ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #120 : Login 117: โชคชะตาของมนุษย์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 491
      11
      13 มิ.ย. 60

    Login 117: โชคชะตาของมนุษย์

     

                “ถ้าโชคชะตาคือสิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว...ทำไมมนุษย์ถึงได้เอาแต่คิดถึงเรื่องของตัวเองกันล่ะ”

                ซีลอร์ดพูดไปพลางขณะนั่งอยู่บนโซฟาเก่าโทรมในมือถือไพ่อาคานาร์ใบใหม่ที่เพิ่งจะตกลงมาเมื่อไม่นานนี้หลังจากที่อิงศรกลับไปแล้ว

                สถานที่คือรูนรูมแห่งรากอาคาชิกเรคคอร์ด

                ศึกระหว่างมิ่งขวัญที่ถูกอวโลกิตะ ไม่สิตอนนี้ได้กลายเป็นมิตราพุทธไปแล้ว เจ้านั่นสิงสู่ร่างของมิ่งขวัญบังคับให้ต่อสู้กับอิงศรภาพนั้นสะท้อนอยู่บนหน้าจอระบบ

                โชคชะตากำลังดำเนินไปตามกำหนดการณ์

                แต่กำหนดการณ์นั่นถูกจัดโดยมนุษย์ด้วยกันเอง

                มีเสียงตอบคำถามดังมาจากทางด้านหน้า

                “คำตอบน่ะง่ายจะตายไป ก็เพื่อความปรารถนาน่ะสิมนุษย์น่ะขับเคลื่อนด้วยความปรารถนาก็เหมือนกับฟันเฟืองที่ใช้ขับเคลื่อนเครื่องทำสวน ความปรารถนาคืออมฤตของมนุษย์ยังไงล่ะ”

                แต่ซีลอร์ดพูดแย้ง

                “มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ...การที่มนุษย์มาถึงจุดๆ นี้ได้เพราะแค่ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวจริงๆ น่ะเหรอ”

                “หลักฐานของเรื่องที่แกสงสัยมันก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้วไม่ใช่รึไงเล่า”

                พอได้ยินแบบนั้นซีลอร์ดก็ละสายตาจากหน้าจอ เงยหน้าขึ้นมองตรงไปด้านหน้า

                ตัวการผู้กำหนดโชคชะตาของพี่น้องคู่นั้นกำลังยืนอยู่ต่อหน้า

                กำหนดการณ์ที่ถูกจัดด้วยมือของมนุษย์...ให้ถูกคืออดีตมนุษย์ล่ะนะ

                ชายร่างสูงใบหน้าปราดเปรื่องแววตาไร้อารมณ์และผมสีเงินแต่เครื่องแบบที่สวมเป็นชุดพลเอกของเมตไตรย

                เขาคือราชครูมนุษย์ต่างดาวลำดับที่หนึ่งแฟรนเซียมหรืออีกตัวตนหนึ่ง สิงห์ ธุวดารกะ

                “งั้นเรื่องเมอร์คาบาห์นั่นก็เป็นไปตามความตั้งใจของนายอยู่แต่แรกแล้วงั้นสิ”

                ซีลอร์ดถาม

                “ฉันเก็บเจ้านั่นมาเมื่อสามปีก่อนก็เพื่อสิ่งนั้นอยู่แล้ว”

                “นั่นน่ะรวมถึงการสร้างอารย-สนธยาขึ้นมาเป็นศัตรูกับเมตไตรยด้วยรึเปล่า”

                “เพื่อทำการทดลองที่ทำต่อหน้าเทวทูตพวกนั้นไม่ได้มันก็ถือเป็นสิ่งจำเป็น”

                “ถึงได้รับตัวเด็กคนนั้นมาด้วยสินะ”

                “คนไหน”

                “นรินทร์...เด็กที่มีเดธอาคานาร์อยู่กับตัวคนนั้นน่ะ”

                “…”

                แฟรนเซียมไม่ได้ตอบคำถามมาในทันที...เพราะกำลังคิดอยู่ว่าทำไมถึงถูกไล่ต้อนด้วยคำถามซีลอร์ดอ่านความคิดจากจิตใจของอีกฝ่ายได้อย่างนั้น

                ทั้งเรื่องที่ทำการวิจัยโปรเจคเมอร์คาบาห์กับอิงศรที่นี่

                บงการอารย-สนธยาเพื่อให้เป็นสถานที่ทำวิจัยและจนถึงตอนนี้การวิจัยก็ยังดำเนินอยู่การต่อสู้กับปีศาจคือขั้นตอนหนึ่งของการทดลอง

                เสี้ยวส่วนหนึ่งของเดธอาคานาร์ที่ชื่อว่าอิซานามิที่ตอนนี้อยู่กับอิงศรแฟรนเซียมก็เป็นคนส่งไป

                ทั้งหมดนั่นเขารับรู้จากตอนที่แฟรนเซียมเข้ามาที่นี่ เพราะมาอยู่ที่รูนรูมจึงสามารถอ่านความคิดทั้งหมดในหัวของอีกฝ่ายได้...แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด

                มีความนึกคิดบางส่วนที่ดูคลุมเครือเหมือนกับว่าเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่กลับมั่นใจว่าสถานการณ์ในตอนนี้กำลังดำเนินไปอย่างที่ต้องการโดยการสนับสนุนของใครบางคน

                ตอนนั้นเองแฟรนเซียมก็เริ่มพูดอีกครั้ง

                “ถ้าใช่แล้วมันจะทำไมล่ะ”

                ซีลอร์ดพลิกไพ่อาคานาร์ที่อยู่ในมือให้อีกฝ่ายดู อาคานาร์รูปวงล้อซึ่งเรียกว่า วีลออฟฟอร์จูน (Wheel of Fortune)

                “ที่พูดมานี่มีคนที่คอยสนับสนุนอยู่สินะคนที่เที่ยวส่งอาคานาร์พวกนี้มาให้อิงศรอยู่เรื่อย”

                “….”

                ใบหน้าของแฟรนเซียมไม่แสดงปฏิกิริยาออกมายังคงรักษาความนิ่งเอาไว้ได้เหมือนในยามที่เป็นสิงห์ ธุวดารกะ แต่ถึงไม่แสดงออกทางสีหน้าก็ยังห้ามไม่ให้สมองคิดไม่ได้ซีลอร์ดได้รับเอาความคิดของแฟรนเซียมมาเรียบร้อย

                “นายโกหกผมไม่ได้เพราะนายรู้จักเดธอาคานาร์นั่นย่อมหมายถึงนายรู้เรื่องของอาคานาร์”

                “…”

                แฟรนเซียมไม่ตอบและความคิดก็ไม่ได้แสดงคำตอบออกมาด้วยอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องอะไรเลยอย่างนั้นหรือ? ไม่สิมันไม่ใช่ ‘การไม่รู้’ ที่เป็นธรรมชาติแต่เหมือนจงใจทำให้ตัวเองลืมไปและจำได้แต่ความรู้สึกของความทรงจำที่ทำให้มั่นใจเป็นอย่างมากว่าคนที่เขากำลังถามถึงคอยสนับสนุนอยู่

                “จงใจทำให้ตัวเองถูกควบคุมความทรงจำเพื่อจะปิดบังผมเลยอย่างนั้นเหรอ”

                “เราทำแบบนี้กับพวกตัวอย่างทดลองบ่อยๆ ของแค่นี้เองทำไมจะทำไม่ได้”

                “งั้นนายก็เป็นตัวทดลองของงานใหญ่คราวนี้ด้วยอย่างนั้นสิ”

                แต่แฟรนเซียมปฏิเสธ

                “ผิดแล้วฉันเป็นผู้บงการต่างหากเจ้านั่นก็แค่ถูกฉันใช้ประโยชน์”

                เจ้านั่นที่ว่าคงหมายถึงคนที่กำลังสงสัยว่าจะเป็นคนส่งอาคานาร์ให้กับอิงศร

                อา...ไม่คืบหน้าเลยซักนิด แฟรนเซียมไม่ยอมเปิดช่องว่างเขาเคยเป็นมนุษย์แบบนั้นจนกระทั่งตื่นขึ้นเป็นผู้อาศัยในสวนแห่งที่สองเมื่อเจ็ดปีก่อนก็ยังไม่ละทิ้งเขี้ยวเล็บแบบมนุษย์ถ้าให้พูดก็คงจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตรายที่สุดในตอนนี้

                "..."

                ซีบอร์ดจ้องมองลึกลงไปในดวงตาของแฟรนเซียมพยายามค้นหาเศษเสี้ยวของอารมณ์ที่อาจจะซ่อนความจริงไว้

                ว่างเปล่า...

                เจอแต่ความว่างเปล่าภายในตาคู่นั้นไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามต่อ

                สรุปก็คือแฟรนเซียมยังคงมุ่งมั่นกับเป้าหมายเดิมของตัวเอง เป้าหมายที่จะปลดแอกมนุษยชาติจากการปกครองของแอดมินิสเทรเตอร์และสร้างโลกในอุดมคติของตัวเองขึ้นมา...อีกฝ่ายมุ่งมั่นกับเรื่องของตัวเองจนถึงที่สุดคงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาถ้าอย่างนั้นถึงเซ้าซี้ต่อไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา

                "แล้วตกลงมาหาผมทำไม"

                ซีลอร์ดพูดเปิดประเด็นเพราะอยากจะรีบส่งแขกกลับไปจะได้จับตาดูอิงศรต่อเสียที

                ทว่า สายตาของแฟรนเซียมกลับไม่ได้มองมาที่เขาแต่จ้องไปที่หน้าจอด้วยสายตาจริงจังราวกับว่าเขามาที่นี่ก็เพื่อจะดูผลการวิจัยของตัวเองผ่านทางห้องนี้

                แฟรนเซียมพูด

                "มาดูผลงานน่ะสิเจ้าอิงศรได้เมอร์คาบาห์ไปแล้วสินะ"

                ตกลงว่ามันเป็นอย่างที่เดาไว้จริงๆ

                แฟรนเซียมหัวเราะ

                "เจ้าอวโลกิตะใช้หัวใจแห่งทิตราจนได้สินะก็กะเอาไว้แล้ว"

                แล้วพูดอย่างภูมิใจแต่ในแววตาของแฟรนเซียมกลับมีความขุ่นมัวผุดขึ้นมาทั้งที่แผนการน่าจะดำเนินไปตรมที่หวัง

                "ทำไมไทเทเนียมถึงได้จริงจังขนาดนั้น"

                แฟรนเซียมไม่ได้มองดูแค่จอของอิงศรแต่ยังดูอีกจอที่ฉายสถานการณ์ของกวินทร์ วชิระไปด้วยทางนั้นก็กำลังต่อสู้ตึงมืออยู่เช่นกัน

                จากนั้นแฟรนเซียมก็พูดตอบคำถามของตัวเอง

                "อ้อ ฝีมือรูบิเดียมสิท่าหรือไม่ก็เจ้าโพแทสเซียม"

                แล้วแค่นเสียงหัวเราะขึ้นจมูก

                "รีบดิ้นรนกันใหญ่เชียวนะทั้งที่มันยังไม่ทันจะได้เริ่มต้นกันเลยเอาเถอะยังไงก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงโลกที่ฉันจะสร้างได้อยู่แล้ว"

                "ดูนายมั่นใจจังเลยนะ"

                ซีลอร์ดกล่าว

                "ก็ต้องมั่นใจสิแกเองก็อย่าคิดทรยศฉันก็แล้วกันจะจับตาดูหรือทำหน้าที่ของแกก็ทำไปแต่ถ้าแส่มายุ่งไม่เข้าเรื่องฉันไม่เอาแกไว้แน่"

                พูดจบแฟรนเซียมก็ยกมือขึ้นทำเป็นดาบแล้ววางลงบนคอของซีลอร์ด

                "เพื่อนกันเขาขู่กันแบบนี้เหรอ"

                พอพูดออกไปแบบนั้นแฟรนเซียมก็แค่นเสียงอีก

                "เฮอะ เพื่อนอะไรกันฉันกับแกก็แค่สมรู้ร่วมคิดกันเท่านั้นถ้าหมดประโยชน์แล้วก็ต้องเขี่ยทิ้งไป"

                "หมายความว่าตอนนี้ผมยังมีประโยชน์กับเธออยู่งั้นเหรอ"

                "ก็ใช่น่ะสิ"

                "เห~~ งั้นเองเหรอเนี่ยก็นึกว่ายังหาทางโค่นผมลงไม่ได้จนต้องมาบลัฟกันซะอีก"

                ใบหน้าของซีลอร์ดยิ้มแต่ไม่จริงจัง

                ตอนนั้นเองมือดาบของแฟรนเซียมก็กดลงมาที่คออีกเล็กน้อย

                "..."

                เป็นพลังที่รุนแรงแต่ยังถือว่าอ่อนหัด สำหรับการต่อสู้กับเครื่องทำสวนและยิ่วไม่ต้องไปพูดถึงเหล่าแอดมินิสเทรเตอร์เลยด้วยฝีมือเพียงเท่านี้หากคิดท้าทายมีแต่จะถูกเผาจนไม่เหลือกระทั่งธุลีดินด้วยซ้ำ

                แฟรนเซียมพูด

                "เอาเถอะตอนนี้ผลได้ผลเสียของเรายังตรงกันอยู่จะยอมเดินไปตามแผนของนายก็ได้อยู่หรอกแต่ว่านะอิงศรน่ะอาจจะก้าวเดินไปในทิศทางที่นายเองก็คาดเดาไม่ได้อยู่ก็ได้"

                "หมายความว่ายังไง"

                เรื่องนั้นคงบอกได้แค่ว่าลางสังหรณ์ ก่อนหน้านี้อิงศรพูดมาว่าอย่างนี้

                มนุษย์จะถูกกอบกู้โดยมนุษย์เท่านั้น

                นั่นเป็นคำพูดที่ไม่มีทางพูดออกมาเองได้อย่างแน่นอนและถ้าคาดเดาไม่ผิดการที่อิงศรสามารถเรียกเมอร์คาบาห์ออกมาได้สำเร็จก็อาจจะเป็นเพราะเรื่องนั้นด้วย

                ซีลอร์ดพูด

                "ตอนแรกก็แอพปีศาจคราวนี้ก็อาวุธอสุรานายพัฒนาของแบบนั้นขึ้นมาก็เพื่อเจ้านั่นที่อยู่ในตัวนายอย่างนั้นเหรอ"

                "ถ้ารู้อยู่แล้วก็อย่าถามสิ"

                อีกฝ่ายตอบโดยที่รู้อยู่แล้วว่าถูกอ่านความคิดไป

                สิงห์ ธุวดารกะ คนนั้นแชร์ความคิดร่วมกับเขาอย่างว่าง่าย จนน่ากลัวว่าทั้งหมดจะเป็นความทรงจำที่เติมแต่งขึ้นมาเองแต่ก็มีอยู่หลายอย่างที่ยืนยันได้จริง

                ก่อนหน้านี้ช่วงหลังจากที่อิงศรขึ้นบังคับเครื่องทำสวนดีเซมแมร์ไปหมาดๆ สิงห์ ธุวดารกะ ก็โผล่หน้ามาที่นี่แล้วขอฟันเฟืองที่ฝากไว้กับเขาคืนไป

                เมื่อกลับมาหนนี้ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปมาก หลายอย่างในตัวไม่เหมือนกับสิงห์ ธุวดารกะคนก่อน...แฟรนเซียมได้ทำให้ตัวเองก้าวข้ามความเป็นมนุษย์กับบุตรแห่งแสงไปถึงขั้นไหนกันแล้วนะ

                "สิงห์...ถ้าเดินหน้าต่อไปแบบนี้นายจะถูกฆ่าเอาได้นะแอดมินิสเทรเตอร์คงไม่นิ่งเฉยกับเรื่องนี้แน่เลวร้ายที่สุดพวกเขาอาจจะลงมาที่นี่ด้วยตัวเองพอถึงเวลานั้นสวนแห่งที่สองก็จะถึงจุดจบ"

                "มาพูดอะไรเอาป่านนี้กัน โลกมันจบสิ้นไปตั้งนานแล้ว วิธีการของฉันจะทำให้โลกถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้งจะพระเจ้าหรือแอดมินิสเทรเตอร์ก็หยุดฉันไม่ได้แล้วแกเองก็เหมือนกันจะต้องกลายมาเป็นรากฐานให้กับโลกใหม่ที่ฉันจะสร้างจนกว่าจะถึงตอนนั้นก็เตรียมใจไว้เถอะไม่งั้นก็มาศิโรราบให้ฉันซะแล้วจะละเว้นให้เป็นกรณีพิเศษ"

                แฟรนเซียมพูดเรื่องที่อยากพูดออกมาทีเดียว

                คำพูดนั้นทั้งยโส ทั้งโอหัง ไม่มีความเกรงกลัวต่ออำนาจที่ยังอยู่เหนือตัวเองหลายขุม หากต้องการแล้วล่ะก็จะทำลายแผนการนี้เสียเลยก็ทำได้อย่างง่ายดาย

                แต่...

                "เพราะผมตั้งใจแล้วว่าจะเป็นผู้จับตาดูดังนั้นผมจะไม่ขัดขวางแต่ขอเตือนอะไรซักหน่อยนะถ้ายังเอาชนะเครื่องทำสวนไม่ได้เลยซักเครื่องแบบนี้แผนการที่จะสร้างโลกใหม่ของนายคงต้องพับเก็บไปตอนนี้ผมก็พูดได้แค่นั้นแหละ"

                พอพูดแบบนั้นออกไปก็กลายเป็นยิ่งกระตุ้นแฟรนเซียม

                อีกฝ่ายพูดอย่างไม่เกรงกลัวและมั่นใจเอามากๆ

                "ไม่ต้องมาขู่เลยเพราะอีกไม่นานทั้งแกแล้วก็อีกสิบสองเครื่องนั่นจะกลายเป็นรากฐานให้กับโลกใหม่อย่างแน่นอน"

                แล้วถอนมือดาบออกจากคอของเขา

                ร่างของแฟรนเซียมจางลงเล็กน้อยหมอกเริ่มปกคลุมตัว

                แฟรนเซียมได้ออกไปจากรูนรูม

                ขณะเดียวกันก็มีเสียงดังมาจากหน้าจอที่จับภาพฝั่งของกวินทร์ วชิระ

                "อั่ก!!"

                เสียงของเด็กหนุ่มดังอย่างทรมานจากนั้นเขาก็หมดสติไป

                "..."

                ซีลอร์ดหันไปมองหน้าจอที่ว่านั่นแล้ว...

                "สวัสดีแขกผู้ถูกบทละครแห่งโชคชะตาเลือกมาค่ำคืนนี้ช่างมีแขกมาเยี่ยมเยียนเยอะเสียเหลือเกิน"

                ผู้ถูกลืมเลือนพูดอย่างนั้น

     

                ....

     

                "มิตราพุทธะ...ไม่มีข้อมูลเลย"

                ซากิริพูดหล่อนสวมแว่นตาแห่งลาพาสและพยายามเก็บข้อมูลของอีกฝ่ายแต่ผลลัพธ์ที่ลาพาสแสดงออกมาก็คือไม่สามารถวิเคราะห์ได้

                "นี่ ชื่อมิตราน่ะมันใช่มิตรานั่นหรือเปล่า"

                อิซานามิพูดขึ้นมา

                "ไม่น่าใช่นะเทพมิทราสของกรีกโรมันองค์นั้นน่ะไม่ได้มีรูปร่างแบบนี้"

                แต่อิซานามิแย้งมาอีกว่า

                "ไม่ใช่มิทราสนั่นสิของโซโลอัสเตอร์ต่างหากหนึ่งในแปดเทพอสุรานั่นไง"

                พอถึงตรงนี้ซากิริก็นึกออก

                "หมายถึงพวกอสุราเทพในโบราณกาลนั่นน่ะเหรอ...ก็เป็นไปได้นะ"

                หล่อนเรียกโปรแกรมในเครื่องโน๊ตบุคขึ้นมาแล้วเริ่มค้นหาจากข้อมูลที่เก็บไว้ในเครื่อง

                แปดเทพอสุราที่อยู่ในตำนานของโซโลอัสเตอร์นั้นเป็นเทพที่เก่าแก่เอามากๆ

                เก่าแก่เสียยิ่งกว่า ยฮวฮ อีกว่ากันว่าครั้งหนึ่งอสุราทำศึกกับเทวะผลของการต่อสู้นั้นอสุราได้เสียท่าให้กับวิธีการอันแยบยลของฝ่ายเทวะและหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์

                แต่ฝ่ายเทวะก็ใช่ว่าจะกุมชัยชนะเจ้าพวกนั้นในเวลาต่อมาก็ต้องยอมสยบแทบเท้าเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ เหล่าบริวารของตัวตนที่ควบคุมจัดการความเป็นไปของสรรพสิ่ง

                ถ้าจะมีอะไรที่ใช้โค่นล้มอำนาจของตัวตนที่ยิ่งใหญ่นั่นก็เห็นจะเป็นเหล่ามนุษย์ที่สืบเชื้อสายจาก อดัม อังรีมัน ที่สืบทอดพลังจากผู้นำฝ่ายเทวะในตอนนั้น อังรีมายุมาอีกทอดเพราะแบบนั้นทั้ง ยฮวฮ แล้วก็เหล่าเทวทูตตนอื่นๆ ถึงได้พยายามครอบงำมนุษย์ทั้งหมดก็เพื่อปลดแอกจากการควบคุมของสิ่งนั้น

                แต่ตอนนี้ฝ่ายอสุราเทพที่คิดว่าพ่ายแพ้ไปแล้วกลับมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้า

                ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนทำให้พวกมันคืนชีพกลับมาแล้วใครคนนั้นก็คงจะมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ซึ่งจะสั่นคลอนโลกทั้งใบ แต่ใครกันล่ะที่มีพลังขนาดนั้นจากข้อมูลที่รวบรวมมาหลายปีในร่างของมนุษย์นามซากิริ อามาเนะ ไม่มีใครที่น่าจะมีอำนาจขนาดนั้นได้ จะอารย-สนธยาหรือเมตไตรยก็ไม่มีทางทำแบบนั้นได้แน่

                อย่างไรก็ตามที่น่าตกใจยังมีอีกเรื่อง

                “นั่นมันเมอร์คาบาห์ไม่ใช่รึน่ะ”

                ซากิริเปลี่ยนเป้าสายตาจากมิตราพุทธะไปจ้องเขม็งที่ปีศาจซึ่งอิงศรเรียกมันออกมา

                ปกติก็จำรูปร่างของเมอร์คาบาห์ได้อยู่แล้วแต่ลาพาสก็ยังช่วยยืนยันอีกจึงทำให้แน่ใจ บวกกับก่อนหน้านี้อิงศรก็เหมือนจะถามถึงโปรเจคที่มีชื่อเดียวกับเทวทูตราชรถ

                "หรือว่าที่ถามตอนนั้นจะหมายถึงไอ้นี่กันนะ"

                พอพึมพำออกมาแบบนั้นเสียงการต่อสู้ที่แผ่นดินอีกฟากก็เริ่มขึ้น

                เสียงคำรามของมนุษย์ต่างดาวเด็กหนุ่มที่ชื่อมิ่งขวัญตนนั้น

                "สตาร์เซเบอร์รีเบลเลี่ยน สตาร์เซเบอร์ลิเบอเรเตอร์!!"

                พริบตาต่อมาดาบแสงสีครามก็ลุกไหม้ด้วยเพลิงสีน้ำเงินและยืดรัศมียาวออกไปเกือบสองเท่าตัว

                ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่โซ่อาคมของอิงศรหายไป มันหมดเวลาคงอยู่ตามที่สกิลกำหนดไว้ รวมถึงแผนที่จะใช้ทรัมเป็ตเตอร์ช่วยคลายสะกดก็ล่มไม่เป็นท่า

     

                ....

     

                มิ่งขวัญตวัดดาบแต่อิงศรกระโดดถอยไปด้านหลัง

                ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่พ้นรัศมีดาบอยู่ดีปลายดาบปาดลงไปบนไหล่ซ้ายของเด็กหนุ่มเฉือนกินเนื้อเข้าไปลึกพอสมควร

                "อึก"

                อิงศรครางอย่างเจ็บปวดแต่ก็สู้กัดฟันทนแล้วแอ่นตัวหลบให้พ้นวิถีดาบ ถึงจะฟันเข้าไปในไหล่แล้วแต่ที่นั่นไม่มีใบดาบฝังเอาไว้เป็นแค่ลำความร้อนสูงที่ฟันเข้ามาเท่านั้นจึงไม่ต้องถอนใบดาบให้ยุ่งยาก

                รอดจากดาบแรกมาได้อิงศรก็กุมมือลงตรงไหล่ที่ถูกฟัน

                บาดแผลร้อนฉ่าจนรู้สึกได้จากมือที่จับลงไป เนื้อไหล่ฉีกขาดและถูกเผาจนไหม้เกรียมในทันที ตามปกติได้รับบาดแผลขนาดนี้คงจะกรีดร้องทุรนทุรายไปแล้วแต่ที่ยังอดทนเอาไว้ได้คงเป็นเพราะการเสริมพลังจากเมอร์คาบาห์ช่วยลดทอนความเจ็บปวดไม่ให้ส่งไปที่เส้นประสาทอย่างเต็มที่ แต่ใช่ว่ามันจะเป็นการเพิ่มพลังป้องกันอะไรทำนองนั้นนี่มันก็แค่หลอกตัวเองว่าไม่เจ็บเท่านั้นเองอย่างไรเสียพลังชีวิตก็ลดลงอยู่ดี

     

    อิงศร Lv. 70

    [///..3000:7320.....]      

     

                พลังชีวิตเหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่ง

                เอาเถอะถึงจะหมดก็ยังไม่ตายอยู่ดี...อิงศรคิด

                เพราะว่ายังมีฟันเฟืองอยู่อีก แต่ถ้าปล่อยมันออกมาก็จะอาละวาดแล้วถ้าฆ่ามิ่งขวัญไปก็จะทำให้เฟืองของหมอนั่นอาละวาดไปด้วย

                เฟืองสองอันพลังทำลายล้างจะขนาดไหนกันโลกอาจจะเละเทะไปเลยก็ได้

                ช่วงที่คิดฟุ้งซ่านอยู่มิ่งขวัญก็จู่โจมเข้ามา

                แทงดาบตรงแหน่วมาชนิดที่อ่านออกได้ง่ายแต่ความเร็วนั้นกลับไม่ง่ายที่จะหลบเอาเสียเลย

                อิงศรกระโจนตัวหลบออกไปด้านข้างทุ่มสุดแรงจนถอยห่างออกไปเกือบสองเมตรในครั้งเดียวแต่ดาบที่เสริมความยาวกับเพลิงไฟก็ไล่ตามมาจนเฉือนเนื้อที่ขาซ้ายไปได้อีกเล็กน้อย

                อัก...

                ร่างของเด็กหนุ่มล้มลงกระเด้งกระดอนไปบนพื้นอีกสองตลบก่อนจะหยุดอยู่กับที่

     

    ***ตอนนี้ขอตัดฉับไว้แค่นี้ก่อนนะครับปั่นไม่ทันเจอกันอีกทีวันพฤหัสเน่อ***

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×