คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #117 : Login 114: รากเหง้าของมนุษย์ต่างดาว 2
Login
114: รากเหง้าของมนุษย์ต่างดาว 2
"จะบอกว่าขวัญที่เจอก่อนหน้านี้เป็นตัวปลอมงั้นเหรอ...ไร้สาระ"
อิงศรพูดคำสุดท้ายอย่างมั่นใจ
“มั่นใจขนาดนั้นเพราะสัญชาตญาณความเป็นพี่บอกอย่างนั้นเหรอ”
สมมติฐานอันมั่วซั่วนั่นมันอะไรกันไม่มีทางที่มนุษย์จะมีพลังพิเศษที่สะดวกสบายแบบนั้นอยู่แล้วแต่ยัยเทวทูตนี่ก็ยังพูดเหมือนไม่ได้ล้อกันเล่น
สีหน้าของหล่อนจริงจังบอกมาแบบนั้น
“เปล่า
จะว่ายังไงดีล่ะถ้าเป็นตัวปลอมก็แสดงได้เหมือนจริงเกินไปเรียกว่ารู้ละเอียดถึงขั้นนิสัยกับสันดานน่ะมันเป็นไปไม่ได้หรอก”
อิงศรพยายามหาเหตุผลมาอ้างอิงระหว่างนี้เองเด็กหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่าใบหน้ากำลังแดงก่ำขึ้นเล็กน้อย
ซากิริยิ้มทันทีที่เห็นแบบนั้น
“โชเน็นพี่ชายเป็นพวกซึนเดเระสินะ”
“อย่าบอกนะว่าเล็งไอ้นี่ไว้น่ะ”
อิงศรหรีตาจ้องมองหล่อนอย่างไม่วางใจอีก
แต่ซากิริกลับหัวเราะ
“ก็ส่วนหนึ่งแต่เรื่องน้ำตาน่ะเป็นเรื่องจริงยังไงก็คิดถึงความเป็นไปได้ที่จะเป็นตัวปลอมเอาไว้ด้วยจะดีกว่านะ”
แล้วพูดแก้ตัวมาแบบนั้น
แก้ตัวแน่ๆ ยัยทเวทูตตนนี้นิสัยขี้แกล้งคล้ายกับใครบางคนชอบกล
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของยัยจิ้งจอกโผล่ขึ้นมาในหัวทันทีที่พยายามจะนึก
อิงศรเอามือก่ายหน้าผากแล้วพึมพำอย่างเอือมระอา
“ยัยมีนาเบอร์สองรึไงฟะ”
ตอนนั้นเอง
“นี่ฉันข้องใจมานานแล้วล่ะนะเรื่องนามสกุลเธอน่ะตั้งแต่ตอนที่เจอกันในห้องประชุมตอนนั้นเลย”
ซากิริก็พูดแบบนั้นแล้วเปิดหน้าจอออกมาจากไม้เท้าของนรินทร์ที่เอาไปจากเขา
“โรจน์จุฬาเนี่ยแปลว่าอะไรรู้ไหม”
อิงศรส่ายหน้า
“ไม่รู้สิบังเอิญว่าไม่เคยถามความหมายกับพ่อแม่ด้วยถ้าเดาตรงๆ
เลยก็ดาวที่เปล่งประกายล่ะมั้ง”
“ความหมายมันก็ประมาณนั้นน่ะแหละแต่ถ้าจะให้ตรงกว่านี้ก็คือดาวเหนือแล้วธุวดารกะก็มีความหมายเดียวกันด้วย”
พอได้ยินซากิริพูดแบบนั้นเข้าก็ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าตอนถูกพาตัวไปเข้าที่ประชุมของธุวดารกะ
นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้ตัวขจริงของซากิริแล้วเขาก็
“จะว่าไปตอนนั้นเธอเคยบอกว่าฉันเป็นลูกหลานพันปีอะไรซักอย่างด้วยนี่”
“อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์พันปี”
ซากิริกล่าวแก้ให้ด้วยเสียงห้วนๆ
เหมือนกับว่าปุบปับหล่อนก็จะจริงจังขึ้นมาซะอย่างนั้น
“สำหรับคนที่ไม่ตั้งใจเรียนอย่างเธอคงต้องอธิบายที่มาของมันหน่อยล่ะมั้งอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์พันปีคือดินแดนตามพันธะสัญญาที่ยฮวฮจะมอบให้กับผู้ที่เชื่อมั่นในตัวเขาตามที่ลงไว้ในไบเบิลเลยนั่นแหละ”
พอฟังที่หล่อนพูดจบอิงศรก็แย้งไปว่า
“เป็นเทวทูตแท้ๆ
แต่ยกไบเบิลขึ้นมาพูดซะเองเนี่ยมนุษย์ที่เป็นคนเขียนมันขึ้นมาอย่างพวกฉันควรจะเชื่อดีรึเปล่านะ”
พลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
เหนื่อยที่จะฟังตำนานหรือศาสนาแล้ว
อยากจะให้เข้าเรื่องเสียที
สายตาของเด็กหนุ่มสื่อสารออกไปแบบนั้น
ซากิริจึงเริ่มพูดเข้าประเด็น
“ธุวดารกะเมื่อพันห้าร้อยปีก่อนคืออาณาจักรที่เกิดขึ้นจากการรวบรวมมนุษย์ที่เหล่าสี่อัครทูตเลือกมา
ทั้งหมดนั่นก็เพื่อจะเป็นกำลังรบให้กับยฮวฮเพราะเขารู้ดีว่าตัวตนที่ถูกเรียกว่าเจตจำนงอิสระจะไม่มีวันปล่อยเขาไว้แน่”
เจตจำนงอิสระที่ว่านั่นบางทีคงจะเป็นพระเจ้าที่เรียกว่าแอดมินิสเทรเตอร์ซึ่งได้ยินมาจากซีลอร์ด
“แต่ช่วงสองร้อยปีก่อนหน้านี้เขาก็พ่ายแพ้แล้วสี่อัครทูตก็ถูกเครื่องทำสวนศักดิสิทธ์ควบคุมตัวไว้เพราะหวังจะให้แก้ไขในสิ่งที่ยฮวฮทำลงไปแต่น่าเสียดายพวกเขาหนีไปได้ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็เลยผิดเพี้ยนมาอย่างยาวนาน
ช่วงที่สี่อัครทูตหลบหนีอยู่นั่นพวกผู้ศรัทธาที่สังกัดกับอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ก็กระจัดกระจายกันไปเพราะไม่มีการสนับสนุนได้ยินว่ามีส่วนหนึ่งไปข้องแว้งกับพวกบุตรแห่งแสงด้วยแล้วฉันก็คิดว่านั่นคือโรจน์จุฬาในเวลาต่อมา”
ซากิริจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มหวังดูปฏิกิริยา
แต่อิงศร
“...”
ก็ไม่แสดงปฏิกิริยาตอบสนองอย่างที่หวัง
ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายจับตาท่าทีอยู่แต่ก็ไม่รู้จะปกปิดอะไรเพราะไม่รู้เรื่องที่หล่อนกำลังพูดเลยซักอย่างเดียว
ไม่สิเพราะว่ามีอยู่ต่างหากถึงต้องทำเป็นไม่เข้าใจ
เพราะมีเรื่องที่รู้มาว่าพ่อกับแม่ของตนทำงานให้กับอารย-สนธยาและเมตไตรยถ้ารวมกับที่พูดมาว่าต้นตระกูลของตัวเองอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวด้วยแค่นี้ก็เป็นเรื่องใหญ่แล้ว
ซากิริยังคงพูดต่อไป
“สรุปก็คือเธอน่ะเป็นใครกันแน่มีสายเลือดพันปี
มีฟันเฟือง แล้วก็..”
โดยที่มือก็สลับไปมาระหว่างหน้าจอของไม้เท้ากับหน้าจอของหล่อนเอง
“...พลังประหลาดที่ควบคุมปีศาจได้ดั่งใจนั่นอีก”
บางทีคงหมายถึงพลังของอาคานาร์
อิงศรไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร
ก่อนอื่นก็ดูจากความต้องการของตัวเองสภาพในตอนนี้มีแต่ข้อมูลที่รู้แค่ครึ่งเดียวถึงรู้ก็เอาไปใช้อะไรไม่ได้แล้วความอยากรู้ในตัวก็ปะทุมาอย่างยาวนานแต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีคนที่รู้คำตอบที่จะให้ถาม
ทว่า
ตอนนี้มันมาอยู่ตรงหน้าแล้ว...คนที่จะตอบคำถามให้ได้ถึงจะเสี่ยงถูกล้วงข้อมูลไปให้กับเมตไตรยก็ตามแต่ความอยากรู้ก็เอาชนะความกลัวได้
“โครงการเมอร์คาบาห์เคยได้ยินมาบ้างรึเปล่าล่ะ”
ในที่สุดก็พูดออกไปแล้ว
เขาจ้องมองดวงตาที่เบิกกว้างของซากิริด้วยความรู้สึกพึงพอใจเล็กน้อย
เพียงแค่เล็กน้อยจริงๆ
ปฏิกิริยาแบบนั้นแปลว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องที่ถามไปแต่อีกนัยหนึ่งเขาได้ผูกตัวเองเข้ากับปมปัญหาชนิดถอนตัวไม่ขึ้นไปแล้ว
อีกฝ่ายเป็นเทวทูต
เทวทูตที่รับใช้กุมภา
ธุวดารกะคนนั้น
“ไม่นึกเลยว่าเธอที่ไม่ตั้งใจเรียนจะรู้จักเมอร์คาบาห์ด้วยแต่ว่ามันไม่ใช่โครงการนะแต่เป็นพาหนะถึงจะถูกเรียกว่าเทวทูตเหมือนกันแต่ก็ไม่ใช่เทวทูตหรอก”
“หา...”
อิงศรได้แต่เบ้หน้าเมื่อรู้ความจริงว่าที่ซากิริทำเหมือนมีปฏิกิริยาตอบสนองนั่นไม่ได้หมายถึงเรื่องที่คาดหวังเอาไว้แล้วดูจากคำพูดก็เหมือนหล่อนจะไม่รู้เรื่องด้วยแน่ๆ
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเสวนาต่อแล้วรีบตามน้ำไปแล้วลืมๆ มันเสียดีกว่า
“เอ่อ...ก็คงงั้น”
เขาตอบห้วนๆ
แล้วการสนทนาก็จบลงแค่ตรงนั้น
ซากิริหันกลับไปจัดการกับไม้เท้าต่อ
อิงศรจึงกลับไปสำรวจผ้าคลุมที่เก็บอยู่ในคลังเช่นกัน
หลังจากดึงผ้าคลุมออกมาแล้วลองคลำๆ
ดูจนหน้าจอกระเด้งตัวเปิดออก ในนั้นมีรายละเอียดเขียนเอาไว้ดูเหมือนจะเป็นไอเทมในเกมแบบเดียวกับผ้าคลุมในชุดเครื่องแบบของเมตไตรย
จากนั้นฟูซึ่งน่าจะทะเลาะกับราชครูมนุษย์ต่างดาวอยู่ข้างหลังก็พูดขึ้นว่า
“ดูอะไรอยู่เหรอ”
แล้วเดินเข้ามาหา
อิงศรหันกลับไปมองเห็นเน็กส์ถูกจูงมาพร้อมกันก็ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่ได้เจอกันอีกครั้งก็ยังไม่ได้พูคุยกับครอบครัวเลยซักหนแล้วมันก็มีเรื่องที่จำเป็นจะต้องให้ทุกคนได้รับรู้เอาไว้
“ฟูขอถามอะไรหน่อยสิ”
“อะ..อื้ม
เอาสิพี่ศรจะถามอะไรล่ะ”
“นายกับมิกซ์น่ะได้ยินเรื่องของสีดาบ้างรึเปล่า”
ฟูส่ายหน้าแล้วพูดตอบในทันที
“ไม่เลยซักนิดตอนนั้นพี่เขาหนีรอดไปได้รึเปล่านะ”
แววตาของเด็กหนุ่มหมองลงเล็กน้อยคงรู้สึกเป็นกังวล
นั่นหมายความว่าพวกครอบครัวเองก็ไมได้รู้เรื่องที่แท้จริงแล้วสีดาเป็นมนุษย์ต่างดาว
เป็นราชครูลำดับที่สามและเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกมนุษย์ต่างดาวมาไล่ล่าพวกตน
“ยัยนั่นน่ะฉันได้เจอแล้วเมื่อไม่นานนี้เอง”
ใบหน้าของฟูสดใสขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
อิงศรจึงพูดต่อไปอีก
“แต่สีดาน่ะเป็นแค่เปลือกตัวจริงคือราชครูมนุษย์ต่างดาวลำดับที่สามรูบิเดียมแล้วยัยนั่นก็เป็นคนส่งพรรคพวกมาฆ่าพวกเรา”
“ม...ไม่จริงน่ะพี่สีดาน่ะเหรอ”
ฟูทำหน้าไม่เชื่อ
ก็แน่ล่ะเป็นใครมาได้ยินคงไม่เชื่อตั้งแต่แรก
ตอนนั้นเองเน็กส์ก็โพล่งขึ้นมา
“พ..พี่สีดาเป็นคนไม่ดีเหรอครับ”
“...”
อิงศรไม่รู้จะตอบอย่างไร
ฟูเองก็คงเป็นเหมือนกัน
ช่วงเวลาที่แยกจากกันมา
3
ปีทำให้เหมือนมีช่องว่างระหว่างพวกเขาเกิดขึ้นสำหรับอิงศรอาจจะไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรนักเพราะรอบตัวเขาในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็มีแต่การต่อสู้กับเล่ห์เหลี่ยมของสิงห์และการเมืองในองค์กรมาอย่างต่อเนื่องจนเริ่มจะชินชากับการถูกหักหลังแต่เจ้าพวกนี้ไม่ใช่
สามปีซึ่งถูกควบคุมโดยน้ำมือของอารย-สนธยาอาจจะต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจแล้วถ้านั่นคือความรู้สึกว่าเป็นครอบครัวที่ร่วมกันสร้างขึ้นมาล่ะก็อาจจะยอมรับกับความจริงได้ยาก
อิงศรเอื้อมมือไปแตะลงบนหัวของเน็กส์เบาๆ
“ไม่เป็นไร
ตอนนี้เพวกเราทุกคนก็กลับมาแล้วเพราะงั้นยังไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนั้นหรอก”
เขาพูดพลางส่งยิ้มให้
เด็กชายจึงมีสีหน้าดีขึ้น
ขณะเดียวกัน...
ซากิริที่รับเอาไม้เท้าไปก็ลองเชื่อมต่อมันเข้ากับคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่เอาออกมาจากคลังโดยผูกสายสิญจน์ที่ดึงจากกำไลข้อมือซึ่งจะส่งข้อมูลไปที่เครื่องอีกที
รายละเอียดของแอพลิเคชั่นแสดงขึ้นมาบนหน้าจอแต่พอจะเปิดส่วนที่ควบคุมการทำงานของแอพพลิเคชั่นปีศาจในไม้เท้าเพื่อใช้มันตรวจสอบสถานที่แห่งนี้กลับมีหน้าต่างย่อยแสดงขึ้นมา
บนหัวของหน้าต่างเขียนเอาไว้ว่า
‘Melchizedek’ รายละเอียดด้านล่างบ่งบอกถึงความเป็นไปได้ที่จะรวมร่างปีศาจออกมาเป็นเมลคีเซเดคโดยใช้ลาพาสของนรินทร์เป็นส่วนประกอบ
หลังจากอ่านรายละเอียดทั้งหมดหล่อนก็หยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง
มือกำลังสั่น
สั่นระริกโดยที่ควบคุมไม่ได้จนต้องยกมือขึ้นมาดู
จ้องมองมือที่สั่นนั่นพร้อมกับความกังวลที่ฉายขึ้นบนสีหน้า
“ท่าทางจะไม่เหลือเวลาแล้วล่ะมั้ง”
แล้วพึมพำคำพูดออกมา
ในตอนนั้นเอง
“แล้วตกลงว่าเป็นยังไง”
อิงศรก็เดินเข้ามาถาม
ซากิริหันกลับไป
“ร..เรื่องอะไรเหรอ”
พร้อมกับซ่อนมือที่สั่นระริกนั่นไปด้านหลัง
อิงศรขมวดคิ้วพลางเอียงคอลงเล็กน้อย
“ก็ที่ขอยืมแอพไปตรวจสอบที่นี่น่ะไปถึงไหนแล้ว”
“อ๋อเรื่องนั่นน่ะเหรอกำลังจะตรวจสอบอยู่พอดีรอซักแปปสิ”
ซากิริตอบจากนั้นจึงกดปุ่มบนโน๊ตบุ๊คแล้วถือเครื่องหมุนตัวไปรอบๆ
ให้กล้องที่อยู่บนฝาพับจับภาพสถานที่
เมื่อหมุนครบรอบแล้วหล่อนจึงเริ่มอ่านสิ่งที่เครื่องประมวลมาได้
“ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นดินแดนที่สร้างขึ้นด้วยพลังงานปีศาจถ้าจะออกไปก็ต้องจัดการตัวต้นเหตุให้ได้ซึ่งเรื่องนั้นเราเพิ่งจะได้แผนที่ของที่นี่มาพอดีเดี๋ยวฉันนำทางเอง”
พูดจบหล่อนก็ออกเดินนำไปที่สะพาน ตัวสะพานเป็นแผ่นหินสีขาวราบเรียบไม่มีราวจับไม่มีขอบกั้นพาดขึ้นไปยังแผ่นดินสีขาวอีกแห่งที่ล่องลอยอยู่สูงขึ้นไปประมาณชั้นสองของบ้าน
อิงศรรอจนทุกคนเดินขึ้นไปบนสะพานหมดก่อน
จนกระทั่งราชครูมนุษย์ต่างดาวเดินขึ้นไปเป็นคนสุดท้ายเขาจึงค่อยเดินขึ้นไปจ่อหลังเธอโดยที่มือก็ถือคันธนูเตรียมเอาไว้
เพื่อให้แน่ใจว่าพรรคพวกจะไม่โดนทำร้ายจำเป็นต้องมีแต้มต่อที่สามารถจะลงมือฆ่าหล่อนได้ตลอดเวลาทั้งที่กำลังปฏิบัติกับหล่อนในแบบเชลยแต่สีหน้ากลับไม่เป็นทุกข์ร้อนแต่อย่างใด
พวกเขาเดินข้ามสะพานขึ้นไปยังแผ่นดินถัดไป
พอทุกคนเดินขึ้นไปจากสะพานกันหมดจนเหลือแค่อิงศรเพียงคนเดียวและในตอนที่กำลังจะก้าวเท้าลงจากสะพานนั่นเอง
สะพานกลับส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเริ่มโยกไปมา
มันกำลังเคลื่อนตัว เคลื่อนที่ไปทางขวาอย่างเชื่องช้า
อิงศรฝืนทรงตัวท่ามกลางสะพานที่โยกเยกอย่างสุดกำลังแต่ก็ไม่ไหว
เพื่อที่จะไม่ให้ตกลงไปเขาก้มตัวลงกับพื้นแล้วใช้แขนกอดสะพานเอาไว้
“พี่ศร!”
เสียงของฟูที่ดังมาจากฝั่งห่างออกไปเรื่อยๆ
สะพานเริ่มจะเอียงและเอนไปข้างหน้ามากขึ้นมันกำลังกระดกราวกับจะเทเขาลง
ถ้าตกลงไปจากตรงนี้ล่ะก็มองไม่เห็นแผ่นดินอีกแน่มีแต่ท้องฟ้าว่างเปล่า
อิงศรกอดรัดสะพานเอาไว้แน่นยิ่งขึ้นไปอีก
สะพานยังเคลื่อนตัวต่อไปทั้งอย่างนั้นจนกระทั่งเกิดเสียงปะทะดัง
กึง ทุกอย่างก็หยุดลงปลายของสะพานได้พาดกับแผ่นดินอีกครั้งแต่เป็นคนละที่กับแผ่นดินที่พวกฟูยืนอีกฟากของสะพานก็ไม่ใช่แผ่นดินเดิมในตอนแรกด้วย
มันเป็นแผ่นดินตั้งอยู่ตรงระหว่างเส้นทางจากสองที่แรก
ฝั่งที่อิงศรกอดอยู่กลายเป็นด้านล่างและฝั่งที่เดินข้ามมาก็กลายเป็นด้านบนพอผ่อนแรงที่กอดสะพานไว้ก็ทำให้ร่างไหลลงไปเอง
อิงศรกลับมายืนอีกครั้งที่แผ่นดินใหม่พลางหันขึ้นไปมองแผ่นดินที่พวกฟูอยู่กัน
“พี่ศรเป็นอะไรไหม!”
เสียงตะโกนของฟูดังลงมาแต่เพราะหมอกที่ฝั่งนี้ค่อนข้างหนาแน่นทำให้แทบจะมองไปถึงข้างบนไม่ได้
พอลองมองไปรอบๆ ก็มีแต่หมอกทั้งนั้น
ช่วยไม่ได้คงจะต้อง
“ไม่เป็นไร
ช่วยรออยู่ตรงนั้นจนกว่าสะพานจะเคลื่อนอีกครั้งก็แล้วกัน”
เขาตอบกลับไปอย่างนั้นแล้วก็รอให้สะพานเลื่อน
“…”
สะพานยังคงไม่ขยับ จะว่าไปแล้วตอนที่พูดคุยอยู่กับซากิริที่แผ่นดินแรกก็เป็นเวลาค่อนข้างนานแต่สะพานก็ไมได้เคลื่อนตัวเลยในตอนนั้น
ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานขนาดไหนมันถึงจะเริ่มเคลื่อนที่อีกหรือบางทีอาจจะมีกลไกอะไรที่จะทำให้มันเคลื่อนไหวกันนะ
อิงศรวิเคราะห์ไปพลางในระหว่างที่รอ
“…”
จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากทางด้านหลังพอหันไปมองตามเสียงก็พบว่าใครคนนั้นคือ
“ขวัญ...”
มิ่งขวัญกำลังเดินออกมาจากกลุ่มหมอกแต่ท่าทางแปลกๆ
ถ้าเป็นปกติฝ่ายนั้นควรจะต้องส่งเสียงเรียกมาบ้างแถมยังถือดาบเดินตรงมาทางนี้ด้วย
‘น้องชายของเธอที่พวกเราเห็นอยู่ที่นี่อาจจะเป็นตัวปลอมก็ได้’
ซากิริเคยพูดเอาไว้อย่างนั้น
“หรือว่า”
อิงศรพึมพำแล้วกำคันธนูแน่นขึ้น
“สตาร์เซเบอร์”
ได้ยินมิ่งขวัญพูดแบบนั้นพร้อมกับตวัดดาบในมือพริบตาถัดมาใบดาบก็เปล่งประกายระยิบระยับด้วยแสงสว่างแพรวพราวและหายไป...
ร่างของน้องชายเลือนหายไปด้วยความเร็ว
ความเร็วระดับมนุษย์ต่างดาว
‘ทางซ้าย’
เสียงของปีศาจดังขึ้นในตอนนั้น
เสียงของเมอร์คาบาห์บอกให้รู้ทิศทางที่จะถูกโจมตี อิงศรเอื้อมมือขวาไปชักดาบจากฝักเหน็บเอวข้างซ้ายแล้วแกว่งไปตามทางที่บอก
ดาบปะทะเข้ากับดาบของอีกฝ่ายเสียงโลหะแหลมสูงดังแกร๊ง
และแล้ว...
สิ่งที่น่ากลัวว่าจะเกิดขึ้น
มันก็เกิดขึ้นมาจนได้
ตอนนี้เขากับน้องชายกำลังประดาบกัน
“จ่ายหนึ่งยูนิท”
มิ่งขวัญพูด
ตรงนี้เองถึงเพิ่งเห็นว่ารอบดาบของมิ่งขวัญไม่ได้มีแต่ประกายแสงจากสกิลเท่านั้นแต่มีลูกไฟยูนิทสีทองวิ่งอยู่บนนั้นด้วยกันถึงสามลูก
ลูกไฟหนึ่งดวงซึมหายเข้าไปในดาบ
“สตาร์เซเบอร์จัสติค”
มิ่งขวัญร่ายสกิล พลันประกายแสงที่ลอยออกมาจากดาบก็เปลี่ยนเป็นสีฟ้าและมีอุณหภูมิสูงขึ้นจนรู้สึกว่าทนอยู่ต่อไปไม่ได้อีก
อิงศรผละตัวออกห่างในทันทีไม่อย่างนั้นคงจะถูกอุณหภูมิอันร้อนระอุนั่นหลอมจนละลาย
พลังชีวิตลดลงไปจำนวนหลักร้อย ประกายแสงเมื่อครู่แปดเผาอย่างรุนแรงจนรู้สึกผิวแทบไหม้นั่นไม่ใช่แค่รู้สึกไปเอง
อิงศร Lv. 70
[/////7020:7320///..]
ถ้าจำไม่ผิดมันคือสกิลเสริมพลังดาบของคลาสไชนิ่งเอ็นฟอร์ซเซอร์ที่จะช่วยเพิ่มอำนาจทำลายล้างให้กับดาบแสงโดยเพิ่มอุณหภูมิจนเห็นแสงกลายเป็นสีฟ้า
“จะทำอะไรน่ะขวัญ!”
อิงศรลองพูดดูถึงจะรู้อยู่แล้วว่ามันไร้ประโยชน์ที่จะทำเพราะตอนนี้มิ่งขวัญไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะฟังคำพูดของเขาเลย
หมอนั่นดูแปลกไปหรือว่าจะเป็นตัวปลอมอย่างที่ซากิริบอก
มิ่งขวัญหันปลายดาบชี้มาทางนี้แล้วคำราม
“ตายซะเถอะผู้ถูกฟันเฟืองเลือก”
***เมื่อวันเสาร์ลืมลงไปตอนหนึ่งเนื่องจากไรท์ท้องเสีย TwT แอ่วช่วงนี้ซวยติดต่อเป็นเนืองๆ ไปทำอัลไลไว้หว่าเอาเป็นว่าก็กลับมาลงตามปกติไปแทนแล้วกันนะฮับเพราะช่วงเสาร์อาทิตย์แทบจะไมได้ปั่นเลยซักตัวงือๆ
ตอนนี้ก็งวดเข้าสู่บทจบของไทเทเนียมแล้วจากนั้นจะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของภาคสองภาคอารย-สนธยาเสียที***
ความคิดเห็น