คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #102 : Login 99: รอยเท้าราชสีห์
Login
99: รอยเท้าราชสีห์
“ทำแบบนี้เธอก็จะโดนไปด้วยนะ”
อิงศรพูด
แต่ไทเทเนียมกลับยิ้มแล้วตอบมาอย่างสบายๆ
ว่า
“การโจมตีของแวริเอชั่นจะไม่ทำร้ายฉันนั่นแหละคือจุดเด่นที่สุดของมัน”
ท่ามกลางแสงพิฆาตที่โปรยปรายลงมาราวกับสายฝน
ไม่มีทางที่จะหลบหลีกหรือหยุดยั้งได้อย่างสมบูรณ์มีแต่ต้องเตรียมใจและกายให้พร้อมรับความเสียหายเท่านั้นและรักษาจุดสำคัญที่จะทำให้ตายเอาไว้จากพายุลำแสงที่สากลบมา
ลำแสงไม่เพียงแค่ตกกระทบพื้นมันยังถูกลากต่อไปอีก
บดขยี้และทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า
เพราะหลบเลี่ยงได้ยากหล่อนถึงเสี่ยงใช้มันตอบโต้ด้วยควันอำพรางของเขาทั้งที่มันต้องเสียเวลานานก่อนจะเริ่มโจมตีและทำให้หล่อนตกอยู่ในสภาวะที่จะถูกถล่มด้วยสกิลจนเสี่ยงแวริเอเบิลไนท์จะถูกทำลายซะก่อนที่จะทันใช้สกิล
แต่หล่อนก็หาทางหลีกเลี่ยงมาได้ด้วยวิธีการที่เหนือความคาดหมาย
ตอนนั้นเองพื้นที่ก็เปลี่ยนไปด้วยพลังจากสกิลของมิ่งขวัญ
เวพอนไนซ์โกลด์กาแลนต์
ทำให้เวลาหยุดลงชั่วขณะหนึ่งเพื่อรอแสดงผลของเอฟเฟคลำแสงจึงหยุดนิ่งกระทั่งพวกเขาเองก็ถูกทำให้หยุดนิ่งไปด้วย
ไม่มีประโยชน์ที่จะใช้เพื่อหลบหนีความตายเลย
ระหว่างการแสดงอันตระการตาของอวกาศอันเวิ้งว้างไปจนถึงการปรากฏตัวของมังกรที่เหมือนกับม้าที่เคยออกมาตอนที่ใช้สกิลบัลลิสต้าพันนิชเชอร์ทำให้รู้สึกตกใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้การหาทางรอดให้กับทุกคนหลังจากเวลาเริ่มเดินอีกครั้งสำคัญกว่า
จนเมื่อการแสดงผลสิ้นสุดลงลำแสงก็เริ่มขยับอีกแต่อิงศรก็ยังนึกวิธีหนีให้รอดไม่ได้แล้วตอนนั้นเอง...
"กาแล็กซีอิลิมิเนชั่น!!"
มิ่งขวัญก็ร่ายสกิลแล้วแสงสว่างก็เปล่งวาบจากตัว
แสงจ้าเสียจนตาพร่ามัว
จนต้องปิดตาลงทำให้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อสายตาหายพร่าและเปิดตาขึ้นใหม่อีกครั้งลำแสงที่จู่โจมลงมากลับหายไปเหลือไว้แต่รอยไหม้เป็นทางที่ไอควันลอยฉุยกับหินหลอมละลาย
ราวกับว่าเขาเดินทางข้ามเวลามายังตอนที่ลำแสงโจมตีเสร็จแล้วอย่างไรอย่างนั้น
คำตอบของเรื่องนี้คงจะเป็นสกิลที่มิ่งขวัญใช้ไป
"ระหว่างที่หลบอยู่ในควันก็เตรียมร่ายโกลด์กาแลนต์ไปด้วยสินะสำหรับวิธีตอบโต้มาสเตอร์แวริเอชั่นนอกจากเดม่อนแอพมิคาเอลแล้วก็ยังมีเจ้านี่อยู่อีกอันแต่เท่านี้ก็จบแล้วล่ะครั้งหน้านายสร้างปาฏิหาริย์ไม่ได้อีกแล้วมิ่งขวัญ"
ถูกอย่างที่มนุษย์ต่างดาวพูด
แถมสีหน้าของมิ่งขวัญยังบอกแบบนั้นคงไม่ผิดแน่ เท่ากับว่าไม่มีโอกาสแก้ตัวสำหรับครั้งหน้าแล้ว
"จะว่าไปเมื่อกี้ทำไมถึงใช้สกิลวินด์วาร์ปที่เวพ่อนเอ็นแชนท์เตอร์ไม่น่าจะเรียนได้ล่ะ"
กวินทร์ถามแล้วดูเหมือนว่าคนอื่นๆ
ก็สงสัยกันแต่เรื่องนั้นอิงศรได้คำตอบไปแล้ว
"ใช้ไอเทมยังไงล่ะในสภาพของแวริเอเบิลไนท์ถึงจะใช้สกิลไม่ได้แต่ก็ยังใช้ไอเทมได้เหมือนกับที่พวกเราใช้ยารักษาตัวกันเมื่อกี้”
พอตอบไปแบบนั้นกวินทร์ก็หันมาด้วยใบหน้าตกใจ
“ไอเทมที่ทำให้ใช้สกิลได้มันมีของพรรค์นั้นอยู่ในโลกด้วยเหรอครับ”
“มีสิ...แถมมีมาตั้งนานแล้วด้วย แต่ดิสก์สกิลน่ะมันใช้ได้แต่สกิลเลเวลหนึ่งเท่านั้นแถมยังแพงเพราะหายากกับใช้งานลำบากเพราะระยะเวลาร่ายตายตัวอีกก็เลยไม่ค่อยแพร่หลายเท่าไหร่
แต่ไม่นึกเลยว่าจะเอามาใช้แบบนี้”
ที่ผ่านมาถึงจะประมือกับมนุษย์ต่างดาวมามากมายแต่ยังไม่เคยเจอตนไหนทำได้แบบนี้มาก่อนต่อให้เป็นระดับราชครูก็ยังไม่เคยเจอคนที่เชี่ยวชาญเรื่องเทคนิคถึงขั้นนี้มาก่อน
”นี่เธอเป็นใครกันแน่”
อิงศรถามเพราะใคร่รู้ในตัวจริงของไทเทเนียมแต่หล่อนกลับ
“อะไรกันน่ะนี่กวินทร์ไม่ได้บอกเหรอ”
พูดด้วยใบหน้าเหมือนกับตกใจเล็กน้อยพลางเหล่สายตาไปที่กวินทร์
อิงศรก็มองไปที่กวินทร์บ้าง
แล้วสายตาของทุกคนก็มองไปที่กวินทร์
กลายเป็นว่าทุกคนกำลังรอคอยคำตอบจากเด็กหนุ่มที่เอาแต่นิ่งเงียบพลางทำหน้าอึดอัด
...จากนั้นอิงศรก็นึกขึ้นมาได้เรื่องชื่อกับนามสกุลของรุ่นน้อง
กวินทร์
วชิระ
นามสกุล
วชิระ นั้นเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
วชิระ...ส.ส.วชิระ...เกม...นักเล่นเกม...
คีย์เวิร์ดมากมายลอยขึ้นมาระหว่างที่พยายามนึกแล้วเมื่อคำตอบถูกกลั่นกรองออกมาเป็นผลลัพธ์...
“ฟ้ากมล วชิระ เจ้าหญิงเกมเมอร์คนนั้นน่ะเหรอ”
เขาพ่นคำตอบที่ตัวเองก็ไม่อยากจะเชื่อปากตัวเองเหมือนกันออกมา
มนุษย์ต่างดาวเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยหล่อนกำลังทำหน้าทึ่งกับคำตอบของอิงศร
“น่าตกใจนะที่คนรุ่นนายจะรู้จักฉันได้เนี่ยก่อนโลกแตกนายน่าจะอายุแค่สิบสามนิดๆ
ยังหัวเกรียนอยู่เลยไม่น่าจะสนใจอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ”
อะไรกันน่ะ...สถานการแบบนี้มันอะไรกัน...
อิงศรนึกอยากจะสบถออกมาแบบนั้น
ช่วงก่อนที่โลกจะล่มสลายมีข่าวของนักเล่นเกมอัจฉริยะคนหนึ่งที่เอาชนะนักเล่มมืออาชีพและพิชิตเกมมามากมายจนเป็นที่โด่งดังไปทั่วและที่ทำให้ชื่อของเธอเป็นที่รู้จักมากที่สุดก็คือข่าวการประกาศวางมือในเช้าของวันที่โลกล่มสลาย อิงศรเคยเห็นข่าวนั้นผ่านตามาจากหนังสือพิมพ์
นี่มันเท่ากับว่าพวกเขาดิ้นรนกันอย่างเปล่าประโยชน์มาโดยตลอด
บางทีอีกฝ่ายคงจะอ่านแผนการอันตื้นเขินของมือสมัครเล่นอย่างเขาออกจนทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรก
“ถึงกับทำหน้าสิ้นหวังออกมาเลยเหรอ
เพราะงั้นกวินทร์ถึงไม่ยอมบอกสินะสู้ให้ไม่รู้ก็อาจจะดีกว่าจริงๆ นั่นแหละ”
อีกฝ่ายพูดมาแบบนั้น...นี่เรากำลังทำหน้าอย่างนั้นอยู่
?
ทั้งที่คิดว่าเก็บสีหน้าอย่างเต็มที่แล้วเชียว
หรือว่าเป็นแค่การพูดบลัฟกันเท่านั้น...
เพราะแรงกดดันของอีกฝ่ายทำให้อ่านทางไม่ออก
ดังนั้นอิงศรจึงเริ่มคิดแต่เรื่องที่จำเป็นเท่านั้น
ละทิ้งเรื่องที่จะทำให้ใจสู้ถดถอยไปแล้วเริ่มคิดหาทางตอบโต้ถึงอีกฝ่ายจะเป็นมืออาชีพที่มีทักษะเหนือชั้นกว่าแต่สถานการณ์ก็ยังได้เปรียบเพราะได้สกิลของมิ่งขวัญช่วยเอาไว้ทำให้รอดมาจากมาสเตอร์แวริเอชั่นได้และจำนวนโดรนที่เหลือพลังป้องกันก็มีอีกแค่สิบเครื่องมิ่งขวัญยังมีสกิลที่ไม่ได้ใช้อีกห้าสกิลแค่หาทางอุดช่องว่างอีกห้าสกิลที่เหลือ...
ถ้าลองคิดดูดีๆ มันจะต้องมีหนทางแน่
ดังนั้นจะยอมแพ้ตอนนี้มันเร็วเกินไป
ยังมีเวลาอยู่จนกว่ามาสเตอร์แวริเอชั่นจะใช้ได้อีกครั้ง...
“แต่มารู้ตัวเอาตอนนี้ก็สายไปละดูเหมือนว่าเขาคนนั้นจะคาดหวังในตัวเธอสูงเกินไปสินะเอาเถอะเดี๋ยวก็จบแล้วเพราะฉันจะใช้มาสเตอร์แวริเอชั่นเก็บกวาดพวกนายซะที่นี่แหละ”
ไทเทเนียมกล่าวแล้วเรียกหน้าจอดึงของบางอย่างออกมา
ทำไมหล่อนถึงประกาศอย่างนั้นทั้งที่สกิลเพิ่งจะใช้ไปยังน่าจะต้องรอเวลาอีกซักพักใหญ่
แต่แล้วคำตอบอันเหลือเชื่อก็แล่นขึ้นมายามเมื่อเห็นไอเทมที่อีกฝ่ายงัดเอามาใช้
มันคือแผ่นซีดี...
จะต้องเป็นแผ่นซีดีที่บรรจุสกิลสำเร็จรูปเหมือนกับอันที่ใช้ก่อนหน้านี้อย่างแน่นอนแต่อิงศรก็รู้อยู่แก่ใจดีว่ามันไม่มีสกิลมาสเตอร์แวริเอชั่นแล้วก็ไม่มีสกิลที่ให้ผลคล้ายๆ
กันความเป็นไปได้ที่เหลืออยู่ก็มีแต่การฟื้นฟูสกิลให้กลับมาใช้งานได้ทันทีซึ่งมันเป็นไปไม่..
"อิมแพคทาลิสมันรีเฟรชชิ่ง
(Impact Talisman Refreshing)”
สิ่งที่หล่อนพูดมาเหมือนกับร่ายสกิลแต่มันไม่มีสกิลชื่อแบบนั้นอยู่แน่ๆ
แผ่นดิสก์เปล่งแสงสีฟ้าครามออกมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงสลายตัวไป
ไทเทเนียมชูมือขึ้นไปสุดแขน
“มาสเตอร์แวริเอชั่น”
แล้วประกาศร่ายสกิลทำให้โดรนทุกเครื่องเริ่มสะสมพลังงาน
เป็นไปไม่ได้!...เด็กหนุ่มนึกอยากจะสบถอย่างนั้นแต่มันก็เป็นไปแล้วมนุษย์ต่างดาวได้ทำให้เวลาย้อนกลับไปหรือทำให้มันข้ามไปข้างหน้ากันก็ไม่ทราบแน่ชัดแต่สกิลที่ต้องรอเวลาฟื้นฟูนั่นถูกทำให้ใช้งานได้ขึ้นมาทันที
“สกิลที่ใช้งานไปครั้งล่าสุดจะถูกยกเลิกเวลาคูลดาวน์และสามารถใช้ได้อีกครั้งโดยที่หลังจากใช้แล้วจะต้องรอเวลาคูลดาวน์เป็นสองเท่าและไม่สามรถใช้กับสกิลเดิมได้อีกนี่แหละคือผลของดิสก์สกิลเมื่อกี้"
ไทเทเนียมพูด
“ของแบบนั้นไม่น่าจะมีได้นี่นาสกิลที่ยกเลิกเวลาคูลดาวน์ของสกิลแบบไม่สนใจเงื่อนไขอะไรเลยแบบนี้มัน….”
มันไม่มีของแบบนั้นแน่ๆ
...อิงศรมั่นใจอย่างนั้นแต่ก็เห็นอยู่กับตาเลยพูดไม่ถูก
สามัญสำนึกกำลังตีกันให้วุ่นอยู่ภายในสมองที่รีดเร้นพลังในการคิดออกมาจนแทบจะระเบิดแต่ก็ไม่ได้คำตอบว่าทำไมถึงมีสกิลแบบนั้น....
ไม่ใช่ว่าคิดไม่ออกแต่มันยอมรับไม่ได้ที่จะเป็นแบบนั้นจริงเพราะถ้ามันเป็นความจริงล่ะก็ท่านมาทำไมถึงไม่เคยมีหรือเคยเห็นการทำแบบนั้นมาก่อนในหมู่มนุษย์ต่างดาวเลยล่ะ
ตอนนั้นเองไทเทเนียมก็ได้ให้คำตอบที่สมองกำลังปฏิเสธแก่พวกเขาที่งงกันเป็นไก่ตาแตก
“มันก็แหงอยู่แล้วเพราะว่านี่คือดิสก์สกิลที่พวกเราสร้างขึ้นมาเอง ในหมู่พวกเรามีคนที่เป็นเดเวล็อปเปอร์ของเกมโลกาวินาศอยู่ทั้งการอัพเดทแพทซ์
สกิล ไอเทม ไปจนถึงแอพพลิเคชั่นปีศาจจะอะไรก็เสกออกมาได้หมดนั่นแหละแต่เพราะนิสัยของเจ้านั่นมันติดเล่นอยู่เรื่อยก็เลยไม่อยากทำของแบบนี้ขึ้นมามากๆเพราะจะทำให้เกมล่าชาวโลกไม่สนุก”
หล่อนพูดแล้วก็หัวเราะ
“หึๆ ไม่คิดบ้างเลยเหรอว่ามันน่าตลกชะมัดนิสัยบ้าๆ บอๆ ที่เหมือนจะมีแต่ในเรื่องแต่งเป็นเหตุผลที่ผู้แต่งหาเรื่องมาค้ำจุนความสมเหตุสมผลให้กับเรื่องของตัวเองมันจะมีอยู่จริงๆ
แบบนี้”
พร้อมกับถามมาอย่างนั้น
“…”
แต่อิงศรไม่ตอบ เขาไม่มีเวลาให้เสียกับเรื่องไร้สาระอื่นอีกนอกจากหาทางเอาตัวรอดในสถานการณ์นี้และเพราะเขายังไม่ออกคำสั่งทุกคนก็เลยพากันไม่เคลื่อนไหวไปด้วยแต่ไม่ใช่เพราะว่าเชื่อฟังในคำสั่งเหมือนกับทหารที่ไม่ขยับตัวกันก็เพราะไม่รู้จะหนีไปที่ไหน
การโจมตีปูพรมนั่นเขาที่ได้เห็นมันแค่ครั้งเดียวยังดูออกเลยว่าสุ่มสี่สุ่มห้าวิ่งหนีเอาตอนที่มันเริ่มรวบรวมพลังหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น
ลำแสงเริ่มโปรยปรายลงมา
ถึงตอนนี้ก็เริ่มมีคนก้าวเท้าหนีกันแล้ว
อย่างน้อยก็ต้องหลบลำแสงที่ตกลงมา
ถ้าโจมตีอีกสิบครั้งได้ก็จะรอดจากสถานการณ์นี้มันคือทางออกเพียงทางเดียว
ต้องทำลายแวริเอเบิลไนท์ลงตอนนี้เท่านั้น
แต่สกิลมีไม่พอก็ทำแบบนั้นไม่ได้ไหนยังจะสภาพฉุกละหุกแบบนี้อีกไม่มีทางเล็งโดนตัวมนุษย์ตางดาวได้อยู่แล้วอิงศรได้แต่นึกถึงเรื่องทำลาย
ทำลาย
ทำลาย
แต่มันก็ตีบตันไปซะทุกทาง
ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั่นเองเท้าก็เหยียบลงไปในแอ่งโคลน
โคลนที่เกิดจากการผสานสกิลชาร์คชู้ตของเขากับเดม่อนแอพของกวินทร์
จำได้ว่าตอนนั้นไม่ได้เล็งสกิลไปที่ตัวไทไทเนียมโดยตรงและผลของสกิลก็ไม่หายไป
ไม่เล็งโดยตรง...
เหมือนกับจะคิดอะไรบางอย่างได้จากคำๆ
นั้นแล้วเรื่องที่กวินทร์เป็นเวพ่อนเอ็นแชนท์เตอร์
เวพ่อนเอ็นแชนท์เตอร์...รู้สึกเหมือนมีคีย์เวิรสำคัญอยู่ในชื่อนี้
เวพ่อน...เอ็นแชนท์
เวพ่อนก็คืออาวุธ
ไม่เล็งโดยตรง… เล็งที่อาวุธ..
ไม่มีอาวุธเวพ่อนเอ็นแชนท์เตอร์ก็...
“จริงสิยังมีวิธีนั้นอยู่”
พอรวมคีย์เวิร์ดที่ลอยอยู่ในหัวเข้าด้วยกันก็ได้ทางออกที่น่าจะเป็นไปได้ออกมาแต่เวลาก็กระชั้นชิดเหลือเกิน
ในช่วงที่คิดนั้นใช้เวลาไปหลายวินาทีทำให้กว่าจะเริ่มเคลื่อนไหวก็โดนลำแสงตีวงล้อมกรอบเข้ามาจากทุกทิศทางเสียแล้ว
คนอื่นๆเป็นอย่างไรกันบ้างก็ยังไม่รู้แต่ตัวเองกำลังจะตาย
ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเอาตัวเองให้รอดก่อนไม่อย่างนั้นก็ช่วยใครไว้ไม่ได้แน่
“โธ่เว้ย!! ทำไมถึงไม่นึกออกให้เร็วกว่านี้นะขอให้ทันทีเหอะ!”
เด็กหนุ่มพูดแล้วตั้งหน้าไม้...
“ไหว้ล่ะหนนี้ช่วยหน่อยเถอะโอดิน!”
เล็งมันไปทางที่ไทเทเนียมยืนแต่กลับไม่มีปฏิกิริยาดูท่าจนป่านนี้แล้วปีศาจก็ยังไม่ยอมรับฟังคำสั่งถึงจะพูดแบบอ้อนวอนก็ตาม
“จะหัวสูงไปถึงไหนกันฟระ”
อิงศรสบถใส่ความดื้อด้านนั่นแล้วเปลี่ยนใจไม่พึ่งพาปีศาจตรงๆ
เพราะอย่างไรก็ทำใจไว้แล้วว่าจะเป็นแบบนี้จึงเรียกอาคานาร์เดอะทาวเวอร์ที่สามารถขโมยสกิลจากปีศาจที่ครอบครองมาใช้เองได้
“ไม่ง้อแกแล้ว”
เมื่อหน้าจอที่มีปุ่มสั่งยิงปรากฏขึ้นมาเด็กหนุ่มก็กระแทกมือลงไปบนนั้นและปลดปล่อยคลื่นสายฟ้าสีทองแล่นตรงไปยังมนุษย์ต่างดาว
สายฟ้าสลายไปก่อนจะทันเข้าถึงตัวหล่อน
ภาพที่เห็นกันจนเป็นเรื่องปกติไปแล้วแต่ว่า...
ที่สลายไปไม่ใช่แค่สายฟ้า
โดรนก็ด้วย ชุดสีดำล้ำสมัยที่หล่อนสวมก็เช่นกัน แวริเอเบิลไนท์กำลังหายไป
“ท...ทำลายได้แล้ว”
ได้ยินเสียงของกวินทร์ดังมาจากทางด้านหลังดูเหมือนจะยังสบายดีอยู่พอเหลือบตาไปมองก็เห็นทุกคนยังอยู่กันครบไม่มีใครขาดหายไป
“…”
แต่ยังมีอยู่อย่างหนึ่งที่ขาดไป
อิงศรหันเหสายตากลับไปที่ไทเทเนียมซึ่งถูกทำลายคอมโบที่แสนภาคภูมิใจลงใบหน้าของหล่อนบิดเบี้ยวเหยเกและคงจะเตรียมตัวก่นด่าอย่างฉุนเฉียวหรือไม่ก็ทำหน้าเหลือเชื่อแต่นี่...
“นี่ไม่คิดจะสงสัยบ้างเลยรึไงว่าทำไมท่าของตัวเองถึงโดนทำลายน่ะ”
ไม่เพียงแต่ไม่ตกใจหรือแม้แต่ทึ่งซักเล็กน้อยมิหนำซ้ำหล่อนยังยิ้ม
กำลังยิ้มอยู่ยิ้มอย่างสนุกสนาน
ทำไมถึงเป็นแบบนั้นหมายความว่านี่ก็เป็นสิ่งที่หล่อนคาดการณ์เอาไว้ด้วยอย่างนั้นหรือ?
ถ้าคาดการณ์ว่าไม้เด็ดของตัวเองจะถูกทำลายได้แสดงว่าต้องมีแผนรับมือ
“ก็ไม่นี่ เรื่องที่นายมีเดม่อนแอพโอดินที่มีพลังทำลายความทนทานของอาวุธนั่นน่ะฉันรู้อยู่แล้ว”
หล่อนพูดแล้วยื่นหลังถุงมือที่ติดตั้งอัญมณีซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวให้ดู
อัญมณีถูกทำลายถูกทำให้แตกเป็นเสี่ยงและหลอมเหลวจนเป็นคราบติดอยู่บนนั้น
“แวริเอเบิลไนท์เป็นสกิลของอาชีพเวพ่อนเอ็นแชนท์เตอร์ดังนั้นจึงมีเงื่อนไขพื้นฐานเหมือนกับสกิลในเครือเดียวกันทั้งหมดนั่นก็คือถ้าไม่มีอาวุธก็จะใช้ไม่ได้ดังนั้นในการต่อสู้กับสายอาชีพนี้เล็งทำลายอาวุธหรือทำให้จับอาวุธไม่ได้ถือเป็นจุดสำคัญเรื่องแค่นี้ทำไมฉันจะไม่รู้จุดอ่อนของท่าตัวเองกันล่ะ”
หล่อนพูดไปก็ถอดถุงมือทิ้งไปด้วย
“พูดตามตรงนะฉันดีใจมากกว่าที่มันไม่จบลงง่ายๆ
ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคนนั้นปรารถนา”
“จะว่าไปตั้งแต่เมื่อกี้แล้วก็เห็นเธอพูดถึงคนนั้นๆ
อยู่เรื่อยเลยเจ้านั่นเป็นใครกัน”
อิงศรถาม
แต่มิ่งขวัญก็พูดแทรกขึ้นมา
“เจ้าแป๊ะยิ้มโพแทสเซียมนั่นสั่งเธอมาน่ะสิหมอนั่นก็สนใจฟันเฟืองของศรกับฉํนอยู่ใช่ไหมล่ะ”
“มันก็ใช่แหละแต่เดิมทีตอนแรกสุดท่านรูบิเดียมเป็นคนสั่งให้ฉันเก็บเฟืองจากนายมาแล้วจากนั้นท่านโพแทสเซียมก็มาเคลมให้ฉันส่งเฟืองให้เขาแทนแต่ว่านะคนที่ฉันรับใช้น่ะไม่ใช่สองคนนั่นหรอก”
ไทเทเนียมตอบ
“แต่ว่าเธอเป็นลูกน้องของเจ้าแป๊ะยิ้มนั่นไม่ใช่รึไง”
“ฉันแค่โดนเอาไปฝากเป็นลูกน้องเท่านั้นเองคนที่เปลี่ยนชีวิตของฉันน่ะคือท่านแฟรนเซียมที่เป็นราชครูลำดับที่หนึ่งต่างหาก”
ไทเทเนียมพูด
“แล้วเจ้าแฟรนเซียมนั่นมีเป้าหมายอะไรกันแน่”
อิงศรถาม
แต่ไทเทเนียมกลับตอบมาว่า...
“ถ้าเป็นเรื่องเป้าหมายของเขานายน่ารู้ดีกว่าฉันนะ”
คำพูดแบบนั้นหรือหล่อนตั้งใจจะบอกว่า
‘คนๆ นั้น’ เป็นคนใกล้ตัวเขา
“หมายความว่ายังไง”
“ก็นายไปอยู่ใกล้ชิดเขามาตั้งสามปีนี่นา”
สามปีเป็นจำนวนที่ตัดคนไม่เกี่ยวข้องออกไปได้เยอะเลยแต่มันก็แทบจะตัดทุกคนที่เขารู้จักออกไปหมด
คนที่อยู่ด้วยกันมาสามปีและมีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว
คนแบบนั้นที่เหลืออยู่ก็มีแค่ข้าวหลามที่ตอนนี้กลายเป็นพวกอารย-สนธยา
“เขาเป็นคนที่เข้าใจในตัวฉันและเป็นราชครูลำดับที่หนึ่งซึ่งก็คือท่านแฟรนเซียมแต่ว่าสำหรับนายอาจจะเรียกเขาด้วยอีกชื่อหนึ่ง”
…
...ในเวลาเดียวกันนั่นเองอีกด้านหนึ่ง...
คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงน้ำจึงขึ้นสูงจนเกือบจะท่วมชะง่อนผาที่ตั้งเยื้องถัดไปจากจุดที่ชมวิว
สถานที่ซึ่ง สิงห์
ธุวดารกะ ตกลงมาจนเสียชีวิต
โพแทสเซียมยืนอยู่ด้านในของชะง่อนผาหันหน้าออกไปทางปลายแหลมที่ยืนเข้าไปในทะเล
บนแหลมนั่นมีชายร่างสูงคนหนึ่งสวมชุดเครื่องแบบทหารระดับสูงของเมตไตรยที่เปียกชุ่มโชก
ชายคนนั้นชุ่มโชกไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับเพิ่งลงไปว่ายน้ำทะเลมา
“อะฮะ
หาอยู่ตั้งนานที่แท้ก็มาว่ายน้ำเล่นอยู่ที่นี่เองหรอกหรือครับ”
โพแทสเซียมพูดคุยกับชายคนนั้น
“…”
แต่เขาไม่พูดตอบ
ดวงตาของชายคนนั้นสะท้อนแสงเป็นประกายเหมือนตาแมวท่ามกลางเงาที่เกิดจากแสงจันทร์ซึ่งสะท้อนมาจากด้านหลัง
ความเงียบยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่ง....
มีเสียงดังแว่วมา
เสียงที่มีแต่ประสาทสัมผัสระดับมนุษย์ต่างดาวเท่านั้นจึงจะได้ยิน
เสียงพูดคุยของคนสองคนน่าจะเป็นผู้ชายทั้งหมด
เสียงดังมาจากโขดหินตรงเชิงผาด้านบน
“นั่นมันพลเอกสิงห์ไม่ผิดแน่”
“ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ
เหรอเนี่ย”
“รีบรายงานไปก่อนเถอะ”
“แต่ว่าทำไมเส้นผมถึงเป็นสีเงินล่ะ”
สรุปก็คือนั่นเป็นทหารที่ส่งมาเพื่อค้นหาศพของสิงห์
ธุวดารกะ
ชายตรงเชิงผาทำท่าจะชักดาบจากเอวแต่ก็มารู้ตัวเอาทีหลังว่าไม่มีดาบ
จึงเปลี่ยนไปใช้มือเปล่าตวัดอากาศแทนแล้วเพียงแค่นั้น
ทั้งโขดหิน ทั้งคน
ทั้งเชิงผา ก็กลายเป็นชิ้นๆ ในพริบตา
ทั้งหมดร่วงลงไปในทะเลและถูกพัดหายไป
ตอนนั้นเองโพแทสเซียมก็ปรบมือเปาะแปะๆๆ
“เอาจริงเอาจังเหลือเกินนะครับ...ว่าแต่ไปทำกับลูกน้องแบบนั้นเนี่ยหรือว่าตอนนี้ผมควรจะต้องเรียกคุณว่าท่านแฟรนเซียมดีล่ะคุณสิงห์
ธุวดารกะตอนนี้คุณแสดงบทบาทไหนอยู่กันแน่นะ”
ชายคนนั้นหันมาสบตา
มุมที่เปลี่ยนไปทำให้แสงจันทร์สะท้อนออกมาด้านหน้ามากขึ้น
ใบหน้าของมนุษย์ที่เรียบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์
ใบหน้าของสิง
ธุวดารกะ
เส้นผมสีเงิน
ชื่อบนแถบพลังชีวิตสีฟ้าเยี่ยงมนุษย์ต่างดาวกับพลังชีวิตหนึ่งแสนถ้วน
แฟรนเซียม Lv. 144
[/////100000:100000/////]
***ตอนแรกตั้งใจจะใช้ชื่อตอนว่า ราชสีห์นามอัสลาน ที่มาจากนาเนียร์แล้วนะเนี่ยแต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจครับ เพราะที่จะเอามาใช้แค่อยากจะสื่อว่าคืนชีพแค่นั่นแหละครับแลดูมันไม่ค่อยสื่่อไงไม่รู้แถมเดี๋ยวจะเอาไปตีกันมั่วกับของอิงศรอีกเลยพอดีกว่า 555+ ไรท์ก็อ้อมโลกเหลือเกิ๊นนนเกือบทำคนอ่านสับสนหนักกว่าเดิม(หรือมันคงไม่หนักไปกว่านี้แล้ว) เอาเป็นว่าแล้วเจอกันใหม่วันอังคารหน้านะคร้าบบ****
ความคิดเห็น