ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #105 : Login 102: เหยื่อ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 378
      17
      26 เม.ย. 60

    Login 102: เหยื่อ

     

                รูบิเดียมเดินข้ามประตูหินอ่อนที่เพิ่งจะผลักมันออกด้วยกำลังมหาศาลของมนุษย์ต่างดาว

                เบื้องหลังบานประตูเป็นห้องสมุด ตู้หนังสือขนาดใหญ่เรียงรายกันอย่างกับวงกตแต่ละชั้นอัดแน่นไปด้วยหนังสือที่เขียนตัวอักษรเป็นภาษาฮีบรู

                รูบิเดียมเดินตรงไปยังซอกหลืบหนึ่งระหว่างขั้นหนังสือด้วยกัน มองไปบนสันปกของหนังสือที่หันออกมาจากชั้นแล้วแปลกใจว่าทำไมพวกมันถึงไม่มีฝุ่นจับเลย ที่จริงไม่ใข่แค่หนังสือแม้แต่พื้นห้องหรือชั้นหนังสือเองก็ไม่มีฝุ่นให้เห็นบางทีคงจะเป็นเพราะที่นี่คือมิติพิเศษที่พวกเทวทูตสร้างขึ้นมาเก็บข้อมูลสำคัญไว้ในรูปของหนังสือที่ผุพังได้ง่ายจึงทำให้มันมีอำนาจบางอย่างที่จะเก็บรักษาพวกมันให้ก้ามข้ามกาลเวลานับพันปีมาได้

                รูบิเดียมไล่สายตาไปตามขั้นต่างๆ แล้วถอนหายใจกับจำนวนของมัน

                "ท่าทางจะใช้เวลาตรวจสอบนานเอาเรื่องนะเนี่ย"

                จากนั้นจึงเปิดหน้าจอสำหรับสื่อสารขึ้นมา

                '...'

                ปลายทางที่รับสายคือแฟรนเซียมคนที่มอบอาวุธติดตั้งอสุรากับหน้าที่ค้นหาที่ตั้งของเทอมินัลไปอาคาชิกเรคคอร์ดให้เธอมาจัดการ

                "ฉันเข้ามาข้างในได้แล้วแต่คงต้องใช้เวลาค้นหานานน่าดูล่ะ"

                'แล้วอาวุธอสุราที่ให้ไปนั่น...'

                แฟรนเซียมถามราวกับสนใจเรื่องอาวุธมากกว่าภารกิจ

                อาวุธติดตั้ง 'อสุรา' ที่มีพลังเหนือกว่า 'ปีศาจ'

                "ใช้ดูแล้วพลังยอดเยี่ยมมากไม่นึกเลยว่าจะเป็นของที่เคยอยู่ในเศษเฟืองอันเล็กกระจิ๋วแค่นั้นมาก่อน จริงสิพูดถึงเฟืองแล้วที่อุตส่าห์จัดฉากฆ่านายจนลากตัวมกรออกมาจัดการได้เนี่ยทั้งหมดก็เพื่อเฟืองของสองพี่น้องคู่นั้นแต่ไอ้เจ้าคนที่แอบอ้างเป็นอารย-สนธยาแล้วมาประกาศเรื่องโลกจะถูกลบหายไปนั่นน่ะคนรู้จักของนายหรือไง"

                'ใครมันจะไปรู้จักกันล่ะ ขนาดว่าตัดอมฤตไปแล้วยังบังคับให้ระบบทำงานได้ขนาดนั้นคนที่ทำมันคงมีพลังอำนาจที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ'

                คนที่แฟรนเซียมเองก็ยังไม่รู้จักแต่มีพลังมากขนาดที่ว่านี่บางทีอาจจะเป็นคนใกล้ตัวกว่าที่คิด

                "หรือว่าจะเป็นฝีมือของไฮโดรเจน"

                รูบิเดียมลองถามดู

                'ไม่มีทาง เจ้านั่นไม่มีพลังขนาดนั้นแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเข้ามาก้าวก่ายแผนของเราด้วยแต่เรื่องนี้จะต้องทำการสืบอย่างจริงจังอีกทีแต่หลังจากทดลองเสร็จแล้วล่ะนะ'

                พอได้ยินแบบนั้นรูบิเดียมก็สูดลมหายใจเข้าแล้วพ่นออก

                กองหนังสือจำนวนมหาศาลเบื้องหน้ายากจะหักห้ามไม่ให้คิดท้อใจแต่มันก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องควานหาไปทีละเล่มเพราะในห้องไม่มีป้ายหรือเครื่องหมายบ่งบอกว่าหนังสือจะถูกแยกเป็นหมวดหมู่เอาไว้เลย พวกมันแค่ถูกจับโยนใส่ชั้นหนังสือไว้เท่านั้น บางทีพวกเทวทูตคงไม่ได้สนใจจะอ่านกันหรือถ้าจะมีคนที่รู้ว่าเล่มไหนอยู่ตรงไหนก็คงจะมีแค่ซาคคิเอลหรือซากิริที่เป็นบรรณารักษ์ของห้องสมุดนี้

                "งั้นระหว่างที่ฉันกำลังหาของสำคัญต่อการทดลองที่ว่านั่นนายก็ไปจัดการเรื่องอื่นรอก็แล้วกัน"

     

                ...

     

                ขณะเดียวกันที่ฝั่งของแฟรนเซียม...

                "ฝากด้วยล่ะ"

                สิงห์พูดตอบใส่หน้าจอสื่อสารที่ปลายสายเป็นกุมภา ไม่สิรูบิเดียมต่างหากแล้วก็ตัดสายทิ้งไปก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับลูกน้อง

                ลูกน้องที่ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งแล้วหนีมาหาเขาถึงที่นี่เพื่อจะเปิดโปงตัวจริงของราชาของมนุษย์ต่างดาว

                "แล้วแกมาทำอะไรที่นี่จำได้ว่าสั่งไปแล้วนะนอกจากซีเซียมแล้วให้ไปเตรียมกำลังสำหรับบุกโจมตีเมตไตรยไว้"

                สิงห์ หรือ แฟรนเซียมพูดพลางจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา

                แต่ก็ข่มขวัญโพแทสเซียมไม่ได้เจ้านั่นไม่แม้แต่จะสะอึกกับจิตสังหารด้วยซ้ำแถมยังยิ้มแป้นหน้าบานชวนหงุดหงิด

                "ก็แหมท่านซีเซียมเล่นพาตัวซุงโซกับซุงลี่ไปโจมตีอารย-สนธยาทั้งคู่แถมตอนนี้ซุงลูลู่ก็ไม่รู้หายไปไหนอีกเหลือผมคนเดียวจะให้ไปคุมกองทัพของราชครูท่านอื่นด้วยมันก็ไม่ไหวนา"

                โพแทสเซียมพูดพลางยักไหล่

                "ถ้างั้นก็กลับไปซะสิบอกว่าเป็นคำสั่งของฉันก็ได้แล้วรีบเตรียมทัพซะ"

                แฟรนเซียมสั่งออกไปอย่างนั้นแต่โพแทสเซียมกลับส่ายหน้าพลางทำเสียงจิกจักในปาก

                "จุ๊ๆๆ ตอนนี้มันมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นอยู่อีกไม่ใช่รึไง"

                อีกฝ่ายพูดอย่างนั้นแล้วชี้มาที่หน้าของเขา

                "ทำไมคนที่อยู่ฝ่ายศัตรูถึงได้มาลอยหน้าลอยตาเป็นหัวหน้าของพวกเราได้ล่ะครับแถมยังจะก่อสงครามระหว่างขั้วอำนาจของตัวเองอีกผมละไม่เข้าใจตัวคุณเอาซะเลยที่จริงก็นึกสงสัยคุณมาตั้งนานแล้วล่ะอยู่ๆ ท่านซีเซียมที่ควรจะรับตำแหน่งต่อจากท่านไฮโดรเจนก็กลายเป็นว่าคุณมาเทคโอเวอร์ไปแทนซะได้ ทั้งที่คิดว่าคุณตายไปแล้วตอนที่เกิดกบฏของอดีตลำดับสี่ห้าหกนั่นซะอีก"

                แฟรนเซียมเดาะลิ้น

                "กลายเป็นของที่ใช้การไม่ได้ไปแล้วงั้นเรอะ"

                เมื่อได้ยินคำพูดที่ว่าโพแทสเซียมก็ตาเบิกโผลงจากที่หยีติดกันมาตลอด คำพูดนั่นอาจหมายถึง 'กำลังสอดรู้มากเกินไป'

                เนื่องจากสัมผัสไ้ด้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องไม่ดีกับตัวเองแล้วมันก็เป็นอย่างนั้น...

                โพแทสเซียมกระโจนตัวหลบไปทางด้านข้างได้ทันก่อนที่พื้นซึ่งเคยเหยียบอยู่จะร่วงลงไป หน้าผาด้านหลังก็ถล่มลงมาด้วยทำให้ตอนนี้แทบจะไม่เหลือที่ยืนบนเชิงผาแห่งนี้

                ถ้าการโจมตีครั้งหน้ามาถึงคราวนี้ไม่มีที่ให้หนีแหง

                โพแทสเซียมคิดและยังสงสัยว่าการโจมตีเมื่อครู่คืออะไรกันแน่

                มองการโจมตีไม่เห็นอาจจะเป็นคลื่นหรืออากาศแต่การออกท่าทางรวดเร็วมากจนมองตามไม่ทัน

                นี่คือพลังของราชามนุษย์ต่างดาวพลังของราชครูลำดับที่หนึ่ง...

                ขนาดที่ว่าเทียบกับราชครูด้วยกันยังห่างชั้นจนเทียบกันไม่ติด

                ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาทางถ่วงเวลาไปก่อนคิดได้แล้วก็เริ่มใช้ฝีปากอย่างทุกที

                "อะฮะ นี่หรือว่าคิดจะปิดปากผมกันล่ะเนี่ยท่านแฟรน..."

                แค่เริ่มเอ่ยปากไปได้เล็กน้อยเวลาก็หมดทันทีโพแทสเซียมต้องหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเพราะพื้นที่เหยียบอยู่ร่วงลงไปหมด

                แขนข้างขวาขาดกระเด็นจากนั้นก็ถูกสับกลายเป็นชิ้นเนื้อในอึดใจต่อมา ที่จริงขาข้างขวาก็เกือบจะไปด้วยแต่เพราะไหวตัวทันเลยชิงกระโดดซะก่อนที่ดาบนั่นจะฟันออกมา

                ใช่...มันน่าจะเป็นอย่างที่เห็นมีดาบตวัดออกมา

                ดาบสีดำเมี่ยมอย่างกับถ่านไม้นั่นไม่ได้ตวัดออกมาตรงๆ แต่มันขดตัวได้ เลี้ยวได้ ราวกับแส้

                "เป็นแส้ใบมีดเหรอเนี่ย"

                โพแทสเซียมสรุปเอาอย่างนั้นเพราะเห็นแค่แวบเดียวที่มันยืดตัวออกพริบตาถัดมามันก็หายไป

                จากนั้นพอมุมตกกระทบของแสงจันทร์เริ่มเปลี่ยนเพราะเมฆบนท้องฟ้าเคลื่อนตัวทำให้มีแสงตกลงไปที่ฝั่งแฟรนเซียมจึงทันมองเห็นดาบที่ว่า

                ดาบสีดำเมี่ยมมีใบดาบที่เป็นมีดฟันฉลามมาเรียงต่อกันเป็นทอดบางทีคงจะมีลวดหรือเส้นใยที่ใช้เชื่อมต่อใบมีดเล็กๆ พวกนั้นให้สามารถตวัดออกมาได้

                แฟรนเซียมกระโดดขึ้นไปบนหน้าผาตั้งแต่ตอนที่ฟันพื้นที่เชิงผาจนร่วงลงไปหมดแล้วตวัดดาบแส้อีกที

                โพแทสเซียมซึ่งร่างลอยเคว้งอยู่กลางอากาศตกเป็นเป้านิ่งแต่เขาก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายเล็งโจมตีอะไรจึงรีบมุดหัวเก็บต้นคอแล้วใช้แขนข้างที่เหลือป้องกันมันไว้

                วินาทีถัดมาแขนก็ถูกหั่นเป็นท่อนๆ

                ไร้เสียง ไร้ความเจ็บปวด ตัดได้อย่างสมบูรณ์แบบกระทั่งกระดูกที่เป็นส่วนแข็งก็ยังไม่สร้างปัญหาดาบนั่นคมถึงขนาดนั้น

                โพแทสเซียมร่วงลงไปในทะเล

                จมหายไป ละไม่ผุดขึ้นมาอีก

                แฟรนเซียมมองลงมาจากข้างบนผาอยู่ซักพักก็ตวัดดาบสะบัดคราบเลือดออกหมดในครั้งเดียว พื้นผิวของตัวดาบมันวาวจนคราบเลือดยังเกาะไม่ติด

                "หนีเข้าไปเถอะเพราะไม่ว่ายังไงแกก็หนีไปจากโลกใหม่ของฉันไม่ได้อยู่แล้ว"

                เขาพูดแล้วเก็บดาบ

                แต่ก็ไม่ได้เก็บแบบธรรมดา...

                แฟรนเซียมทำให้ดาบละลายเป็นของเหลว

                ละลายหยาดเยิ้มราวกับน้ำเลือด

                แล้วดูดกลืนมันกลับลงไปในแผลตรงข้อมือพอซับเลือดเข้าไปหมดมันก็สมานตัวในทันที แผลซึ่งทำไว้เองตอนที่เรียกดาบออกมาเพราะว่ามันเป็นดาบโลหิต

                หลังจากเก็บดาบแล้วแฟรนเซียมก็เดินลงจากภูเขาไปตามเส้นทางถนนเพื่อมุ่งหน้าไปทำตามแผนการต่อไป

                แผนการที่จะทำให้โลกก้าวไปข้างหน้า

                โลกที่ปกครองโดยผู้ที่แข็งแกร่งไร้ซึ่งคนไร้ความสามารถ

                โลกแห่งอุดมคติที่ปฏิเสธทั้งการมีอยู่ของเทพและมาร

     

                ...

               

                อีกด้านหนึ่ง...

                บนรากของอาคาชิกเรกคอร์ดสถานที่ตั้งของรูนรูมแต่เวทีในคราวนี้ไม่ใช่ห้องที่เก่าโทรมนั่น

                หากแต่สถานที่ซึ่งซีลอร์ดกำลังโรยตัวลงไปก็คือลานจอดเฮลิคอปเตอร์บนดาดฟ้าของตึกร้างแห่งหนึ่งที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางซากเมืองไร้ผู้คน ในโลกแห่งความว่างเปล่า

                ซึ่งไม่ควรจะมีใครอื่นอยู่ที่นี่ได้นอกจากตัวซีลอร์ดเพียงคนเดียวแต่กลับมีอีกคนยืนรออยู่บนลานเฮลิคอปเตอร์

                และทันใดนั้น...

                ว้า~~โดนเจอตัวแล้วเหรอเนี่ย

                เจ้าของเสียงยืนอยู่บนลานแห่งนั้นเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก

                เรือนผมสีทอง เส้นผมยาวสลวย คาดที่คาดผมสี้น้ำเงิน สวมเดรสแบบวันพีซสีฟ้า

                ใบหน้าเรียวรูปโฉมงดงามแต่ดวงตาดูเย็นชาและไร้แววตาราวกับเป็นตุ๊กตา

                เด็กหญิงยืนในท่าไพร่มือทางด้านหลังก้มหน้าเล็กน้อย

                จากส่วนสูงประเมินว่าน่าจะมีอายุราวๆ สิบขวบได้ แต่นั่นเป็นเรื่องของมนุษย์เด็กผู้หญิงตรงหน้านี้ไม่ใช่

                ซีลอร์ดมองออกตั้งแต่แวบแรกที่สบตาว่าเด็กหญิงเป็นปีศาจแถมยังเป็นตัวอันตราย

                เธอเองสินะเจ้าของเสียงในตอนนั้น

                ซีลอร์ดพูดระหว่างที่นึกเทียบเสียงของเด็กหญิงกับเสียงของผู้หญิงที่พ่นคำพูดเหล่านี้

                เราคือคนที่ถูกลืมเลือนเช่นเดียวกับเจ้า อาคานาร์ของผู้เลือกหนทางแห่งมนุษย์ อาคานาร์ของบุตรแห่งแสง อาคานาร์ของปีศาจ ถ้าอย่างนั้นเครื่องทำสวนเองก็ควรจะเลือกหนทางด้วยเช่นกันอย่ามัวแต่รออยู่เลยเริ่มเกมโกงวันโลกาวินาศของเจ้าได้แล้วเครื่องทำสวนเอ๋ยอย่าได้ยึดมั่นต่ออาคาชิกเรคคอร์ดเลยความเป็นไปได้นั้นมีมากมายไม่จบสิ้นรวมถึงความเป็นไปได้ที่ทุกอย่างจะพังทลายก็เช่นเดียวกัน

                ทั้งคู่เสียงเหมือนกัน

                แล้วที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ๆ ใครจะมาเพ่นพ่านได้ดังนั้นเด็กหญิงก็คือคนร้ายหรือไม่ก็มีความเกี่ยวข้องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

                นี่อลิซ

                ซีลอร์ดพูดชื่อของเด็กหญิง

                ปกติแล้วปีศาจอย่างเธอไม่น่าจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้นะแล้วทำไมกันล่ะ

                ก็ไม่ทำไมทั้งนั้นนี่ก็แค่

                เด็กหญิงพูดแล้วเรียกหน้าจอขึ้นมา หงายมันให้เขาดู

                หน้าจอที่แสดงเมล์ตัวจับเวลาตาย

                ชื่อของเหยื่อไม่ปรากฏอยู่ในเมล์แต่...

    ======================

    Subject: @Clipius Death Timing Delivery

    From: ??? 

    Detail: 

    นี่คือฉบับสุดท้ายจงรีบไปก่อนที่เจ้าจะสูญเสียทุกอย่าง

    เวลาก่อนที่ความสิ้นหวังจะมาเยือนเจ้าเหลืออีกแค่

    [00:01:30]

    ======================

                กลับปรากฏข้อความที่ไม่เข้าใจความหมายอยู่บนนั้น

                คราวนี้ก็จะเล่นมุกนั่นอีกเหรอ

                ซีลอร์ดพูดเพราะหนก่อนอีกฝ่ายก็เคยแสดงภาพแห่งความตายของอิงศรกับพวกพ้องแบบสุ่มมั่วซั่วมาให้ดูแล้ว

                แต่เด็กหญิงกลับยิ้มและหัวเราะคิกคัก

                คิกๆๆ จะใช่อย่างนั้นจริงๆ เหรอ

                สิ้นคำหน้าต่างย่อยก็เปิดขึ้นมาทับข้อความบนเมล์ แสดภาพของเหยื่อตอนที่เวลาเหลือแค่ 1 นาที

                ใบหน้านั้นคือตัวเขาเอง

                ซีลอร์ดผู้ถูกลืมเลือนตกเป็นเหยื่อของ ความตาย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×