ซุปเปอร์แมน กับพระธุดงค์ - นิยาย ซุปเปอร์แมน กับพระธุดงค์ : Dek-D.com - Writer
×

    ซุปเปอร์แมน กับพระธุดงค์

    คนขี้เมาคนหนึ่งบังเอิญเหาะได้ กับพระนักจาริกธรรมดาๆ

    ผู้เข้าชมรวม

    335

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    11

    ผู้เข้าชมรวม


    335

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  ผจญภัย
    จำนวนตอน :  1 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  27 มี.ค. 57 / 19:34 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ซุปเปอร์แมน

    กับพระธุดงค์

     

     

    บทนำ

    ฉันบังเอิญเหาะได้

     

     

    เมื่อครู่ยังอยู่แถวปิ่นเกล้า เหนือถนนบรมราชชนนี ตอนนี้มาอยู่เหนือถนนปู่เจ้าสมิงพราย แถวสำโรงใต้

    ลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้นในด้านเวลา แต่ลัดข้ามฝั่งของเมืองหลวงในด้านระยะทาง

    เพียงแค่ใจนึกอยาก จะมาสัมผัสรับรู้ถึงอารมณ์เก่าๆเมื่อกาลก่อน เพียงแค่อยากมาย้อนดูภาพของอดีตจากสถานที่ของอนาคต เพียงอยากจะมาระลึกนึกถึงคนๆหนึ่ง ซึ่งยังแอบซุกอยู่ในร่องของสมอง ทั้งๆที่มันก็นานมามากแล้ว มันลางเลือนเหมือนภาพในความฝัน และเนิ่นนานเหมือนความทรงจำในคุก

    เพียงแค่ใจนึกอยาก ร่างกายของฉันก็ลิ่วลอยพุ่งไป เหมือนร่างกายโดนกระชากไป กระชากไปด้วยแรงแสนพิเศษ เปรียบดั่งไปด้วยแรงกระพือของปีกพญาครุฑ เพียงแค่ฉันมีปีก ฉันก็จะเป็นดั่งพญาครุฑ พญาครุฑที่แม้พญานาคตั้งพันตัวก็มิอาจหยุดฉันได้ ถ้าอยู่บนอากาศฉันก็เป็นเจ้าแห่งฟ้า  แต่ยังดีที่ฉันไม่มีจงอยปาก เหมือนนก นางกินรีย์ก็ไม่มีจงอยปาก แต่ทว่าฉันเป็นผู้ชาย อย่างไรเสียขาของฉันก็ยังเป็นคน ไม่ใช่ขานกอย่างที่นางกินรีย์นั้นเป็น ฉันไม่อยากมีปีก แต่ฉันพอใจมากที่ฉันบินได้ ฉันไม่อยากมีขาเป็นกรงเล็บเหมือนเหยี่ยว แต่ฉันก็อยากมีเท้าอันแข็งแรงไว้ขยุ้มกิ่งไม้ ฉันมีความอยาก และไม่อยากที่ขัดกันอยู่

    เพียงแค่ใจนึกอยากจะไปไหน ฉันก็จะไป ไม่ต้องเดินย่ำต๊อกต๋อย ต่ำต้อยเหมือนกาลก่อน จะกล่าวไปไยกับการเหาะเหิรเดินอากาศ เมื่อก่อนแม้ไม่มีค่ารถ ฉันก็ไม่สน ถ้าฉันอยากไป ฉันก็ไป บางทีต้องเดินหลายๆกิโลเพื่อแค่ได้ไปนั่งเรือข้ามไปฟากโน้นฉันก็พอใจแล้ว อีกฟากที่ฉันไม่ได้อาศัยอยู่

    จากมุมนี้ฉันเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาเหมือนงูตัวใหญ่สีตม ไหลเลื้อยลงมาโอบล้อมเมืองนี้ไว้ เพียงแค่มันไม่หลีกหนีไปไหนมาไหนเลยเท่านั้น เพียงแต่มันอาจจะตัวใหญ่ขึ้น แต่นึกดูอีกทีลำน้ำที่เคยอยู่ตรงนี้ มันก็ไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว มันไหลไปทุกวัน-เวลาเหมือนมีชีวิต ก่อนที่งูใหญ่ตัวนี้จะมุดหัวลงไปในทะเลตรงปากน้ำเมืองสมุทรปราการ  ไอหมอกจากแม่น้ำลอยเอื่อขึ้นปะปนกับละอองฝุ่นควันในอากาศชั้นบน แต่กลิ่นอ็อกซิเยนก็ยังเหมือนเก่า กลิ่นแม่น้ำเจือลมทะเลที่โชยอ่อนเหมือนจะคอยพัดผิวหัวใจของคนงานที่หน่ายร้อนเหนื่อยล้าจากงานโรงงานให้คลายผ่อนยังเหมือนเก่า ดวงอาทิตย์กลมโตสีส้มที่กำลังเข้มขึ้นเพื่อที่จะจางจบแสงสุดท้ายก่อนลับตาในม่านเมฆสะท้อนแสงลงบนผืนน้ำสีดำที่มีระลอกคลื่นจากแรงเรือทำให้เกิดแสงระยิบระยับยังเหมือนเก่า หลายสิ่งหลายอย่างได้แปรเปลี่ยนไปแต่บรรยากาศโดยรวมแล้วยังเหมือนเก่า คนเรามองโลกด้วยปัจจัยอันเก่า ดวงตาดวงเก่า ดวงใจดวงเก่า ก็ไม่แปลกที่จะเห็นสิ่งๆเดิมเหมือนเก่า ด้วยลมหายใจเก่าๆ และมโนวิญญาณเก่าๆ ทำให้ภาพความจำในอดีตมันฟุ้งขึ้นมาเหมือนตะกอนในน้ำที่ถูกกวน

    ฉันเล็งหาที่เหมาะๆ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางในครั้งนี้ ตอนเหาะขึ้นไม่ยากเท่าไหร่ มันยากอีตอนลง ในเขตชุมชนมันยากที่จะดิ่งลงไปบนพื้นดินอย่างรวดเร็ว กว่าที่ใครจะทันได้สังเกตเห็น อีกอย่างฉันก็ไม่มีความสามารถพอที่จะเหยียบลงพื้นโดยนิ่มนวลเหมือนผีเสื้อ หรือแมลงปอได้ ผีเสื้อมันใช้ปีกที่พามันไปนั่นแหละเป็นกระบังต้านลมและความโน้มถ่วงของโลก ขณะที่แมลงปอจะลงจับกิ่งไม้ด้วยขาที่แข็งแรงและ

    ยืดหยุ่นพอที่จะรับน้ำหนักตัวไม่ให้เกิดการกระแทกเสียง แต่ถึงแม้ถ้ามีใครทำได้อย่างเงียบเชียบเช่นนั้นจริงๆ ความเร็วและการหยุดลงกะทันหันนั้นแหละ ที่จะฟ้องตัวมันเองออกมาเป็นสายลมกระชาก

    มันจะไม่มีผลดีอะไรแน่ถ้ามีคนเห็นฉันเหาะ มันจะไม่มีผลดีอะไรกับโลก และสังคมมากนัก และมันจะไม่มีผลดีอะไรกับฉันเลย มากไปกว่ายอดขายของข่าวหนังสือพิมพ์ ที่ลงภาพของนางงามคนใหม่ หรือมนุษย์ประหลาดน่าสมเพศ  มากไปกว่ายอดวิวเข้าชมคลิปหลุดดารา หรือนักเรียนตีกัน มากไปกว่าเรื่องคุยตอนเช้าของนักข่าวเล่าเรื่อง หรือแม่ค้าร้านตลาด ผู้คนอาจจะคุยกันในแง่เป็นเรื่องแปลกลึกลับประมาณเห็นผีกระสือมากกว่า

    ฉันเล็งหาที่ลงแถวชายดงพงป่านั่นแหล่ะเหมาะที่สุด เพียงระวังไม่ให้แขนเสื้อสะบัดไปเกี่ยวกิ่งไม้เพราะจะทำให้เสียหลัก แต่แถวนี้เป็นดงโรงงานจะหาดงป่าไม้ที่ไหนได้  ลานกว้างๆเช่นสนามฟุตบอล หรือทุ่งร้างกลางนาก็เป็นที่จับสังเกตได้ทั้งในมุมกว้างและระยะไกล กระนั้นเมื่อฉันหยุดเหาะแล้วก็ไม่ต่างกับเป้านิ่ง ที่ฉันกลัวที่สุดคือมือถือ สมัยที่โทรศัพท์บ้านใกล้กาลสูญพันธุ์ คนสมัยนี้ก็ติดเชื้ออะไรสักอย่าง ที่ทำให้เกิดอาการคือ ไม่อยากให้อะไรผ่านไปเปล่าๆง่ายๆ ชอบถ่ายอะไรๆเก็บไว้ และชื่นชอบกับการที่มีผู้มาเชยชมสื่อที่เจ้าตัวเผยแพร่ ยิ่งมากยิ่งภาคภูมิ ผิวเผินคล้ายการแบ่งปัน เผยแผ่คล้ายเป็นศาสนา แต่อาการเหมือนติดโรคระบาด ใครโดนเชื้อทางตาแล้วต้องแพร่ภาพต่อๆกันไปให้เพื่อนฝูงเหมือนตาแดง ยิ่งคลิปโดนแอบถ่ายตอนเผลอยิ่งโดนโรคกับคนพวกนี้ จึงมีพวกหัวหมอตั้งใจทำให้เหมือนเผลอ แล้วตั้งใจหลุดมาก็มี ที่ฉันไม่เข้าใจคือ ภาพกิจ-กาม, กิจกรรมธรรมดาสัตว์ ที่คนเราควรทำกันในที่ลับตา ที่คนเราควรทำกันตามลำพัง ที่คนเราควรทำกันโดยไม่หลับเผลอ กลับเป็นกิจกรรมที่เปิดเผย และแพร่ภาพนำกลับมาฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลายเป็นสินค้าไร้ราคา กร่อนคุณค่าในปัจจุบันของเจ้าของภาพ และแทบจะอุปมานได้ว่ากรรม-กามเก่านั้น จะต้องตามต้อยติดถึงภพหน้า ถึงรุ่นลูก รุ่นหลานไม่ผิด คนที่ทำเช่นนั้นเขาคิดอย่างไรกันนะ คิดว่าอดีตเป็นของควรเก็บจำ หรือควรปล่อยเลยตามเลย  ไม่คิดบ้างเลยหรือว่าความทรงจำที่ดีในอดีต มันอาจย้อนมาทำร้ายเราในอนาคตได้ แต่ก็เป็นความจริงที่ศาสนาก็สอนให้ปล่อยวางกันทั้งนั้น และอันที่จริง คนเราก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งไม่ใช่เหรอ ผิดที่ไหนที่จะร่วมเพศกันแบบเปิดเผยได้บ้างเหมือนสัตว์

    ฉันเล็งเห็นดาดฟ้าของห้างใหญ่แห่งหนึ่งแถวสำโรงเหนือเป็นจุดเล็กๆสีขาว เห็นเหมือนภาพที่เราดูในกูเกิ้ลเอิร์ท และเกือบเท่าความคิดฉันก็ลงมายืนอยู่บนดาดฟ้าห้างนั้นแล้ว พอดีที่บนห้างแห่งนั้นเคยเป็นสวนน้ำ เคยเป็นสวนสนุก ฉันเคยพาลูกๆมาเดินเที่ยวอยู่ครั้งหรือสองครั้ง ก็จำไม่ได้ แต่บางทีฉันก็อยากลืมๆไปว่าฉันเคยมีลูก บางทีฉันก็ลืมไปแล้วว่าฉันเคยมีลูก แต่ตอนนี้ผ่านมา ไม่ความบังเอิญก็ความรู้สึกอยากรื้อฟื้น ความทรงจำมันวาบเข้ามาขณะหนึ่ง เป็นขณะเดียวกับตอนหาลานลงจากฟ้า เป็นขณะเดียวกับที่เห็นป้ายโฆษณาชุดนักเรียนตราสมอ เป็นขณะ เดียวกับที่เกิดภาพเด็กผู้หญิงหัวเราะร่วนกำลังวิ่ง-กระโดดเข้าหาพ่ออยู่ในหัว เป็นขณะเดียวกับที่เห็นภาพเด็กผู้ชายในชุดหมีสีเขียวนอนคว่ำกำมือในท่าเหาะบนเบาะฟองน้ำ และเป็นขณะนั้นเอง ที่ขาทั้งสองข้างกระแทกพื้น การลงอย่ารวดเร็วรุนแรงไม่สามารถหยุดได้กะทันหัน แม้เกิดการกระทบกระเทือนหัวสมองในกระโหลกแต่เท้าก็ยังสืบต่อตั้งหลัก แม้จะสะเทือนไปทั้งตัว แต่มือไม้ก็ยังป่ายเปาะปะหาที่ค้ำประคอง ได้ราวกั้นสระน้ำเป็นที่พยุงตัว ก่อนล้มลงนั่งตรงขั้นบันได เท้าถึงกับชา ขาถึงกับสั่น พักเรี่ยวแรงและตรึกคิด ความทรงจำเกิดก่อนจะมาถึง หรือพึ่งเกิดตอนที่มาถึงแล้วก็ยากที่จะรื้อฟื้น มันคงเกิดขึ้นพร้อมๆกัน เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน เพราะจิตคิดเห็นภาพ-ร่างกายจึงมาถึง เพราะร่างกายมาถึง-จิตจึงเห็นภาพ ภาพแห่งความสุข ผู้คนกำลังยิ้มแย้มระเริงร่า อากาศแจ่มใส ไอแดดร้อนเร่าแต่ทว่าร่าเริง เป็นภาพซ้อนอยู่ในสายตา เคยมีน้ำเปี่ยมปริ่มอยู่ในสระตรงหน้า แสงแดดไสวสว่างส่องทะลุน้ำใสๆถึงพื้น บ้างสะท้อนกลับใส่หน้าผู้ที่แหวกว่ายเล่นอยู่ระยิบระยับ แสงแดดอุ่นสดใส สายน้ำเย็นสดชื่นทุกอณู ในน้ำหลากสระ สระน้ำหลากสีสัน เล่นระดับลวดลายกันเบื้องหน้า บนไสลเดอร์หลายเส้นหลากสี มีการแสดงลีลาของผู้กล้าท้าแรงโน้มถ่วงเวียนวนไหลกายลื่นลู่ลงสู่สระ แม่ผมเปียกยาวลู่ไหล่-ลูกชายตัวน้อยสะบัดวิดน้ำใส่กัน พ่อแกล้งปล่อยลูกสาวตัวน้อยที่กำลังจะร้องไห้บนห่วงยางแต่แค่หยอกแล้วก็โอ๋ พี่ชาย-น้องสาวกำลังวิ่งแข่งกันไปปีนสไลเดอร์ของเด็ก ภาพใบหน้าของแต่ละคนวนเวียนเข้ามาซ้อนอยู่ตรงหน้าแจ่มชัดเหมือนพึ่งจะเกิดเมื่อวาน ชั่วขณะที่หัวใจมันเหม่อเพ้อดิ่งพุ่งสู่ความทรงจำนั้น ในด้านเหตุผลบอกว่าน่าจะลืมเพราะเรื่องมันนานนมเนมาแล้ว แต่ส่วนเหนือเหตุผลนั่นแหละที่เฝ้าตรึกฝืนตรองอยากให้มันชัดขึ้นยิ่งกว่าเดิม ทันใดนั้นหูก็แว่วยินเสียงเด็กผู้ชายแว่วอยู่ในหู  “พ่อๆอยากเล่นสไลลื่นครับ”

    หูมันได้ยินอย่างนั้นก็จริง แต่ใช่ว่าเสียงมันจะเป็นอย่างนั้น เพราะเมื่อเสียงมันกระทบประสาทเข้ามาในสมองแล้ว เสียงนั้นมันก็สลายตัวผ่านไป แต่ในสมองนี้กลับจดจำเสียงนั้นเป็นรูปแบบใหม่ ซึ่งมีการปรุงแต่ง อาจมีการประทับด้วยความทรงจำใหม่ก่อนที่ความทรงจำเก่าๆจะผุดขึ้นมาเข้าร่วมเป็นการประสานเสียงภายในของวงออเครตต้าที่ไม่ใช้เสียง เมื่อเหลียวมองรอบด้านไม่มีใคร มีแต่ความว่างเปล่า ฉันจึงคิดเอาว่า หูคงแว่วไปเองหรือความจำเก่ามันผุดขึ้นมา แต่มันผุดขึ้นมาแรงเกินไปจนเกิดเป็นเสียงในสมอง

    ฉันเดินสำรวจสวนน้ำเก่าเปล่าร้างไร้ผู้คนและอารมณ์ พื้นแห้งๆและมีฝุ่นจับเป็นคราบ อุปกรณ์เครื่องเล่นถูกปล่อยไว้ไร้ประโยชน์ ม้าโยกที่เคยสร้างความสุขให้เด็กๆเมื่อยามขึ้นขย่ม สร้างรอยยิ้มของพ่อแม่เมื่อเห็นลูกหัวเราะ เป็นแค่ที่เกาะโยงของใยแมงมุมร้างๆ เจ้าของใยคงขาดแคลนจัดจนต้องทิ้งถิ่นฐาน เคลื่องชูตลูกบ๊าตฯ ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ของที่พอใช้การได้ถูกย้ายออกไปหมด เหลือเพียงของที่ทิ้งร้างเพราะถูกใช้งานจนคุ้มควรและหมดความหมาย ความรู้สึกเสียวซ่านแล่นไปตามสันหลัง ขนลุกวาบขึ้นจนถึงหัว เหมือนอารมณ์ของคนในอดีตที่เคยผ่านมาที่แห่งนี้นั้นมันรวมกันเป็นกระแสและไหลวูบเข้าสู่เส้นประสาทของฉัน พลันคิดว่าคนเหล่านั้นไปอยู่ไหนกันบ้าง เป็นอย่างไรกันบ้าง อะไรๆที่สร้างความสุขของคนเมื่อครั้งโน้น อาจไม่ได้สร้างความสุขให้คนในยุคนี้ และ อะไรๆที่สร้างความสุขให้คนยุคนี้ อาจไม่สามารถสร้างความสุขให้กับคนรุ่นถัดไป

    ฉันเห็นประตูกระจกบานหนึ่งถูกคล้องด้วยสายโซ่ด้านในนั้น พลางสอดส่องหาช่องทางที่จะเข้าไปด้านใน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจ้างยามมาเฝ้าสถานที่แบบนี้ สถานที่ซึ่งกลายเป็นอดีต มียามเคยยืนเปิดประตูอยู่แถวนี้ ฉันก็เคยเป็นแบบยาม ทำหน้าที่ของยาม สัญลักษณ์ของความปลอดภัย แม้ยามส่วนใหญ่จะไม่ได้ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยอะไร เป็นเพียงหน้าฉากของงานบริการเท่านั้น ฉันก็เหมือนกัน ฉันมาในรูปลักษณ์ที่น่าปลอดภัย ชุดฟอร์มดูคล้ายๆตำรวจแต่มองดูแล้วอบอุ่นใจและสนิทใจกว่า อาจเป็นสังคมที่ฉันเคยอยู่ทำให้คิดนึกอย่างนี้ เพราะเราหลอกตัวเองไม่ได้ ตัวเราเองนั่นแหละที่โดนหลอกอยู่ ถ้าเราไม่ยอมรับว่าเราโดนหลอกอยู่ เราก็จะโดนหลอกอยู่ร่ำไป ชุดยามที่ฉันสวมใส่มามีสีน้ำตาลอ่อนแบบชุดลูกเสือ แต่เข้มกว่าหน่อย คล้ายสีกากีแต่ไม่ใช่แบบของตำรวจ ฉันจงใจให้ใครต่อใครเห็นฉันเป็นอย่างนี้ ไม่ได้อยากปิดบังตัวตนที่แท้จริง แต่เพื่อความกลมกลืนทางจิตใจต่อผู้ที่พบเห็น  ไม่อยากโอ่อ่าโดดเด่นดึงดูดสายตาด้วยชุดฉูดฉาด คนอวดไม่จำเป็นต้องเก่ง ฉันไม่เก่งและไม่อวด มันขัดความเป็นจริงทางธรรมชาติที่คนเก่งและคนโง่จะอยู่ในตัวคนเดียว ชุดประหลาดๆทำให้ฮีโร่ดูโง่ ฉันไม่ได้อับอายในความแปลกเหนือมนุษย์แต่ก็ไม่อยากเปิดเผย พวก ร.ป.ภ. รู้ดีกว่า ถึงแม้ว่าจะหลอกตัวเองอยู่ทุกวันว่านี่เป็นอาชีพสุจริต แต่ก็หลอกได้แค่จิตส่วนคิดหาเหตุผล เพราะลึกๆกว่านั้นมันก็ยังค้านตัวเองว่าเราไม่ได้เป็นผู้รักษาความปลอดภัยโดยกำเนิด เราทำแค่ชั่วคราว ทำแค่รอโอกาส ทำแค่รอเวลาสักวัน รอแค่ใครสักคนจะมองเห็นศักยภาพแท้จริงอันซ่อนอยู่ในตัวเรา

    ชุดยามอันกลมกลืนกับความปลอดภัย พาฉันผ่านมาถึงถนนด้านล่างได้อย่างสบายๆ ถนนภายนอกมืดค่ำแล้ว ไฟสปอร์ตไลท์สีส้มถูกเปิดตามถนน แสงไฟจากรถยนต์ส่องผู้คนเป็นเงาเคลื่อนไหว ตามสะพานลอยคนข้ามก็เต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่ พวกเขาข้ามจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง ข้ามจากขาไป-มาสู่ขากลับ ข้ามจากความเหนื่อยล้ามาสู่ความผ่อนคลาย บ้างข้ามจากวัยเด็กสู่วัยหนุ่ม-สาว บ้างข้ามสู่วัยหนุ่มสาวสู่วัยชรา เป็นช่วง

    ต่อของการเปลี่ยนเวรยาม สัตว์พวกหนึ่งกลับสู่รวงรัง แต่สัตว์อีกพวกกำลังออกโลมโลก ผีเสื้อราตรีเตรียมพร้อมที่จะเริงระบำ แต่ผีเสื้อทิวาเตรียมตัวพักผ่อนแผ่นปีกทีระบัดระบายมาทั้งวัน ฉันขึ้นรถในตลาดเพื่อจะไปต่อเรือที่ท่าน้ำ

    ผ่านหอพักที่เคยเช่าอยู่ตอนเป็นยาม น้องชายเจ้าของหอเป็นลูกค้าโรงพยาบาลประสาท ผ่านโรงงานที่เคยประจำการเป็นยามเฝ้า ยามคนหนึ่งกำลังเลื่อนแผงกันรถออกให้รถผู้บริหารคันหรูผ่านไป ผ่านทัศนียภาพโรงงานอันคุ้นตา ผ่านร้านสะดวกซื้อที่โทรมลง ผ่านห้างที่พึ่งสร้างขึ้นใหม่ พอผ่านร้านเหล้าที่เคยร่ำรินกินดื่ม เมื่อเห็นแสงสีชมพูกับโถแก้วใสบรรจุน้ำสีเหลืองเข้มสี่โถเรียงรายเท่านั้นฉันก็กดกริ่ง โชเฟอร์เหยียบคันเบรกรุนแรงเหมือนรู้ใจ

    ฉันไม่รู้ว่าความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์ของฉันนั้นมีมาได้ด้วยเหตุไร จริงอยู่ ฉันเคยดูหนังเกี่ยวกับยอดมนุษย์ แต่พวกฮีโร่พวกนั้นต้องมีเหตุสักอย่างให้เขาเหาะได้ พวกเขาจึงมีพลังเหนือมนุษย์ อย่างน้อยพวกเขาต้องมี

    คุณธรรมบางอย่าง และบังเอิญไปถูกตัวอะไรกัดหรือโดนสารอะไรบางอย่าง หรือมาจากดาวดวงอื่น หรือว่าฉันมาจากดาวดวงอื่น และจริงอยู่ ฉันเคยได้ยินแต่เรื่องราวของพระสงฆ์บางรูปที่มีคนเห็นท่านบนอากาศ แต่พอมีคนไปถามท่านก็ตอบปฏิเสธ ว่า ท่านไม่ใช่ผี จะไปเหาะได้อย่างไร ท่านต้องปฏิเสธเพราะว่าเป็นพระหรือ พระท่านห้ามอวดฤทธิ์ อวดเดชนี่น่ะ แต่ว่ามีใครหลายคนที่เห็นอย่างนั้นว่าท่านเหาะแปลว่าคนเหล่านั้นตาฝาดพร้อมๆกันใช่ไหม หรือว่าท่านโกหก คงไม่ใช่ แต่ท่านไม่ได้บอกความจริงทั้งหมด ก็ท่านบอกไม่ได้นี่ การไม่ได้บอกทั้งหมดไม่ได้ปิดบังอะไร ไม่ใช่การโกหกหลอกลวง การเป็นพระหากจะพูดอะไรนี่มันก็ยากจริงๆนะ ฉันก็เคยอยากเป็นพระเหมือนกัน และก็เคยใฝ่ฝันว่า ถ้าเหาะได้เหมือนในหนังก็น่าจะดี แต่พอเหาะได้ขึ้นมาจริงๆแล้วกลับรู้สึกเฉยๆ ไม่รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อโลกนี้ขึ้นแต่อย่างไร เพราะฉันไม่ได้เรียกร้องอะไรนี่ แต่มีอะไรบ้างนะที่ฉันต้องเสียไป มีอะไรบ้างที่ฉันต้องแลกกับการเหาะได้มานี่

    แต่แปลกเหมือนกัน พอแตะต้องเหล้าไปเพียงนิดหน่อย แค่เพียงสักเป๊กเดียวเท่านั้นเอง ฤทธิ์เหาะของฉันจะสลายไปเหมือนไอน้ำบนกระทะเปียกที่ยกตั้งเตาไฟ ไม่รู้ว่าฤทธิ์เหล้ามันรุนแรงขนาดไหน แต่ทำให้ความพิเศษเหนือมนุษย์ของฉันเสื่อมสภาพไป แต่ฉันก็ยังคงดื่มมัน มีหลายคนที่ยังดื่มมัน ฉันยอมเดินกลับบ้าน ขึ้นรถ ลงเรือ เหมือนกาลเก่าก่อนกลับบ้าน แค่ขอให้ได้กินเหล้า เหล้าไม่ได้ทำให้โลกสวยขึ้น แต่ทำให้สายตามองไม่เห็นความทรามของโลก เหล้าไม่ได้ทำให้คนมีความสุข แต่ทำให้คนลืมความทุกข์

    ทันทีที่น้ำสีอำพันใสได้ถูกราดลงลำคอ ตามกระเพาะถึงลำไส้ก็ร้อนผ่าว หดเกร็ง เส้นประสาทถูกกระตุ้นเป็นกระแสซาบซ่านไปตามสรรพางกาย ก่อนที่จะซุ่มงึมเงียบ

    ทันทีที่น้ำสีอำพันใสได้ถูกราดลงลำคอ ความมุ่งมาดปรารถนาทะยานอยากสิ่งใดๆในโลกก็เหมือนไม่มีอีกแต่บ้างก็กลับจะตีฟุ้งขึ้นมามากกว่าเดิม

    ทันทีที่น้ำสีอำพันใสได้ถูกราดลงลำคอ ความทรงจำก็ผุดขึ้นมาตีกับความคิดและหมอบมุดลงเหมือนหมาซึมๆนอนเลียแผลโดนรุม

    แม้รสชาติจะไม่ค่อยจะคุ้นลิ้น กลิ่นไม่คุ้นจมูก แต่ก็ไม่ใช่กลิ่นและรสที่ทำให้คนมานั่งอยู่ในซุ้มเล็กๆที่เรียกว่าร้านยาดองนี้ พอๆกับไม่ใช่แม่ค้าหน้าหวาน หรือลูกค้าอัธยาศัยดีที่นั่งอยู่ก่อนนั้นดอก น้ำจัณฑ์ตัวเดียวนั่นแหละที่ดึงดูดผู้คนเข้ามานั่ง ณ ที่เล็กๆมุมหนึ่งของโลกแห่งนี้ แม้บรรยากาศต่างๆก็ดูเหมือนจะโดนกลบเป็นเรื่องรองลงไป เหมือนพระรองที่โดนรัศมีของพระเอกกลบเสียสิ้น ซึ่งพระเอกในที่นี้คือดีกรีที่ร้อนแรงในราคาที่ย่อมเยา พระรองก็คือบรรยากาศรายรอบ เป็นใครก็เมาได้ไม่ว่าจะเป็นยามโรงงาน มอเตอร์ไซด์รับจ้าง คนงานก่อสร้าง หรือแม้แต่ขอทานตาบอด เวลาเหล้าเข้าปากแล้วเราจะคุยกับใครก็ได้ เป็นอันเข้าใจกันหมด ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไร มีพื้นเพมาจากไหน ฐานะเป็นอย่างไร รากฐานการศึกษาแค่ไหน เพราะเหล้ามันปลอกเปลือกความเป็นคนของเรา ละลายอัตตา เวลาคุณเมาคุณจะไม่มีจริตที่จะเสแสร้งให้ตัวเองดูดีอะไรหรอก จนบางครั้งมันแสดงสัญชาติญาณดิบเถื่อนเกินไปจนห้ามตัวเองไม่อยู่หรือที่เรียกว่าขาดสตินั่นแหละ ก็ความพอไม่เป็นของคนกินเหล้านี่แหละที่เป็นปัญหา ถ้าเกินพอดีแล้วเขาเรียกว่าเมา จากคุยกันดีจะเริ่มเป็นคุยกันไม่รู้เรื่อง จากไร้อัตตาก็จะฟุ้งไปด้วยอัตตา น้ำยาที่เรียกว่าเหล้าทำอะไรได้สารพัดเกินจะสารพันนำมาเล่าให้หมดได้ บทกวีและนิยายหลายเรื่องเขียนด้วยน้ำหมึกที่ปนด้วยเหล้า เหล้าทำคนดีให้เป็นคนร้าย ทำคนตระหนี่ให้ใจกว้าง ทำคนแปลกหน้าให้คุ้นเคย ทำคนเย็นชาให้เป็นคนอ่อนไหว ทำคนใจแข็งให้ยอมใจอ่อน ทำคนใจอ่อนให้ทนแข็งใจ และทำให้ซุปเปอร์แมนเป็นคนเมาธรรมดา และที่สุดของความไม่มีเหตุผลของเหล้า มันอาจจะเปลี่ยนจากคนเมาเป็นพระก็ได้เมื่อถึงเวลาจำเป็น…

     

     

     

     

    บทตาม

    ฉันเป็นพระธุดงค์

     

     

                เมื่อคืนฉันพักอยู่ที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งบนเขาคอหงส์ ไม่ไกลจากเมืองหาดใหญ่นัก ยามค่ำคืนมองลงมาจากบนนั้นแล้วเห็นไฟสีส้มสาดส่องฉาบฉายท้องฟ้าสีดำเหนือเมืองหาดใหญ่จนจ้า มองแล้วเพลิดเพลินตาพาใจเตลิด ตัดสินใจออกมาเมื่อเริ่มมีความพอใจในสถานที่ หากอยู่ที่ใดนานๆแล้วก็เป็นธรรมดาที่ต้องเกิดการติดใจ พอจิตมันเริ่มคุ้นเคย  มันก็เหมือนกับความใคร่ที่จะอยู่ต่อเพราะติดความสะดวก-สบาย จริงอยู่ว่ามันสงบดี แต่ปณิธานที่เราออกจากวัดป่าบ้านภูดงไร่มาก็เพื่อละความพอใจในสถานที่ออกเสีย ก่อนที่กาลเข้าพรรษาจะมาถึง แม้จะกลับไปอยู่ที่วัดป่าบ้านภูดงไร่ที่เดิมก็ไม่เป็นไร แต่ให้ไปอยู่ในฐานะที่สมควรไปอยู่ตามพุทธบัญญัติ ไม่ใช่ไปอยู่เพราะไม่มีที่อื่นให้อยู่ ไม่ใช่ไปอยู่เพราะคุ้นเคยสถานที่ที่นั่น ไม่ใช่ไปอยู่เพราะคุ้นเคยญาติโยมที่นั่น ไม่ใช่ไปอยู่เพราะคุ้นเคยอาหารการกินที่นั่น จริงอยู่ที่ท่านให้หาสถานที่สับปายะ-สะดวกสบายอยู่ แต่ความสับปายะ-สะดวกสบายของการปฏิบัติ กับ ความสับปายะสะดวกสบายของกิเลส มันอาจก้ำกึ่งกันอยู่บางส่วน เมื่อเริ่มจะยึดติดยินดีในสถานที่นี้ คล้ายมีเงาความขี้เกียจผ่านพาดเข้ามาในจิต ฉันก็สมควรจะเดินทางจากไป

    เดินมาทางจังหวัดพัทลุง ประมาณสิบกิโลแล้ว หลักกิโลบอกว่า พัทลุง88 สตูล88 เลขสวยดี จึงเอาโทรศัพท์ถ่ายรูปไว้หน่อย จะเป็นกิเลสหรือเปล่านะที่ถ่ายรูป ช่างมันเถอะ เลขสวยดีและประจวบเหมาะ จากหลักนี้ไปสองจังหวัดนั้น เท่ากันพอดี มันช่างบังเอิญจริงๆ  ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง แดดที่แผดกล้าเมื่อชั่วโมงก่อนเริ่มราแรงลงแล้ว แต่ขาที่ดูเหมือนแข็งแรงเมื่อแรกเริ่มเดินก็เริ่มล้าลง ฝ่าตีนที่มั่นใจว่าด้านพอทนได้กับพื้นถนนลาดยางกลางแดดก็เริ่มออกอาการสำออย กรวดหินก้อนเล็กก้อนน้อยที่ตีนเหยียบลงเหมือนฝังตัวติดตีนขึ้นมาด้วย

    ต้องคอยหยุดปัดแปะออกอยู่เรื่อยๆ ฝ่าตีนนี้แสบเหมือนกับว่ามันไม่มีหนังตีนรองอยู่ชั้นนอก สายตาก็พลางมองหารองเท้าสักคู่ตามไหล่ทางที่เผื่อใครจะสลัดทิ้งไว้  ไหล่ขวาที่สะพายย่ามบาตรบริขารก็เริ่มถลอก เปลี่ยนเอาไปพาดไหล่ซ้ายบ้าง เอามุ้งกรดไหล่ซ้ายซึ่งเบากว่ามาพาดไหล่ขวา ในตอนแรกกะว่าจะเดินให้ได้สามกิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามหลักสถิติถ้าเราเดินสามกิโลเมตรต่อชั่วโมง แปดชั่วโมงต่อวัน เราก็จะเดินได้วันละ ๒๔กิโลเมตร ซึ่งหากจะเดินจากหาดใหญ่ไปขอนแก่นด้วยความเร็วเท่านี้แล้ว ระยะทาง๑๘๐๐กิโลเมตรน่าจะพิชิตได้โดยใช้เวลา๖๕วัน นั่นมันทันถมเถไปหากจะให้ถึงก่อนวันเข้าพรรษา แต่ฉันต้องเดินทุกวันไม่มีวันหยุดพัก ซึ่งปณิธานอย่างนั้นมันออกจะคล้ายเป็นไปด้วยความโลภและมานะ แต่ก็นั่นแหละอย่างที่บอกนั่นมันในตอนแรก พอเท้าเริ่มพองและแสบร้อน ความอยากบรรดามีก็เหือดหาย ไปพร้อมกับเหงื่อที่แห้งไปทิ้งไว้เพียงความเหนอะหนะ  ความมุมานะกับกิเลส มันกำลังดึงตัว และฉุดจิตใจของเรานี้อยู่ เหมือนกับเราเป็นเชือกที่พวกมันใช้ดึงชักเย่อแข่งขันกัน

    ความมุมานะอันแรกเป็นสิ่งดีเพราะมันบริสุทธิ์มาก ฉันเพียงอยากเดินไปเรื่อยๆ ไร้จุดมุ่งหมายเหมือนคนไร้บ้าน พอค่ำก็พักกางมุ้งกลดพอได้พักผ่อนหลับนอน ตอนนี้ฉันว่าการหยุดเดินนั่นแหละเป็นกิเลสเพราะเป็นความขี้เกียจ

    ความมุมานะต่อมามันเกิดขึ้นตอนเมื่อมีผู้หวังดี จอดรถเพื่อจะรับไปบ้าง จอดรถเพื่อถวายน้ำหรืออาหารบ้าง จอดรถเพื่อถวายปัจจัยเป็นเงินบ้าง ฉันปฏิเสธเพียงการขึ้นรถเท่านั้น ส่วนอย่างอื่นฉันไม่ได้ขัด ศรัทธาที่ญาติโยมมีจิตอยากถวายฉันขอรับไว้ก่อน ข้อที่ว่าไม่ควรจับเงินเพราะเป็นวัตถุอนามาตนั้นฉันเข้าใจเพราะมันเป็นเหตุผิดวินัย แต่ฉันก็คิดว่าท่านห้ามด้วยเหตุกลัวว่าพุทธบุตรผู้ยังมีอินทรีย์อ่อนจะยึดติด มุ่งในธรรมวินัยนี้เพื่อลาภสักการะสะสมเงินทอง ถ้าจะผิดก็ต่อเมื่อเราจับเงินด้วยจิตที่มีควาพอใจกับมัน ปรารภมันเป็นเหตุให้ทำการกสิกรรมปศุสัตว์ ยกมันให้มีอำนาจเหนือจิตใจต่างหาก หากไม่ใฝ่หาด้วยใจที่เป็นทาสราคะอยากสะสมแล้ว ท่านคงไม่ห้ามแต่อย่างใด ก็เหมือนพระอรหันต์จี้กงนั่นแหละที่ท่านกินเหล้าเพราะท่านไม่ติดยึด ก็เหมือนพระอุปคุตนั่นแหละที่ท่านฉันข้าวในเวลาวิกาล แต่แม้ดวงตะวันยังย้อนผันคืนมาตรงหัวเหมือนตอนเที่ยงวัน ถ้ากิเลสมันละได้จริงมันก็ต้องละได้ด้วยเหตุผลทางใจ ไม่ใช่มันจะละลงให้กับการโดนบังคับกดห้ามไว้ เมื่อมีใครต่อใครจอดรับมากขึ้น มีการสนทนารายทางกับศรัทธาที่จอดรับ คำตอบของฉันก็เป็นไปในทางปรารภญาติโยมว่าจะเดินไปให้ถึงขอนแก่นบ้าง จะไม่ขึ้นรถจนถึงขอนแก่นบ้าง แม้ไม่ได้พูดตรงๆว่าจะทำอย่างนั้น แต่ด้วยเนื้อหาแล้วมันสื่อให้เข้าใจอย่างนั้น และภาพสีหน้าของบรรดาญาติโยมที่น่าฉงนระคนการอนุโมทนาต่อการเดินของฉัน มันยิ่งเป็นการย้ำปณิธานและเป็นการตั้งอธิฐานะบารมีขึ้นในใจโดยปริยาย  ว่าฉันจะเดินให้ได้จริงๆ ถ้าหากทำได้จริงๆแล้วจะเป็นสัจจะบารมีอีกด้วย

    ความมุมานะที่เป็นกิเลสมันเริ่มเกิดตรงนี้นี่เอง ฉันจะทำให้ได้ ฉันจะเดินไปให้ถึงขอนแก่น ฉันจะมีประวัติไว้ภาคภูมิใจชั่วชีวิตฉัน ฉันจะทะนงตนได้เวลาใครต่อใครพูดถึงฉันว่า พระองค์นี้แหละเดินที่คนเดียวจากหาดใหญ่ถึงขอนแก่น ญาติโยมจะพากันมาต้อนรับฉันเหมือนการกลับมาของพระโพธิสัตว์ หนังสือพิมพ์อาจจะมาทำข่าว นักข่าวจะมาสัมภาษณ์ ฉันจะลงภาพการเดินในเฟซบุ๊คแบบเรียวไทม์ ฉันจะถ่ายภาพตัวเอง

    ผ่านมือถือออนไลน์ให้ผู้คนอนุโมทนา ฉันจะทำอย่างนั้น ฉันจะดัง ฉันจะ ฉัน ฉัน ฉัน…

     

    ในการปฏิบัติธรรมนั้น อันดับแรกสุดต้องมีความเห็นแก่ตัวก่อน เห็นแก่ตัวยังไง การเห็นแก่ตัวมันความหมายไม่ดีนี่ แน่ล่ะที่ว่าใครๆก็ต้องเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น แต่ชาวโลกนั้นเห็นแก่ตัวเอง แต่ไปเอาเปรียบคนอื่น การเห็นแก่ตัวต้องไม่เอาเปรียบเขา ไม่เอาดีเข้าแต่ตัว โยนความชั่วให้คนอื่น คนทุกคนก็อยากได้ดีกันทั้งนั้นแหละ ผิดแต่ว่าไม่อยากทำดี เพราะทำดีมันต้องฝืน ที่เราต้องฝืนเพราะเรามีกิเลสไง เราไม่ได้ฝืนตัวเองอะไรหรอก เพราะตัวเองจริงๆไม่มี ที่เราทำดีไม่ได้เพราะเราแพ้ตัวกิเลส คนที่เริ่มเห็นว่าการละความชั่วเป็นสิ่งที่ควรทำ นั้นแปลว่าเขาเริ่มเห็นแก่ตัวแล้ว แต่เห็นแก่ตัวแบบมีปัญญา เห็นแก่ตัวแบบจะต้องเอาความดีเข้าตัว เห็นแก่ตัวแบบนี้เริ่มเข้าทางแห่งศีล ถ้าเห็นแก่ตัวแบบไปทำชั่วนั้น เรียกว่าเห็นแก่ตัวแบบหวังจะได้ผลดี แต่กลับไปทำชั่ว การกระทำจึงขัดกับความหวัง การเห็นแก่ตัวแบบผิดๆนั้นน่าจะเรียกว่า การเห็นแก่กิเลสมากกว่า คือเห็นมันเป็นเจ้าเหนือหัวต้องทำตามใจมัน ไม่เห็นว่ามันเป็นกาฝากที่แฝงมาในร่างกายเรา จิตในเรา กาฝากไม่ใช่ต้นไม้แต่เราดูไม่ออก ถ้าใครมองเห็นแล้วจะรู้ว่ามันเกาะอาศัยเรากิน มันเกาะอาศัยเราเกิด การเห็นแก่ได้ เห็นแก่จะเอาก็เป็นเหตุให้ผิดศีลธรรมต่างๆนาๆ เช่น เห็นแก่ร่างกายเขาเราจะเอาเนื้อเขามากินบ้าง เอางาเขามาขายบ้าง เอาลูกเขามาเลี้ยงบ้าง เอาขนเขามาทำเสื้อบ้าง เอาอวัยวะเขามาทำยาบ้าง เอาเขามาประดับบ้านบ้าง เราก็ฆ่าเขา บางทีก็ฆ่าเขาทิ้งเฉยๆ เพราะเขามาทำร้ายเราก็มี  นี่ฆ่าด้วยโทสะ บางทีก็ฆ่าเขาทิ้งเฉยๆ ด้วยถือเป็นเกมก็มี นี่ฆ่าด้วยโลภะ บางทีก็ฆ่าเขาทิ้งเฉยๆ เพราะทำจนเคยชินก็มี  นี่ฆ่าด้วยโมหะ นี่พวกนี้เห็นแก่ตัวแบบผิดๆ ถ้าเห็นแก่ตัวแบบเอาดี ท่านต้องถือศีล ข้อแรก ปาณาฯ นี่เจตนางดเว้นจากการฆ่า นี่ละความเห็นแก่ตัวข้อแรก แล้วข้อที่สองนี่เอ้า นี่เราเผลอแล้ว เผลอคิดไปไกล เผลอเทศน์ในใจ บ้าเอ๊ย กูเทศน์ให้ตัวเองฟัง ใจนี่มันเทศน์ไปเอง อยากบอกอยากสอนญาติโยม นี่หรือเปล่านะที่เรียกวิปัสนูกิเลส เกิดปัญญา แต่ว่ารู้ไม่เท่าทันมัน แต่ก็ดีไม่ใช่หรือ เป็นการพิจารณาธรรม ตามดูมันไปดี หรือว่าจะห้ามมันดี หรือจะดึงจิตกลับมาที่เท้าตัวเองดี ขวา ซ้าย ขวา ซ้าย ดูตัวเองมันเดินไป ขวา ซ้าย ขวา ซ้าย เอ เมื่อกี๊คิดถึงไหนนะ ห้ามฆ่าสัตว์ แล้วก็ ห้ามลักทรัพย์ ลักทรัพย์เขามันก็เห็นแก่ตัวเองอยากได้ของเขา แน่ะคิดอีกแล้ว มันอยากคิดก็ให้มันคิดไปเถอะ ตามดูจิตที่มันคิดก็ได้นี่น่า แต่ว่าคิดแล้วมันเหนื่อยว่ะ แต่มันห้ามมันไม่ได้ มันจะคิดก็เผลอไปคิดของมันเอง นี่แหละน้า สังขารมันไม่ใช่ตัวตนอะไร มันจึงห้ามไม่ได้ นี่จิตมันแสดงอนัตตา แน่ะ คิดไปเรื่องใหม่อีกล่ะ เดี๋ยวมันอยากคิด เดี๋ยวมันหยุดคิด เดี๋ยวมันก็เบื่อที่จะคิด นี่มันทนไม่ได้ เป็นทุกขัง พอคิดไปคิดไปจิตมันเหนื่อยเองมันก็หยุดเอง จิตก็แสดงอนิจจัง โห นี่เราคิดเองจริงๆหรือจำเขามาว่ะ น่าจะเคยฟังพระเทศน์มา คนเราทุกข์เพราะความคิด หยุดคิดได้ถึงจะหมดทุกข์ แต่ท่านก็ว่า อัตตะนาโจตะยะตานัง จงเตือนตนด้วยตนเอง ถ้าเตือนตัวเองไม่ได้แล้วจะไปเตือนใคร แล้วใครจะมาเตือนเราได้ ใครๆก็สอนคนอื่นได้ทั้งนั้นแหละ แต่ตัวเองมันสอนยาก ตอนคิดมันก็คิดแต่ดีๆทั้งนั้นแหละ แต่ตอนทำมันไม่ค่อยเอาไหนเลยเรา ช่วยตัวเองให้พ้นทุกข์ก่อนเถอะ ค่อยคิดจะไปสอนชาวบ้านเขา ค่อยคิดจะไปช่วยใครๆ นี่ยังไม่รู้เลยว่าจะสึกเมื่อไหร่ พึ่งได้พรรษาเดียว

    รถปิกอัพตีไฟชิดซ้ายชลอจอดข้างทาง คนขับลงมาเป็นผู้หญิง นิมนต์รับอะไรสักอย่างถวายมาในถุง ฉันรับแล้วก็ยืนให้พรอยู่ข้างถนน นั่นแหละ การให้พรนี่ท่านว่าเป็นการแสดงธรรมหรือเปล่านะ พระวินัยห้ามไม่ให้แสดงธรรมกับผู้หญิงสองต่อสองเกิน 6คำ ต้องมีผู้ชายอยู่ด้วยเป็นเด็กก็ได้ขอให้รู้เดียงสา หรือบ้างก็ว่า ไม่ให้ยืนแสดงธรรมแก่คนไม่เจ็บไข้ผู้นั่งอยู่ ประมาณนี้หรือเปล่าวะ บาลีแปลยังไงก็สุดปัญญาที่จะท่องจำล่ะ ถ้าไม่ให้พรโยมเขาจะไม่เข้าใจอีกล่ะ ช่างเถอะให้ไปแล้วก็แล้ว สนองศรัทธาญาติโยมแค่นี้จะเป็นอะไร นี่เราคิดมากเกินไปหรือเปล่านี่ เริ่มรู้สึกแล้วล่ะว่าเป็นทุกข์ เรามาปฏิบัติธรรม ไม่ใช่มาท่องจำตำราให้ปวดสมอง การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องที่ต้องจำมาก แต่ต้องทำมากๆไม่ใช่เหรอ รู้แล้ววาง รู้แล้ววาง สัญญาความจำนั้นมันก็ไม่แน่นอนหรอก วันนี้จำได้ พรุ่งนี้อาจจะลืม อย่าไปใส่ใจกับตำรามากเลย พวกเซ็นนี่เขาสอนกันยังไงนะ ฉันว่ารู้เท่าที่รู้ก็พอแล้วสำหรับการปฏิบัติธรรม นี่เราจะคิดไปถึงไหนนี่ เมื่อไหร่มันจะเหนื่อย แต่คิดจนเหนื่อยแล้วมันก็ยังไม่หยุดนี่ ขวาย่างหนอ  ซ้ายย่างหนอ เวลาเดินอยู่นี่จิตใจฉันคิดเยอะมาก เดี๋ยวคิดไปนู่น เดี๋ยววกมานี่ อันที่จริงไม่อยากคิดแต่มันคิดของมันเอง ห้ามมันไม่ได้ มันคิดจนฉันรำคาญตังเอง อยากหยุดคิด อยากมองท้องฟ้าอย่างที่ไม่มีการพากย์ในใจ มองต้นไม้ใบไม้ด้วยจิตอันว่าง มองโลกด้วยความปล่อยวาง ปล่อยในฐานะที่มันเป็นไปเองตามธรรมชาติ ให้จิตใจเข้าถึงธรรมชาติที่แท้ ว่างเปล่าไร้การปรุงแต่ง เอ๊ะนั่นตัวอะไรผ่านท้องฟ้าไปแว๊บๆ นกอะไรวะบินโคตรจะเร็ว จะเป็นเครื่องบินหรือก็ไม่น่าใช่ เครื่องบินมันไม่บินอย่างนี้ ต้องมีไอพ่น ตาไม่ฝาดหรอก ฉันเห็นมันบินพาดท้องฟ้าผ่านเมฆขาวก้อนนั้นจริงๆ หรือจะเป็นเทวดา ฮื่อ เราท่าจะได้ตาทิพย์เห็นเทวดา หรือว่ามีใครบินได้ผ่านมาทางนี้ ช่างมันเถอะว้า ใครจะบินใครจะเหาะก็เรื่องของเขา เรามาบวชไม่ใช่เพื่อจะมาเอาของพวกนั้นนี่ แต่ถ้าได้จริงๆก็น่าจะดี ดีกว่าไม่ได้ เขาว่ามันจะทำให้ก้าวต่อไปยาก ทำให้มีการยึดในอัตตาตัวตนว่า เราเก่งกว่าเขา เราไม่ธรรมดา เรามีธรรมวิเศษ แล้วมันจะติดใจ หลงใหลในฤทธิ์ หากวันใดหมดฤทธิ์แล้วจะทุกข์ใจ เพราะฤทธิ์มันก็ไม่เที่ยง เป็นอนิจจังตามหลักไตรลักษณ์ นู่นมึงก็ว่าไปนู่น ฤทธิ์ห่าอะไรของมึงเดินให้รอดก่อนเถอะแล้วค่อยห่วงเรื่องฤทธิ์

    บางทีเราก็พูดกับตัวเองว่า เราบ้าง ฉันบ้างแทนตัวเองอย่างนั้น มันไม่แน่ ที่บางทีเราก็พูด มึงๆ กูๆกับตัวเอง พูดอยู่ในใจนี่เรียกว่าคิด การคิดเป็นมโนกรรม ถ้าเราไม่พูดออกมาก็ไม่มีใครว่าหรอก แต่ถ้าคิดจนปกติก็เป็นความเคยชิน จะก่อให้เกิดเป็นนิสัยติดคิด นานๆไปไม่รู้ทันมัน ความคิดเราจะออกมาเป็นวาจา ถ้าคิดหยาบคายคุณก็จะพูดหยาบ ฉันนี่ก็คิดหยาบๆบ้างเหมือนกัน สำเนียงภาษาสมัยนี้ยิ่งเหมาะชอบสำหรับคนที่มีจริตพูดหยาบ มองเหี้ยไร สัตว์เอ๊ย แม่ง กวนตีน มองหาพ่อมึงเหรอ คำสบถทำนองนี้มีเกลื่อนในภาษาสมัยนี้ มันพัฒนาในด้านลบ มันออกมาจากความคิดของคนโดยตรง ดูเหมือนว่าใครคิดได้หยาบมากก็จะได้รับความยอมรับมากในหมู่ของเพื่อนฝูงที่ยกกันเองในกลุ่ม เรียกว่าแนวว่างั้นนะ  มันถูกถ่ายทอดออกมาในหนัง ในทีวี ในเพลง เกลื่อนไปจนกลายเป็นปกติ ใครไม่พูดแนวนี้ เขาว่าเชย ฉันว่ามีธรรมมะของพระพุทธเจ้านี่แหละที่ไม่เชย ธรรมมะไม่ใช่ของใหม่ เป็นของเก่ามีอยู่คู่โลก แต่ว่าไม่เชย ไม่ใช่ของใหม่แต่ก็ไม่เชย ฉันจึงพอใจที่พอรู้ธรรมมะกับเขาบ้าง อยากให้คนอื่นๆรู้ธรรมมะอย่างฉันบ้าง แต่ฉันก็ไม่เบื่อที่จะรู้ยังจะค้นหาธรรมที่ลึกซึ้งยิ่งๆไปอีกตราบเท่าที่มีวาสนา อะไรที่ทำให้พระ14พรรษาสึกนะ และอะไรที่ทำให้คนที่เมาเหล้าอย่างฉันได้มาบวช

    จากสี่แยกใหญ่บนถนนเพชรเกษมที่พึ่งหยุดพักครั้งล่าสุดนั้นผ่านมาประมาณสามกิโล แต่ก็ยังไม่เจอที่พัก  ผู้คนจอดรถประสงค์ที่จะรับก็มีอยู่ ใช่ว่าจะมีแต่คนใต้ คนภาคอื่นที่มาตั้งหลักปักฐานที่นี่ก็มี แต่ก็ปฏิเสธไปหมด ยังนึกว่าน่าจะขึ้นรถสักคันเพราะตีนมันระบมแล้ว เหมือนเดินอยู่บนทรายที่เขาคั่วเกาลัด เดินแต่ละก้าวอย่างเชื่องช้า และหนักหน่วง เดินช้ายิ่งกว่าเดินจงกรม ขวาย่างหนอเจ็บหนอ ซ้ายย่างหนอ แสบหนอ หยุดหนอ เจ็บหนอ แสบหนอ เท่าที่จับเวลาเดินตอนแรกๆน่าจะได้สี่กิโลต่อชั่วโมงสบายๆ แต่ตอนนี้สักกิโลต่อชั่วโมงก็ยังยาก นึกถึงคำโยมคนน้ำพองขอนแก่นที่ว่า “ขึ้นรถแหน่ก็ได้ดอก หม่อม”แล้วก็นึกเห็นด้วย ในตอนนี้ฉันคิดได้ว่าการหยุดเดินอาจจะไม่ใช่กิเลสอีกต่อไป แต่การเดินต่อไปนั่นแหล่ะที่เป็นกิเลส ความมุมานะแบบผิดๆนั่นแหละที่เป็นกิเลส การธุดงค์ก็ไม่มีอะไรที่ต้องเดินหรอก การปฏิบัติข้อวัตรของธุดงค์คือการขัดเกลากิเลส ถ้าฉันทำแล้วมีมานะอัตตามากขึ้นก็แสดงว่าฉันทำผิด การเดินของฉันก็ไม่ได้เรียกว่าเดินธุดงค์ แต่เป็นการเดินเพื่อสนองกิเลส วัตรธุดงค์มีอยู่ 13ข้อ ต้องสมาทานรับเอา แต่ใครกันนะที่เริ่มต้นใช้การเดินรอนแรมของพระว่าการเดินธุดงค์ น่าจะเรียกว่าการจาริกถึงเหมาะ เพราะธุดงค์วัตรที่ฉันศึกษาจากไหนๆ ก็ไม่เห็นว่าจะมีการสมาทานเดิน จะมีก็แต่พวกตั้งใจว่าจะไม่ใช้ผ้าที่คนทำถวายจะใช้แต่ผ้าบังสุกุลชักมาจากศพ จะไม่ใช้จีวรผืนที่สี่จะถือผ้าเพียงสามผืน จะบิณฑบาตเลี้ยงชีพ จะบิณฑบาตไปเป็นแถว จะไม่นั่งฉันอาสนะที่สองคือฉันมื้อเดียว จะไม่ใช้ภาชนะในการฉันอื่นนอกจากในบาตร จะอยู่ตามแต่ท่านจะจัดให้ จะอยู่ตามโคนไม้ จะอยู่ตามที่แจ้ง แล้วก็มีอะไรๆอีกที่ฉันนึกไม่ออก  ไม่เห็นมีการเดินที่ตรงไหน เคยได้ยินแต่การเดินจงกรมเท่านั้นแหละ แต่จงกรมก็แปลว่าเดินนั่นแหละ ท่านให้เดินกลับไปกลับมาเพื่อไม่ให้เผลอสติออกนอกตัว ถ้าสติอยู่กับตัวได้แล้วระยะทางก็ไม่เห็นสำคัญ สถานที่ก็ไม่เห็นสำคัญ พื้นผิวที่ตีนเหยียบย่างไปก็ไม่เห็นสำคัญ ฉะนั้นตอนตั้งปณิธานนั้นฉันจะเอาทางสายนี้แหละเป็นทางจงกรมของฉัน หาดใหญ่-ขอนแก่น

    แต่ในตอนนี้ฉันคิดหาเหตุผลที่จะหยุดเดินมากมาย นักกีฬาสองพวกที่ชักเย่ออยู่ในใจฉัน คือพวกที่หาเหตุผลให้เหมาะสมที่จะหยุดเดิน และพวกที่คอยเตือนว่า “ถ้าหยุดเดินมึงก็แพ้ เป็นไอ้ขี้แพ้ เพราะมึงมันแพ้มาตลอดชีวิต และมึงก็จะแพ้ไปตลอดชาติ มึงมันไอ้ไก่อ่อน สัจจะวาจาตัวเองไม่มียังเสือกจะตั้ง  ต่อไปจะมีใครเชื่อมึง พูดอะไรจะไม่มีใครเชื่อ หลอกลวงเอาเงินเขาเข้าพก พอลับหลังก็ขึ้นรถกลับวัด ไอ้โล้นขี้โกหก  ไอ้โล้นหลอกข้าวชาวบ้านเขากิน หลอกชาวบ้านว่าจะเดินธุดงค์ ให้เขาส่งค่ารถ ค่ารถชาวบ้านส่งมาคงสูญไปเปล่าๆปลี้ๆ ไม่ได้บุญได้กุศลอะไรกับมึงเลย เสียดายค่าข้าวชาวบ้านเขา กว่าเขาจะหามาได้แทบตาย เขาแบ่งข้าวลูกข้าวหลานมาให้มึงแดก” และอีกมากมายที่ฉันจะนึกออก แต่เป็นไปในทำนองนี้

    ตะวันยื้อแสงสุดท้ายไว้ไม่อยู่แล้ว  ก็พอดีพบวัดที่จะนอนพักผ่อนคืนนี้ เวลาผ่านวัดส่วนมากจะสังเกตเห็นก่อนก็คือปล่องควันของเมรุ ไอ้ปล่องที่ไว้ระบายควันไฟขึ้นสู่อากาศนี่มันไม่ได้สูงโดดเด่นอะไรหรอกแต่มันเป็นเอกลักษณ์ทางด้านสถาปัตย์ที่ไม่มีในสถานที่อื่น สถานที่ๆเอาไว้ชำระล้างร่างไร้วิญญาณของคนให้กลับคืนสู่ธรรมชาติ คืนสู่ธาตุดิน น้ำ ลม โดยใช้ไฟเป็นตัวชำระ ฉันมองเห็นมันเป็นเงาดำมืดพาดท้องฟ้าตรงข้ามฝั่งถนน นั่นคือที่ๆฉันจะไปพักคืนนี้ นอกจากป่าแล้วก็ไม่มีที่ไหนเหมาะกับพระเท่ากับวัดอีก

    หลังจากเข้ากราบนมัสการเรียนขอพักกับเจ้าอาวาส และสรงน้ำผลัดผ้าเป็นที่สบายตัวแล้ว จึงได้คิดวางแผนว่า หากจะเดินต่อต้องหารองเท้าสักคู่ จะต้องหาผ้ามายัดสายย่ามให้หนาขึ้น สำรวจพบว่ามีน้ำซึมอยู่ใต้หนังฝ่าตีนใต้นิ้วชี้จนเห็นหนังตีนบริเวณนั้นเป็นสีขาว จะให้หายไวเราต้องหาเข็มเย็บผ้าสักอัน สนด้ายที่รูเข็มแล้วแทงหนังตีนให้ทะลุเพื่อรีดน้ำออก ทิ้งด้ายคาไว้ใต้หนังตีนอย่างนั้นแหละเอาไว้ดึงรั้งรูให้น้ำไหลออกเวลามีน้ำซึมออกมาอีก ทีนี้ก็จุดเทียนไข แล้วหยดน้ำตาเทียนลงไปที่หนังส่วนที่พองนั่น ทั้งแสบและร้อนปนกัน เสียวและคันนิดหน่อย พวกซาดิสซ์ คงชอบอารมณ์แบบนี้ พอเจาะน้ำออกจากหนังแล้วฉันก็ไปที่ร้านค้าของชำหลังวัด ติดกับรั้ววัดมีร้านค้าขายของชำที่ตั้งขึ้นอย่างชั่วคราว ตีด้วยเศษไม้ที่เหลือใช้ในงานก่อสร้าง ล้อมด้วยสักกะสี มีลูกค้าที่มองปราดก็รู้ว่าเป็นคนงานก่อสร้างนั่งอยู่ พวกเขาอยู่ในบริเวณที่พักชั่วคราวของคนงานก่อสร้าง เวลาหัวค่ำเป็นเวลาของการผ่อนคลาย และวงสนทนาที่ถูกตั้งขึ้นมาง่ายๆ ด้วยแรงดึงดูดของน้ำสีใสๆในขวดสีชา มีตรากระดาษรูปรวงข้าวแปะอยู่ สุราผสมสี่สิบดีกรีนี่มันมีมนต์ขลังอะไรนี่นะ แม้ฉันจะจากมันมานานเป็นปีแล้ว แต่บางเวลาฉันก็ยังนึกถึงสิ่งที่มันทำกับอารมณ์ของฉันอยู่ และ ที่มันทำกับร่างกายของฉันด้วย แต่มันไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่มันทำกับครอบครัวของฉัน

    แม่ค้าร้านชำมีศรัทธาให้รองเท้าแตะแก่ฉัน ฉันพลางเดินกลับวัดพร้อมน้ำปานะในมือเพื่อฉันบรรเทาความกระหายหิว แต่ในใจของฉันนี่มันดันถือบรรยากาศในวงเหล้าติดกลับมาด้วย สัญญาความทรงจำนึกถึงเพลงที่ฉันเคยแต่งเล่นๆตอนเป็นโยม “เหล้าต่างสีแต่ไมตรีไม่ต่างกัน” นึกถึงบรรยากาศที่ร้านสุราหลากหลายสถานที่ ในซอยสีน้ำเงิน ซอยเรวดี ถนนประชานิเวศน์ ถนนประชาสงเคราะห์ ซอยหลังสถานทูตจีน ซอยวัดกำแพง ซอยวัดดีดวด ซอยอิสรภาพ  และอีกหลายๆที่ ฉันไม่ได้ตั้งใจนึกขึ้นมาหรอก แต่บรรยากาศมันพาพัดจิตใจลอยไป มันเหมือนจิตพัดพาออกไปข้างนอกสู่อดีตอันอ้างว้างในอากาศเวิ้งหวิว แต่อันที่จริงจิตใจมันโดนฉุดชากให้จมลงสู่ความทรงจำอันแจ่มชัดในห้วงใจอันจ่อมลึกต่างหาก ฉันพยายามสลัดมันทิ้ง แต่มันสลัดไม่หลุด กลับสู่กุฎีแล้วฉันยังคงไม่ลืมจึงปิดหลอดไฟนีออนและนั่งเพ่งแสงเทียน

    เพลงมันเริ่มว่ายังไงนะ…ขวดต่างสีแม้ดีกรีต่างกัน แต่เธอมีฉันร่วมกันรินกิน มีโศกทุกข์กาย ระบายมลายสิ้น…

    จำได้เท่านี้ก็ดีแล้วนะ อย่าไปนึกมันเลย ไม่ใช่ดีที่นึกไม่ออกหรอก แต่มันจะดีกว่าที่จะไม่ต้องจำมัน สัญญามันทำให้คนเราเป็นทุกข์นี่ พระพุทธองค์ตรัสว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่เรา ความจำนี่ก็เหมือนกันที่ไม่ใช่เรา บางครั้งอยากจะจำก็จำไม่ได้นึกไม่ออกเช่นเวลาท่องบ่นบทสวดมนต์ แต่บางครั้งอยากจะลืมก็ลืมไม่ลงเช่นช่วงเวลาที่เรามีความสุขกับคนที่เคยรักกัน ทั้งๆเขามีครอบครัวใหม่ไปแล้ว แต่ตอนไหนนะที่เราแต่งเพลงนี้ อาจจะเป็นซอยโชคชัยสี่ ก็ตอนนั้นเราพึ่งเลิกกับแฟนนี่นะ ทำใจยากอยู่เหมือนกัน ถึงได้ไปหาเหล้ากิน หาอะไรก็ได้ที่จะช่วยแงะเธอคนนั้นออกจากจิตใจ ตอนนั้นมันคงคิดได้แค่นั้นหล่ะนะ ถ้าย้อนกลับไปได้ก็คงทำเหมือนเดิมนั่นแหละ ฉันเคยได้ยินใครบางคนพูดว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะทำอย่างนี้ จะไม่ทำอย่างนั้น หรือจะทำอย่างนั้น จะไม่ทำอย่างนี้ ฉันคิดว่าเขาคงไม่รู้หรอก ว่าถ้าเขาย้อนเวลากลับไปได้จริง เขาก็จะทำอย่างเดิมนั่นแหละ เพราะเวลาย้อนกลับไปได้จริงๆแล้วเขาก็จะคิดเหมือนเดิมอีกนั่นแหละ เพราะประสบการณ์ของเขาก็จะย้อนกลับไปมีเท่าเดิมด้วย คนเราตัดสินใจด้วยสัญญาความจำได้หมายรู้ในขณะนั้น แต่ถ้าเราไม่เข้าไปรู้จักการเมาเหล้า การดื่มแล้วเราจะเป็นอย่างไรนะตอนนี้ เราจะได้มาบวชไหม ถ้าฉันไม่เมาจนเกือบตายเพราะหมดสติก็คงไม่ได้มาบวชนี่นะ แต่มาบวชแล้วเราก็ไม่ได้กลับไปแตะต้องมันอีกนี่ สุราเวระมะณีสิกขาปะทังสะมาทิยามิ ที่ให้ญาติโยมนี่ เราจะไปทำเองไม่ได้เลย แม้พระวินัยจะระบุไว้ว่าอนุญาตให้ใช้เป็นยาได้ไม่เกินหนึ่งองคุลีหรือ หนึ่งนิ้วมือจุ่มนั้นเถอะ ใครจะฉันก็ช่างท่านเถอะ เรารู้ฤทธิ์ของมันดี มันเป็นเหมือนเพื่อนเราในตอนแรก แต่มันจะหักหลังเราในตอนหลัง มันช่วยปลอบประโลมจิตที่โศกเศร้าและบรรเทาร่างกายที่โทรมทราม ในตอนแรก แต่มันจะซ้ำจิตใจให้ซบเซา และสอยร่างกายให้ทรุดโทรมในตอนหลัง แต่ก็แน่หล่ะนะที่ตอนนี้ฉันยังอยู่ในผ้าเหลืองนี่ ยังขอข้าวชาวบ้านฉัน ยังโกนหัวโล้น ห่มผ้าเหลืองอยู่นี่ ก็ยังพอทนอยู่ได้ ให้ศีลพระประคองตัวตนรักษาจิตใจอยู่ อนาคตก็ไม่แน่หรอก ถ้าผ้าเหลืองร้อนมาเมื่อใดก็ไม่แน่ พระท่านก็บอกอยู่ว่า มันไม่แน่ อะไรๆมันก็ไม่แน่ทั้งนั้นหล่ะ พระที่บวชมานานๆก็สึกออกไปมีครอบครัวมากมายนี่นะ จะแน่นอนอะไรกับพระใหม่อย่างเรา ท่านมหาสำรวยซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกันก็สึกไปแล้วนี่ ได้ยินว่า บวชมาแล้ว 14พรรษา เราจะมีวาสนาบวชได้นานขนาดนั้นหรือเปล่านะ อย่าพึ่งคิดถึงอนาคตเลยอยู่กับปัจจุบันดีกว่า เอาพรรษานี้ให้รอดก่อนเถอะ แต่ถ้าเราต้องสึกจริงๆแล้วเราจะอดเหล้าได้เหรอ เราจะกินมันอีกไหม เราไม่ไว้ใจตัวเองเลย ศีลของเราต้องพึ่งคนอื่นอยู่ไหมหนอ ตอนนี้ก็ต้องพึ่งผ้า เหลือง ถ้าใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์คงไม่พ้นถือมาสักกั๊กแน่ๆ เฮ้อ หนทางนี้ช่างอีกยางไกลหนอ เหมือนการเดินทางที่ไร้จุดหมาย เหมือนเรือที่มองไม่เห็นฝั่งจริงๆเรา นอนเถอะ นอนนะ พยายามนอนให้หลับ เอากรรมฐานข้อไหนมาใช้ดีหนอ ก่อนนอน คงต้อง มรณานุสติสินะ ถ้าเราตายวันนี้ขออย่าได้มีอะไรที่ต้องห่วง เพราะเราต้องตายอยู่แล้วจึงขอทำใจให้ยอมรับกับความตายให้ได้ ในคืนนี้ เราไม่มีห่วงอะไร หากจะตายก็ขอให้ไปพระนิพพาน ไม่ห่วงพ่อและแม่ ลูกและหลาน ทรัพย์สมบัติไม่มีอะไรต้องห่วง หลับหนอ ตายหนอ หายใจเข้า พุท…หายใจออก โธ…พุท…โธ…ภาพพ่อแม่ผุดขึ้น…คิด…พ่อแม่จะนอนหรือยังหนอ คิดหนอ…พุท…โธ…ภาพลูกสาว/ชายผุดขึ้น…คิด…ลูกๆของเราจะเป็นอย่างไรหนอ…คิดหนอ…พุท…โธ…ภาพเมียในอดีตผุดขึ้น…คิด…เขาคงนอนกอดอยู่กับผัวใหม่เขาสบายหนอ…เฮ้อ…ทุกข์หนอ…พุท…โธ… ภาพวงเหล้าผุดขึ้น…เฮ้อ…ผุดลุกขึ้นท่ามกลางความมืด…เริ่มพิจารณา…มันอยากเหล้าเหรอ…ร่างกายอยากหรือว่าใจอยาก ร่างกายคงไม่ใช่มันไม่ได้กินมาเป็นปีก็อยู่ได้นี่ ใจอยากก็เพราะมันทุกข์ก็เลยอยากเหล้าดับอารมณ์ นอนไม่หลับด้วย เพราะอะไร เพราะคิดถึงอดีตอยากกลับไปเหรอ ไม่อยากกลับไปแล้วคิดทำไม ก็มันคิดมันนึกเอง เหรอ ใจนึกเองเหรอ หรือว่าอะไร ไม่น่าใช่ เวทนามันนึกเอง น่าจะเป็นความรู้สึกที่มันนึกเอง เห็นวงเหล้าแล้วมันก็นึกไป หรือว่าเป็นอาการที่เหนื่อยล้าที่มันนึกไป หรือว่าเสียงตุ๊กแกที่ร้องมาให้ได้ยินที่มันทำให้นึกไป สัญญาผุดขึ้นเองหรือที่ทำให้มันนึกไป หรือว่าลูกสาวแม่ค้าคนนั้นหรือที่ทำให้มันนึกไป หรืออาจจะเป็นทั้งหมดนั้นที่ทำให้มันนึกไป น่าจะเป็นบรรยากาศในวงเหล้าที่ทำให้เรานึกไปถึงอดีตกับเมียเก่า ก็เพราะเหล้านี่แหละที่เป็นต้นเหตุให้เรานึกถึงเขา แต่ก็เพราะเหล้านี่เองไม่ใช่เหรอที่ทำให้เขาทิ้งเราไป ทุกอย่างเป็นเหตุและผลซึ่งกันและกัน เมียเลิกเพราะเหล้า เมื่อเห็นเหล้าจึงนึกถึงเขา เมื่อคิดถึงเขาจึงอยากกินเหล้า เหตุผลของอะไรกันแน่ เป็นเหตุผลที่ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย เป็นความทรงจำ เป็นความรู้สึก เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นอนัตตา เป็นอดีต เป็นไม่เที่ยง คงไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม เป็นอะไรที่ไม่ใช่ของเรา เป็นทุกข์ บีบคั้น เป็นการหลอกลวง เป็นต่อมน้ำ  เป็นการเสแสร้ง เป็นเงาสะท้อน เป็นของไม่จริง มีอยู่ตามเหตุตามปัจจัย และไม่นานก็จะหายไปเอง หลับเถอดใจจ๋า พรุ่งนี้ต้องเดินต่อ หลับเถิดกายจ๋า พรุ่งนี้จะได้มีแรง เดินมาทั้งวันไกลกว่าเดินเล่นในห้าง ในห้างก็เดินไกลแต่ไม่เหนื่อยหรอกมันเพลิน แต่ก็คิดมาทั้งวัน  คงไกลกว่าการเดินหลายเท่านัก ถ้าความคิดวัดได้เป็นระยะทาง ตอนนี้เราคงเดินไกลกว่าดวงจันทร์หลายเท่านัก อาจจะไปถึงดวงอาทิตย์แล้วก็ได้ ใครนะบอกให้หยุดความคิด วันนี้เราหยุดได้กี่ครั้งนะ นับไม่ถูกเลย เมื่อไหร่จะหลับหนอ

    พุท…โธ…พุท…โธ…

    ท่ามกลางความมืดและดวงตาที่ปิด แว่วเสียงเพลงดังขึ้นในมโนสำนึก

    ”เหล้าต่างสี แต่ดีกรีไม่ต่าง มาคนละทางแต่เราดื่มร่วมกัน เลิกงานแล้วใจ ผ่อนคลายทุกข์กัน สนุกสนาน เพราะเรามาร่วมวง”

     

     

    ***

     

     

     

    บทสรุป

     

    ดวงตะวันเผยตัวเองขึ้นทางขอบฟ้าด้านหนึ่ง แสงอ่อนๆที่สามารถคลายมนต์แห่งความมืดยามราตรีได้นั้นช่วยกระตุ้นเตือนชีวิต และสรรพสิ่งให้ตระหนักถึงการเริ่มต้นใหม่ การตั้งอยู่ และการสิ้นสูญ เป็นอยู่อย่างนี้มานานแสนนาน แต่บนถนนสายอุตสาหกรรม ยุคสมัยที่โลกถูกเชื่อมต่อด้วยการสื่อสารไร้สาย มากมายเทคโนโลยีไฮเทค ช่วงเวลาอย่างนี้ใช่ว่าจะเป็นเวลาเริ่มต้นของวันเสมอไป ตลาดสดตอนเช้าได้สัญญาณว่ากำลังจะวาย แต่ตลาดขายอาหารสำเร็จรูปได้สัญญาณว่ากำลังจะเริ่ม ในขณะที่แม่ค้าตลาดนัดกำลังพักผ่อนอยู่บนเตียง นักธุรกิจก็กำลังจะออกจากบ้าน สิ่งเดียวกันมองผ่านสายตาคนหลายคนย่อมหาความเหมือนกันโดยสิ้นเชิงนั้นยากยิ่ง และจะให้ต่างกันโดยเด็ดขาดปราศส่วนคล้ายก็ยากอยู่ การมองโลกและชีวิตผ่านสายตามนุษย์นั้นเป็นผลิตผลการวิเคระห์จากประสบการณ์โดยตรง นับเนื่องมาจากอดีตทับถมเนิ่นนามจนนับกาลเวลาไม่ถ้วน จนบางครั้งเราไม่อาจสืบรู้ได้เลยว่า ความคิด และความรู้สึกต่อเรื่องบางเรื่อง หรืออะไรบางอย่างนั้นได้มาจากปางไหน อาจจะไม่ใช่ชาตินี้ก็ได้ และหาใช่ว่าความคิด และความรู้สึกเหล่านั้นจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเวลาผ่านไป คนเราก็เช่นกันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน ผมบางเส้นที่อยู่บนหัวเมื่อวานยังมีสีดำ วันนี้มันอาจจะหงอก มีอาหารชั้นเลิศอยู่เปี่ยมกระเพาะก่อนนอนเมื่อคืน แต่วันนี้อาจกลายเป็นขี้ที่พร้อมที่จะโดนขับออกทางทวาร ทุกๆวันเคยชินและนึกอยากอยู่ที่บ้านแต่วันนี้อาจจะไม่ คนที่เคยเห็นหน้ากันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอาจไม่ได้เห็นกันอีกเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ คนที่กินเหล้าคุยกันถูกคออาจทะเลาะกันเมื่อเมาได้ที่

    ฉันตื่นขึ้นบนม้านั่งหินอ่อนในสวนหย่อมใต้สะพานภูมิพล หัวยังหน่วงหนักด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ซึมแทรกอยู่ในเส้นประสาทสมอง บนตัวก็มีตุ่มแดงจากยุงมากมายฝากไว้หลังจากอิ่มหนำสมใจในรสเลือดของฉัน บนโต๊ะมีขวดเหล้าตั้งอยู่กลมหนึ่งขังน้ำเหล้าอยู่ค่อนขวด พริกเกลือในถุงที่เคยเป็นผงชื้นแฉะเป็นน้ำ ในจานกระดาษมีถั่วหลากชนิดร่อยหลอ ยังมึนงงว่าฉันข้ามมาฝั่งนี้ได้ยังไง เรือที่ท่านี้มีข้ามตลอดคืนก็จริง แต่ว่าฉันจำไม่ได้ว่าได้ขึ้นเรือมาหรือเปล่า หรือเหาะมาเอง คงนั่งเรือแหละถ้าเหาะก็คงชนนั่นนี่เปะปะได้รอยฟกช้ำมาบ้าง  อ้าวนี่แขนไปโดนอะไรเป็นรองจ้ำเขียวๆ หูได้ยินเสียงระฆังแว่วมาจากวัดใกล้ๆ ตลาดท่าน้ำน่าจะเริ่มคึกคัก มีคนแก่คนหนึ่งกำลังเดิน-วิ่งเหยาะๆริมฟุตบาท ฉันเห็นแล้วนึกขัน ถ้าแกล้มลงคงต้องได้หามส่งโรงพยาบาล เหมือนแกอยากจะคงสภาพร่างกายอย่างนี้ไปตลอด หนังเหี่ยวๆไม่ได้ช่วยเตือนแกหรอกเหรอว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่อะไรของเรา กลิ่นแม่น้ำปนกลิ่นทะเลนี่ดมแล้วชื่นปอด ถ้าหัวโล่งกว่านี้หน่อยก็คงดี ยกขวดเหล้าที่ยังเหลืออยู่กระดกน้ำลงคอ ลุกขึ้นจัดแจงย่ามเตรียมสะพายเบี่ยงในท่าที่ถนัด เสื้อยามยังยัดอยู่ในย่ามอย่างปลอดภัย ล้วงไปในกางเกงมีเศษแบงค์อยู่ร้อย สองร้อย ฉันเดินไปพร้อมยัดขวดลงในย่ามคู่ใจ ยามหลอกๆอย่างฉันไม่ต้องพกอาวุธอะไร แค่ขวดเหล้าขวดเดียวนี้ได้ช่วยกันคนมากมายออกไปจากชีวิตฉันได้เยอะโดยเฉพาะคนดีๆ เห็นพระเดินมาเป็นแถวข้างหน้า โอ้ชีวิตอันบริสุทธิ์ ฉันเคยอยากบวชสักครั้งหนึ่งในชีวิตอยู่เหมือนกัน แต่แค่เคย หลายปีก่อนฉันเคยไปขอท่านบวช แต่ท่านไม่บวชให้ คงไม่ไว้ใจคนอย่างฉันที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า แต่ก็ยังดีที่ให้เหตุผลฉันว่าต้องมีหนังสืออนุญาตจากพ่อแม่มาด้วย ฉันคิดเอาเองว่าหนังสืออะไรนั่นเขียนเอาเองก็ได้ ถ้าเอามาจริงๆท่านคงหาข้อบ่ายเบี่ยงปฏิเสธไปเรื่องอื่นอีก ฉันคิดแบบนั้นจริงๆ และพอได้มองผ่านกระจกเห็นสารรูปตัวเองในเวลาต่อมาก็นึกได้ว่า ผมยาวประบ่ารุงรังกระเซิงอย่างนี้เหรอที่อยากจะบวช ใครจะกล้ารับรองว่าเราไม่ใช่โจร คลับคล้ายไปทางศิลปินเพลงเพื่อชีวิตหรือจะรักษาศีลได้ ศีลพระกับศิลปะนี่คำเดียวกันหรือเปล่านะ คิดพลางเดินพลางพอดี ผ่านร้านปาท่องโก๋ฉันจึงซื้อเขามา 10บาท นึกอยากกินสักหน่อยก็พอดีเห็นพระเดินมารูปเดียวจึงตัดสินในใส่บาตรให้ท่าน ท่านให้พรแล้วก็บอกกับฉันว่า “เข้าวัดบ้างนะโยม” แล้วก็จากไป

    ท่านคงได้กลิ่นละมุดจากตัวเราจึงพูดอย่างนั้น ถ้าเราได้บวชตั้งแต่ตอนนั้นชีวิตจะเป็นอย่างไรหนอ ผ่านตลาดเช้าริมอันคึกคักแม่ค้าส่งเสียงเรียกลูกค้ากันวุ่นวาย หญิงชายใส่ชุดฟอร์มหลากหลายสีสันฟ้องคนสวมว่าทำงานโรงงานกำลังเดินจับจ่ายซื้อกับข้าว อาจจะเป็นข้าวเช้าของเขา หรืออาจจะเป็นมื้อก่อนจะนอนพักผ่อน บางคนหน้าตาสดชื่นแต้มเครื่องสำอางมีกลิ่นน้ำหอม และบางคนหน้าตาอิดโรยมีกลิ่นตัวจากเหงื่อ ฟุตบาทถูกบีบให้แคบด้วยแผงค้าขายจนต้องเดินหลีกทางให้กัน เมื่อผ่านร้านค้าของชำสิ่งที่ฉันพูดกับแม่ค้านั้นเป็นคำที่คุ้นเคย  “แม่ค้า เอาเหล้าขาวกั๊กนึง” ปลาท่องโก๋คงไม่ใช่อะไรที่เหมาะกับฉัน ได้ขวดกระทิงแดงที่มีฝาเป็นเอ็มร้อยห้าสิบแล้วฉันเดินกลับไปทางท่าเรือข้ามฟาก ผ่านพระรูปเดิมที่ตอนนี้มีอาหารเต็มบาตรและย่าม ฉันเดินย้อนกลับสู่ทางที่คิดว่า “ฉันน่าจะมาทางนี้นะ เมื่อคืนนี้…” ฉันเดินกลับสู่ทางที่ฉันมา

     

    ***

    ซุปเปอร์แมน กับพระธุดงดงค์
    https://www.facebook.com/tham2tham

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น