คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #132 : Login 129: ผู้ตรวจสอบพระเจ้า
Login
129: ผู้ตรวจสอบพระเจ้า
เจ็ดปีก่อน
ช่วงเวลาบ่ายที่แดดจัด
ดวงอาทิตย์ตั้งแทบจะกึ่งกลางท้องฟ้า
กวินทร์ วชิระ
มองตัวเองในวัยแปดขวบวิ่งเข้าไปหาพี่สาวที่กำลังนั่งเล่นมือถืออยู่ใต้ต้นไม้แห่งหนึ่งในลานวัด
สถานที่น่าจะเป็นอดีตในความทรงจำของตน…กวินทร์คิดอย่างนั้นพลางมองสังเกตรอบตัวห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้
บ้านทุ่งในชนบทอันเงียบสงบ
ที่ใต้ต้นไม้นั่นยังมีเด็กผู้ชายอีกคนที่อายุราวสิบขวบกำลังจ้องมองพี่สาวที่เล่นเกมอย่างคล่องแคล่ว
เด็กชายมีใบหน้าน่ารัก
อย่างน้อยกวินทร์ก็ยังคิดว่าเด็กคนนั้นน่ารักเหมือนผู้หญิง
ทำให้รู้สึกสนใจเหมือนเป็นเพศตรงข้ามได้ทั้งที่อายุของเขาในตอนนั้นยังแค่แปดขวบ
เด็กคนนั้นเป็นผู้ชายจริงๆ หรือ?
พอคิดแบบนั้นเข้าก็ทำให้ฉุกใจคิดขึ้นมาได้ว่า…
“นั่นมัน…พี่นรินทร์”
กวินทร์มั่นใจว่าตัวเองจำไม่ผิดถึงจะอายุต่างกัยปัจจุบันเก้าปีแต่นั่นคือรุ่นพี่นรินทร์อย่างแน่นอน
จากนั้นตัวเขาวัยแปดขวบก็บอกพี่สาวว่าพ่อของเธอเรียกแล้ว
พี่สาวเงยหน้าขึ้นจากจอมือถือแล้วมองมาทางนี้
กวินทร์หันตามสายตาหล่อน
หันหลังตัวเองกลับไป ที่นั่นชายวัยกลางคนในชุดสูทสีเทากำลังเดินตรงเข้ามา
“คุณน้า…”
กวินทร์พูดอย่างนั้น
ตอนนั้นเองที่ใต้ต้นไม้ก็มีอีกคนเดินเข้ามาร่วมวงกับพวกเด็กๆ
เป็นผู้หญิง
รุ่นพี่นรินทร์เรียกเธอว่าแม่
ครู่ต่อมาคุณน้าหรือพ่อของพี่สาวก็เดินมาทางนี้เป้าหมายคงจะเป็นแม่ของรุ่นพี่นรินทร์
พอถึงตรงนี้ในหัวก็เริ่มจะจำได้อย่างเลือนราง
ทั้งสองคนนั่นคุยกันเรื่องยากๆ
ที่สมัยเด็กเขาไม่เข้าใจแต่ว่า...
“แล้วเรื่องนั้นล่ะ”
คุณน้าพูด
“สามีของดิฉันกำลังรออยู่ค่ะ”
แม่ของรุ่นพี่นรินทร์ตอบ
ที่ว่าขอพรกับจอกแล้วจะทำให้สมหวังนั่นน่ะมันทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอทางนี้ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อซักเท่าไหร่”
“แต่ทางรัฐบาลเองก็ทราบถึงการมีอยู่ของพลังเหนือธรรมชาติอยู่แล้วนี่คะดังนั้นการที่อารย-สนธยาครอบครองไว้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
ค่อนข้างแน่ใจว่าพวกเขาคุยเรื่องของจอกศักดิ์สิทธิ์ที่เคยได้ยินจากอวโลกิตะ
ถ้าอย่างนั้นมันจะมีความหมายอะไรหรือเปล่านะการที่เขาได้มาเห็นความทรงจำแบบนี้รวมถึงเรื่องที่ก่อนจะมาอยู่ที่นี่เขากำลังทำอะไรอยู่
กวินทร์ที่คิดอย่างหวาดวิตกก็หลั่งน้ำตาออกมา
“…”
ในตอนแรกเขาไม่รู้ว่าทำไมน้ำตาถึงได้ไหลแต่ร่างกายก็ขยับไปเองและเริ่มจำได้ในตอนนั้น
ขาของเขาก้าวเข้าหาพี่สาวมือยื่นออกไปจะสัมผัสตัวเธอ
พี่ฟ้า…ตายไปแล้ว
ถูกฆ่าด้วยมือของตัวเอง
นั่นคือความจริงที่จำได้ขึ้นมา
แล้วโลกก็มืดลงทุกอย่างจมลงในความมืด
ดำมืด
ดำสนิท
…
เด็กหนุ่มลืมตาขึ้น
เขาแค่รู้สึกว่าตัวเองสามารถทำแบบนั้นได้เหมือนเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาตัวเองหลับตาอยู่
ที่ขอบตายังคงชื้นเล็กน้อย
เรื่องที่ร้องไห้คงไม่ใช่แค่ความฝันแต่ความเป็นจริง
กลับกันรอบตัวตอนนี้น่าจะสมเป็นความฝันยิ่งกว่าเสียอีก
สถานที่ที่ตื่นขึ้นมานั้นคือห้องร้างใต้ท้องฟ้ายามราตรีกาลซึ่งเคยมาเยือนแล้วเมื่อครั้งก่อน
จำได้ว่ามีชายท่าทางประหลาดอาศัยอยู่เขาเรียกที่นี่ว่า…
“ยินดีต้อนรับสู่รูนรูมมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก”
นั่นปะไร...
กวินทร์หันไปยังต้นทางของเสียงทักทาย
ชายหนุ่มซึ่งดูแล้วอายุไล่เลี่ยกับตนมีเส้นผมสีขาวเผือด
ใบหน้าคมคาย สายตาคมกริบ สวมเฮดโฟน
แต่งตัวด้วยเสื้อวอร์มสีแดงกับกางเกงยีนส์รายละเอียดขนาดนั้นจำได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว
…ตั้งแต่ตอนที่พี่ศรอาละวาดอยู่ในเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์
“นายอีกแล้วเหรอ”
กวินทร์กล่าวด้วยใบหน้าเอือมระอา
อย่างไรก็ทำใจให้ยอมรับอีกฝ่ายอย่างเป็นปกติไม่ได้เสียที
ทั้งที่แต่งตัวเลียนแบบมนุษย์มีร่างอย่างมนุษย์แต่ก็ดูออกทันทีว่าอีกไม่ใช่มนุษย์อยู่ดี
มนุษย์ทั่วไปเขาไม่เอาเท้าลอยอยู่เหนือพื้นแบบที่หมอนี่กำลังทำกัน
“เพราะว่าเธอมาที่นี่ผมถึงได้เข้าใจซักทีว่าทำไมสิ่งนั้นถึงได้มีพลังขนาดนี้”
ชายประหลาดซึ่งเรียกตัวเองว่าซีลอร์ดพูด
ถ้าจำไม่ผิดพี่ศรเรียกหมอนี่แบบนั้น
ซีลอร์ดดีดนิ้วเสียงดังเปาะ
จากนั้นก็ปรากฏจอภาพขึ้นมาจากความว่างเปล่า
บนจอภาพนั่นกำลังฉายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอกหรือก็คือน่าจะเป็นความจริวที่กำลังดำเนินอยู่ตอนที่เขาฝัน
“ทุกคน”
กวินทร์เผลอตัวตะโกน
เมื่อเห็นพวกพ้องกำลังต่อสู้กับปีศาจสีขาวรูปร่างคล้ายม้าหมุน
ซีลอร์ดพูดต่อไปว่า
“การที่จอกศักดิ์สิทธิ์มีพลังขนาดนั้นก็เพราะกระบวนการชักชวนเข้าลัทธิอย่างนั้นสินะ”
“คือ…ไอ้ที่พูดนั่นน่ะหมายความว่ายังไงเหรอ”
พอถามไปเพราะความสงสัยซีลอร์ดก็ยิ้มแล้วเริ่มพูด
“ก็อย่างนี้ไงล่ะถ้ามีคนมาขอพรกับจอกมันก็จะกินกิเลสของมนุษย์แล้วทำให้สมหวังมนุษย์น่ะมีกิเลสที่สามารถสร้างความปรารถนาได้อย่างไม่มีขีดจำกัดด้วยกระบวนการแบบนั้นก็จะดึงดูดให้มนุษย์กิเลสหนาแห่กันเอาความปรารถนามาถวายให้จอกจนกระทั่งมันกลายเป็นแบบนี้ไง”
จากนั้นก็ชี้ไปที่จอซึ่งหน้าจะหมายถึงปีศาจม้าหมุนตัวนั้น
เรื่องที่พูดมาถึงจะงงๆ
อยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจยาก
ในความฝันก่อนหน้านี้ก็เหมือนกันเพราะตอนนั้นยังเป็นเด็กก็เลยแค่จดจำเรื่องราวมาโดยที่ไม่รู้อะไรแต่ตอนนี้กวินทร์เข้าใจแล้วว่าสถานที่ในความทรงจำนั่นก็คือ
วัดอารย-สนธยาเมื่อหลายปีก่อน
รวมถึงเข้าใจด้วยว่าทำไมคุณน้าของเขาถึงมาที่อารย-สนธยาบ่อยๆ ตั้งแต่เมื่อก่อน
“จะบอกว่าปีศาจนั่นคือจอกที่คอยประทานพรให้ผู้คนอย่างนั้นน่ะเหรอ”
“ใช่”
อีกฝ่ายตอบรับห้วนๆ
แค่นั้น
ถ้าบอกว่าอารย-สนธยามีปีศาจที่เรียกว่าจอกศักดิ์สิทธิ์คอยประทานพรให้กับผู้คนแล้วความรุ่งเรืองของวัดในช่วงก่อนที่โลกจะล่มสลายก็จะมีคำตอบออกมาพอดี
อารย-สนธยา
เดิมเป็นแค่วัดบ้านนอกไม่มีชื่อเสียงอะไรตำนานหรือสิ่งศักการะก็ไม่มีแต่เพิ่งจะมาใหญ่โตเอาก็ในภายหลัง
ดูเหมือนจะเคยมีข่าวว่าให้หวยแม่น
ขอลูกขอหลาน
ขอเนื้อคู่
สารพัดความโลภละโมบถูกนำมาประเคนให้มากมายแค่ไหนดูจากความที่อารย-สนธยากลายเป็นองค์กรใหญ่นับแต่นั้นมาก็พอจะคาดเดาได้
นี่คือเรื่องที่ซีลอร์ดตั้งใจจะบอกแก่เขาอย่างนั้นสินะ
ตอนนั้นเองภาพบนจอก็ตัดไปที่ร่างของตนกำลังนอนหมดสติอยู่พายสต้การเูแลของอิซานามิกับพลอย
แล้วซีลอร์ดก็พูดขึ้นราวกับจะล่วงรู้ถึงใจของเขา
“เธอหมดสติไปเพราะว่าทำให้ฟันเฟืองทำงาน”
“เฟือง...แบบเดียวกับที่พี่ศรมีน่ะเหรอ”
“อืม
วันนี้เวลาหมดแล้วพลังฟื้นตัวของเธอนี่ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
หรือจะเป็นเพราะว่ามหาโชคชะตาของเธอมันได้มอบพลังให้กันนะ”
อีกฝ่ายพูดตัดบทราวกับจะจากลากันที่ตรงนี้
หมอกเริ่มปกคลุมหนาขึ้น
สติของกวินทร์หลุดออกไปจากรากแห่งอาคาชิกนะตอนนั้น
....
กวินทร์ได้สติอีกครั้งที่โลกแห่งความจริง
เด็กหนุ่มลืมตาและพบว่าตนนอนอยู่ข้างๆ
เน็กส์ เด็กชายตัวเล็กที่เป็นหนึ่งในครอบครัวของอิงศร
มีแสงสว่างทอดมาจากทางด้านข้างลอดผ่านร่างของเด็กชายมาตกทีใบหน้าพอมองตามไปก็เห็นว่าม้าหมุนปีศาจกำลังเปล่งแสงราวกับจะระเบิด
ฟูกับมิกซ์กำลังตรงมาทางนี้พวกนั้นยังไม่รู้ว่าเขาได้สติแล้ว
แสงสว่างไล่หลังสองคนนั้นมา
กวินทร์ลุกขึ้นทันทีพลางเปิดหน้าจอคลังดึงเอาดาบออกมา
“เทคนิคัลเวพ่อน”
แยกดาบออกเป็นสองเล่มแล้วพุ่งตัวออกไปสวนทางกับสองคนนั่น
“ไพโรเบลด ฟรอสต์เบลด”
ร่ายสกิลทำให้พลังแห่งไฟกับน้ำแข็งสถิตลงที่ดาบแต่ละเล่ม
ขณะที่แสงสว่างกำลังเคลื่อนตัวใกล้เข้ามา
“อิเล็คทริกเบลด สโตนเบลด”
เพราะแยกดาบเป็นสองเล่มทำให้ย่นย่อเวลาในการเสริมธาตุพลังลองไปเป็นเท่าตัวถึงตรงนี้ดาบของเขาก็มีพลังทั้งสี่ธาตุสถิตอยู่
กวินทร์ประกอบดาบกลับเป็นเล่มเดียวอีกครั้งแล้วจึงร่ายสกิล
“ท่าฟันสี่ธาตุควอเท็ตแสลช!!”
ตวัดดาบลงตรงหน้าแสงสว่างที่คืบคลานเข้ามา
ธาตุบนดาบเริ่มผสานกันด้วยคำสั่งจากสกิลใบดาบกลายเป็นสีทองไปชั่วพริบตาหนึ่งแล้วระเบิดออก
แรงระเบิดแบ่งแสงสว่างจนเห็นทิวทัศน์ถูกสะบั้นเป็นสองส่วน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันน่ะครับ”
กวินทร์ถาม
“นี่นายฟื้นแล้วเหรอ”
อิงศรพูดน้ำเสียงนั้นฟังเสดใสเล็กน้อย
เพียงแค่เล็กน้อยจริงๆ
ปกติแล้วพี่ศรไม่น่าจะแสดงอารมณ์ออกมาชัดเจนขนาดนั้นแต่นี่...
พอหันกลับไปมองพวกพ้องที่อยู่ข้างหลังก็ทำความเข้าใจอารมณ์ของสถานการณ์ได้
ทุกคนมองเขาด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง
ดูท่าจะทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วงไปซะแล้ว
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ”
กวินทร์พูดอย่างนอบน้อม
“เรื่องซาบซึ้งน่ะเอาไว้ทีหลังเถอะ”
โซเดียมพูดขึ้นแล้วหล่อนก็กระโดดมาขวางหน้าพวกเขาพร้อมกับเตะรูปปั้นเทวทูตที่พุ่งเข้ามากระเด็นไป
อย่างที่หล่อนว่าพี่ศรถึงได้เริ่มอธิบายเพียงสั้นๆ
“เอาเป็นว่าตอนนี้ถ่วงเวลาจนกว่ายัยนั่นจะสร้างปีศาจตัวใหม่เสร็จก็พอ”
มือของพี่ศรชี้ไปที่คอมพิวเตอร์ของคุณซากิริซึ่งตอนนี้เน็กส์เป็นคนถือไว้แต่เจ้าตัวกลับไม่อยู่...
ไม่สิ
เขาเพิ่งเห็นว่าหล่อนไปอยู่ข้างในเครื่องคอมพิวเตอร์…
“เหวอ
อาเจ๊ไหงเข้าไปอยู่ในคอมซะงั้นล่ะครับ”
ซากิริที่อยู่ในคอมตอบกลับมาว่า
‘เรื่องมันยาวน่ะเอาเป็นว่าฝากด้วยก็แล้วกัน’
เมื่อเห็นว่าถึงถามต่อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาเพราะเวลาไม่อำนวยกวินทร์จึงตัดสินใจเงียบและเก็บความสงสัยไว้พร้อมหันเหสมาธิไปลงกับดาบที่จะเข้าปะทะคู่ต่อสู้แทน
อีกฝ่ายเป็นปีศาจที่ขนาดตัวถือว่าใหญ่เอาเรื่องอยู่เหมือนกันหากจะตัดคอก็จำเป็นต้องกระโดดสูงอย่างสุดแรงแถมนี่ยังมีกันตั้งเจ็ดถึงแปดตนเลยทำเอาไม่รู้ว่าควรจะโจมตีตรงไหนก่อน
“อย่างที่คุณซีลอร์ดบอกเลยแหะเจ้านี่กินความปรารถนาเข้าไปเยอะขนาดนี้เขียว”
กวินทร์พึมพำเพียงเพื่อจะทบทวนเรื่องที่คุยกันในรูนรูมไม่ให้หายไปจากหัวแต่ดูเหมือนว่าอิงศรที่หูไวจะได้ยินเข้าเสียแล้ว
อิงศรทำหน้าจริงจังขณะที่เดินเข้ามา
“นี่นายไปเจอหมอนั่นมาเหรอ”
ที่พูดนั่นคงหมายถึงคนประหลาดที่ชื่อซีลอร์ด
กวินทร์ผงกตัวรับโดยไม่ได้พูดตอบ
อิงศรถามต่อไปว่า
“เจ้านั่นพูดอะไรให้นายฟัง”
“เอ...เห็นบอกว่าเพราะวัดอารย-สนธยามีคนนับถือมากจอกก็เลยได้กินความปรารถนาเข้าไปเยอะก็เลยมีพลังมากน่ะครับ”
เพียงแค่พูดอย่างสรุปออกไปพี่ศรที่หัวดีอยู่แล้วก็ทำหน้าปราดเปรื่องราวกับเข้าใจเรื่องทั้งหมด
อิงศรหันไปพูดกับซากิริที่หน้าจอคอม
“ก่อนหน้านี้คุณเคยบอกไว้ใช่ไหมว่าการที่ปีศาจสามารถอ้างอิงตัวเองให้ดูเป็นตัวที่เก่งกว่าได้มันจะมีผลทำให้กลายเป็นปีศาจตัวนั้นๆ
ไปมันมีเหตุผลอะไรรึเปล่าที่ยัลดาเบาธ์ถึงถูกเรียกว่าปีศาจที่เลียนแบบพระเจ้า”
ซากิริในคอมฯตอบกลับมาว่า
‘ก็คงเพราะเหนือหัวเคยเป็นปีศาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดล่ะมั้งทำไมจู่ๆ
ถึงถามล่ะ’
“แค่คิดว่ามันอาจจะเกี่ยวกับที่จอกพยายามทำตัวเป็นยฮวฮก็ได้”
‘รู้ไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา’
พี่ศรทำหน้าใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งหลังจากคุณซากิริถามหาเหตุผล
“เปล่า
ไม่มีอะไรหรอกแค่มันติดใจยังไงก็ไม่รู้น่ะ”
เจ้าตัวกลับบอกปัดไปซะอย่างนั้น
ทว่า...
‘เอาจริงๆ
นะฉันเองก็ตอบไม่ได้หรอกเหตุผลของปีศาจน่ะมีแต่เจ้าตัวที่รู้ก็เหมือนๆ
กับคนนั่นแหละ’
คุณซากิริเองก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกันแล้วตอนนั้นเองพวกเขาที่เอาแต่ยืนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันสี่คน
รวมเน็กส์ที่ยืนถือเครื่องคอมฯ เข้าไปด้วยก็ต้องขยับเท้าเพื่อหลบลำแสงที่รูปปั้นเทวทูตปล่อยออกมา
ลำแสงเฉี่ยวใบหน้าไปเพียงไม่กี่มิล
เพียงแค่นั้นก็รู้สึกแสบร้อนเหมือนโดนน้ำกรดเลยทีเดียว
“อึก”
กวินทร์กัดฟันทนต่อความเจ็บปวดนั่นแล้วคิดหาทางตอบโต้
ซึ่งวิธีนั้นอยู่ในมือแล้วยูนิทแสงสี่ลูกที่ออกมาตอนใช้ท่าควอเต็ตแสลชสามารถร่ายสกิลไม้ตายได้
“ห้ามใช้ไม้ตายนะกวินทร์”
พี่ศรห้ามมาแบบนั้นเขาวิ่งกลับมาจากอีกฟากหนึ่งหลังจากพวกเขาแยกกันหลบลำแสงไปคนละทิศ
“ถ้าเจ้านั่นได้รับความเสียหายถึงประมาณหนึ่งมันจะระเบิดตัวเองแบบตอนที่นายตื่นขึ้นมา...คิดว่างั้นนะ”
ทำไมถึงมีพ่วงท้ายด้วยความไม่แน่ใจแบบนั้นก็อยากจะถามอยู่หรอกแต่รูปปั้นเทวทูตตัวหนึ่งก็ทุบลงมาตรงที่พวกเขาอยู่
เพียงแค่กระโจนตัวออกไปทางด้านข้างก็หลบได้อย่างง่ายดายรูปปั้นเทวทูตร่วงลงไปข้างล่างแล้วก็ถูกดึงกลับไปด้วยโครงที่เหมือนกับกิ่งยึดตัวเข้ากับรูปปั้นนักบุญ
พวกเราวิ่งอยู่บนอวกาศอย่างนั้นเหรอ?
กวินทร์เพิ่งจะตั้งคำถามเอาก็ตอนที่สังเกตเห็น
พอลองมองดูรอบตัวก็เห็นทุกคนพยายามหลบหลีกการโจมตีโดยไม่สู้ตอบที่พี่ศรตั้งสมมติฐานไว้อาจจะจริงก็ได้
แต่เรื่องนั้นคงไม่จำเป็นต้องขบคิดอีกแล้วเพราะว่าในตอนนี้เอง
‘เสร็จแล้ว’
คุณซากิริประกาศว่าทำอะไรซักอย่างเสร็จแล้วนั่นหมายความว่าการถ่วงเวลาน่าจะจบลงตรงนี้
ตรงด้านหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์เริ่มปรากฏแสงสว่าง
สิ่งที่เผยตัวออกมาคือปีศาจ
รูปร่างเหมือนมนุษย์เพศชายแต่งตัวด้วยชุดเสื้อคลุมตัวใหญ่เหมือนนักบวชสมัยโบราณ
สวมหน้ากากทำจากเหล็กปิดบังใบหน้ามิดชิดบนหน้ากากนั้นแกะเป็นลวดลายดาวสามแฉกและมีปีกทำจากโลหะคล้ายคลึงกับพวกเทวทูตในศาสนา
แว่นตาที่เน็กส์สวมอยู่ซึ่งเป็นแว่นตาปีศาจของพี่นรินทร์มีสายเชื่อมต่อกับเทวทูตสวมหน้ากาก
‘เอาล่ะราชาแห่งพันธะสัญญาเมลคีเซเดค (Melchizedek)
จงตรวจสอบพระเจ้าของเจ้าซะ’
คุณซากิริสั่งจากนั้นปีศาจก็ใช้มือกดที่ด้านข้างของหน้ากาก
ตราดาวสามแฉกเปิดออกเป็นช่องว่างโดยพลัน
มองไม่เห็นว่าภายใต้หน้ากากนั้นมีอะไรแต่แสงสีแดงก็สาดส่องออกมา
แสงทอดตัวไปถึงปีศาจม้าหมุนคงอยู่ไม่กี่วินาทีก็หายไป
สิ่งที่เกิดตามมาหลังจากนั้น...
“โอวววว...”
ปีศาจม้าหมุนกำลังส่งเสียงคราง
เสียงดังออกมาจากรูปปั้นเทวทูตทั้งเจ็ดรูปรวมถึงรูปปั้นนักบุญ
กวินทร์เพิ่งจะเห็นว่าในจอกที่นักบุญอุ้มอยู่มีเด็กทารก
เด็กคนนั้นก็กรีดร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวดด้วย
แล้วเมื่อเสียงครางหยุดลงรูปปั้นก็ส่งเสียงแตกลั่นดังเปรี้ยะบังเกิดรอยร้าวขึ้นก่อนจะพังทลายลง
จอกที่อยู่ในอ้อมกอดของรูปปั้นนักบุญก็ปริร้าวและแตกออกเช่นกัน
จอกแหว่งออกไปประมาณหนึ่ง
สิ่งที่อยู่ภายในนั้น...
เด็กทารกผิวขาวผ่องสดใสจนแทบจะเปล่งแสงได้กลับกลายเป็นปีศาจที่น่าขยะแขยงน่าหวาดผวาผิวพรรณหยาบกร้านเนื้อหนังคล้ำเป็นสีม่วงกำลังถลึงตามองมาที่พวกเขา
ดวงตาของมันปูดโปนจนแทบจะหลุดออกจากเบ้ารูปปั้นหญิงนักบุญเบื้องหลังก็มีการเปลี่ยนแปลงใบแก้มอันอิ่มเอิบซูบตอบ
ผิวหินที่ปกคลุมกะเทาะตัวหลุดเป็นแผ่นเหลือแต่โครงกระดูกมนุษย์ยืนคาอยู่อย่างนั้น
เทวทูตทั้งเจ็ดที่โทรมไปครึ่งตัวแล้วหลุดลอยออกจากฐานก่อนจะแตกเป็นเสี่ยงแต่ภายในนั้นกลับมีหัวของปีศาจอยู่
แต่ละตัวหน้าตาเหมือนกันปากยื่นยาวเหมือนจระเข้ ดวงตาสุกสกาวราวกับคบเพลิง
ผิวหนังเป็นตะปุ่มตะป่ำสีแดงก่ำเหมือนอาบด้วยเลือด
แกนที่เคยใช้ยึดฐานของรูปปั้นก็กะเทาะตัวออกภายในนั้นคือลำคอของปีศาจทั้งเจ็ดหัวที่เชื่อมไปยังลำตัวที่อยู่ใต้ฐานของรูปปั้นนักบุญที่ตอนนี้กลายเป็นโครงกระดูกไปแล้ว
อย่างกับไฮดร้า...กวินทร์คิดขณะที่มองดูปีศาจเผยร่างที่แท้จริง
ตอนนั้นเองโครงกระดูกก็ขยับเคลื่อนไหว
มันโน้มตัวแล้วนั่งลงบนหลังของไฮดร้า
แล้วกล่าวว่า...
“เจ้าพวกโง่เขลา...ทำให้ข้าต้องเปิดเผยตัวแบบนี้จงเตรียมใจไว้เถอะ”
อันที่จริงเสียงที่พูดนั้นดังมาจากตัวทารกที่กลายเป็นปีศาจ
***ค่อกแค่ก...แฮ่ๆ คิดว่าไรท์ยังไม่หายหวัดกันสินะ ที่จริงเกือบหายแล้วฮะตอนนี้อยู่ช่วงพักฟื้นวันนี้มันก็เลยจะสั้นๆ หน่อย แฮะๆ ที่จริงมีเขียนทิ้งเอาไว้อีกประมาณสามหน้าแต่มันยังเกลาบทไม่เสร็จเลยคิดว่าตัดไปตอนหน้าแทนละกัน สรุปว่าเจอกันอีกทีวันพฤหัสนะคร้าบ***
ความคิดเห็น