คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #120 : Login 117: โชคชะตาของมนุษย์
Login
117: โชคชะตาของมนุษย์
“ถ้าโชคชะตาคือสิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว...ทำไมมนุษย์ถึงได้เอาแต่คิดถึงเรื่องของตัวเองกันล่ะ”
ซีลอร์ดพูดไปพลางขณะนั่งอยู่บนโซฟาเก่าโทรมในมือถือไพ่อาคานาร์ใบใหม่ที่เพิ่งจะตกลงมาเมื่อไม่นานนี้หลังจากที่อิงศรกลับไปแล้ว
สถานที่คือรูนรูมแห่งรากอาคาชิกเรคคอร์ด
ศึกระหว่างมิ่งขวัญที่ถูกอวโลกิตะ
ไม่สิตอนนี้ได้กลายเป็นมิตราพุทธไปแล้ว เจ้านั่นสิงสู่ร่างของมิ่งขวัญบังคับให้ต่อสู้กับอิงศรภาพนั้นสะท้อนอยู่บนหน้าจอระบบ
โชคชะตากำลังดำเนินไปตามกำหนดการณ์
แต่กำหนดการณ์นั่นถูกจัดโดยมนุษย์ด้วยกันเอง
มีเสียงตอบคำถามดังมาจากทางด้านหน้า
“คำตอบน่ะง่ายจะตายไป
ก็เพื่อความปรารถนาน่ะสิมนุษย์น่ะขับเคลื่อนด้วยความปรารถนาก็เหมือนกับฟันเฟืองที่ใช้ขับเคลื่อนเครื่องทำสวน
ความปรารถนาคืออมฤตของมนุษย์ยังไงล่ะ”
แต่ซีลอร์ดพูดแย้ง
“มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ...การที่มนุษย์มาถึงจุดๆ
นี้ได้เพราะแค่ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวจริงๆ น่ะเหรอ”
“หลักฐานของเรื่องที่แกสงสัยมันก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้วไม่ใช่รึไงเล่า”
พอได้ยินแบบนั้นซีลอร์ดก็ละสายตาจากหน้าจอ
เงยหน้าขึ้นมองตรงไปด้านหน้า
ตัวการผู้กำหนดโชคชะตาของพี่น้องคู่นั้นกำลังยืนอยู่ต่อหน้า
กำหนดการณ์ที่ถูกจัดด้วยมือของมนุษย์...ให้ถูกคืออดีตมนุษย์ล่ะนะ
ชายร่างสูงใบหน้าปราดเปรื่องแววตาไร้อารมณ์และผมสีเงินแต่เครื่องแบบที่สวมเป็นชุดพลเอกของเมตไตรย
เขาคือราชครูมนุษย์ต่างดาวลำดับที่หนึ่งแฟรนเซียมหรืออีกตัวตนหนึ่ง
สิงห์ ธุวดารกะ
“งั้นเรื่องเมอร์คาบาห์นั่นก็เป็นไปตามความตั้งใจของนายอยู่แต่แรกแล้วงั้นสิ”
ซีลอร์ดถาม
“ฉันเก็บเจ้านั่นมาเมื่อสามปีก่อนก็เพื่อสิ่งนั้นอยู่แล้ว”
“นั่นน่ะรวมถึงการสร้างอารย-สนธยาขึ้นมาเป็นศัตรูกับเมตไตรยด้วยรึเปล่า”
“เพื่อทำการทดลองที่ทำต่อหน้าเทวทูตพวกนั้นไม่ได้มันก็ถือเป็นสิ่งจำเป็น”
“ถึงได้รับตัวเด็กคนนั้นมาด้วยสินะ”
“คนไหน”
“นรินทร์...เด็กที่มีเดธอาคานาร์อยู่กับตัวคนนั้นน่ะ”
“…”
แฟรนเซียมไม่ได้ตอบคำถามมาในทันที...เพราะกำลังคิดอยู่ว่าทำไมถึงถูกไล่ต้อนด้วยคำถามซีลอร์ดอ่านความคิดจากจิตใจของอีกฝ่ายได้อย่างนั้น
ทั้งเรื่องที่ทำการวิจัยโปรเจคเมอร์คาบาห์กับอิงศรที่นี่
บงการอารย-สนธยาเพื่อให้เป็นสถานที่ทำวิจัยและจนถึงตอนนี้การวิจัยก็ยังดำเนินอยู่การต่อสู้กับปีศาจคือขั้นตอนหนึ่งของการทดลอง
เสี้ยวส่วนหนึ่งของเดธอาคานาร์ที่ชื่อว่าอิซานามิที่ตอนนี้อยู่กับอิงศรแฟรนเซียมก็เป็นคนส่งไป
ทั้งหมดนั่นเขารับรู้จากตอนที่แฟรนเซียมเข้ามาที่นี่
เพราะมาอยู่ที่รูนรูมจึงสามารถอ่านความคิดทั้งหมดในหัวของอีกฝ่ายได้...แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด
มีความนึกคิดบางส่วนที่ดูคลุมเครือเหมือนกับว่าเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
แต่กลับมั่นใจว่าสถานการณ์ในตอนนี้กำลังดำเนินไปอย่างที่ต้องการโดยการสนับสนุนของใครบางคน
ตอนนั้นเองแฟรนเซียมก็เริ่มพูดอีกครั้ง
“ถ้าใช่แล้วมันจะทำไมล่ะ”
ซีลอร์ดพลิกไพ่อาคานาร์ที่อยู่ในมือให้อีกฝ่ายดู
อาคานาร์รูปวงล้อซึ่งเรียกว่า วีลออฟฟอร์จูน (Wheel of Fortune)
“ที่พูดมานี่มีคนที่คอยสนับสนุนอยู่สินะคนที่เที่ยวส่งอาคานาร์พวกนี้มาให้อิงศรอยู่เรื่อย”
“….”
ใบหน้าของแฟรนเซียมไม่แสดงปฏิกิริยาออกมายังคงรักษาความนิ่งเอาไว้ได้เหมือนในยามที่เป็นสิงห์
ธุวดารกะ
แต่ถึงไม่แสดงออกทางสีหน้าก็ยังห้ามไม่ให้สมองคิดไม่ได้ซีลอร์ดได้รับเอาความคิดของแฟรนเซียมมาเรียบร้อย
“นายโกหกผมไม่ได้เพราะนายรู้จักเดธอาคานาร์นั่นย่อมหมายถึงนายรู้เรื่องของอาคานาร์”
“…”
แฟรนเซียมไม่ตอบและความคิดก็ไม่ได้แสดงคำตอบออกมาด้วยอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องอะไรเลยอย่างนั้นหรือ? ไม่สิมันไม่ใช่
‘การไม่รู้’ ที่เป็นธรรมชาติแต่เหมือนจงใจทำให้ตัวเองลืมไปและจำได้แต่ความรู้สึกของความทรงจำที่ทำให้มั่นใจเป็นอย่างมากว่าคนที่เขากำลังถามถึงคอยสนับสนุนอยู่
“จงใจทำให้ตัวเองถูกควบคุมความทรงจำเพื่อจะปิดบังผมเลยอย่างนั้นเหรอ”
“เราทำแบบนี้กับพวกตัวอย่างทดลองบ่อยๆ
ของแค่นี้เองทำไมจะทำไม่ได้”
“งั้นนายก็เป็นตัวทดลองของงานใหญ่คราวนี้ด้วยอย่างนั้นสิ”
แต่แฟรนเซียมปฏิเสธ
“ผิดแล้วฉันเป็นผู้บงการต่างหากเจ้านั่นก็แค่ถูกฉันใช้ประโยชน์”
เจ้านั่นที่ว่าคงหมายถึงคนที่กำลังสงสัยว่าจะเป็นคนส่งอาคานาร์ให้กับอิงศร
อา...ไม่คืบหน้าเลยซักนิด
แฟรนเซียมไม่ยอมเปิดช่องว่างเขาเคยเป็นมนุษย์แบบนั้นจนกระทั่งตื่นขึ้นเป็นผู้อาศัยในสวนแห่งที่สองเมื่อเจ็ดปีก่อนก็ยังไม่ละทิ้งเขี้ยวเล็บแบบมนุษย์ถ้าให้พูดก็คงจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตรายที่สุดในตอนนี้
"..."
ซีบอร์ดจ้องมองลึกลงไปในดวงตาของแฟรนเซียมพยายามค้นหาเศษเสี้ยวของอารมณ์ที่อาจจะซ่อนความจริงไว้
ว่างเปล่า...
เจอแต่ความว่างเปล่าภายในตาคู่นั้นไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามต่อ
สรุปก็คือแฟรนเซียมยังคงมุ่งมั่นกับเป้าหมายเดิมของตัวเอง
เป้าหมายที่จะปลดแอกมนุษยชาติจากการปกครองของแอดมินิสเทรเตอร์และสร้างโลกในอุดมคติของตัวเองขึ้นมา...อีกฝ่ายมุ่งมั่นกับเรื่องของตัวเองจนถึงที่สุดคงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาถ้าอย่างนั้นถึงเซ้าซี้ต่อไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา
"แล้วตกลงมาหาผมทำไม"
ซีลอร์ดพูดเปิดประเด็นเพราะอยากจะรีบส่งแขกกลับไปจะได้จับตาดูอิงศรต่อเสียที
ทว่า
สายตาของแฟรนเซียมกลับไม่ได้มองมาที่เขาแต่จ้องไปที่หน้าจอด้วยสายตาจริงจังราวกับว่าเขามาที่นี่ก็เพื่อจะดูผลการวิจัยของตัวเองผ่านทางห้องนี้
แฟรนเซียมพูด
"มาดูผลงานน่ะสิเจ้าอิงศรได้เมอร์คาบาห์ไปแล้วสินะ"
ตกลงว่ามันเป็นอย่างที่เดาไว้จริงๆ
แฟรนเซียมหัวเราะ
"เจ้าอวโลกิตะใช้หัวใจแห่งทิตราจนได้สินะก็กะเอาไว้แล้ว"
แล้วพูดอย่างภูมิใจแต่ในแววตาของแฟรนเซียมกลับมีความขุ่นมัวผุดขึ้นมาทั้งที่แผนการน่าจะดำเนินไปตรมที่หวัง
"ทำไมไทเทเนียมถึงได้จริงจังขนาดนั้น"
แฟรนเซียมไม่ได้มองดูแค่จอของอิงศรแต่ยังดูอีกจอที่ฉายสถานการณ์ของกวินทร์
วชิระไปด้วยทางนั้นก็กำลังต่อสู้ตึงมืออยู่เช่นกัน
จากนั้นแฟรนเซียมก็พูดตอบคำถามของตัวเอง
"อ้อ
ฝีมือรูบิเดียมสิท่าหรือไม่ก็เจ้าโพแทสเซียม"
แล้วแค่นเสียงหัวเราะขึ้นจมูก
"รีบดิ้นรนกันใหญ่เชียวนะทั้งที่มันยังไม่ทันจะได้เริ่มต้นกันเลยเอาเถอะยังไงก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงโลกที่ฉันจะสร้างได้อยู่แล้ว"
"ดูนายมั่นใจจังเลยนะ"
ซีลอร์ดกล่าว
"ก็ต้องมั่นใจสิแกเองก็อย่าคิดทรยศฉันก็แล้วกันจะจับตาดูหรือทำหน้าที่ของแกก็ทำไปแต่ถ้าแส่มายุ่งไม่เข้าเรื่องฉันไม่เอาแกไว้แน่"
พูดจบแฟรนเซียมก็ยกมือขึ้นทำเป็นดาบแล้ววางลงบนคอของซีลอร์ด
"เพื่อนกันเขาขู่กันแบบนี้เหรอ"
พอพูดออกไปแบบนั้นแฟรนเซียมก็แค่นเสียงอีก
"เฮอะ
เพื่อนอะไรกันฉันกับแกก็แค่สมรู้ร่วมคิดกันเท่านั้นถ้าหมดประโยชน์แล้วก็ต้องเขี่ยทิ้งไป"
"หมายความว่าตอนนี้ผมยังมีประโยชน์กับเธออยู่งั้นเหรอ"
"ก็ใช่น่ะสิ"
"เห~~ งั้นเองเหรอเนี่ยก็นึกว่ายังหาทางโค่นผมลงไม่ได้จนต้องมาบลัฟกันซะอีก"
ใบหน้าของซีลอร์ดยิ้มแต่ไม่จริงจัง
ตอนนั้นเองมือดาบของแฟรนเซียมก็กดลงมาที่คออีกเล็กน้อย
"..."
เป็นพลังที่รุนแรงแต่ยังถือว่าอ่อนหัด
สำหรับการต่อสู้กับเครื่องทำสวนและยิ่วไม่ต้องไปพูดถึงเหล่าแอดมินิสเทรเตอร์เลยด้วยฝีมือเพียงเท่านี้หากคิดท้าทายมีแต่จะถูกเผาจนไม่เหลือกระทั่งธุลีดินด้วยซ้ำ
แฟรนเซียมพูด
"เอาเถอะตอนนี้ผลได้ผลเสียของเรายังตรงกันอยู่จะยอมเดินไปตามแผนของนายก็ได้อยู่หรอกแต่ว่านะอิงศรน่ะอาจจะก้าวเดินไปในทิศทางที่นายเองก็คาดเดาไม่ได้อยู่ก็ได้"
"หมายความว่ายังไง"
เรื่องนั้นคงบอกได้แค่ว่าลางสังหรณ์
ก่อนหน้านี้อิงศรพูดมาว่าอย่างนี้
มนุษย์จะถูกกอบกู้โดยมนุษย์เท่านั้น
นั่นเป็นคำพูดที่ไม่มีทางพูดออกมาเองได้อย่างแน่นอนและถ้าคาดเดาไม่ผิดการที่อิงศรสามารถเรียกเมอร์คาบาห์ออกมาได้สำเร็จก็อาจจะเป็นเพราะเรื่องนั้นด้วย
ซีลอร์ดพูด
"ตอนแรกก็แอพปีศาจคราวนี้ก็อาวุธอสุรานายพัฒนาของแบบนั้นขึ้นมาก็เพื่อเจ้านั่นที่อยู่ในตัวนายอย่างนั้นเหรอ"
"ถ้ารู้อยู่แล้วก็อย่าถามสิ"
อีกฝ่ายตอบโดยที่รู้อยู่แล้วว่าถูกอ่านความคิดไป
สิงห์ ธุวดารกะ
คนนั้นแชร์ความคิดร่วมกับเขาอย่างว่าง่าย จนน่ากลัวว่าทั้งหมดจะเป็นความทรงจำที่เติมแต่งขึ้นมาเองแต่ก็มีอยู่หลายอย่างที่ยืนยันได้จริง
ก่อนหน้านี้ช่วงหลังจากที่อิงศรขึ้นบังคับเครื่องทำสวนดีเซมแมร์ไปหมาดๆ
สิงห์ ธุวดารกะ ก็โผล่หน้ามาที่นี่แล้วขอฟันเฟืองที่ฝากไว้กับเขาคืนไป
เมื่อกลับมาหนนี้ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปมาก
หลายอย่างในตัวไม่เหมือนกับสิงห์
ธุวดารกะคนก่อน...แฟรนเซียมได้ทำให้ตัวเองก้าวข้ามความเป็นมนุษย์กับบุตรแห่งแสงไปถึงขั้นไหนกันแล้วนะ
"สิงห์...ถ้าเดินหน้าต่อไปแบบนี้นายจะถูกฆ่าเอาได้นะแอดมินิสเทรเตอร์คงไม่นิ่งเฉยกับเรื่องนี้แน่เลวร้ายที่สุดพวกเขาอาจจะลงมาที่นี่ด้วยตัวเองพอถึงเวลานั้นสวนแห่งที่สองก็จะถึงจุดจบ"
"มาพูดอะไรเอาป่านนี้กัน
โลกมันจบสิ้นไปตั้งนานแล้ว
วิธีการของฉันจะทำให้โลกถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้งจะพระเจ้าหรือแอดมินิสเทรเตอร์ก็หยุดฉันไม่ได้แล้วแกเองก็เหมือนกันจะต้องกลายมาเป็นรากฐานให้กับโลกใหม่ที่ฉันจะสร้างจนกว่าจะถึงตอนนั้นก็เตรียมใจไว้เถอะไม่งั้นก็มาศิโรราบให้ฉันซะแล้วจะละเว้นให้เป็นกรณีพิเศษ"
แฟรนเซียมพูดเรื่องที่อยากพูดออกมาทีเดียว
คำพูดนั้นทั้งยโส
ทั้งโอหัง ไม่มีความเกรงกลัวต่ออำนาจที่ยังอยู่เหนือตัวเองหลายขุม
หากต้องการแล้วล่ะก็จะทำลายแผนการนี้เสียเลยก็ทำได้อย่างง่ายดาย
แต่...
"เพราะผมตั้งใจแล้วว่าจะเป็นผู้จับตาดูดังนั้นผมจะไม่ขัดขวางแต่ขอเตือนอะไรซักหน่อยนะถ้ายังเอาชนะเครื่องทำสวนไม่ได้เลยซักเครื่องแบบนี้แผนการที่จะสร้างโลกใหม่ของนายคงต้องพับเก็บไปตอนนี้ผมก็พูดได้แค่นั้นแหละ"
พอพูดแบบนั้นออกไปก็กลายเป็นยิ่งกระตุ้นแฟรนเซียม
อีกฝ่ายพูดอย่างไม่เกรงกลัวและมั่นใจเอามากๆ
"ไม่ต้องมาขู่เลยเพราะอีกไม่นานทั้งแกแล้วก็อีกสิบสองเครื่องนั่นจะกลายเป็นรากฐานให้กับโลกใหม่อย่างแน่นอน"
แล้วถอนมือดาบออกจากคอของเขา
ร่างของแฟรนเซียมจางลงเล็กน้อยหมอกเริ่มปกคลุมตัว
แฟรนเซียมได้ออกไปจากรูนรูม
ขณะเดียวกันก็มีเสียงดังมาจากหน้าจอที่จับภาพฝั่งของกวินทร์
วชิระ
"อั่ก!!"
เสียงของเด็กหนุ่มดังอย่างทรมานจากนั้นเขาก็หมดสติไป
"..."
ซีลอร์ดหันไปมองหน้าจอที่ว่านั่นแล้ว...
"สวัสดีแขกผู้ถูกบทละครแห่งโชคชะตาเลือกมาค่ำคืนนี้ช่างมีแขกมาเยี่ยมเยียนเยอะเสียเหลือเกิน"
ผู้ถูกลืมเลือนพูดอย่างนั้น
....
"มิตราพุทธะ...ไม่มีข้อมูลเลย"
ซากิริพูดหล่อนสวมแว่นตาแห่งลาพาสและพยายามเก็บข้อมูลของอีกฝ่ายแต่ผลลัพธ์ที่ลาพาสแสดงออกมาก็คือไม่สามารถวิเคราะห์ได้
"นี่
ชื่อมิตราน่ะมันใช่มิตรานั่นหรือเปล่า"
อิซานามิพูดขึ้นมา
"ไม่น่าใช่นะเทพมิทราสของกรีกโรมันองค์นั้นน่ะไม่ได้มีรูปร่างแบบนี้"
แต่อิซานามิแย้งมาอีกว่า
"ไม่ใช่มิทราสนั่นสิของโซโลอัสเตอร์ต่างหากหนึ่งในแปดเทพอสุรานั่นไง"
พอถึงตรงนี้ซากิริก็นึกออก
"หมายถึงพวกอสุราเทพในโบราณกาลนั่นน่ะเหรอ...ก็เป็นไปได้นะ"
หล่อนเรียกโปรแกรมในเครื่องโน๊ตบุคขึ้นมาแล้วเริ่มค้นหาจากข้อมูลที่เก็บไว้ในเครื่อง
แปดเทพอสุราที่อยู่ในตำนานของโซโลอัสเตอร์นั้นเป็นเทพที่เก่าแก่เอามากๆ
เก่าแก่เสียยิ่งกว่า
ยฮวฮ อีกว่ากันว่าครั้งหนึ่งอสุราทำศึกกับเทวะผลของการต่อสู้นั้นอสุราได้เสียท่าให้กับวิธีการอันแยบยลของฝ่ายเทวะและหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
แต่ฝ่ายเทวะก็ใช่ว่าจะกุมชัยชนะเจ้าพวกนั้นในเวลาต่อมาก็ต้องยอมสยบแทบเท้าเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์
เหล่าบริวารของตัวตนที่ควบคุมจัดการความเป็นไปของสรรพสิ่ง
ถ้าจะมีอะไรที่ใช้โค่นล้มอำนาจของตัวตนที่ยิ่งใหญ่นั่นก็เห็นจะเป็นเหล่ามนุษย์ที่สืบเชื้อสายจาก
อดัม อังรีมัน ที่สืบทอดพลังจากผู้นำฝ่ายเทวะในตอนนั้น
อังรีมายุมาอีกทอดเพราะแบบนั้นทั้ง ยฮวฮ แล้วก็เหล่าเทวทูตตนอื่นๆ
ถึงได้พยายามครอบงำมนุษย์ทั้งหมดก็เพื่อปลดแอกจากการควบคุมของสิ่งนั้น
แต่ตอนนี้ฝ่ายอสุราเทพที่คิดว่าพ่ายแพ้ไปแล้วกลับมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้า
ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนทำให้พวกมันคืนชีพกลับมาแล้วใครคนนั้นก็คงจะมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ซึ่งจะสั่นคลอนโลกทั้งใบ
แต่ใครกันล่ะที่มีพลังขนาดนั้นจากข้อมูลที่รวบรวมมาหลายปีในร่างของมนุษย์นามซากิริ
อามาเนะ ไม่มีใครที่น่าจะมีอำนาจขนาดนั้นได้
จะอารย-สนธยาหรือเมตไตรยก็ไม่มีทางทำแบบนั้นได้แน่
อย่างไรก็ตามที่น่าตกใจยังมีอีกเรื่อง
“นั่นมันเมอร์คาบาห์ไม่ใช่รึน่ะ”
ซากิริเปลี่ยนเป้าสายตาจากมิตราพุทธะไปจ้องเขม็งที่ปีศาจซึ่งอิงศรเรียกมันออกมา
ปกติก็จำรูปร่างของเมอร์คาบาห์ได้อยู่แล้วแต่ลาพาสก็ยังช่วยยืนยันอีกจึงทำให้แน่ใจ
บวกกับก่อนหน้านี้อิงศรก็เหมือนจะถามถึงโปรเจคที่มีชื่อเดียวกับเทวทูตราชรถ
"หรือว่าที่ถามตอนนั้นจะหมายถึงไอ้นี่กันนะ"
พอพึมพำออกมาแบบนั้นเสียงการต่อสู้ที่แผ่นดินอีกฟากก็เริ่มขึ้น
เสียงคำรามของมนุษย์ต่างดาวเด็กหนุ่มที่ชื่อมิ่งขวัญตนนั้น
"สตาร์เซเบอร์รีเบลเลี่ยน
สตาร์เซเบอร์ลิเบอเรเตอร์!!"
พริบตาต่อมาดาบแสงสีครามก็ลุกไหม้ด้วยเพลิงสีน้ำเงินและยืดรัศมียาวออกไปเกือบสองเท่าตัว
ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่โซ่อาคมของอิงศรหายไป
มันหมดเวลาคงอยู่ตามที่สกิลกำหนดไว้
รวมถึงแผนที่จะใช้ทรัมเป็ตเตอร์ช่วยคลายสะกดก็ล่มไม่เป็นท่า
....
มิ่งขวัญตวัดดาบแต่อิงศรกระโดดถอยไปด้านหลัง
ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่พ้นรัศมีดาบอยู่ดีปลายดาบปาดลงไปบนไหล่ซ้ายของเด็กหนุ่มเฉือนกินเนื้อเข้าไปลึกพอสมควร
"อึก"
อิงศรครางอย่างเจ็บปวดแต่ก็สู้กัดฟันทนแล้วแอ่นตัวหลบให้พ้นวิถีดาบ
ถึงจะฟันเข้าไปในไหล่แล้วแต่ที่นั่นไม่มีใบดาบฝังเอาไว้เป็นแค่ลำความร้อนสูงที่ฟันเข้ามาเท่านั้นจึงไม่ต้องถอนใบดาบให้ยุ่งยาก
รอดจากดาบแรกมาได้อิงศรก็กุมมือลงตรงไหล่ที่ถูกฟัน
บาดแผลร้อนฉ่าจนรู้สึกได้จากมือที่จับลงไป
เนื้อไหล่ฉีกขาดและถูกเผาจนไหม้เกรียมในทันที
ตามปกติได้รับบาดแผลขนาดนี้คงจะกรีดร้องทุรนทุรายไปแล้วแต่ที่ยังอดทนเอาไว้ได้คงเป็นเพราะการเสริมพลังจากเมอร์คาบาห์ช่วยลดทอนความเจ็บปวดไม่ให้ส่งไปที่เส้นประสาทอย่างเต็มที่
แต่ใช่ว่ามันจะเป็นการเพิ่มพลังป้องกันอะไรทำนองนั้นนี่มันก็แค่หลอกตัวเองว่าไม่เจ็บเท่านั้นเองอย่างไรเสียพลังชีวิตก็ลดลงอยู่ดี
อิงศร Lv. 70
[///..3000:7320.....]
พลังชีวิตเหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่ง
เอาเถอะถึงจะหมดก็ยังไม่ตายอยู่ดี...อิงศรคิด
เพราะว่ายังมีฟันเฟืองอยู่อีก
แต่ถ้าปล่อยมันออกมาก็จะอาละวาดแล้วถ้าฆ่ามิ่งขวัญไปก็จะทำให้เฟืองของหมอนั่นอาละวาดไปด้วย
เฟืองสองอันพลังทำลายล้างจะขนาดไหนกันโลกอาจจะเละเทะไปเลยก็ได้
ช่วงที่คิดฟุ้งซ่านอยู่มิ่งขวัญก็จู่โจมเข้ามา
แทงดาบตรงแหน่วมาชนิดที่อ่านออกได้ง่ายแต่ความเร็วนั้นกลับไม่ง่ายที่จะหลบเอาเสียเลย
อิงศรกระโจนตัวหลบออกไปด้านข้างทุ่มสุดแรงจนถอยห่างออกไปเกือบสองเมตรในครั้งเดียวแต่ดาบที่เสริมความยาวกับเพลิงไฟก็ไล่ตามมาจนเฉือนเนื้อที่ขาซ้ายไปได้อีกเล็กน้อย
“อัก...”
ร่างของเด็กหนุ่มล้มลงกระเด้งกระดอนไปบนพื้นอีกสองตลบก่อนจะหยุดอยู่กับที่
***ตอนนี้ขอตัดฉับไว้แค่นี้ก่อนนะครับปั่นไม่ทันเจอกันอีกทีวันพฤหัสเน่อ***
ความคิดเห็น