ที่นั่นมีการต่อสู้ที่จะแพ้ไม่ได้รอเขาอยู่

                ....

     

                กรุงเทพฯ

                เวลา 1.00 น.

                ลานหน้าพระบรมรูปทรงม้าซึ่งจะนำไปยังอาคารรัฐสภา

                สถานที่ซึ่งเป็นแหล่งกบดานของศัตรู

                …รัฐบาลของประเทศนี้

                …พวกทูตสวรรค์ที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง

                เพื่อกำจัดตัวเกะกะที่จะมาขัดขวางแผนการจึงต้องกวาดล้างทูตสวรรค์ที่ชักใยเมตไตรยแม้จะต้องใช้กำลังของมนุษย์ต่างดาวก็ตาม

                การโจมตีแหล่งกบดานเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่อมฤตกลับมาทำงานซึ่งก็ยืดเยื้อมาพอสมควร

                ทั้งที่ใช้กำลังของมนุษย์ต่างดาวมากถึงร้อยตนแต่กลับทำลายฐานที่มั่นศัตรูไม่ได้แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายชั่วโมง

                สาเหตุก็คือ’ทูตสวรรค์’

                พวกมันร่วมมือกับมนุษย์ที่อยู่ที่นี่เป็นเหล่า ‘ทูตสวรรค์ติดอาวุธ’ ซึ่งโดยรวมแล้วแข็งแกร่งกว่าปีศาจทั่วไปแถมยังเคลื่อนไหวอย่างอิสระไม่ผูกมัดกับชาวโลกทำให้ยากจะจัดการ

                ตอนนี้ลานหน้าพระบรมรูปฯ ก็กลายเป็นสนามรบไปด้วย การสู้รบลากยาวออกมาถึงตรงนี้เลยทีเดียว

                ด้านหลังรั้วที่ล้อมเขตอาคารรัฐสภายังมองเห็นควันไฟและมีการระเบิดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

                ยานบินจู่โจมคล้ายจรวดของมนุษย์ต่างดาวหลายสิบลำบินวนเวียนอยู่เหนือท้องฟ้ากำลังประชันกับ ‘ทูตสววรค์’ จำนวนสิบองค์

                ‘นางฟ้า’ ผู้มีใบหน้าสี่แบบคล้ายกับเทพอาชูร่า ประกอบไปด้วยใบหน้าของ สิงโต เหยี่ยว วัวตัวผู้ และ มนุษย์ มีปีกสี่ปีก กายเนื้อเป็นอย่างมนุษย์ผิวพรรณสีทองคำผุดผ่อง ไม่ห่มเสื้อหรืออาภรณ์ใดๆ

                นั่นคือ เครูบิม เทวทูตชั้นสูงซึ่งเป็นชั้นที่รองลงมาจากคณะของเซราฟิม

                เมื่อยานบินยิงกระสุนโจมตี เครูบิมก็จะกวัดแกว่งดาบซึ่งห่อหุ้มด้วยเปลวไฟปัดป้องการโจมตีนั้นแล้วฟาดเพลิงไฟบนดาบออกไปเผายานบิน ถึงจะมีบางตนที่พลาดท่าถูกทำลายปีกจนร่วงตกลงมาก็ตามแต่สถานการณ์โดยรวมแล้วทางมนุษย์ต่างดาวกำลังเสียเปรียบ

                บนพื้นดินก็มี ‘ทูตสวรรค์ติดอาวุธ’ เช่นกันนั่นคือ พาวเวอร์ เทวทูตนักรบสวมชุดเกราะสีแดงจัดสวมหน้ากากเหล็กใช้ทวนขวานเป็นอาวุธและถือโล่ ทุกตนมีปีกสองปีก ลอยตัวอยู่ในระดับที่สูงจากพื้นไม่มาก หากเป็นกำลังของมนุษย์หลังการล่มสลายก็สามารถกระโดดไปถึงได้

                นอกจากนี้ก็มีรถถังกับรถหุ้มเกราะที่มนุษย์เป็นผู้ขับเคลื่อนคอยยิงสนับสนุนแนวหน้าที่เป็นเทวทูตอีกแรง

                เสียงคำรามของปืนใหญ่กับอาวุธหนักดังกึกก้องไปทั้งสนามรบ

                มนุษย์ต่างดาวจำนวนมากถูกระเบิดตายไปพร้อมกับพื้นที่ลูกปืนใหญ่ตกใส่และแผ่คลื่นพลังปีศาจออกมามันเป็นกระสุนประยุกต์ใช้พลังของเดม่อนแอพฯ เพื่อฆ่ามนุษย์ต่างดาวด้วยเหตุนี้เองการบุกโจมตีจึงไม่คืบหน้า

                ในตอนนั้นรถหุ้มเกราะของฝ่ายมนุษย์ต่างดาวหลายสิบคันก็วิ่งเข้ามาจอดตรงหน้าทางเข้าไปยังลานพระบรมรูปฯ

                แฟรนเซียมลงจากรถหุ้มเกราะมาพร้อมกับกองทัพชั้นครูยี่สิบตนและชั้นศิษย์อีกเกือบร้อย นี่เป็นกำลังเสริมชุดสุดท้ายแล้วกองกำลังอื่นๆ จะต้องสำรองไว้เพื่อแผนการหลังจากนี้ดังนั้นเขาจึงออกรบด้วยตัวเอง

                แฟรนเซียมออกคำสั่งกับกองหนุนไปว่า…

                “แยกเป็นสองกองเข้าไปเสริมจากทางซ้ายกับขวาตีขนาบพวกเทวทูตให้มารยมอยู่ตรงกลางซะ”

                จากนั้นก็เริ่มเคลื่อนทัพ

                ระหว่างนั้นเองที่สายตาเหลือบไปมองเห็นหลุมซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติถูกขุดอยู่บนถนนในเขตลานพระบรมรูปฯ กับเครื่องจักรที่กลายเป็นซากไปแล้ววางเรียงรายล้อมรอบหลุมนั้น

                “อิงศรเรอะ...

                ตอนที่เป็น สิงห์ ธุวดารกะ ก็เคยได้รับรายงานจากเจ้าตัวว่าพาหน่วยมาเก็บเลเวลกันแถบนี้ เพราะทางนั้นเห็นว่าเป็นเมตไตรยก็เลยแค่จับตาดูโดยไม่เข้าไปยุ่ง

                ทว่าตัวเขาที่มาที่นี่ในฐานะมนุษย์ต่างดาวย่อมได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกัน

                ที่นี่พวกตนคือศัตรู….หากจะกล่าวถึงความเป็นมาว่า

                เหตุใดจึงทำให้เขากลายเป็นราชครูมนุษย์ต่างดาว

                เหตุใดจึงเป็นศัตรูกับเหล่าทูตสวรรค์ที่ก่อร่างสร้างฐานให้เมตไตรยมาเป็นเวลานับพันปี

                คำตอบที่สั้นที่สุดและเข้าใจได้โดยง่ายก็คือความทะเยอทะยาน

                แต่ความทะเยอทะยานนั้นก็แลกมาด้วยชีวิตของพี่น้องธุวดารกะในรุ่นเดียวกันไปเป็นจำนวนมาก

                ธุวดารกะนั้นถึงจะเรียกว่าตระกูลแต่แท้จริงแล้วเป็นองค์กรที่พี่น้องสิบสองตำแหน่งจะผลัดเปลี่ยนกันมาเมื่อคนเก่าหายไป รุ่นของเขาเหลือรอดมาแค่สองคน คือตัวเองกับกุมภา

                รอดชีวิตจากการปิดตายเมืองเพื่อสร้างแอพพลิเคชั่นปีศาจ

                ที่นั่นคือสถานที่ที่ได้พบกับ ซีลอร์ดผู้ถูกลืมเลือนเป็นครั้งแรกหลังจากฟื้นคืนชีพ...

                ตัวเขาและกุมภาได้ตายลงในวันนั้นเช่นเดียวกับพี่น้องคนอื่นแต่ถูกทำให้ฟื้นคืนชีพและกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวไปพร้อมกับรับรู้เบื้องหลังของโลกที่ถูกชักเชิดโดยเหล่าทูตสวรรค์ที่หลุดออกมาจากเหตุการณ์ เฮเว่นฟอล

                ตอนที่รอดชีวิตมาได้กุมภาก็ถูกดึงตัวไปโดยเทวทูตเพราะว่าหล่อนปกปิดพลังของมนุษย์ต่างดาวได้ไม่มิดชิดดีจึงถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติให้ใช้งานสูงกว่าตัวเขาที่ปกปิดมันได้อย่างแนบเนียน

                ยามที่ได้รับรู้ว่าโชคชะตานั้นถูกลิขิตโดยผู้ใด รู้ว่าตัวเองเป็นตัวตลกขนาดไหน

                อะไรบางอย่างที่อยู่ภายในตัวก็เหมือนจะปะทุขึ้นมาราวกับภูเขาไฟระเบิด

                ไม่ใช่ความโกรธแต่มันซับซ้อนกว่านั้น

                มันคือความทะเยอะทะยาน ความทะยานอยากที่จะแก้ไขโลกอันบิดเบี้ยวนี้

                นับแต่นั้นมาวันคืนแห่งการแข่งขันและปกปิดเพื่อสั่งสมพลังสำหรับต่อกรกับเหล่าทูตสวรรค์ก็ดำเนินมาจนถึงตอนนี้

                ทันทีที่กองหนุนของเขารวมพลังกับหน่วยเดิมที่ต่อสู้อยู่ที่นี่มาก่อนตีขนาบจนบีบให้พวกทูตสวรรค์กับกองทัพมนุษย์ไปรวมกันอยู่ตรงกลางเป็นเส้นทางตรงจากเบื้องหน้าของเขาตัดผ่านซากอนุสาวรีย์พระบรมรูปฯ ไปจนถึงรั้วหน้าอาคารรัฐสภา แฟรนเซียมก็กรีดข้อมือตัวเอง

                ตอนนี้ไม่มีอาวุธอยู่กับตัว

                ไม่มีนรสิงห์แล้วก็ไม่มีปีศาจตนอื่นให้ใช้

                แต่ว่าตัวเขาที่ไม่มีอะไรเลยนั่นแหละที่จะทำลายศัตรูทั้งหมด

                โลหิตสีดำทะมึนราบกับน้ำหมึกไหลทะลักจากปากแผลที่กรีดไว้บนข้อมือ แฟรนเซียมแตะไปที่เลือดแล้วตวัดมือสาดให้กระจายออกมา

                ออกมาซะดาบแห่งมังกรเทวะผู้นำมาซึ่งจุดจบ อาซี-ซาฮาค

                พริบตาที่เรียกหาพลังดวงตาของแฟรนเซียมก็เปล่งประกายเป็นสีแดงก่ำดั่งเลือด

                สิ่งที่เพรียกหามิใช่ปีศาจ

                สิ่งที่เพรียกหามิใช่อสุรา

                เลือดดำเริ่มก่อตัวและคงรูปร่างเป็นดาบสีดำมะเมื่อม ใบดาบเหมือนมีดคล้ายฟันฉลามขนาดเล็กมาเรียงต่อๆ กัน เลือดที่ข้อมือยังคงไหลเป็นสายต่อไปที่ด้ามดาบ ตัวดาบมีการขยับเต้นขึ้นลงราวกับหายใจจังหวะนั้นขึ้นลงตามการสูบฉีดของเลือดที่ออกมาหล่อเลี้ยง

                แฟรนเซียมตวัดดาบแล้วใบดาบก็แยกออกจากกันเป็นท่อนๆ โดยมีโซ่สีดำเชื่อมแต่ละท่อนของใบมีดและใช้ควบคุมให้มันหักเลี้ยวหรือขยับไปทางใดก็ได้ตามใจนึก

                แต่พลังเพียงแค่นั้นกับดาบเล่มเดียวย่อมไม่มีทางจัดการฝูงศัตรูทั้งหมดได้ดังนั้นแฟรนเซียมจึง...

                ซอร์ดอายส์ (Sword Eyes)

                เพิ่มพลังให้กับดาบมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วยการสูบฉีดเลือดจำนวนมากจากข้อมือส่งไปที่ดาบ มองเห็นตัวดาบบวมเป่งขึ้นมาพริบตาหนึ่ง จากนั้นบนใบดาบแต่ละท่อนก็มีลวดลายรูปดวงตาปรากฏขึ้นมา

                ตัวดาบยืดยาวขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะไม่จบสิ้น มันสร้างโพรงอากาศแล้วก็มุดเข้าไปในโพรงนั่น

                วินาทีถัดมาเกิดโพรงอากาศแบบเดียวกันในตำแหน่งที่ห่างออกไป ใบดาบผลุบออกมาจากโพรงอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ราวกับว่าโพรงนั้นเชื่อมต่อกัน ใบดาบทะลวงผ่านร่างของทูตสวรรค์องค์หนึ่ง

                วินาทีถัดจากนั้นตัวดาบก็กลายเป็นน้ำแข็งและแช่แข็งเหยื่อจนตายก่อนจะเปิดโพรงอากาศแล้วผลุบเข้าไปและโผล่ยังอีกที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

                ดาบยืดตัวออกไปอย่างไม่มีขีดจำกัด ชอนไชไปตามโพรงอากาศ พาดผ่านไปมาระหว่างโพรงเหล่านั้นจนกระทั่งศัตรูทั้งหมดในสนามรบถูกทะลวงร่างและสังหารด้วย ไฟ น้ำแข็ง หรือสายฟ้า แล้วแต่ว่าในครั้งนั้นๆ ดาบจะสร้างขุมพลังใดขึ้นมาสังหารเหยื่อ

                อาซี-ซาฮาค เล่มนี้มีพลังในการเปลี่ยนแปลงสายอาชีพของผู้ติดตั้งพลังของมันทำให้อาชีพของแฟรนเซียมกลายเป็น ซอร์ดอายส์ ซึ่งใช้สกิลที่มีคุณลักษณะดาบได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ‘Blade’ ‘Sword’ ‘Saber’ หรืออะไรก็ตาม ถ้าอยู่ในขอบเขตของการเป็น ดาบ ก็สามารถนำออกมาใช้ได้หมดหากสามารถทำเงื่อนไขของสกิลนั้นๆ ได้ จนถึงตอนนี้สกิลที่ใช้ไปก็มี...

                Frost Blade ที่ทำให้ใบดาบเป็นน้ำแข็งและแช่แข็งศัตรูที่มันทะลวงผ่าน

                Frost Fury ซึ่งเป็นท่าโจมตีหลังจากใบดาบกลายเป็นน้ำแข็งและสะบั้นรถถังกับรถหุ้มเกราะเป็นชิ้นในตอนที่พาดผ่าน

                Electric Blade ทำให้ทูตสวรรค์บนท้องฟ้าถูกช็อตจนร่วงตกลงมา

                Pyro Blade เผามนุษย์ที่เป็นศัตรูจนกลายเป็นตอตะโกแขวนคาโซ่ดาบ

                แฟรนเซียมแตะมือลงบนกั้นดาบแล้วดึงมันออกจากโพรงอากาศที่มุดเข้าไปเป็นโพรงแรก พริบตาถัดมาโพรงอื่นๆ ก็หายไปรวมถึงตัวดาบที่มุดออกจากโพรงด้วย ดาบที่ดึงออกมาหดตัวประกอบกลับไปยาวเท่าเดิม



                ซากศพซึ่งเคยแขวนอยู่บนดาบพากันร่วงหล่นราวกับห่าฝน

                “…”

                ไม่มีใครส่งเสียงออกมาเลยแม้แต่ตนเดียวถึงจะมีแต่พวกเดียวกันที่ยังเหลือรอดอยู่บนสนามรบแต่ทุกตนก็ยังหวาดกลัวพลังมหาศาลของ อาซี-ซาฮาค พลังของแฟรนเซียมซึ่งเป็นราชครูลำดับที่หนึ่ง ผู้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดามนุษย์ต่างดาว

                ทุกตนต่างก็พากันนิ่งค้างและตกตะลึงไปกับพลังนั้น

                เมื่อเส้นทางเปิดออกแต่ยังไม่มีใครขยับตัวหรือยังไม่ได้สติ แฟรนเซียมจึงออกคำสั่งเสียงดังเหมือนตะโกน

                บุก!”

                ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าจะมีชั้นครูที่รู้สึกตัวแล้วสั่งการชั้นศิษย์ให้แปรขบวนแถว

                กองทัพเริ่มรุกไปยังที่มั่นศัตรูอีกครั้ง

                แต่ทว่า ในตอนนั้นเองท้องฟ้าก็เปิดออกและสว่างไสวราวกับเป็นเวลากลางวัน

                เหตุแห่งแสงซึ่งจุติลงมาขวางหน้ากองทัพของพวกเขาคือ ทูตสวรรค์

                เทวทูตผู้งดงามและบริสุทธิ์ราวกับเด็ก

                เป็นเพศชายเพราะรูปร่างสง่างาม

                เป็นผู้หญิงเพราะรูปโฉมก็งามยิ่งไม่แพ้กัน

                ลักษณะที่จำแนกเพศไม่ได้นั้นห่อหุ้มไว้ด้วยปีกหกปีก

                ทูตสวรรค์ถือแตรยาวเท่าแขนมาด้วยหนึ่งคันและเป่าคันแตรนั้น

                เพียงเท่านั้นเลย...พวกชั้นศิษย์ที่อยู่ข้างหน้าก็ถูกเผาจนมอดไหม้เป็นขี้เถ้า

                เพียงแค่ฟังเสียงของแตรร่างกายก็ร้อนรุ่มราวกับจะระเบิดออกมา

                กว่าเสียงแตรจะหยุดลงชั้นศิษย์ก็ตายเกลี้ยงไม่มีเหลือพวกชั้นครูก็อ่อนแรงลงไปมากพลังชีวิตลดกันไปกว่าครึ่ง

                ทูตสวรรค์ลดคันแตรลงแล้วกล่าวว่า

                ดูกรเถิดเหล่าบุตรแห่งแสงข้าคือเรมิเอลผู้ติดตามท่านเมตาตรอนบัดนี้จักนำสารแห่งท่านเมตาตรอนผู้เทียบเคียงได้กับพระเป็นเจ้าจึงเปรียบได้กับพระวจนะแห่งพระเจ้ามาแจ้งแก่พวกท่าน จงถอยกลับไปเสียเถิดอาณาจักรแห่งพระเจ้าจะไม่แปดเปื้อนโดยเทวะพวกเราจะยึดเอาสรวงสวรรค์อันเป็นบ้านกลับคืนมาในเร็ววันการพิพากษากำลังจะมาถึง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×