ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #117 : Login 114: รากเหง้าของมนุษย์ต่างดาว 2

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 339
      12
      5 มิ.ย. 60

    Login 114: รากเหง้าของมนุษย์ต่างดาว 2

     

                "จะบอกว่าขวัญที่เจอก่อนหน้านี้เป็นตัวปลอมงั้นเหรอ...ไร้สาระ"

                อิงศรพูดคำสุดท้ายอย่างมั่นใจ

                “มั่นใจขนาดนั้นเพราะสัญชาตญาณความเป็นพี่บอกอย่างนั้นเหรอ

                สมมติฐานอันมั่วซั่วนั่นมันอะไรกันไม่มีทางที่มนุษย์จะมีพลังพิเศษที่สะดวกสบายแบบนั้นอยู่แล้วแต่ยัยเทวทูตนี่ก็ยังพูดเหมือนไม่ได้ล้อกันเล่น สีหน้าของหล่อนจริงจังบอกมาแบบนั้น

                “เปล่า จะว่ายังไงดีล่ะถ้าเป็นตัวปลอมก็แสดงได้เหมือนจริงเกินไปเรียกว่ารู้ละเอียดถึงขั้นนิสัยกับสันดานน่ะมันเป็นไปไม่ได้หรอก

                อิงศรพยายามหาเหตุผลมาอ้างอิงระหว่างนี้เองเด็กหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่าใบหน้ากำลังแดงก่ำขึ้นเล็กน้อย

                ซากิริยิ้มทันทีที่เห็นแบบนั้น

                “โชเน็นพี่ชายเป็นพวกซึนเดเระสินะ

                “อย่าบอกนะว่าเล็งไอ้นี่ไว้น่ะ

                อิงศรหรีตาจ้องมองหล่อนอย่างไม่วางใจอีก

                แต่ซากิริกลับหัวเราะ

                “ก็ส่วนหนึ่งแต่เรื่องน้ำตาน่ะเป็นเรื่องจริงยังไงก็คิดถึงความเป็นไปได้ที่จะเป็นตัวปลอมเอาไว้ด้วยจะดีกว่านะ

                แล้วพูดแก้ตัวมาแบบนั้น แก้ตัวแน่ๆ ยัยทเวทูตตนนี้นิสัยขี้แกล้งคล้ายกับใครบางคนชอบกล

                รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของยัยจิ้งจอกโผล่ขึ้นมาในหัวทันทีที่พยายามจะนึก

                อิงศรเอามือก่ายหน้าผากแล้วพึมพำอย่างเอือมระอา

                “ยัยมีนาเบอร์สองรึไงฟะ

                ตอนนั้นเอง

                “นี่ฉันข้องใจมานานแล้วล่ะนะเรื่องนามสกุลเธอน่ะตั้งแต่ตอนที่เจอกันในห้องประชุมตอนนั้นเลย

                ซากิริก็พูดแบบนั้นแล้วเปิดหน้าจอออกมาจากไม้เท้าของนรินทร์ที่เอาไปจากเขา

                “โรจน์จุฬาเนี่ยแปลว่าอะไรรู้ไหม

                อิงศรส่ายหน้า

                “ไม่รู้สิบังเอิญว่าไม่เคยถามความหมายกับพ่อแม่ด้วยถ้าเดาตรงๆ เลยก็ดาวที่เปล่งประกายล่ะมั้ง

                “ความหมายมันก็ประมาณนั้นน่ะแหละแต่ถ้าจะให้ตรงกว่านี้ก็คือดาวเหนือแล้วธุวดารกะก็มีความหมายเดียวกันด้วย

                พอได้ยินซากิริพูดแบบนั้นเข้าก็ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าตอนถูกพาตัวไปเข้าที่ประชุมของธุวดารกะ นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้ตัวขจริงของซากิริแล้วเขาก็

                “จะว่าไปตอนนั้นเธอเคยบอกว่าฉันเป็นลูกหลานพันปีอะไรซักอย่างด้วยนี่

                “อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์พันปี

                ซากิริกล่าวแก้ให้ด้วยเสียงห้วนๆ เหมือนกับว่าปุบปับหล่อนก็จะจริงจังขึ้นมาซะอย่างนั้น

                “สำหรับคนที่ไม่ตั้งใจเรียนอย่างเธอคงต้องอธิบายที่มาของมันหน่อยล่ะมั้งอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์พันปีคือดินแดนตามพันธะสัญญาที่ยฮวฮจะมอบให้กับผู้ที่เชื่อมั่นในตัวเขาตามที่ลงไว้ในไบเบิลเลยนั่นแหละ

                พอฟังที่หล่อนพูดจบอิงศรก็แย้งไปว่า

                “เป็นเทวทูตแท้ๆ แต่ยกไบเบิลขึ้นมาพูดซะเองเนี่ยมนุษย์ที่เป็นคนเขียนมันขึ้นมาอย่างพวกฉันควรจะเชื่อดีรึเปล่านะ

                พลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

                เหนื่อยที่จะฟังตำนานหรือศาสนาแล้ว

                อยากจะให้เข้าเรื่องเสียที

                สายตาของเด็กหนุ่มสื่อสารออกไปแบบนั้น ซากิริจึงเริ่มพูดเข้าประเด็น

                “ธุวดารกะเมื่อพันห้าร้อยปีก่อนคืออาณาจักรที่เกิดขึ้นจากการรวบรวมมนุษย์ที่เหล่าสี่อัครทูตเลือกมา ทั้งหมดนั่นก็เพื่อจะเป็นกำลังรบให้กับยฮวฮเพราะเขารู้ดีว่าตัวตนที่ถูกเรียกว่าเจตจำนงอิสระจะไม่มีวันปล่อยเขาไว้แน่

                เจตจำนงอิสระที่ว่านั่นบางทีคงจะเป็นพระเจ้าที่เรียกว่าแอดมินิสเทรเตอร์ซึ่งได้ยินมาจากซีลอร์ด

                “แต่ช่วงสองร้อยปีก่อนหน้านี้เขาก็พ่ายแพ้แล้วสี่อัครทูตก็ถูกเครื่องทำสวนศักดิสิทธ์ควบคุมตัวไว้เพราะหวังจะให้แก้ไขในสิ่งที่ยฮวฮทำลงไปแต่น่าเสียดายพวกเขาหนีไปได้ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็เลยผิดเพี้ยนมาอย่างยาวนาน ช่วงที่สี่อัครทูตหลบหนีอยู่นั่นพวกผู้ศรัทธาที่สังกัดกับอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ก็กระจัดกระจายกันไปเพราะไม่มีการสนับสนุนได้ยินว่ามีส่วนหนึ่งไปข้องแว้งกับพวกบุตรแห่งแสงด้วยแล้วฉันก็คิดว่านั่นคือโรจน์จุฬาในเวลาต่อมา

                ซากิริจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มหวังดูปฏิกิริยา

                แต่อิงศร

                “...”

                ก็ไม่แสดงปฏิกิริยาตอบสนองอย่างที่หวัง ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายจับตาท่าทีอยู่แต่ก็ไม่รู้จะปกปิดอะไรเพราะไม่รู้เรื่องที่หล่อนกำลังพูดเลยซักอย่างเดียว

                ไม่สิเพราะว่ามีอยู่ต่างหากถึงต้องทำเป็นไม่เข้าใจ เพราะมีเรื่องที่รู้มาว่าพ่อกับแม่ของตนทำงานให้กับอารย-สนธยาและเมตไตรยถ้ารวมกับที่พูดมาว่าต้นตระกูลของตัวเองอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวด้วยแค่นี้ก็เป็นเรื่องใหญ่แล้ว

                ซากิริยังคงพูดต่อไป

                “สรุปก็คือเธอน่ะเป็นใครกันแน่มีสายเลือดพันปี มีฟันเฟือง แล้วก็..

                โดยที่มือก็สลับไปมาระหว่างหน้าจอของไม้เท้ากับหน้าจอของหล่อนเอง

                “...พลังประหลาดที่ควบคุมปีศาจได้ดั่งใจนั่นอีก

                บางทีคงหมายถึงพลังของอาคานาร์ อิงศรไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร

                ก่อนอื่นก็ดูจากความต้องการของตัวเองสภาพในตอนนี้มีแต่ข้อมูลที่รู้แค่ครึ่งเดียวถึงรู้ก็เอาไปใช้อะไรไม่ได้แล้วความอยากรู้ในตัวก็ปะทุมาอย่างยาวนานแต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีคนที่รู้คำตอบที่จะให้ถาม

                ทว่า ตอนนี้มันมาอยู่ตรงหน้าแล้ว...คนที่จะตอบคำถามให้ได้ถึงจะเสี่ยงถูกล้วงข้อมูลไปให้กับเมตไตรยก็ตามแต่ความอยากรู้ก็เอาชนะความกลัวได้

                “โครงการเมอร์คาบาห์เคยได้ยินมาบ้างรึเปล่าล่ะ

                ในที่สุดก็พูดออกไปแล้ว

                เขาจ้องมองดวงตาที่เบิกกว้างของซากิริด้วยความรู้สึกพึงพอใจเล็กน้อย เพียงแค่เล็กน้อยจริงๆ

                ปฏิกิริยาแบบนั้นแปลว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องที่ถามไปแต่อีกนัยหนึ่งเขาได้ผูกตัวเองเข้ากับปมปัญหาชนิดถอนตัวไม่ขึ้นไปแล้ว

                อีกฝ่ายเป็นเทวทูต

                เทวทูตที่รับใช้กุมภา ธุวดารกะคนนั้น

                “ไม่นึกเลยว่าเธอที่ไม่ตั้งใจเรียนจะรู้จักเมอร์คาบาห์ด้วยแต่ว่ามันไม่ใช่โครงการนะแต่เป็นพาหนะถึงจะถูกเรียกว่าเทวทูตเหมือนกันแต่ก็ไม่ใช่เทวทูตหรอก

                “หา...

                อิงศรได้แต่เบ้หน้าเมื่อรู้ความจริงว่าที่ซากิริทำเหมือนมีปฏิกิริยาตอบสนองนั่นไม่ได้หมายถึงเรื่องที่คาดหวังเอาไว้แล้วดูจากคำพูดก็เหมือนหล่อนจะไม่รู้เรื่องด้วยแน่ๆ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเสวนาต่อแล้วรีบตามน้ำไปแล้วลืมๆ มันเสียดีกว่า

                “เอ่อ...ก็คงงั้น

                เขาตอบห้วนๆ แล้วการสนทนาก็จบลงแค่ตรงนั้น

                ซากิริหันกลับไปจัดการกับไม้เท้าต่อ อิงศรจึงกลับไปสำรวจผ้าคลุมที่เก็บอยู่ในคลังเช่นกัน

                หลังจากดึงผ้าคลุมออกมาแล้วลองคลำๆ ดูจนหน้าจอกระเด้งตัวเปิดออก ในนั้นมีรายละเอียดเขียนเอาไว้ดูเหมือนจะเป็นไอเทมในเกมแบบเดียวกับผ้าคลุมในชุดเครื่องแบบของเมตไตรย

                จากนั้นฟูซึ่งน่าจะทะเลาะกับราชครูมนุษย์ต่างดาวอยู่ข้างหลังก็พูดขึ้นว่า

                “ดูอะไรอยู่เหรอ

                แล้วเดินเข้ามาหา

                อิงศรหันกลับไปมองเห็นเน็กส์ถูกจูงมาพร้อมกันก็ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่ได้เจอกันอีกครั้งก็ยังไม่ได้พูคุยกับครอบครัวเลยซักหนแล้วมันก็มีเรื่องที่จำเป็นจะต้องให้ทุกคนได้รับรู้เอาไว้

                “ฟูขอถามอะไรหน่อยสิ

                “อะ..อื้ม เอาสิพี่ศรจะถามอะไรล่ะ

                “นายกับมิกซ์น่ะได้ยินเรื่องของสีดาบ้างรึเปล่า

                ฟูส่ายหน้าแล้วพูดตอบในทันที

                “ไม่เลยซักนิดตอนนั้นพี่เขาหนีรอดไปได้รึเปล่านะ

                แววตาของเด็กหนุ่มหมองลงเล็กน้อยคงรู้สึกเป็นกังวล นั่นหมายความว่าพวกครอบครัวเองก็ไมได้รู้เรื่องที่แท้จริงแล้วสีดาเป็นมนุษย์ต่างดาว เป็นราชครูลำดับที่สามและเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกมนุษย์ต่างดาวมาไล่ล่าพวกตน

                “ยัยนั่นน่ะฉันได้เจอแล้วเมื่อไม่นานนี้เอง

                ใบหน้าของฟูสดใสขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น อิงศรจึงพูดต่อไปอีก

                “แต่สีดาน่ะเป็นแค่เปลือกตัวจริงคือราชครูมนุษย์ต่างดาวลำดับที่สามรูบิเดียมแล้วยัยนั่นก็เป็นคนส่งพรรคพวกมาฆ่าพวกเรา

                “ม...ไม่จริงน่ะพี่สีดาน่ะเหรอ

                ฟูทำหน้าไม่เชื่อ ก็แน่ล่ะเป็นใครมาได้ยินคงไม่เชื่อตั้งแต่แรก

                ตอนนั้นเองเน็กส์ก็โพล่งขึ้นมา

                “พ..พี่สีดาเป็นคนไม่ดีเหรอครับ

                “...”

                อิงศรไม่รู้จะตอบอย่างไร ฟูเองก็คงเป็นเหมือนกัน

                ช่วงเวลาที่แยกจากกันมา 3 ปีทำให้เหมือนมีช่องว่างระหว่างพวกเขาเกิดขึ้นสำหรับอิงศรอาจจะไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรนักเพราะรอบตัวเขาในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็มีแต่การต่อสู้กับเล่ห์เหลี่ยมของสิงห์และการเมืองในองค์กรมาอย่างต่อเนื่องจนเริ่มจะชินชากับการถูกหักหลังแต่เจ้าพวกนี้ไม่ใช่

                สามปีซึ่งถูกควบคุมโดยน้ำมือของอารย-สนธยาอาจจะต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจแล้วถ้านั่นคือความรู้สึกว่าเป็นครอบครัวที่ร่วมกันสร้างขึ้นมาล่ะก็อาจจะยอมรับกับความจริงได้ยาก

                อิงศรเอื้อมมือไปแตะลงบนหัวของเน็กส์เบาๆ

                “ไม่เป็นไร ตอนนี้เพวกเราทุกคนก็กลับมาแล้วเพราะงั้นยังไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนั้นหรอก

                เขาพูดพลางส่งยิ้มให้ เด็กชายจึงมีสีหน้าดีขึ้น

                ขณะเดียวกัน...

                ซากิริที่รับเอาไม้เท้าไปก็ลองเชื่อมต่อมันเข้ากับคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่เอาออกมาจากคลังโดยผูกสายสิญจน์ที่ดึงจากกำไลข้อมือซึ่งจะส่งข้อมูลไปที่เครื่องอีกที

                รายละเอียดของแอพลิเคชั่นแสดงขึ้นมาบนหน้าจอแต่พอจะเปิดส่วนที่ควบคุมการทำงานของแอพพลิเคชั่นปีศาจในไม้เท้าเพื่อใช้มันตรวจสอบสถานที่แห่งนี้กลับมีหน้าต่างย่อยแสดงขึ้นมา

                บนหัวของหน้าต่างเขียนเอาไว้ว่า ‘Melchizedek’ รายละเอียดด้านล่างบ่งบอกถึงความเป็นไปได้ที่จะรวมร่างปีศาจออกมาเป็นเมลคีเซเดคโดยใช้ลาพาสของนรินทร์เป็นส่วนประกอบ

                หลังจากอ่านรายละเอียดทั้งหมดหล่อนก็หยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง

                มือกำลังสั่น

                สั่นระริกโดยที่ควบคุมไม่ได้จนต้องยกมือขึ้นมาดู

                จ้องมองมือที่สั่นนั่นพร้อมกับความกังวลที่ฉายขึ้นบนสีหน้า

                “ท่าทางจะไม่เหลือเวลาแล้วล่ะมั้ง

                แล้วพึมพำคำพูดออกมา

                ในตอนนั้นเอง

                “แล้วตกลงว่าเป็นยังไง

                อิงศรก็เดินเข้ามาถาม ซากิริหันกลับไป

                “ร..เรื่องอะไรเหรอ

                พร้อมกับซ่อนมือที่สั่นระริกนั่นไปด้านหลัง

                อิงศรขมวดคิ้วพลางเอียงคอลงเล็กน้อย

                “ก็ที่ขอยืมแอพไปตรวจสอบที่นี่น่ะไปถึงไหนแล้ว

                “อ๋อเรื่องนั่นน่ะเหรอกำลังจะตรวจสอบอยู่พอดีรอซักแปปสิ

                ซากิริตอบจากนั้นจึงกดปุ่มบนโน๊ตบุ๊คแล้วถือเครื่องหมุนตัวไปรอบๆ ให้กล้องที่อยู่บนฝาพับจับภาพสถานที่ เมื่อหมุนครบรอบแล้วหล่อนจึงเริ่มอ่านสิ่งที่เครื่องประมวลมาได้

                “ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นดินแดนที่สร้างขึ้นด้วยพลังงานปีศาจถ้าจะออกไปก็ต้องจัดการตัวต้นเหตุให้ได้ซึ่งเรื่องนั้นเราเพิ่งจะได้แผนที่ของที่นี่มาพอดีเดี๋ยวฉันนำทางเอง

                พูดจบหล่อนก็ออกเดินนำไปที่สะพาน ตัวสะพานเป็นแผ่นหินสีขาวราบเรียบไม่มีราวจับไม่มีขอบกั้นพาดขึ้นไปยังแผ่นดินสีขาวอีกแห่งที่ล่องลอยอยู่สูงขึ้นไปประมาณชั้นสองของบ้าน

                อิงศรรอจนทุกคนเดินขึ้นไปบนสะพานหมดก่อน จนกระทั่งราชครูมนุษย์ต่างดาวเดินขึ้นไปเป็นคนสุดท้ายเขาจึงค่อยเดินขึ้นไปจ่อหลังเธอโดยที่มือก็ถือคันธนูเตรียมเอาไว้

                เพื่อให้แน่ใจว่าพรรคพวกจะไม่โดนทำร้ายจำเป็นต้องมีแต้มต่อที่สามารถจะลงมือฆ่าหล่อนได้ตลอดเวลาทั้งที่กำลังปฏิบัติกับหล่อนในแบบเชลยแต่สีหน้ากลับไม่เป็นทุกข์ร้อนแต่อย่างใด

                พวกเขาเดินข้ามสะพานขึ้นไปยังแผ่นดินถัดไป พอทุกคนเดินขึ้นไปจากสะพานกันหมดจนเหลือแค่อิงศรเพียงคนเดียวและในตอนที่กำลังจะก้าวเท้าลงจากสะพานนั่นเอง

                สะพานกลับส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเริ่มโยกไปมา มันกำลังเคลื่อนตัว เคลื่อนที่ไปทางขวาอย่างเชื่องช้า

                อิงศรฝืนทรงตัวท่ามกลางสะพานที่โยกเยกอย่างสุดกำลังแต่ก็ไม่ไหว เพื่อที่จะไม่ให้ตกลงไปเขาก้มตัวลงกับพื้นแล้วใช้แขนกอดสะพานเอาไว้

                พี่ศร!”

                เสียงของฟูที่ดังมาจากฝั่งห่างออกไปเรื่อยๆ สะพานเริ่มจะเอียงและเอนไปข้างหน้ามากขึ้นมันกำลังกระดกราวกับจะเทเขาลง

                ถ้าตกลงไปจากตรงนี้ล่ะก็มองไม่เห็นแผ่นดินอีกแน่มีแต่ท้องฟ้าว่างเปล่า

                อิงศรกอดรัดสะพานเอาไว้แน่นยิ่งขึ้นไปอีก

                สะพานยังเคลื่อนตัวต่อไปทั้งอย่างนั้นจนกระทั่งเกิดเสียงปะทะดัง กึง ทุกอย่างก็หยุดลงปลายของสะพานได้พาดกับแผ่นดินอีกครั้งแต่เป็นคนละที่กับแผ่นดินที่พวกฟูยืนอีกฟากของสะพานก็ไม่ใช่แผ่นดินเดิมในตอนแรกด้วย

                มันเป็นแผ่นดินตั้งอยู่ตรงระหว่างเส้นทางจากสองที่แรก ฝั่งที่อิงศรกอดอยู่กลายเป็นด้านล่างและฝั่งที่เดินข้ามมาก็กลายเป็นด้านบนพอผ่อนแรงที่กอดสะพานไว้ก็ทำให้ร่างไหลลงไปเอง

                อิงศรกลับมายืนอีกครั้งที่แผ่นดินใหม่พลางหันขึ้นไปมองแผ่นดินที่พวกฟูอยู่กัน

                พี่ศรเป็นอะไรไหม!”

                เสียงตะโกนของฟูดังลงมาแต่เพราะหมอกที่ฝั่งนี้ค่อนข้างหนาแน่นทำให้แทบจะมองไปถึงข้างบนไม่ได้ พอลองมองไปรอบๆ ก็มีแต่หมอกทั้งนั้น

                ช่วยไม่ได้คงจะต้อง

                ไม่เป็นไร ช่วยรออยู่ตรงนั้นจนกว่าสะพานจะเคลื่อนอีกครั้งก็แล้วกัน

                เขาตอบกลับไปอย่างนั้นแล้วก็รอให้สะพานเลื่อน

                “…”

                สะพานยังคงไม่ขยับ จะว่าไปแล้วตอนที่พูดคุยอยู่กับซากิริที่แผ่นดินแรกก็เป็นเวลาค่อนข้างนานแต่สะพานก็ไมได้เคลื่อนตัวเลยในตอนนั้น ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานขนาดไหนมันถึงจะเริ่มเคลื่อนที่อีกหรือบางทีอาจจะมีกลไกอะไรที่จะทำให้มันเคลื่อนไหวกันนะ

                อิงศรวิเคราะห์ไปพลางในระหว่างที่รอ

                “…”

                จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากทางด้านหลังพอหันไปมองตามเสียงก็พบว่าใครคนนั้นคือ

                ขวัญ...

                มิ่งขวัญกำลังเดินออกมาจากกลุ่มหมอกแต่ท่าทางแปลกๆ ถ้าเป็นปกติฝ่ายนั้นควรจะต้องส่งเสียงเรียกมาบ้างแถมยังถือดาบเดินตรงมาทางนี้ด้วย

                น้องชายของเธอที่พวกเราเห็นอยู่ที่นี่อาจจะเป็นตัวปลอมก็ได้

                ซากิริเคยพูดเอาไว้อย่างนั้น

                หรือว่า

                อิงศรพึมพำแล้วกำคันธนูแน่นขึ้น

                สตาร์เซเบอร์

                ได้ยินมิ่งขวัญพูดแบบนั้นพร้อมกับตวัดดาบในมือพริบตาถัดมาใบดาบก็เปล่งประกายระยิบระยับด้วยแสงสว่างแพรวพราวและหายไป...

                ร่างของน้องชายเลือนหายไปด้วยความเร็ว

                ความเร็วระดับมนุษย์ต่างดาว

                ทางซ้าย

                เสียงของปีศาจดังขึ้นในตอนนั้น เสียงของเมอร์คาบาห์บอกให้รู้ทิศทางที่จะถูกโจมตี อิงศรเอื้อมมือขวาไปชักดาบจากฝักเหน็บเอวข้างซ้ายแล้วแกว่งไปตามทางที่บอก

                ดาบปะทะเข้ากับดาบของอีกฝ่ายเสียงโลหะแหลมสูงดังแกร๊ง

                และแล้ว...

                สิ่งที่น่ากลัวว่าจะเกิดขึ้น

                มันก็เกิดขึ้นมาจนได้

                ตอนนี้เขากับน้องชายกำลังประดาบกัน

                จ่ายหนึ่งยูนิท

                มิ่งขวัญพูด ตรงนี้เองถึงเพิ่งเห็นว่ารอบดาบของมิ่งขวัญไม่ได้มีแต่ประกายแสงจากสกิลเท่านั้นแต่มีลูกไฟยูนิทสีทองวิ่งอยู่บนนั้นด้วยกันถึงสามลูก

                ลูกไฟหนึ่งดวงซึมหายเข้าไปในดาบ

                สตาร์เซเบอร์จัสติค

                มิ่งขวัญร่ายสกิล พลันประกายแสงที่ลอยออกมาจากดาบก็เปลี่ยนเป็นสีฟ้าและมีอุณหภูมิสูงขึ้นจนรู้สึกว่าทนอยู่ต่อไปไม่ได้อีก

                อิงศรผละตัวออกห่างในทันทีไม่อย่างนั้นคงจะถูกอุณหภูมิอันร้อนระอุนั่นหลอมจนละลาย พลังชีวิตลดลงไปจำนวนหลักร้อย ประกายแสงเมื่อครู่แปดเผาอย่างรุนแรงจนรู้สึกผิวแทบไหม้นั่นไม่ใช่แค่รู้สึกไปเอง

     

    อิงศร Lv. 70

    [/////7020:7320///..]

     

                ถ้าจำไม่ผิดมันคือสกิลเสริมพลังดาบของคลาสไชนิ่งเอ็นฟอร์ซเซอร์ที่จะช่วยเพิ่มอำนาจทำลายล้างให้กับดาบแสงโดยเพิ่มอุณหภูมิจนเห็นแสงกลายเป็นสีฟ้า

                จะทำอะไรน่ะขวัญ!”

                อิงศรลองพูดดูถึงจะรู้อยู่แล้วว่ามันไร้ประโยชน์ที่จะทำเพราะตอนนี้มิ่งขวัญไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะฟังคำพูดของเขาเลย

                หมอนั่นดูแปลกไปหรือว่าจะเป็นตัวปลอมอย่างที่ซากิริบอก

                มิ่งขวัญหันปลายดาบชี้มาทางนี้แล้วคำราม

                ตายซะเถอะผู้ถูกฟันเฟืองเลือก

     

    ***เมื่อวันเสาร์ลืมลงไปตอนหนึ่งเนื่องจากไรท์ท้องเสีย TwT แอ่วช่วงนี้ซวยติดต่อเป็นเนืองๆ ไปทำอัลไลไว้หว่าเอาเป็นว่าก็กลับมาลงตามปกติไปแทนแล้วกันนะฮับเพราะช่วงเสาร์อาทิตย์แทบจะไมได้ปั่นเลยซักตัวงือๆ ตอนนี้ก็งวดเข้าสู่บทจบของไทเทเนียมแล้วจากนั้นจะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของภาคสองภาคอารย-สนธยาเสียที***

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×