คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Login 9 : กลายเป็นดั่งปีศาจ
ในคืนหนึ่งอิงศรฝัน
เขาฝันว่าตัวเองยืนอยู่ในที่ๆ ไม่รู้จัก
มันเป็นห้องกว้างเหมือนห้องบอลรูมสำหรับจัดงานเลี้ยงแต่เพดานและผนังถล่มลงมาจนเหลือแต่ซาก ทิวทัศน์ภายนอกที่มองออกไปได้คือท้องฟ้ายามราตรีที่พร่างพรายไปด้วยดวงดาวสุกสกาว
เมื่อหันกลับมาแล้วสังเกตุที่ใจกลางห้องก็จะพบว่ามีโซฟาหลังใหญ่ตั้งอยู่มีโต๊ะกระจกวางข้างกันและบนโต๊ะมีโคมไฟเก่าดวงหนึ่งวางอยู่ทั้งที่สายไฟขาดเหมือนจะมีใครจงใจยกมันมาวางประดับไว้ซะมากกว่า
"สวัสดี ยังจำผมได้ไหม"
ภาพเบี่ยงกลับไปที่โซฟาและที่นั่น...
เด็กหนุ่มผู้มีประกายตาคมกริบใบหน้างดงามเรือนผมสีขาวคาดทับด้วยหูฟังแบบครอบฟองน้ำสวมชุดวอร์มสีแดงและกางเกงยีนส์กำลังจ้องมองมาทางนี้
"..." ไม่มีการตอบกลับจากคุณ
"เห~ จำไม่ได้งั้นเหรอ"
เด็กหนุ่มทำหน้าฉงนแล้วความเงียบก็นั่งรอไปด้วยกันอยู่พักหนึ่ง
"...." คุณเลือกที่จะพูดว่า...นายเป็นใครกัน ?
"ตกลงว่าจำไม่ได้จริงๆ สินะเสียดายจัง"
ประกายตาของเด็กหนุ่มหมองลงเล็กน้อย
"..." คุณเลือกที่จะพูดว่า...ที่นี่ที่ไหน ?
คิ้วข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มเลิกสูงขึ้น
"ที่นี่คือที่ไหน...ทำไมเธอถึงได้ถามแต่อะไรซ้ำไปซ้ำมากันนะคราวก่อนที่เราเจอกันเธอก็ถามผมด้วยคำถามนี้มาแล้วนะ"
"...." คุณเลือกที่จะพูดว่า...ที่นี่คือความฝัน ?
"อะฮะ แต่ที่นี่ไม่ใช่ในความฝันของเธอที่นี่คือห้องรับรองของผมแล้วก็ตั้งชื่อให้แล้วด้วยนะ"
เด็กหนุ่มตรงหน้าคุณชูมือขึ้นสุดแขนทั้งสองข้าง
"ห้องนี้ชื่อว่า Ruined Room (ห้องที่พังแล้ว) มันออกเสียงตลกดีใช่ไหมล่ะ"
แล้วพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก
"..." คุณเลือกที่จะไม่พูดอะไร...
"เธอไม่ค่อยมีอารมณ์ขันเอาซะเลยมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก"
หางตาของเด็กหนุ่มลู่ลงพร้อมกับลดมือที่ชูขึ้นไปเมื่อครู่
"..." คุณเลือกที่จะพูดว่า...ทำไมชั้นถึงมาที่นี่
"เอ๋ ผมเรียกเธอมาทำไมน่ะเหรอ ?"
เด็กหนุ่มปรายยิ้มขึ้นมาทันทีที่คุณถาม
"แน่นอนอยู่แล้วการเฝ้าจับตาดูคืองานของผมและเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนผมให้เธอคำถามได้หนึ่งข้อ"
เด็กหนุ่มจ้องมองคุณเขากำลังรอคำถาม
"..." คุณเลือกที่จะพูดว่า...ชั้นสมควรจะมีชีวิตอยู่จริงๆ เหรอ ? (คุณรู้สึกผิดต่อเรื่องในอดีต)
"เป็นคำถามที่ดี...ทำไมถึงยังมีชีวิตอยู่ นั่นก็เพราะว่าค่าพลังชีวิตของเธอยังไม่หมดลงไงล่ะ มนุษย์ก็เป็นข้อมูลเหมือนกันดังนั้นจึงฟื้นกลับมาได้ขอแค่ข้อมูลหลักยังคงจดจำรูปร่างของตัวเองอยู่ภายในสมองได้ก็จะฟื้นคืนกลับมาได้ทุกเมื่อในทางกลับกันหากสมองถูกทำลายข้อมูลแบคอัพก็จะหายไปด้วยทำให้ไม่สามารถฟื้นกลับได้ในกรณีของค่าHPหมดข้อมูลแบคอัพจะถูกลบทันที เข้าใจรึยังล่ะ"
ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะตอบไม่ตรงคำถาม
"..." คุณเลือกที่จะพูดว่า..เข้าใจแล้ว
เด็กหนุ่มยิ้มให้คุณ ทันใดนั้นทั้งห้องก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกทุกอย่างทยอยเลือนหายไปจนกลายเป็นความว่างเปล่า
@@@@@
เช้าวันเสาร์ที่แสนสดใสภายในห้องของหอพักมหาวิทยาลัย ห้องขนาดกะทัดรัดสำหรับอยู่อาศัยกันสองคน เตียงสองชั้นตั้งชิดผนังฝั่งซ้ายและฝั่งตรงข้ามเป็นโต๊ะอ่านหนังสือทำจากไม้ถัดไปคือตู้เสื้อผ้าสองหลังและถัดไปอีกคือประตูห้อง หน้าต่างหันไปทางทิศตะวันออกอยู่ตรงกลางระหว่างเตียงกับโต๊ะอ่านหนังสือแดดยามเช้าส่องผ่านผ้าม่านสีซีดผืนเก่าเข้าโลมเลียเส้นผมสีดำที่โผล่พ้นผ้าห่มบนเตียงชั้นสอง ความร้อนของแดดทำให้ร่างใต้ผืนผ้าห่มนั้นขยับตัวและเมื่อเสียงปิ๊บสั้นๆ ดังถึงสามครั้ง เด็กหนุ่มผู้มีดวงตาสีมรกตและแววตาอันว่างเปล่าหมองหม่นอยู่แทบจะตลอดเวลาก็ชันร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าขึ้นมาอยู่ในท่านั่งแล้วเรียกหน้าจอเมล์ขึ้นมาจากอากาศที่ไม่มีอะไรเลย
อิงศรใช้มือขยี้ตาก่อนจะสะบัดหัวสองสามทีเพื่อไล่ความง่วงแล้วจึงเริ่มต้นเช็คเมล์ที่มาปลุกเขาในเช้าวันหยุดหลังออกจากโรงพยาบาลได้แค่วันเดียว
======================
Subject: เช้าสวัสดิ์อยู่ไปก็ไลฟ์บอยค่ะ
Form: มีนาตัน
Detail:
ยู้ฮู~ เอเวรี่บอร์ดี้ซัมบายดีบ๊อ
มานี มีนา ขวัญใจไอดอลของทุกท่านเองค่า! (€>_0 *) วิ้ง~
ได้ข่าวว่าเด็กขี้เซายังไม่ตื่นเลยส่งเมเล่ไปปลุกค่ะ เช้านี้ว่างสินะคะ
ไม่สิยังไงก็ว่างอยู่แล้วเพราะงั้นมาจอยกันที่ร้าน Eclipse เถอะค่ะ
มีนาตันรอทุกคนอยู่นะค้า (€>_0 *) วิ้ง~
======================
อิงศรปิดเมล์ฉบับนั้นทันทีแล้วล้มตัวลงกับเตียงพลางหลับตาลงอย่างว่องไว
ในตอนที่กำลังจะหลับไปนั้นเอง...
เสียงเมล์เข้าก็ดังขึ้น...
เด็กหนุ่มเรียกหน้าจอเมล์อีกครั้งโดยไม่ลุกจากเตียงพลางทำตาขวาง
======================
Subject: เรียกประชุมสำคัญ
Form: มีนา ธุวดารกะ
Detail:
มีเรื่องจะคุยด้วยค่ะ นัดรวมพลพร้อมกับกวินทร์ที่ร้านกาแฟ Eclipse วันนี้สิบโมง
กรุณามาด้วยค่ะ
======================
หลังจากอ่านเมล์เสร็จอิงศรกระโดดลงจากเตียงแล้วไปที่หน้าต่างห้องโดยที่ไม่ได้ปิดเมล์เอาตัวแนบกับผนังใช้นิ้วแง้มผ้าม่านออกเล็กน้อย พยายามมองผ่านช่องเล็กๆ ที่เกิดขึ้นโดยไม่ให้มีส่วนใดยื่นเข้าไปในกรอบหน้าต่างเพื่อป้องกันการเกิดเงาที่จะทำให้ผู้สอดแนมจากข้างนอกรู้ตัว ที่ตึกฝั่งตรงกันข้ามนั้นแลเห็นร่างเงาเล็กๆ ปรากฏอยู่บนระเบียงไม่มีท่าทีปกปิดหรือหลบซ่อนตัว ตีความได้สองแง่ คือไร้ฝีมือจนปกปิดร่องรอยไม่มิดหรือไม่ก็จงใจให้รู้ตัว
แล้วเพ่งสายตามากกว่าเดิมจนมองเห็นร่างของผู้สอดแนมชัดเจนและรู้ว่าเป็นอย่างหลัง...
เด็กสาวเรือนผมสีแดงกำลังส่องกล้องส่องทางไกลมาแล้วก็โบกมือให้ราวกับรู้ว่าถูกมองอยู่
"ยัยนั่น..."
อิงศรจิกปากดูเหมือนว่าที่เขาประเมินเรื่องของมีนาเอาไว้จะไม่ได้ผิดไปจากที่คิดนัก
...ยัยนี่เป็นตัวอันตราย...นับตั้งแต่พบกันที่สถานพยาบาลเธอคนนี้โดยรวมแล้วช่างสังเกตไม่สิยัยนี่เป็นมากกว่านั้นไม่ใช่แค่สังเกตุแต่เป็นถึงพวกตามสโตรกคนที่สนใจเพราะเขาถูกจับตามองมาตั้งแต่ตอนที่ย้ายเข้าห้องคิงเลยเสียด้วยซ้ำ มองไปที่เมล์อีกครั้งแล้วบ่นออกมาอย่างช่วยไม่ได้
"ต้องไปสินะ..."
ก่อนจะปิดเมล์แล้วเตรียมจะปิดหน้าจอรายการเมล์ตามหลังไปแต่ก็ต้องชะงักมือเพราะสายตาไปสะดุดเข้ากับเมล์ที่ถูกส่งมาเมื่อวาน เมล์ที่มีหัวข้อว่า '@Clipius Death Timing Delivery' แล้วค้างอยู่แบบนั้นไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเปิดมันขึ้นมาอ่านอีกครั้ง
======================
Subject: @Clipius Death Timing Delivery
Form: GM
Detail:
ตัวจับเวลาตายของเพื่อนคุณมาถึงแล้ว!
เวลาชีวิตที่เหลือของ พิพัฒน์ วัฒนากุล คือ
[12:00:17]
======================
ตัวเลขเวลาที่แนบมากับเมล์ยังคงนับถอยหลังต่อเนื่องจากเมื่อวานที่เปิดดู
"ถ้าอย่างนั้นล่ะก็..."
อิงศรพึมพำกับตัวเองแล้วเลื่อนนิ้วไปจ่ออยู่ที่ตัวเลขนับถอยหลังพลางนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังกดมันลงไปภาพของเพื่อนที่ชื่อถูกเขียนอยู่ในเมล์จะปรากฏขึ้นมา
เพื่อยืนยันเรื่องนั้นเขากดตัวเลขนับถอยหลังนั่น...
เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากดูภาพตายสยองของเพื่อนเป็นครั้งที่สองซึ่งไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย
ตั้งแต่เมื่อวานนั้นเขาติดต่อไปหาเพื่อนคนนี้แต่ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งเมล์ฉบับนี้มาและไม่ใช่เจ้าตัวเป็นคนส่งมาแกล้งกันด้วยดังนั้นการจะปักใจเชื่อเป็นตุเป็นตะแล้วให้บอกไปตรงๆ ก็มีแต่จะทำให้เป็นกังวลเสียเปล่า ในตอนนั้นเอง...
ก็มีเสียงเมล์เข้าดังขึ้นเป็นอีกฉบับจากมีนา ดูเหมือนว่าถ้าเขายังไม่รีบออกจากหน้าต่างแล้วไปแต่งตัวกล่องเมล์จะต้องโดนถมด้วยเมล์ไร้สาระจนล้นเป็นแน่
@@@@@
บนถนนสายหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่สองข้างทางมีแต่ซากอาคารทิ้งร้างกระนั้นก็ยังมีร้านกาแฟอยู่ร้านหนึ่งที่มีแสงไฟเปิดอยู่ป้ายของร้านเป็นแผ่นไม้ที่เอามาแปะทับป้ายเดิม
'Eclipse' คือร้านกาแฟในกลุ่มสวัสดิการกองทัพดังนั้นจึงมาเปิดในค่ายได้พวกของที่ขายก็ขายเป็นเงิน Zen ที่เป็นเงินในระบบเกม เป็นร้านที่มีทั้งที่นั่งในห้องติดเครื่องปรับอากาศและที่นั่งกลางแจ้ง
ในส่วนของที่นั่งกลางแจ้งโต๊ะและเก้าอี้จะเป็นแบบทำจากพลาสติกสีขาวเข้าชุดกัน กวินทร์นั่งอยู่เก้าอี้ตัวข้างๆ โดยที่มีนานั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม สำหรับวันนี้ทั้งสองดูค่อนข้างแปลกตาไปจากทุกทีเพราะสวมชุดไปรเวทเขาเองก็เช่นกัน เสื้อยืดคอวีสีหญ้าเป็นแบบเรียบๆ ไม่มีลวดลายกับกางเกงยีนส์ขายาวสามส่วน
กวินทร์ก็แต่งตัวไม่ได้ต่างจากเขานัก มีที่ไม่เหมือนกันก็แค่เสื้อยืดที-เชิ้ตลายตัวการ์ตูนรูปตุ๊กตาหิมะกับตัวอักษรโก้เก๋สีฉูดฉาดที่เขียนว่า 'Jack Frost'
ส่วนมีนาเป็นเดรสแฟชั่นหน้าร้อนผ้าเนื้ออ่อนสีขาวแขนกุดกระโปรงลายลูกไม้สีชมพูอ่อน การแต่งตัวก็ออกจะน่ารักแบบเด็กผู้หญิงทั่วไป
"ทำไมถึงเรียกมาซะ..." กวินทร์อ้าปากหาวหวอดใหญ่ก่อนจะพูดประโยคถัดไป "เช้าขนาดนี้ด้วยล่ะคร้าบ~”
จากนั้นจึงขยี้ตาให้รู้สึกคลายง่วงกระนั้นแล้วใบหน้าเด็กหนุ่มก็ยังคงงัวเงียครึ่งหลับครึ่งตื่น
"ก็มีเรื่องสำคัญน่ะสิคะเลยต้องเรียกมา" มีนาชี้แจงขณะเดียวกันพนักงานสาวก็ยกกาแฟที่สั่งมาเสิร์ฟพอดีเป็นกาแฟร้อนสองถ้วย
ถ้วยที่ใส่ช้อนมีหัวจับรูปกระต่ายถูกส่งให้มีนาส่วนอีกถ้วยเป็นหัวสิงโตส่งให้กับอิงศรและโกโก้ร้อนอีกถ้วยของกวินทร์ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างพร้อมแล้วมีนาก็เริ่มพูดเปิดประเด็น
"เอาล่ะค่ะที่วันนี้เรียกมาก็เพราะว่า..."
ทันใดนั้นเองก็เกิดเสียงโลหะกระทบพื้นดังขึ้นเป็นช้อนหัวสิงโตที่กระเด็นออกไปจากแก้วของอิงศร มันกระเด้งกระดอนบนพื้นอยู่สองสามครั้งก่อนจะแน่นิ่งไป
“ขอโทษครับขอช้อนเปลี่ยนหน่อยครับ”
อิงศรตะโกนเรียกพนักงานเสิร์ฟที่พึ่งจะหันหลังกลับไป
“อ…ค่ะได้ค่ะจะรีบไปเอามาเปลี่ยนให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
“ถ้ายังไงขอเป็นกระต่ายด้วยนะครับ”
“ได้ค่ะกรุณารอซักครู่นะคะ”
หลังพนักงานเสิร์ฟเดินไปหยิบช้อนคันใหม่มาให้พวกเขาเห็นแวบหนึ่งว่าเธอแอบหัวเราะคิกคักแต่อิงศรไม่ได้ใส่ใจกับท่าทีเช่นนั้น
ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีพนักงานเสิร์ฟชายเอาช้อนคันใหม่และมีหัวจับเป็นรูปกระต่ายมาเปลี่ยนให้
"ขออภัยที่ให้รอนะครับคุณลูกค้า"
"..." อิงศรรับช้อนมาโดยไม่พูดอะไรจากนั้นพนักงานเสิร์ฟก็ยื่นมือมา
"อยากทักทายน่ะชั้นเป็นเจ้าของร้านนี้พวกเธอเป็นทหารเหรอ"
แล้วพูดออกมาอย่างนั้น ดังนั้นอิงศรถึงเข้าใจว่ามือที่ยื่นมานั้นคืออะไรเขาจับมือเจ้าของร้านกลับเป็นการทักทาย ที่จริงก็นึกไม่ถึงอยู่เหมือนกันว่าเจ้าของร้านจะมาเองก็ชายคนนี้ยังดูหนุ่มๆ อยู่เลยอายุน่าจะซักยี่สิบต้นๆ แก่กว่าพวกเขาไม่กี่ปีด้วยซ้ำอิงศรลองสำรวจเจ้าของร้านด้วยคอนแทคเลนส์ดูก็พบว่านอกจากเป็นชายผิวเข้มไว้ผมยาวหยิกมัดรวมไปข้างหลังสวมหมวกแก็ปกับผ้ากันเปื้อนสีเขียวน้ำตาลประดับลายโลโก้ร้านตัวเองแล้วที่เหลือข้อมูลมันก็ขึ้นแค่ว่าชื่อ เอคริปส์ อาชีพพื้นฐาน Speller และอาชีพรองเป็น Cook(คนครัว) ดูเหมือนว่าเจ้าของร้านจะเป็นชาวต่างชาติหรือไม่ก็ลูกครึ่งใช้ชื่อตัวเองเป็นชื่อร้านและใช้อาชีพรองในการดำเนินกิจการไปในตัว
"ครับ" อิงศรตอบคำถามเจ้าของร้านไปด้วยน้ำเสียงทื่อๆ
"เหรอ ที่นี่ไม่ค่อยมีลูกค้าธรรมดาๆ เท่าไหร่เห็นพวกเธอยังเด็กกันอยู่ก็เลยสงสัยน่ะขอโทษที่มารบกวนนะ"
เจ้าของร้านส่งยิ้มทักทายกวินทร์กับมีนายิ้มสีขาวที่มาจากการดูแลฟันเป็นอย่างดีนั้นราวกับจะส่องประกายออกมาจากความมืดจนดูน่ากลัวไปเลย ทั้งคู่ยิ้มเจื่อนๆ เป็นการตอบกลับแต่เจ้าของร้านดูจะไม่ได้สนใจที่จริงเขาไม่รอดูด้วยซ้ำว่าลูกค้ามีปฏิกิริยายังไงก็ชิงหันหลังเดินกลับเจ้าร้านไปซะก่อน
แต่อิงศรไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นเขาใช้ช้อนกระต่ายที่ได้มาคนกาแฟในถ้วยก้วยสีหน้าภาคภูมิใจ จนกระทั่งมีนามองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
จากนั้นเด็กสาวก็ถามอย่างตรงไปตรงมา
“คุณอิงศรเนี่ยชอบกระต่ายหรือคะ”
แล้วอมยิ้มพลางเอียงคอให้ดูน่ารักเหมือนเป็นคุณหนูขี้สงสัยโดยมีสายตาคมกริบของอิงศรจ้องตอบกลับมากวินทร์ซึ่งนั่งอยู่กลางวงได้แต่นิ่งอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออกกับสถานการณ์เช่นนี้ บรรยากาศคุกรุ่นขึ้นมาแบบไม่ทันตั้งตัว
“รสนิยมส่วนตัว...มีปัญหาหรือไง”
อิงศรตอบด้วยน้ำเสียงทื่อๆ
“ก็เปล่าหรอกค่ะแค่คิดว่าคุณน่ะเบี่ยงเบนไปทางนั้นรึเปล่า”
คำพูดที่เหมือนกับทิ้งระเบิดลงบ่อน้ำมันหลุดจากปากมีนาแล้วแต่คนที่ที่มีปฏิกิริยากับคำพูดนี้ที่สุดเห็นจะเป็นกวินทร์ที่หน้าซีดขึ้นมาแบบปุบปับแล้วตอนที่คิดจะพูดออกไปว่า “อย่าแหย่กันเล่นแบบนั้นสิครับ” ก็บังเอิญเห็นรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปากของเด็กสาว
เธอคงจะจงใจยั่วยุตั้งแต่แรก
“ก็เปล่านี่แค่ชอบของที่มันดูน่ารักก็เท่านั้นเองต้องอธิบายแบบที่สมเป็นชายชาตรีให้ฟังด้วยรึเปล่าล่ะ”
“ก็ไม่ได้คะยั้นคะยอขนาดนั้นหรอกค่ะแต่ก็อยากจะฟังเหมือนกันนะคะพ่อกระต่ายตาขวาง”
รอยยิ้มของมีนาชัดเจนขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เหมือนกับยิ้มจิ้งจอกเมื่อรวมเข้ากับดวงตากลมรูปไข่ทำให้มันดูเจ้าเล่ห์กว่าเดิมสิบเท่า แต่อิงศรก็ยังสวนกลับไปแบบรักษาชั้นเชิงได้เป็นอย่างดี
“กระต่ายน่ะรวดเร็วแล้วก็สัมผัสว่องไวแค่นั้นก็เท่พอแล้วสำหรับเด็กผู้ชาย”
อิงศรว่าเสร็จก็ยกถ้วยกาแฟขึ้นซด
“หมายความว่าชอบของที่เหมือนตัวเองอย่างนั้นสินะคะ”
คำพูดของมีนาได้รับการตอบกลับในทันทีที่ถ้วยกาแฟวางลงกับโต๊ะ
“ในโลกที่ล่มสลายไปแล้วแบบนี้ถ้ามีอะไรอยากทำก็รีบทำซะเพราะเราจะตายวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ไม่มีใครรู้ชั้นยึดคติแบบนั้นแหละ”
ให้ทำในสิ่งที่อยากทำ ช่างเป็นคำพูดที่ไม่สมกับเป็นตัวเองเอาซะเลยทั้งที่ตัวเขาพึ่งคิดอยากเดินหน้าต่อเพราะได้เห็นกวินทร์เป็นแรงบันดาลใจมาเองแท้ๆ
“เหรอคะเป็นตาแก่ในร่างเด็กหนุ่มสินะคุณอิงศรเนี่ย”
“เจนโลกก็ไม่ได้แปลว่าแก่ซักหน่อย”
“เรียกตัวเองว่าเจนโลกด้วยแน่ะ”
“ตกลงวันนี้เธอมาทำอะไรกันแน่..."
จู่ๆ อิงศรก็ชะงักไป
"อุก..." แล้วส่งเสียงครางออกมา เขารู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงเอาดื้อๆ มือขวายกขึ้นกุมบริเวณใบหน้าที่กำลังแสดงสีหน้าทรมานออกมามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...เขาได้แต่สบถอยู่ในใจ
มีนาและกวินทร์เหมือนจะพูดอะไรซักอย่างหน้าตาตื่นแต่หูของเขาอื้อไปหมดจนไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้น
...แต่ทว่าอาการปวดหัวและหูอื้อกลับหายไปเอง ตอนนี้เขาได้ยินเสียงทั้งสองคนอย่างชัดเจน
"พี่ศรได้ยินไหมครับ พี่ศร"
เสียงของกวินทร์กำลังถามด้วยความเป็นห่วง
"เป็นอะไรรึเปล่าคะสีหน้าไม่ค่อยดีเลย"
มีนาก็แตกตื่นกับอาการของเขาเช่นกันดูเหมือนว่าเธอจะเป็นห่วงเป็นใยเขาอยู่บ้าง
"ไม่เป็นไรตอนนี้หายแล้วสงสัยกาแฟที่นี่จะแรงไปน่ะ"
อิงศรพูดไปทั้งที่ไม่รู้วาาเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่าด้วยซ้ำแต่ก็ไม่อยากถูกมองด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยให้นานนัก
"แล้วตกลงจะคุยเรื่องอะไรกันแน่ถ้าแค่จะมาแหย่กันเล่นเฉยชั้นกลับล่ะนะ”
“แหม” มีนาทำเสียงเหมือนเสียดายก่อนจะพูดว่า
”ถ้าขืนปล่อยคุณกลับไปทั้งอย่างนี้เลยฉันก็ถูกพี่สิงห์เอ็ดเอาน่ะสิงั้นจะขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันค่ะ”
จากนั้นก็เรียกหน้าต่าง ‘Inventory’ ขึ้นมาแล้วห่อของที่ถูกปิดทับด้วยกระดาษยันต์สีเหลืองลวดลายตัวอักษรเขียนด้วยสีแดงก่ำเหมือนเลือดจำนวนสองห่อก็ถูกหยิบออกมาวางลงบนโต๊ะก่อนจะปิดหน้าต่างไป
“นี่คือเดม่อนแอพอันใหม่ที่นำมามอบให้ในวันนี้ค่ะแล้วก็ฉันมาที่นี่เพื่อจะสอนเกี่ยวกับเดม่อนแอพให้ทั้งสองคนโดยละเอียด”
อิงศรจ้องไปยังห่อของที่เรียกว่าเดม่อนแอพซึ่งถูกเอามาวางบนโต๊ะง่ายๆ เหมือนกับเป็นของธรรมดาๆ
ยังมีคำถามอีกหลายข้อเกี่ยวกับเจ้าสิ่งนี้เท่าที่รู้มาจากกวินทร์ สิ่งนี้คืออาวุธที่ทางกองทัพพัฒนาขึ้นมาเพื่อรับมือกับมนุษย์ต่างดาวถ้าอย่างนั้นของสิ่งนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเกมโลกาวินาศด้วยอย่างแน่นอนแต่หากเป็นแบบนั้นก็ต้องมีข้อมูลเขียนเอาไว้ในระบบด้วยสิ แต่เขากลับหาไม่เจอเลยข้อมูลที่จะชี้ไปยังเดม่อนแอพอะไรนั่น
มีนายังคงชี้แจงต่อ
“แล้วก็ขอแจ้งให้ทราบว่าตั้งแต่วันนี้ไปไม่ต้องไปโรงเรียนอีกแล้วนะคะเพราะเราจะย้ายไปเข้าหลักสูตรฝึกอบรมของกิลด์แทนดังนั้นพวกเราก็จะเป็นทีมเดียวกันแล้วมีนาตันผู้นี้เลยต้องมาสอนคุณหัวหน้าละอ่อนน้อยที่ยังโสดซิงคนนี้ยังไงล่ะคะ”
ไม่ทันไรเธอก็เริ่มหยอดคำพูดยั่วโมโหอีก
"เธอนี่มันพวกขี้แกล้งตัวแม่หรอกเหรอเนี่ย"
"ขี้แกล้งอะไรกันล่ะคะฉันน่ะเห็นว่าคุณไม่ค่อยมีเพื่อนเข้าหาคนไม่เก่งก็เลยช่วยสอนวิธีการพูดแบบที่หาเพื่อนได้เยอะๆ ยังไงล่ะ"
"ชั้นว่าเขาจะพากันหนีเพราะรำคาญมากกว่าน่ะสิ จะว่าไปแล้วหมอนั่นล่ะไม่ได้มาด้วยกันเหรอ"
"ถ้าเมษาล่ะก็ยังงอนอยู่เลยล่ะค่ะบอกว่ายังไงก็รับไม่ได้เลยไม่อยากมา"
พอพูดถึงเรื่องนั้นแล้วมีนาก็ยิ้มออกมาเป็นรอยยิ้มเศร้าๆ
"ที่ปฏิเสธถึงขนาดนั้นเพราะว่าชั้นไม่มีประสบการณ์พออย่างนั้นเหรอ"
“…”
อิงศรถามแต่มีน่ากลับเงียบไป ความเงียบงันน่าอึดอัดปกคลุมโต๊ะอาหาร กวินทร์ที่ถึงจะนั่งอยู่ในวงสนทนาด้วยแต่ก็เหมือนอยู่นอกวงเด็กหนุ่มไม่ได้ปริปากอีกเลยหลังเขาเปิดศึกตีฝีปากกับมีนา
จากนั้นอิงศรก็เลือกที่จะทำลายความเงียบงันนี้
"ถ้าจำเป็นจริงๆ ชั้นเองก็อยากได้การชี้แนะจากพวกเธอเหมือนกันในฐานะรุ่นน้องที่พึ่งเข้ากิลด์ล่ะนะ"
รอยยิ้มของมีนาเปลี่ยนกลับไปเป็นยิ้มสนุกสนานแล้วหล่อนก็พูดว่า
"เห~ นี่ดูออกด้วยหรือคะว่าฉันกับเมษาน่ะ..."
"อืมเคยเป็นสมาชิกกิลด์มาก่อนแล้วสินะแล้วทำไมถึงกลับมาเป็นนักเรียนฝึกทหารอีกล่ะ"
อิงศรชิงพูดตัดหน้าจนกวินทร์ที่เอาแต่ดูถึงกับทึ่งจนอาการออกทางสีหน้า
"เรื่องนั้นสัญญากับเมษาไว้แล้วน่ะค่ะว่าจะให้เขาเป็นคนบอกด้วยตัวเอง"
"งั้นที่หมอนั่นไม่ยอมรับชั้นก็มีสาเหตุมาจากเรื่องนี้ด้วยสิ"
"ก็ประมาณนั้นล่ะมั้งคะ"
"งั้นเหรอ" อิงศรพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
"เข้าใจด้วยเหรอคะ"
"ก็พอเข้าใจอยู่"
"เด็กผู้ชายนี่ก็มีเรื่องที่เข้าใจกันแค่พวกตัวเองด้วยหรือคะเนี่ย"
" ..."
เมื่อเห็นว่ามีนาเตรียมจะพูดแซวอีกจึงหยุดคำพูดของตัวเองไว้แล้วความเงียบงันก็กลับคืนมาอีกครั้ง เพราะความเงียบนี้ทำให้ได้ยินกระทั่งเสียงของสายลมที่กำลังพัด
"เปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่าค่ะเดี๋ยวกวินทร์จะเซ็งไปซะก่อนที่พวกเราสองคนเอาแต่คุยกระหนุงกระหนิงกันไม่เห็นหัวเขาน่ะ"
มีนาพูดเหมือนทนกับความเงียบและบทสนทนาอันน่าอึดอัดต่อไปไม่ไหว
"น...นั่นสิครับ"
กวินทร์พูดจากนั้นก็หัวเราะแหะๆ อย่างน่าสมเพชที่ตลอดการสนทนานั้นไม่ได้เข้าร่วมเลย อย่างไรก็ตามบรรยากาศที่เงียบสงบนี่ก็ช่างตรงกันข้ามกับความเป็นจริงสิ้นดีโลกที่ล่มสลายไปแล้วแต่พวกเขาก็ยังมานั่งคุยเจ๊าะแจ๊ะกันอยู่ในที่อย่างนี้ได้ระหว่างที่เขานั่งคิดไร้สาระอยู่นั้นมีนาก็เริ่มหัวข้อสนทนา
“ตอนนี้ผลประเมินความสามารถของคุณอิงศรและคุณกวินทร์ก็ออกมาแล้วเมื่อเข้ากิลด์ก็จะเปลี่ยนให้ไปใช้ปีศาจที่มีประสิทธิภาพมากกว่าแล้วก็จะขอปีศาจที่ใช้สำหรับฝึกฝนคืนด้วยค่ะ”
“แล้วเก็บไว้ทั้งสองตัวเลยไม่ได้รึไง”
“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะเดม่อนแอพน่ะเป็นของมีค่าใช่ว่าจะได้กันมาง่ายๆ ในการหามานั้นจำเป็นต้องให้ Summoner เป็นคนผนึกวิญญาณของสัตว์เทวะระดับจ่าฝูงเท่านั้นมันจึงเป็นของที่ขาดแคลนมากแถมคนที่เป็นอาชีพ Summoner เองก็มีจำกัดด้วยค่ะ”
“อาชีพ Summoner(นักร่ายอสูร) มีอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ ?”
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนดูเหมือนว่าสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าเดม่อนแอพนี่จะเป็นเรื่องที่แปลกใหม่หรือไม่ก็เป็นความลับแบบสุดๆ ถึงขนาดที่ไม่มีเสียงเล่าเสียงลืออะไรเล็ดลอดออกมาจากกองทัพเลยจะรู้จักหรือได้ยินเกี่ยวกับมันคงมีแต่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกองทัพเท่านั้นหรือเปล่า อิงศรได้แต่ขบคิดคำถามที่ผุดขึ้นมาไม่รู้จักหยุดนี้อยู่ภายในใจ
“เรื่องนั้นเคยได้ยินมาบ้างเหมือนกันที่ว่ามีอาชีพพิเศษที่ทางกองทัพพัฒนาขึ้นมานั่นเป็นเรื่องจริงสินะครับ”
“เฮ้ย! นั่นน่ะนายไปได้ยินมาจากไหน”
อิงศรพูดเหมือนตะหวาดในขณะที่หันไปทางกวินทร์ เด็กหนุ่มชะงักด้วยความตกใจไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมาว่า
“คือมันเป็นข่าวลือที่เล่ากันแบบเรื่องผีสิงอะไรในโรงเรียนน่ะครับประมาณพวกเจ็ดสิ่งลี้ลับของญี่ปุ่นอะไรทำนองนั้น”
“นายเนี่ยอ่านการ์ตูนมากไปแล้วนะ”
“ก็นิดหน่อยครับ แฮะๆ”
กวินทร์หัวเราะกลั้วไปกับคำพูดแก้เขิน ถึงมันจะเป็นคำพูดที่ดูไร้สาระแต่นี่ก็เป็นเครื่องมือยืนยันได้อย่างหนึ่ง ว่าข่าวสารพวกนี้ก็รั่วไหลได้เหมือนกันบางทีคงเป็นตัวเขาเองที่ไม่ได้ให้ความสนใจเพราะก่อนหน้านี้คิดจะเอาแต่หนีอยู่ลูกเดียวพอได้ยินอะไรเกี่ยวกับกองทัพก็เลยทำหูทวนลมไม่ฟังไปเรื่อย
“ถ้าอย่างนั้นจะขออธิบายเกี่ยวกับอาชีพ Summoner ไปพร้อมกันเลยนะคะ”
มีนาพูดอย่างนั้นแล้วก็ตั้งท่าชี้แจง
“ทั้งอาชีพ Summoner และเดม่อนแอพต่างก็เป็นของที่เกิดขึ้นจากการแฮ็คระบบเกมของฝ่ายวิทยาการจนสามารถเอาคอนเทนท์ในเกมมาใช้ล่วงหน้าได้ดังนั้นจึงมีแต่องค์กรเมตไตรยที่มีอาวุธติดตั้งปีศาจใช้กันค่ะ และอาชีพ Summoner คนที่จะเป็นได้นั้นก็จะต้องได้รับความไว้วางใจจากองค์กรเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลเดม่อนแอพอย่างฉัน มีนา ธุวดารกะ คนนี้เองก็เป็นผู้ที่สังกัดอาชีพ Summoner ค่ะ”
ที่หล่อนพูดมาเป็นความจริงทั้งหมดตั้งแต่เจอหน้ากันหนนี้อิงศรก็ใช้คอนแทคเลนส์ที่ติดตั้งระบบตรวจสอบแอบเช็คข้อมูลของเธอจนหมดทุกซอกทุกมุม ข้อมูลที่ได้มานั้นคือเธอมีอาชีพพื้นฐานเป็น Summoner (ผู้ร่ายอสูร) และมีรูปแบบสกิลหลักเป็น Necromancer (หมอผี) แต่ก็ยังมีจุดที่รู้สึกขัดใจอยู่บ้าง
...การที่มีแต่คนขององค์กรซึ่งไว้ใจได้เท่านั้นที่จะได้รับสิทธิ์ในการเป็น Summoner นั่นเท่ากับว่าเมตไตรยกำลังควบคุมโลกอยู่เลยไม่ใช่หรือ การผูกขาดเทคโนโลยีที่จะสู้กับเอเลี่ยนได้ไว้เพียงผู้เดียวเท่ากับเป็นการผูกขาดอำนาจไปในตัวนี่ก็เป็นอีกข้อเท็จหนึ่งที่เน่าเฟะขององค์กรนี้ถึงจะรู้แล้วก็ตามแต่อิงศรก็ไม่ได้สนใจมันนักใน โลกแบบนี้ก็ยังขวนขวายหาประโยชน์กันได้ลงคอก็ไม่มีอะไรจะต้องพูดกันแล้ว
“และก็อาชีพ Summoner นั้นถือว่าเป็นอันตรายกับชีวิตอยู่ไม่น้อยเพราะไม่สามารถสู้ด้วยตัวเองเพียงลำพังเหมือนกับอาชีพอื่นต้องอาศัยปีศาจในการต่อสู้มากกว่าปกติ แถมสเตตัสก็น้อยแล้วยังตกเป็นเป้าของสัตว์เทวะก่อนใครเพื่อนอีกดังนั้นถ้าไม่เตรียมใจยอมรับความเสี่ยงไว้ก่อนก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนอาชีพค่ะ”
ด้านรายละเอียดของอาชีพ Summoner พอจะเป็นที่กระจ่างแล้วแต่ยังมีเรื่องข้องใจอยู่อีกเรื่องหนึ่งอิงศรจึงลองถามดู
“แล้วเดม่อนแอพเนี่ยพวกมนุษย์ต่างดาวมันก็ใช้ได้รึเปล่าแบบว่าถ้าโดนขโมยไปอะไรแบบนั้นน่ะ"
“มนุษย์ต่างดาวไม่สามารถใช้เดม่อนแอพได้ค่ะเพราะพลังปีศาจส่งผลเสียกับพวกมันนั่นคือเหตุผลที่อาวุธติดตั้งปีศาจจะโจมตีพวกมนุษย์ต่างดาวได้รุนแรงกว่าปกติด้วย”
“แต่คราวก่อนที่สู้กับพวกมนุษย์ต่างดาวตอนที่เจ้ากวินทร์ฟันดาเมจมันก็ปกติไม่ได้หวือหวาอะไรแบบที่ว่าเลยนี่”
แล้วจ้องไปทางกวินทร์ เด็กหนุ่มทำหน้าเหมือนนึกออกแล้วเริ่มอธิบาย
“เพราะตอนนั้นผมใช้สกิลปีศาจไปแล้วน่ะครับทำให้พลังปีศาจลดลงต้องรอจนกว่าสกิลจะฟื้นฟูเสร็จปีศาจถึงจะฟื้นพลังสมบูรณ์อีกครั้งตอนที่รอให้พลังปีศาจฟื้นสเตตัสที่ได้เพิ่มจากการติดตั้งปีศาจจะหายไปด้วยน่ะครับ”
แต่มีนากลับพูดขัด
“มันก็มีข้อยกเว้นอยู่เหมือนกันค่ะสำหรับเรื่องนี้จะอธิบายหลังจากแลกเปลี่ยนเดม่อนแอพแล้วนะคะ”
แล้วหล่อนก็ยื่นมือออกมาพร้อมกับพูดว่า “ช่วยส่งอาวุธที่ติดตั้งปีศาจมาด้วยค่ะ”
ดังนั้นอิงศรและกวินทร์ต่างก็หยิบอาวุธติดตั้งปีศาจขึ้นมาวางบนโต๊ะ คันศรและดาบแค่สองอย่างนี้ก็ทำให้โต๊ะแทบจะไม่มีที่ว่างเหลืออยู่อีก มีนาย้ายมือไปที่ธนูของอิงศรแล้วเรียกหน้าต่างระบบขึ้นมาเป็นหน้าต่างที่แสดงรูปอาวุธและค่าสถานะของมัน
Name: Steel Bow
Atk: 40 + 2
St: 0 + 1
Ma: 0 – 2
Vi: 0 - 1
Ag: 0 + 2
Demon App: [Fairy] Troll
มีนาเคาะไปที่หน้าจอประมาณสามครั้งในแต่ละครั้งหน้าจอจะเปลี่ยนไปตามการกดคำสั่งของเธอ ซักพัก ค่าสถานะของคันศรก็เปลี่ยนไปค่าพลังที่เพิ่มขึ้นมารวมไปถึงข้อมูลที่บอกถึงเดม่อนแอพที่ติดตั้งก็พลอยหายไปจากหน้าจอด้วยกัน และเป็นจังหวะเดียวกับที่วัตถุปริศนารูปร่างลูกบาศก์พื้นผิวมันวาวเหมือนโลหะลอยออกมาจากคันศร ทันใดนั้นแผ่นยันต์ซึ่งไม่รู้ว่ามาจากไหนก็ปรากฏขึ้นในมือขวาของมีนาด้วยกันหลายสิบแผ่น
เด็กสาวแปะแผ่นยันต์เหล่านั้นลงไปบนวัตถุลึกลับด้วยความเร็วที่มองตามแทบไม่ทัน แค่ไม่กี่วินาทีวัตถุนั่นก็มีสภาพเหมือนกับห่อเดม่อนแอพที่เธอเอามาและอีกครั้งด้วยความสงสัยอิงศรจึงลองถามดู
“ที่ทำเมื่อกี้นั่นเฉพาะคนที่เป็น Summoner ถึงจะทำได้รึเปล่าน่ะ”
“ไม่ค่ะเมื่อกี้นี้ไม่ว่าใครก็ทำได้ค่ะหลังจากผนึกเดม่อนแอพจากสัตว์เทวะแล้วมันก็เป็นแค่ไอเทมชิ้นนึงที่ใครจะทำอะไรกับมันก็ได้ทั้งนั้นแต่การผนึกเมื่อครู่จำเป็นต้องใช้ไอเทมยันต์เวทมนตร์ขั้นต้นด้วย ต่อไปจะเอาเดม่อนแอพอันใหม่ใส่ให้นะคะ”
ไม่ว่าใครก็ทำได้... อิงศรเชื่อคำพูดนั้นไม่ลงสำหรับคนที่ไม่เคยรับการฝึกฝนมาจะสามารถทำอะไรซับซ้อนขนาดนั้นได้ด้วยหรือเขาได้แต่เก็บคำถามนั่นไว้ในใจเพราะหากถามออกไปไม่พ้นต้องโดนแขวะอีกแน่
จากนั้นมีนาก็เก็บเดม่อนแอพอันเก่าลงหน้าจอ ‘Inventory’ แล้วคว้าเดม่อนแอพห่อยันต์ที่พกมาวางลงไปบนคันศร ต่อมาก็เรียกหน้าจอจากห่อยันต์ใส่คำสั่งลงไปรอจนกระทั่ง แผ่นยันต์คลายตัวออกและวัตถุรูปทรงลูกบาศก์จมลงไปในคันศร ทุกอย่างที่เริ่มขึ้นในขั้นตอนนี้เหมือนกับที่เคยเห็นครูฝึกข้าวหลามทำให้ดูตอนที่ได้เดม่อนแอพมาใหม่ๆ
นี่คือการติดตั้งปีศาจที่ไม่ว่าใครก็ทำได้จริงๆ นั่นแหละต่างกับตอนเอาออกลิบลับ...
“เสร็จแล้วค่ะ” มีนาพูด ดังนั้นเขาจึงหยิบคันศรขึ้นมาดูทันใดนั้นหน้าจอแสดงข้อมูลของอาวุธชิ้นนี้ก็ปรากฏขึ้นค่าพลังที่แสดงเปลี่ยนไปจากเดิมหลายเท่าตัว
Name: Steel Bow
Atk: 40 + 30
St: 0 + 40
Ag: 0 + 50
Demon App: [Sinister] Eligor
“ปีศาจที่คุณอิงศรได้มาคือลางร้ายเอลิกอร์ ผู้ถูกเรียกว่าอสูรสงครามสมกับที่คอยจับตามองเอาไว้จริงๆ เลยนะคะคุณเนี่ย”
ดูเหมือนเธอจะยอมรับออกมาเองแล้วเรื่องที่ตามสโตรกเขาในห้อง
“สโตรกเกอร์เนี่ยเป็นงานอดิเรกของผู้หญิงที่ไม่น่าคบหาด้วยเลยซักนิด”
แต่มีนาหัวเราะใส่คำพูดเหน็บแนมของเขา
“ฮะๆๆ ก็มันเป็นคำสั่งของพี่สิงห์นี่คะ”
“เจ้าสิงห์อีกแล้วเรอะ”
“ใช่ค่ะพี่เค้าน่ะสนใจคุณมากเลยนะคะชอบเอามาพูดอวดอยู่บ่อยๆ จนเมษาอิจฉาเลยล่ะเพราะงี้เมษาก็เลยมองเป็นคู่แข่งทั้งเรื่องนี้แล้วก็เรื่องที่ในทีมมีแค่สองคนที่เป็นนักกีฬาด้วย”
คำพูดนอกเรื่องของมีนาทำให้รู้สึกสนใจขึ้นมานิดหน่อยตรงที่เธอรู้ว่าเขาเป็นนักกีฬา
"นี่เธออย่าบอกนะว่า"
ดูเหมือนเด็กสาวจะรู้ตัวเธอรีบชิงพูดตัดหน้าเขาทันทีว่า
"ค่ะตรวจสอบมาหมดแล้วคุณอิงศรน่ะตอนอายุสิบขวบเคยเป็นนักดาร์ธเยาวชนที่เข้าไปแข่งขันระดับประเทศมาแล้วสินะคะ"
เพราะคำพูดงี่เง่านั่นทำให้ความทรงจำที่คิดว่าลืมไปนานแล้วผุดกลับขึ้นมา...
จำได้ว่าวันนั้นในความทรงจำเป็นวันที่ทีมแข่งดาร์ธของเขาชนะเลิศระดับจังหวะและได้ไปต่อในระดับประเทศ แต่วันนั้นมิ่งขวัญก็มีแข่งฟุตบอลที่โรงเรียนพ่อกับแม่ไปเชียร์น้องชายจนเกือบจะลืมเขาทิ้งไว้ที่สนามแข่งด้วยซ้ำ
อิงศรพยายามสลัดหลุดความทรงจำอันเลวร้ายนั่นแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยในทันที
"จะว่าไปบอกว่าหมอนั่นก็นักกีฬาไม่ใช่เหรอกีฬาอะไรล่ะ"
"มวยค่ะ"
มีนาตอบในทันทีแต่เขาไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกต้องหรือเปล่าจึงถามไปอีกครั้ง
"หา? เมื่อกี้บอกว่ากีฬาอะไรนะ"
"มวยค่ะชกมวยน่ะรู้จักรึเปล่าคะ" แล้วเธอก็ทำท่าชกลมให้ดู
"มวยสากลเหรอ"
"ไม่ใช่ของที่เป็นทางการขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่มวยไทยตามงานวัดนั่นแหละ"
แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองตระกูลธุวดารกะออกจะใหญ่โตแล้วทำไมลูกคุณหนูแบบนั้นจะต้องไปชกมวยตามงานวัดด้วยอาการของเขาแสดงออกทางสีหน้าดวงตาที่เบิกกว้างเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เด็กสาวช่างสังเกตุรู้ได้ในทันทีว่ากำลังคิดอะไรอยู่
"คงตกใจสินะคะแต่ก็ไม่แปลกหรอกเพราะพวกพี่ๆ เองก็คัดค้านหัวชนฝาส่วนท่านพ่อก็เลิกแยแสไปนานแล้วด้วย"
แววตาของเด็กสาวใสปิ๊งราวกับหยดน้ำไม่มีความขุ่นมัวใดๆ ปรากฏให้เห็นแม้จะกำลังพูดว่าครอบครัวของตัวเองนั้นแย่ยังไงบ้างอยู่ก็ตาม
ความเงียบงันมาเยือนวงกาแฟเป็นหนที่สามและมีนาก็เป็นผู้เอ่ยปากทำลายมันอีกครั้ง
"พักเรื่องส่วนตัวไว้ก่อนแล้วมาคุยธุระของเรากันต่อเถอะค่ะเมื่อกี้ถึงที่ว่าหลังใช้สกิลปีศาจแล้วค่าสเตตัสที่เพิ่มให้อาวุธจะหายไปนั่นน่ะฉันบอกว่ามีข้อยกเว้นอยู่ใช่ไหมคะ"
เธอหยุดพูดเพื่อรอปฏิกิริยาของผู้ฟัง อิงศรพยักหน้าส่วนกวินทร์ก็ส่งเสียงครางสั้นๆ
"อือ"
"ปีศาจของคุณอิงศรนี่ล่ะค่ะข้อยกเว้นที่ว่า"
"หมายความว่ายังไง" อิงศรถามคิ้วข้างหนึ่งเลิ่กขึ้นเล็กน้อย
เด็กสาวชูนิ้วชี้ขึ้นมาหนึ่งนิ้วแล้วเริ่มอธิบาย
"เดม่อนแอพน่ะแบ่งออกเป็นสามพวกหลักๆ ค่ะก็คือพวกที่เน้นการใช้สกิลพวกนี้สเตตัสที่ได้เพิ่มจากอาวุธจะไม่ค่อยสูงแลกกับสกิลปีศาจจะมีผลค่อนข้างรุนแรง"
จากนั้นก็เพิ่มนิ้วนางเป็นนิ้วที่สองเป็นการบอกเลขหัวข้อคำอธิบายไปในตัว
"ส่วนประเภทที่สองคือพวกที่เน้นการเสริมพลังไว้ตลอดเวลาและไม่ต้องสั่งใช้งานสกิลแต่ก็จะมีเงื่อนไขการใช้งานแตกต่างกันไปตามชนิดค่ะ"
แล้วนิ้วกลางก็ชูขึ้นมารวมกันเป็นสามนิ้วเท่ากับหัวข้ออธิบายที่สาม
"และประเภทที่สามของคุณอิงศรอยู่ในพวกนี้คือประเภทที่รวมข้อดีของสองพวกแรกเอาไว้สามารถใช้สกิลปีศาจได้โดยที่ไม่สูญเสียพลังที่เสริมให้กับอาวุธค่ะที่กลุ่มนี้ทำได้เพราะเป็นปีศาจระดับสูงแน่นอนว่าการควบคุมมันก็เป็นเรื่องยากด้วยเช่นกัน"
การควบคุมเป็นเรื่องยาก... ดูเหมือนว่าเจ้าเดม่อนแอพอะไรนี่จะไม่ใช่แค่ไอเทมเพิ่มความสามารถธรรมดาซะแล้ว
"เดม่อนแอพมันไม่ทำตามคำสั่งได้ด้วยเหรอ ?"
อิงศรถามในทันทีที่มีนาอธิบายเสร็จ
"มันก็มีโอกาสค่ะยิ่งกับพวกประเภทที่สามแล้วด้วยถ้าผู้ที่ไม่มีความเหมาะสมเอาไปใช้งานอาจจะถูกปีศาจสิงสู่เอาแล้วกลายเป็นอสูรร้ายไปเลยก็ได้"
"แบบนั้นมันอันตรายไม่ใช่รึไง"
"เพราะงั้นถึงต้องมีการตรวจสอบผู้รับเดม่อนแอพอย่างละเอียดก่อนไงคะและคุณอิงศรก็เป็นผู้มีคุณสมบัติที่ว่าค่ะ"
สรุปก็คือน่าจะเป็นอย่างที่คิดทั้งหมดทั้งมวลนี่สิงห์เป็นผู้วางเอาไว้แต่แรกแล้วทุกอย่างถึงได้ดูเหมือนกับว่าอิงศรเป็นผู้มีพลังมีความสามารถเป็นทั้งวีระบุรุษผู้ช่วยเหลือชั้นเรียนจากมนุษย์ต่างดาว ได้เข้ากิลด์ แถมยังได้ปีศาจดีๆ มาใช้...
คิดจะหลอกให้หลงระเริงกับพลังอำนาจอย่างนั้นสิ...
แต่เรื่องแค่นี้ทำไมจะมองไม่ออกและเรื่องที่มองออกนี่สิงห์ก็คงจะคาดการณ์ไว้แล้วเพราะว่าชายคนนั้นเป็นตัวอันตรายที่รู้ทุกย่างก้าวของเรา
"พี่ศรนี่สุดยอดไปเลยหัวก็ดีสู้ก็เก่งแถมยังเป็นที่ถูกใจของปีศาจด้วย"
เสียงชื่นชมของกวินทร์คือตัวอย่างที่ชัดเจนสำหรับอธิบายเรื่องนี้เลยถ้าเขาเป็นเจ้าบ้าที่คิดอะไรตื้นเขินอย่างนั้นก็คงจะดีใจกับละครจัดฉากพรรค์นี้
"..." อิงศรไม่ได้พูดตอบกลับไปเขาหันไปทางมีนาแล้วถามคำถาม
"ของชั้นเสร็จแล้วใช่มะ"
"ค่ะ" เด็กสาวตอบด้วยน้ำเสียงสดใส จากนั้นอิงศรก็เก็บคันธนูเข้าหน้าจอ 'Inventory' ไปและไม่ได้เริ่มบทสนทนาอะไรกับเธออีกเพราะเขาได้รู้ทุกสิ่งอย่างครบถ้วนแล้วทั้งเรื่องเดม่อนแอพและการเข้าประจำการกิลด์
ดังนั้นมีนาจึงเริ่มพูดถึงเดม่อนแอพของกวินทร์บ้างเธอหยิบเดม่อนแอพห่อยันต์ที่พกมาไปวางบนดาบของกวินทร์ทันทีโดยที่ยังไม่ได้ถอนปีศาจตัวเก่าออกมาก่อน
"เดี๋ยวก่อนนะครับยังไม่ได้เอาแจ็คโอ ออกจากดาบเลยนะ"
กวินทร์แย้ง แจ็คโอที่พูดนั่นคงจะหมายถึงแจ็คโอแลนเทิร์นแบบย่อชื่อลง มีนาปรายยิ้มขึ้นทันทีที่ถูกทักท้วงแล้วเธอก็เริ่มอธิบายถึงเหตุผลที่ทำแบบนั้น
"ปีศาจที่จะมอบให้คุณกวินทร์คือภูตแห่งเหมันต์แจ็คฟรอสค่ะเป็นชนิดภูตเหมือนกับแจ็คโอแลนเทิร์นที่คุณมีอยู่แล้ว และสำหรับผู้ที่ใช้ได้แต่ปีศาจระดับต่ำจึงอนุญาตให้ถือครองปีศาจได้พร้อมกันสองตนค่ะ"
ได้ยินดังนั้นกวินทร์ก็เบะปาก
"หมายความว่าผมกากเหรอเนี่ย ว้า~"
แล้วส่งเสียงครางด้วยความเสียดายคงเพราะตั้งความหวังเอาไว้ว่าจะได้ปีศาจระดับสูงเหมือนกับอิงศร เด็กหนุ่มถึงได้เม้มริมฝีปากล่างเหมือนอยากจะร้องไห้
"แหมๆ อย่าพึ่งชิงถล่มตัวซะขนาดนั้นสิคะคนที่ใช้ปีศาจพร้อมกันสองตัวขึ้นไปเนี่ยถือเป็นผู้มีความสามารถเช่นกันค่ะเพราะถือว่าเข้ากับปีศาจได้หลากหลายกว่าผู้อื่น"
มีนาพูดไปพลางขณะที่ติดตั้งเดม่อนแอพลงบนดาบ ส่วนกวินทร์พอได้ฟังคำพูดที่เหมือนกับจะปลอบใจนั่นก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแฉ่งทันควัน เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่จะมองออกได้ง่ายขนาดนี้เพราะกวินทร์ยังอายุแค่สิบห้าถือเป็นคนที่เด็กที่สุดในกลุ่มหรือบางทีอาจจะเด็กที่สุดในกิลด์ขับไล่เลยก็ได้ แต่หมอนี่ก็ยังมาเข้ากองทัพ เข้ากิลด์ได้ทั้งที่อายุแค่นี้ดังนั้นคงจะมีความสามารถอะไรซ่อนอยู่อย่างแน่นอนเรื่องที่ยืนยันทฤษฎีนี้ได้ก็คือเขาถูกหมอนี่ช่วยชีวิตเอาไว้ตอนที่สู้กับมนุษย์ต่างดาวคราวก่อนความกล้าที่จะกลับมาเผชิญหน้าศัตรูที่แข็งแกร่งเพื่อเพื่อนที่ตกอยู่ในอันตราย...
เป็นตัวตนในอุดมคติเลยก็ว่าได้ถึงหนนี้จะแค่โชคดีที่พวกครูฝึกมาช่วยทันเวลาพอดีแต่หากมีความกล้าในร่างที่ไร้พลังแบบนั้นมันก็เป็นได้แค่ความบ้าดีเดือดเท่านั้น
"ต้องคอยดูแลอีกแล้วสินะ..." อิงศรพึมพำกับตัวเองโดยไม่ให้ใครได้ยิน
ในเวลาเดียวกันนั้นเองเดม่อนแอพของกวินทร์ก็ติดตั้งเสร็จเป็นที่เรียบร้อยหน้าต่างแสดงข้อมูลของอาวุธปรากฏขึ้นตอนที่กวินทร์จับดาบ
Name: Tsukishiro
Atk: 52
St: 0 + 5
Ma: 0 – 8
Vi: 0 - 3
Potential: Resist-Fire 30%
Demon App: [Fairy] Jack O’Lantern
[Fairy] Jack Frost
"สเตตัสดูไม่ค่อยเปลี่ยนเลยนะครับเนี่ย"
กวินทร์พูดหลังจากเห็นค่าสถานะของอาวุธที่ติดตั้งเดม่อนแอพลงไปถึงสองอัน อิงศรที่ไม่เคยเห็นค่าสถานะอาวุธของกวินทร์มาก่อนก็ยังรู้สึกแปลกใจที่เห็นค่าพลังแทบไม่ต่างอะไรกับตอนที่เขาติดตั้งโทรลเลย
"ต้องสลับลำดับปีศาจที่ใช้งานก่อนน่ะค่ะในอาสุธอันเดียวกันถ้าติดตั้งเดม่อนแอพมากกว่าหนึ่งมันจะทำงานทีละอันดังนั้นค่าพลังไม่ได้นับรวมกันหรอกนะคะ"
มีนาชี้แจงจากนั้นก็เอื้อมมือไปเคาะที่หน้าจอแสดงสถานะเพื่อแสดงตัวอย่างให้เสร็จสรรพ ตัวเลขบนหน้าจอเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่
Name: Tsukishiro
Atk: 52
Ma: 0 + 10
Ag: 0 + 10
Potential: Resist-Water 30%
Demon App: [Fairy] Jack Frost
[Fairy] Jack O’Lantern
ลำดับของปีศาจที่แสดงในส่วนของเดม่อนแอพถูกสลับไปแล้วค่าพลังของอาวุธก็เหมือนจะเพิ่มมากขึ้นแต่ก็แค่เล็กน้อย กวินทร์จึงยิ่งตัดพ้อเข้าไปอีก
"เหมือนไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่เลยนะครับเนี่ย"
"ก็เพราะว่าของคุณกวินทร์เป็นปีศาจในกลุ่มประเภทที่หนึ่งซึ่งถนัดด้านสกิลปีศาจมากกว่ายังไงล่ะคะ"
หลังจากฟังที่มีนาพูดไปแล้วก็ไม่รู้ว่าคิดอย่างไรแต่จู่ๆ กวินทร์ก็ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"แล้วถ้าเทียบกับของพี่ศรล่ะครับ"
"คงถูกนายตาขวางฆ่าตายไม่รู้กี่รอบเลยล่ะค่ะ"
มีนาให้คำตอบในทันทีเหมือนไม่ต้องคิดพลางหัวเราะคิกคักตบท้ายคำพูด กวินทร์มองมาทางเขาจากนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนกลืนน้ำลายแล้วก็ทำปากยื่นพลางพูดว่า
"ยังไงก็เถอะมีตั้งสองตัวถ้าสู้ดีๆ ล่ะก็"
แต่อิงศรก็สวนใส่คำพูดนั้นไปว่า
"ชั้นไม่ได้อยากแข่งกะนายซักหน่อย"
แล้ววินาทีนั้นเองเขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาไม่พอใจของกวินทร์ ตอนนั้นเองมีนาก็พูดแทรกวาทะทางสายตาของพวกเขา
"เรื่องลำดับชั้นของปีศาจมันก็เยอะจนอธิบายกันไม่หวาดไม่ไหวเพราะงั้นจะขอจำกัดวงแคบลงมาหน่อยเหลือแค่ในกลุ่มของพวกเราสี่คนก็แล้วกันนะคะ"
จากนั้นก็หันเหสายตาไปทางอิงศรก่อน
"ลำดับชั้นปีศาจของคุณอิงศรกับเมษาถึงจะต่างชนิดกันแต่ก็จัดอยู่ในระดับเดียวกันและของฉันจะต่ำกว่านั้นลงมาหน่อยแต่ก็ยังสูงกว่าของคุณกวินทร์ค่ะ"
ตอนนั้นเองกวินทร์ก็ยกมือขึ้น
"เอ่อคือว่า...ไม่ต้องใช้คำสุภาพกับผมก็ได้มั้งครับยังไงพี่มีนาก็เป็นรุ่นพี่แถมอายุก็มากกว่าผมด้วย"
แล้วพูดอย่างกระอักกระอ่วนบางทีคงถึงขีดจำกัดแล้วส่วนตัวอิงศรก็รู้สึกว่ามันจั๊กจี้ที่ถูกเรียกด้วยคำสุภาพอย่างคุณและอะไรที่เป็นทางการซึ่งมันจัดกับนิสัยของยัยนี่จนตอนนี้ก็ชักจะไม่รู้เสียแล้ว่าอันไหนคือนิสัยจริงๆของหล่อนกันแน่หรืออาจจะทั้งคู่เป็นเพียงการแสดงแล้วยัยนี่ก็เป็นคนมืดมนที่หาความเป็นตัวเองไม่เจอแต่จะอย่างไหนก็ไม่เกี่ยวกับเขาอยู่แล้วดังนั้นอิงศรนึงไม่ได้ใส่ใจ
"เหรอคะ แต่ฉันชินแล้วล่ะค่ะขอใช้แบบนี้ดีกว่า"
สุดท้ายมีนาก็ไม่ได้เปลี่ยนวิธีพูดแล้วพวกเขาก็แค่แลกกันบันทึกชื่อลงรายชื่อเพื่อนไว้สำหรับติดต่อหากันก่อนจะแยกย้ายไปทำธุระของแต่ละคน แต่ทว่าเรื่องราวที่แท้จริงในวันนี้พึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
เสียงเมล์เข้าดังขึ้น...
อิงศรเปิดเมล์ขึ้นมาอ่าน
======================
Subject: ภารกิจเร่งด่วน
Form: สิงห์ ธุวดารกะ
Detail:
คืนนี้มีภารกิจคุ้มกันหน่วยส่งเสบียงอาจจะกะทันหันไปหน่อยเตรียมตัวให้พร้อมแล้วมาพบที่ห้องธุรการอาคารอเนกประสงค์ที่ ๑ ตอน 18.30 น.
======================
ภารกิจเร่งด่วนหลังออกจากโรงพยาบาล...
ในเวลาแบบนี้เนี่ยนะแถมยังให้ไปคุ้มกันหน่วยขนเสบียงอีก...
เดี๋ยวก่อน....
ความรู้สึกเหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็นวาบขึ้นมาจากแผ่นหลัง เมื่อความทรงจำที่เกือบจะลืมเลือนไปแล้วผุดขึ้นมาในหัว...
ก็หน่วยขนเสบียงนั่นเป็นหน่วยของพิพัฒน์เพื่อนซึ่งถูกบอกทางเมล์ว่าจะตายวันนี้แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ภารกิจไปคุ้มกันราวกับเป็นเรื่องบังเอิญ เรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว อิงศรเช็คเวลาชีวิตของเพื่อนที่เหลืออยู่อีกครั้ง
เวลาชีวิตที่เหลือของ พิพัฒน์ วัฒนากุล คือ [09:35:01]
"อีกเก้าชั่วโมงจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่" เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
@@@@@
ค่ำคืนนั้นพระจันทร์ขึ้นเต็มดวง ในโลกที่ล่มสลายเมืองในยามราตรีไม่ต่างอะไรกับป่าคอนกรีตดีๆ เมื่อไร้ซึ่งแสงจากเทคโนโลยีมันก็ถูกความมืดกลืนกิน เหลือเพียงกลิ่นที่ไม่ได้ถูกช่วงชิงไป กลิ่นเน่าของน้ำเสียและเสียงที่ความมืดไม่อาจปิดกั้นไว้ เสียงไหลเชี่ยวของกระแสน้ำจากเบื้องล่าง
ทั้งที่แสงจันทร์ไม่น่าจะช่วยอะไรได้ในเขตที่มีตึกสูงบดบังทิวทัศน์แต่ในคืนนี้มันกลับส่องสว่างยิ่งกว่าที่ใดๆ แสงสีแดงเข้มและความร้อนที่แผ่ออกมาจากแสงเหล่านั้น
กลิ่น...มีกลิ่นไหม้จากควันไฟลอยตลบอบอวลและกลิ่นคาวของเลือด
เสียง...เสียงปะทุแตกของวัสดุที่เป็นไม้ในอาคารบางหลังกำลังถูกไฟเผาผลาญไหนจะยัง มีเสียงกรีดร้อง เสียงร้องขอชีวิต เสียงตะโกนและร่ำไห้
แต่ที่ดังยิ่งกว่าเสียงใดๆ คือเสียงหัวเราะ…เป็นเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ภาพแห่งไฟสะท้อนบนดวงตาสีมรกตแววตาที่เคยเย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นความชั่วร้าย
เพราะเขาใช้พลังของปีศาจถึงได้...
Login 9 : กลายเป็นดั่งปีศาจ
ความคิดเห็น