คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #129 : Login 126: ประตูสุดท้าย
Login
126: ประตูสุดท้าย
หลายปีก่อนโลกจะล่มสลาย
ช่วงเวลาที่มนุษย์ยังไม่ถูกทดสอบโดยผู้ควบคุม
แต่ซากิริ
อามาเนะ ก็ถูกทดสอบโดยโชคชะตา…
“โทโมโกะ!
เป็นอะไรน่ะตื่นสิโทโมโกะ!”
สถานที่คือในญี่ปุ่น
ภายในห้องคอนโดที่ซากิริ
อามาเตะก่อนจะเป็นนักวิจัยให้กับเมตไตรยซื้อเอาไว้อยู่อาศัยกับลูกสาวสองคน
สามีของหล่อนแยกทางกันด้วยเหตุผลด้านจริตของความรักที่ไปด้วยกันไม่ได้
ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหล่อนถึงได้พึ่งพาการเข้าลัทธิประหลาดเพื่อเยียวยาจิตใจ
หนักข้อเข้าหล่อนก็ลืมตัวไปแล้วว่าอะไรที่ควรทำหรือไม่ควร
ลืมกระทั่งว่าลูกสาวต้องการอะไร
หล่อนไม่ได้อยู่ดูแลลูกเพราะเอาแต่เข้าลัทธิประหลาดบูชาพระเทียมเท็จเพื่อให้สมหวังเพื่อให้จิตใจอันบอบช้ำได้รับการปลอบประโลมอย่างปลอมๆ
‘แต่เราเองก็คงต่อว่าไม่ได้เต็มปาก
เพราะตลอดพันปีมานี่ก็ใช้วิธีนั้นเพื่อหลอกให้มนุษย์มาสวามิภักดิ์ไปมากเหมือนกัน’
ซาคคิเอลในเวลานั้นมองหาร่างที่จะสถิตต่อไปหลังจากกายเนื้อคนก่อนหมดสิ้นอายุขัยก็ได้มาเจอกับ
ซากิริ อามาเนะ
หล่อนฆ่าตัวตายหลังจากปล่อยลูกสาวที่ยังเล็กให้กินยาเบื่อหนูเข้าไป
เพราะหล่อนเอาแต่เข้าลัทธิประหลาดจนลืมว่าลูกตัวเองยังรอกินข้าวอยู่ที่บ้าน
เด็กที่หิวโซรอมารดาจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วก็บังเอิญไปหยิบขวดยามากิน
พอหล่อนกลับมาบ้านก็ทำใจกับการตายของลูกไม่ได้และจบชีวิตตัวเอง
เป็นการใช้ชีวิตได้อย่างโง่เขลาเหลือเกิน
คล้ายกับอับราฮัมที่ศรัทธาในเหนือหัวของเราจนยอมสังเวยบุตร
นับแต่วันนั้นมา
ซากิริ อามาเนะ ก็กลายเป็นซาคคิเอลและทำงานให้กับเมตไตรยจนกระทั่งโลกดำเนินไปถึงจุดจบ
“…”
จู่ๆ ก็นึกถึงความทรงจำเดิมของเจ้าของร่างขึ้นมาจะว่าเป็นฝีมือของเหนือหัวก็ไม่น่าจะใช่เพราะไม่มีใครรู้สึกตัว
ที่จริงการโจมตีด้วยภาพฉายสงบลงไปซักพักแล้ว
ตอนนี้คณะเดินทางที่นำโดยบุตรแห่งมนุษย์ที่มีฟันเฟืองย่างเท้าเข้าสู่สถานที่อันคุ้นเคยในสมัยที่เหนือหัวยังทรงอำนาจและปกครองมนุษย์
สถานที่ซึ่งมีแต่แสงสว่าง
ขั้นบันไดทอดตัวสูงอย่างไม่รู้จบขวางกั้นด้วยบานประตูหินสีขาวที่นี่เมื่อครั้งอดีตมันเป็นเส้นทางที่ใช้ขึ้นไปเข้าเฝ้าเหนือหัวที่บัลลังก์ดังนั้นแต่ละบานประตูจะมียามเฝ้าอยู่เป็นพวกเทวทูต…
แต่ทว่า
ณ
บานประตูที่หนึ่งกลับไม่มีใครหรืออะไรรออยู่เลยมีแต่ความว่างเปล่า
อิงศรซึ่งอยู่หัวแถวหันกลับมาถาม
“ต้องทำยังไงกับประตูนี่ดี”
“เปิดมันสิ”
พอตอบไปแบบนั้นเด็กหนุ่มก็หันกลับแล้วเดินไปผลักบานประตูที่ทำจากหินแต่ก็ดูจะหนักมากจนขยับไม่ไหว
ประตูไม่แง้มออกเลยแม้แต่น้อย
“ทำลายได้รึเปล่า”
อิงศรส่งเสียงถามโดยไม่หันมา
“อืม
ก็เอาสิเพราะว่ามันก็เป็นแค่ประตูธรรมดาๆ น่ะ”
ในอดีตมันเคยเป็นอย่างนั้นปกติแล้วจะให้ยามเฝ้าเป็นผู้เปิด
พวกเด็กๆ
ที่อยู่แถวเริ่มโจมตีประตูด้วยสกิล เสียงระเบิดดังสนั่นแล้วบานประตูก็ถล่มลง
ในตอนนั้นเอง...
‘ถอยกลับไปเสีย!
เจ้าพวกที่ปฏิเสธประสงค์แห่งพระเป็นเจ้าพวกเจ้ากำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งการทำลายล้างมีเพียงเส้นทางอันทุกข์ทรมานเท่านั้นที่รออยู่ข้างหน้าเจ้า’
ก็มีเสียงข่มขู่ดังแว่วมา
น้ำเสียงเด็ดขาดและทรงอำนาจแต่กลับแฝงความหวาดกลัวไว้
จะว่านั่นเป็นเสียงของเหนือหัวตัวจริงก็ได้มันค่อนข้างคล้ายกันมากแต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในสถานการณ์เช่นนี้เหนือหัวจะหวาดกลัวกับอีแค่บุตรแห่งมนุษย์ที่มีความทะเยอทะยานเหล่านี้จริงๆ
หรือ?
คำตอบนั่นคงจะได้รู้เมื่อไปถึงบัลลังก์สวรรค์ที่อยู่ปลายสุดของขั้นบันไดนี้
“คำขู่เรอะ
ไม่ต้องไปฟังมันพวกเราเดินหน้าต่อไปเลย”
ด้วยคำสั่งของอิงศรก็ทำให้กองกำลังเริ่มฮึดขึ้นมาโดยเฉพาะเด็หนุ่มชาวต่างชาติเส้นผมสีทองที่ชื่อมิกซ์กับเพื่อนเด็กหนุ่มที่ดูห้าวหาญที่ชื่อฟู
สองคนนั้นฮึกเหิมกว่าใคร
จากนั้นกลุ่มก็เริ่มขยับไปข้างหน้า
เร็วขึ้น เร็วขึ้น
พวกเขาวิ่งขึ้นบันไดไปด้วยใจที่พร้อมจะต่อสู้ตัดสิน
พอถึงบานประตูที่สองเสียงของเหนือหัวก็ดังขึ้นอีก
‘พวกเจ้ากำลังถูกปีศาจล่อลวงให้มาที่นี่
เรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้าจนถึงตอนนี้ กลับไปซะแล้วเราจะให้อภัยไม่ถือโทษในการล่วงเกินของเจ้า...’
แต่ไม่มีใครฟังคำพูดนั้น
ดาบของมนุษย์ต่างดาวที่เป็นน้องชายของอิงศรแล่นไปที่ประตู
ใบดาบถูกอาบไว้ด้วยแสงสว่าง
‘รอยัลเซเบอร์’
“บริโอแน็ก!!”
เสียงร่ายสกิลดังตามมาหลังจากนั้นประตูก็ถูกผ่าออกเป็นสองส่วนแล้วเอนตกจากเส้นทางลงไปยังท้องฟ้าที่ไร้ก้น
พวกเขาผ่านไปถึงประตูที่สามแล้วคำเตือนก็ดังมาอีก
‘เจ้าไม่เข้าใจหรืออย่างไร
ทุกสรรพสิ่งล้วนมีตัวตนเพราะเราเป็นผู้สร้างมันทำลายเราเท่ากับเจ้าทำลายตัวเอง เราขอเตือนเป็นครั้งสุดท้ายจงกลับไปซะ’
“ถ้าอยากให้กลับก็ส่งพวกเรากลับไปเซ่!”
ฟูตะหวาดขึ้นใส่เสียงนั่นแล้วก้าวล้ำคนอื่นออกไปข้างหน้าโดยปล่อยให้มิกซ์แบกกวินทร์ไว้คนเดียว
เด็กหนุ่มพุ่งตัวไปถึงประตูจากนั้นก็หวดค้อนทุบบานประตูปลิวกระเด็นไปทั้งซุ้ม
ประตูแหลกละเอียดในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ทุกคนวิ่งต่อเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พอจะก้าวเท้าตามไปก็มีเด็กคนหนึ่งหยุดวิ่ง
เป็นเด็กชายตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม
เธอจึงหยุดดูแล้วถามอาการ
“เฮ้ๆ
เป็นอะไรไปน่ะไหวรึเปล่า”
เด็กชายท่าทางเหนื่อยแล้วยังหอบหายใจเป็นพักๆ
เท่าที่สังเกตุสาเหตุของความเหนื่อยล้าที่เร็วกว่าปกติก็มาจากการที่เด็กชายฝืนเร่งฝีเท้าตัวเองไล่ตามพวกเด็กโตทั้งที่ถูกกำชับว่าให้อยู่ข้างหลังแต่ตลอดระยะทางที่ผ่านมาก็เอาแต่วิ่งตามโดยปริปากบอก
“เน็กส์เป็นอะไรน่ะ”
นิวส์เด็กหญิงที่เดินรั้งท้ายร่วมกับเธอเดินเข้าไปหาแต่ก็ทำอะไรไม่ถูก
“…”
ไม่มีใครถอยลงมาดูเลย
เพราะไม่รู้ตัวเหรอหรือว่า...
ตอนที่กำลังจะคิดว่าความสัมพันธ์ของมนุษย์นี่มันช่างเบาบางเสียเหลือเกินเด็กสาวที่ชื่อพลอยก็เดินกลับลงมา
“เน็กส์ เป็นอะไรไหมหรือว่าเหนื่อย”
เด็กสาววิ่งหน้าตื่นลงมาถึงก็จับที่แขนทั้งสองข้างของเด็กชายประคองตัวเขาไว้
สีหน้าของเน็กส์ไม่ค่อยดีนัก
แค่ดูก็รู้ว่ากำลังฝืนความเหนื่อยล้า
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกัดฟันพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เหนื่อยนิดหน่อยน่ะครับผมยังไหวฮะพี่พลอยไม่ต้องห่วง”
แล้วเดินอ้อมพลอยไปแต่กลับเดินโซเซ
จนพลอยต้องจับตัวเอาไว้
“ไม่ได้หรอกเดินเซซะขนาดนั้นน่ะพักอยู่ที่นี่ก่อนเถอะ”
แต่เด็กชายกลับพูดโดยไม่สนใจตัวเอง
“ไม่ได้...ผมไม่อยากเป็นตัวถ่วง...พวกพี่...”
น่าจะอายุได้สิบขวบแต่ความต้องการอยากให้เป็นที่ยอมรับก็แรงกล้าตั้งแต่ตัวเท่านี้
ทั้งที่อ่อนแอแท้ๆ
บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย
“เอ้า พอแค่นั้นแหละ”
ซากิริพูดแล้วเดินเข้าไปจับไหล่ของเด็กชายบังคับกดให้นั่งลง
“สภาพแบบนั้นมีแต่จะไปเกะกะคนอื่นเขาเปล่าๆ”
พอถูกเธอจับตัวไว้เด็กชายก็ไม่ได้ขัดขืนแต่ยอมนั่งลงโดยดี
คงจะถึงขีดจำกัด
แต่ปากก็ยังพูดอยู่ว่าอยากจะทำให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับของพวกเด็กโตอยากจะ...
“ผมอยากจะทำตัวให้เป็นประโยชน์”
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ต้องรู้จักหน้าที่ของตัวเอง”
เด็กชายเงยหน้าขึ้นมอง
“หน้าที่...”
“ก่อนจะออกกันมาเนี่ยโชเน็น...”
ซากิริหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเพราะพวกที่เดินหน้ากันไม่รู้เรื่องเพิ่งจะเดินย้อนกลับมา
จากนั้นจึงเริ่มพูดต่อ
“อิงศรก็จัดแถวให้แต่ละคนไว้แล้วนี่เธอน่ะต้องอยู่ข้างหลังนะ”
“แต่ว่าผม...”
พอได้ยินที่เธอพูดรอบดวงตาของเด็กชายก็มีน้ำซึมออกมาเล็กน้อย
แค่เกือบจะร้องไห้
เพราะเจ็บใจที่ตัวเองจะกลายเป็นตัวถ่วงอย่างนั้นล่ะมั้ง
“ถึงอยู่ข้างหลังก็ช่วยคนข้างหน้าได้นะดูอย่างฉันสิทั้งที่เลเวลน้อยกว่าเธอแต่อิงศรยังต้องพึ่งพาฉันบ่อยๆ
เลย”
“ก็คุณน้าโตแล้วนี่ครับถึงทำได้”
เด็กชายตัดพ้อมาอย่างนั้น
เพราะอายุคือตัวกำหนดหน้าที่ความคิดแบบเด็กๆ นั่นยังมีอยู่ในร่างกระจ้อยนี้สินะ
“เพราะงั้นไงถึงบอกว่าเธอจะต้องรู้จักหน้าที่ของตัวเองก่อนคนเราต่างก็มีหน้าที่แตกต่างกันไปถ้าแต่ละคนทำหน้าที่ของตัวเองแบบนั้นก็จะทำให้กลุ่มขยับไปข้างหน้าได้เธอยังเด็กและอ่อนแอทุกคนถึงได้เป็นห่วงและอยากให้เธออยู่ในที่ๆ
พวกเขาสามารถปกป้องเธอได้แต่ว่าเธอก็มีพลังที่จะต่อสู้จากระยะไกลได้นี่หน้าที่ของเธอคือการสนับสนุนคนที่อยู่ข้างหน้าไม่ใช่หรือไง”
พูดจบพวกข้างบนก็ลงมาถึงพอดี
อิงศรเดินเข้ามาหาเด็กชาย
เขาก้มตัวลงเอาหลังแนบหน้าผากเด็กชายแล้วพูดด้วยความเป็นห่วง
“ตัวก็ไม่ร้อนนี่ปวดหัวรึเปล่าเหนื่อยไหม”
เน็กส์ส่ายหัวและพยายามอย่างมากที่จะทำสีหน้าที่อ่อนล้าให้ดีขึ้นเพื่อไม่ให้ทุกคนเป็นห่วง
ช่างเป็นเด็กที่หัวแข็งอะไรอย่างนี้นะ
“นี่เราพักกันซักแปบเถอะฉันเองก็เริ่มเหนื่อยแล้วด้วยอีกอย่างถ้าตอนที่ไปถึงแล้วไม่เหลือแรงสู้จะแย่เอานะ”
ซากิริพูดแล้วนั่งลงเป็นคนแรกทันที
ทีนี้เด็กคนนั้นก็ไม่มีทางปฏิเสธเรื่องให้พักได้แล้ว
ที่เหลือก็ขึ้นกับคุณหัวหน้า
เธอมองอิงศรที่จะเป็นคนตัดสินใจ
“งั้นพักก่อน”
อิงศรพูดแล้วหันไปฝากพลอยให้ดูแลก่อนจะขึ้นไปคุยกับพวกที่อยุ่ข้างหน้า
“ไจดีผิดวิสัยน์เทวทูตไปเลยนะเธอ”
อิซานามิเดินมาพูดให้ฟังแล้วก็เดินเลยไปคุยกับอิงศรต่อ
ใจดีเหรอ...
“คุณน้าครับ”
จู่ๆ
เน็กส์ก็หันมาแล้วเรียกเธอ
“ขอบคุณครับ”
เด็กชายพูด
เขารู้ตัวว่าถูกช่วยไว้อย่างนั้นสินะ
“งั้นมาคุยต่อจากเมื่อกี้นะ เธอรู้หน้าที่ตัวเองหนรือยังล่ะ”
เน็กส์ส่ายหน้า
“ไม่ครับ”
“งั้นฉันจะบอกของตัวเองก่อนเพราะว่าฉันต่อสู้ไม่เก่งแต่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้จึงทำหน้าที่สนับสนุนอยู่ด้านหลังด้วยข้อมูลที่วิเคราะห์มาถ้าหากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันหรือสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรข้อมูลของฉันก็จะเป็นประโยชน์ที่จริงก็แอบเห็นเธอแสดงฝีมือมาเหมือนกันนี่ตอนที่อยู่ในวิหารของอารย-สนธยาเธอใช้พลังของตัวเองเคลื่อนย้ายทุกคนออกมาจากสถานการณ์อันตรายด้วยไม่ใช่เหรอ”
“หมายถึงสกิลวินด์วาร์ปเหรอครับ”
“ใช่...แล้วก็น่าจะยังมีอย่างอื่นอีกที่ช่วยสนับสนุนได้นอกจากสกิล
อย่างสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ
แล้วคอยบอกคนที่อยู่ข้างหน้าก็ถือว่าเป็นงานที่มีแต่คนที่อยู่ด้านหลังเท่านั้นจะทำได้ด้วยนะเพราะระหว่างที่สู้คนที่อยู่ข้างหน้าจะต้องมีสมาธิกับเรื่องตรงหน้าตัวเองทำให้ขาดสัมผัสรับรู้เรื่องรอบตัวไป”
“แค่นั้นก็ช่วยได้แล้วเหรอครับ”
เด็กชายถามเหมือนไม่เชื่อ
“ช่วยได้สิแค่ข่าวสารช้าไปวินาทีเดียวก็ตัดสินชะตาชีวิตได้เลยนะเพราะงั้นเธอที่อยู่ข้างหลังก็มีหน้าที่ของตัวเองเหมือนกันทีนี้เข้าใจแล้วนะ
คนที่คอยสังเกตสถานการณ์กับความเป็นไปของกลุ่มและคอยรายงานหรือสนับสนุนด้วยพลังที่ตัวเองมีนั่นก็คือโอเปอเรเตอร์ไงล่ะ”
ซากิริพูด
“โอเปอเรเตอร์...ผมจะเป็นแบบนั้นได้เหรอครับ”
“ได้สิถ้าพยายามเธอจะต้องช่วยทุกคนได้แน่ยิ่งกลุ่มเราเป็นกันซะแบบนี้การมีโอเปอเรเตอร์มันสำคัญมากเลยล่ะปกติแล้วจะมีคนคอยช่วยอิงศรทำหน้าที่นี้อยู่
ฉันเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเขาเท่าไหร่แต่ปกติแล้วอิงศรเป็นคนที่เข้มงวดกับทีมของตัวเองเขามักจะสั่งการอย่างเด็ดขาดเสมอ”
สิ่งที่เธอพูดเป็นเรื่องที่ได้ฟังมาจากนรินทร์อีกที
นรินทร์นับถืออิงศรมากขนาดที่มีเรื่องมาคุยกับเธอได้
“แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าเขาไม่เด็ดขาดเอาซะเลยคงเพราะที่นี่ไม่ใช่ทีมแต่เป็นครอบครัวล่ะมั้ง”
ที่นี่ไม่มีสหายร่วมรบอยู่เลย...
ซากิริเหลือบมองไปที่กวินทร์ซึ่งนอนหมดสติอยู่ในความดูแลของฟูกับมิกซ์
นั่นเป็นสหายร่วมรบคนสุดท้ายที่ตอนนี้ก็พึ่งพาไม่ได้ไปแล้ว
ถ้ายังเกรงใจครอบครัวอยู่แบบนี้การจะเอาชนะเหนือหัวคงเป็นไปไม่ได้
แม้แต่จะโค่นปีศาจระดับเดียวกับตัวตนที่เคยถูกเรียกว่าพระเจ้ามาก่อนก็ยังห่างไกล
ทุกคนที่นี่คงจะตายหมด
“เพราะงั้นอย่างน้อยที่สุดแค่เธอซักคนก็ยังดีช่วยเป็นคนที่จะสู้ร่วมไปกับเขาจะได้รึเปล่า”
ซากิริถาม
“ครับ”
เด็กชายพยักหน้าที่ตอนนี้เต็มไปด้วยสีแห่งความสดใสแล้วตอนนั้นเองก็มีประกาศมาจากหัวกลุ่ม
เสียงของอิงศรประกาศว่าให้เตรียมตัวเดินทาง
และแล้วการเดินทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังประตูที่สี่ก็เริ่มขึ้น
ถ้าที่นี่คือสถานที่เดียวกับบัลลังก์แห่งสวรรค์ที่เคยเข้าเฝ้าเหนือหัวหรือตำลองมาแล้วล่ะก็
ข้างหน้าคือประตูสุดท้าย...
ความคิดเห็น