Coffee สูตรต้องห้าม (ปฐมบท)
บางสิ่งบางอย่าง เราไม่ควรที่จะต้องรู้ เพราะบางที่สิ่งที่คุณได้พบได้เห็น อาจจะทำให้คุณ ไม่มีโอกาสที่จะได้หายใจ
ผู้เข้าชมรวม
130
ผู้เข้าชมเดือนนี้
10
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Prologue
ณ มอเตอร์เวย์แห่งหนึ่ง ยามกลางดึกที่มีแสงไฟสลัวจากเสาไฟในตอนกลางคืนส่องลงมาพื้นถนนให้เห็นเป็นย่อมๆ ซึ่งข้างทางล้อมรอบไปด้วยร้านค้าต่างๆรายล้อม ไม่ว่าจะเป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ร้านหนังสือ แม้แต่ปั้มน้ำมันก็มี และแน่นอนว่าหากเป็นวันธรรมดานักท่องเที่ยวต้องมีน้อย หรือแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นชาวต่างชาติ และคนที่ไปทำงานต่างจังหวัดบ่อยๆนั้นแหละ และอย่างที่รู้กัน หากเป็นตอนกลางคืน และยิ่งไม่มีนักท่องเที่ยวอีก บรรยากาศจะเงียบสนิท และวังเวงราวกับเมืองที่ไม่มีคนอยู่ ผิดแผกจากตอนกลางวันโดยสิ้นเชิง ถ้าเป็นคุณล่ะก็คุณไม่ทางที่จะกล้าเดินคนเดียวในที่แห่งนี้หรอก
แต่ตอนนี้มันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
รถโตโยต้าสีแดงคันหนึ่งกำลังวิ่งอยู่บนถนนด้วยความเร็วสูง ราวกับวิ่งหนีอะไรสักอย่างกำลังพุ่งมาทางมอเตอร์เวย์ และด้วยเวลาเป็นช่วงตีสาม ซึ่งประจวบเหมาะกับถนนที่ปราฎจากฝูงรถคนขับรถคันนั้นก็เตรียมจอดรถตรงมอเตอร์เวย์ แต่ด้วยความที่รถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงจึงทำให้เบรกไม่อยู่ รถจึงเสียหลักไปชนที่กั้นเลนรถจนล้มเป็นแนวตะแคงกระเด็นเกือบถึงฟุตบาท “บัดซบ!” ชายสวมโม่งสีดำที่นั่งข้างคนขับพูดพลางพยายามเอาตัวออกจากรถที่พังยับเยิน “ขับภาษาอะไรว่ะ จิน” ขณะที่คนขับสวมโม่งสีขาวตะโกนสวนกลับไปทันที “แกเป็นคนบอกให้รีบ ฉันก็เหยียบเต็มสปีดแล้วนะเว้ย แล้วบอกกี่ทีว่าอย่เรียกฉันว่าจิน ให้เรียกว่าไวท์ ไอ้แบล็ค” แบล็คกระชากคอไวท์“แกอยากมีเรื่องหรือไง” “คิดว่ากลัวหรือไง” ทันใดนั้นเสียงอันน่าเกรงขามก็ดังขึ้น จนทำให้ทั้งคู่ชะงัก “พวกแกจะทะเลาะกันอีกนานไหม” ร่างกายอันบึกบึนสูงใหญ่ ใส่เสื้อแจ๊กเก็ตสีแดงหนาๆ พร้อมทั้งหัวที่สวมโม่งสีแดง ยืนต่อหน้าแบล็คและไวท์ แล้วทั้งสองก็ยืนตรงเรียบร้อยราวกับสุนัขรับใช้ที่เจ้านายเรียกมันให้อยู่เฉยๆ เงาของโม่งแดงได้คลุมเต็มร่างของทั้งสอง เมื่อเทียบกับแบล็คกับไวท์ ที่ผอมแห้ง ใส่เสื้อแขนยาวสีดำและขาวหลวมโพรกล่ะก็ บอกได้คำเดียวว่าเทียบไม่ติด แสดงให้เห็นชัดว่าคนนี้คือหัวหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย
“ครับ หัวหน้าเรด” แบล็คและไวท์ยืนตรงก่อนที่จะพูดอย่างพร้อมเพรียง “เตรียมขนของไปให้หมดอย่าเหลือหลักฐานไม่แต่ชิ้นเดียว อย่าให้ตำรวจจับได้” เมื่อจบคำพูดของเรด แบล็คและไวท์รีบหยิบกระเป๋าเหล็กที่ล็อกไว้อย่างดีไว้กับตัวคนละสองใบ รวมแล้วมีกันหกใบ ทั้งสามคนต่างก็แยกย้ายหาที่หลบซ่อนกัน แต่ท้ายที่สุดก็คว้าน้ำเหลว
“ผมไม่เจอครับ” “ฉันก็หาไม่เจอ แล้วไวท์ล่ะ” “คงจะหาเจอแล้วหนีไปแล้วมั้งครับ” ทันใดนั้นไวท์ตะโกน “หาเจอแล้วครับ” “ให้มันได้ยังนี้สิ ไม่เสียแรงที่ฉันพาแกจากญี่ปุ่นมาด้วย” ระหว่างที่เรดชมไวท์ แบล็คได้แต่เคียดแค้นไวท์ที่ได้หน้า “เจอร้านกาแฟตรงหัวมุมโน้นครับ ยังเปิดไฟอยู่เลย” “งั้นเราไปกันเถอะ” ทั้งสามก็วิ่งไปยังหน้าร้านกาแฟแห่งนั้น เมื่อทั้งสามเดินมาถึงก็พบว่าร้านตั้งตรงจุดเดียวกับเสาไฟริมทางส่องตรงหน้าร้านให้ได้เห็นชัดเห็นทั้งสภาพหน้าร้านและในร้านได้ชัดเจนซึ่งหน้าร้านไม่ได้ตกแต่งอะไรเลยนอกจากกำแพงสีกาแฟ แต่ป้ายร้านนั้นอยู่เหนือประตูเป็นจุดอับแสงจึงมองไม่เห็น และแบล็คสังเกตว่าประตูไม่ได้ล็อกจึงเปิดเข้าไป พอเข้าไปในร้าน พวกเขาก็เริ่มสำรวจสิ่งต่างๆภายในร้านที่ตกแต่งด้วย โต๊ะไม้สีขาว เก้าอี้หนังหลากสี เคาน์เตอร์ที่ชงกาแฟให้ลูกค้า และกลิ่นเฟอร์นิเจอร์ใหม่ที่โชยออกมาบรรยากาศเหมาะกับคำว่า ‘ร้านคาเฟ่ที่เพิ่งเปิดใหม่’อย่างสมบูรณ์ “หัวหน้าครับตรงนี้แหละแสงที่ผมเห็น” ไวท์กระชิบพลางชี้ให้เรดเห็นแสงสีส้มอ่อนๆบริเวณหลังร้าน เรดบอกทำท่าให้ทุกคนเงียบ แล้วตามแสงไฟนั้นไปโดยเรดเป็นคนเดินนำจนกระทั่ง เงาของใครบางคนโผล่ออกมา ทั้งสามสะดุ้งพร้อมชักปืนออกมา “แกเป็นใคร?” หลังจากสิ้นเสียงนั้น มีคนออกมาจากจากหลังร้าน เขายืนตรงหน้าทั้งสามพร้อมโค้งคำนับ “มีอะไรกันเหรอครับ?” “หุบปากและอยู่เฉยๆซะ ถ้าแกไม่เชื่อฟังพวกเราล่ะก็แกตาย” “แบล็คหยุดเดี๋ยวนี้” เรดตะโกนเป็นรอบที่สอง แบล็คทำหน้าไม่พอใจแต่เขาก็หยุดอยู่เฉยๆ “อ๋อ คุณคือ ‘แก๊งค์คัลเลอร์’ ซินะ” ทั้งสามคนสะดุ้งไปตามๆกันหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา “นายเป็นใครทำไมถึงรู้จักพวกเรา” “เดี๋ยวนะคนโม่งขาวชื่อ จิน ส่วนโม่งดำชื่อ กาย แล้วโม่งแดงที่ดูเป็นหวหน้านั้นนะน่าจะชื่อ สิงห์สินะ” จินและกายชักปืนออกมา แต่สิงห์ยกมือมาปรามเอาไว้
“หัวหน้าครับ พวกเราจะ…….” “ใจเย็นๆก่อน ดูท่าทางเค้าจะไม่ใช่คนธรรมดาซะแล้วล่ะ รู้เยอะอย่างนี้ คงจะเคยอยู่เส้นสายเดียวกับเราแล้วล่ะสินะ” “หึ หึ” ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆ “ขอบคุณที่ช่วยห้ามลูกน้องของคุณไว้นะครับคุณสิงห์ ไม่งั้นบั้นปลายชีวิตอันล้ำค่าคงจะสิ้นไปกับ ความใจร้อนของคนบางคน” จินและกายรู้สึกไม่สบอารมณ์กับผู้ชายคนนี้เลยแต่ทำได้แค่ค้อนสายตาไปที่เขา “ผมลืมแนะนำตัวไป ผมเป็นบาริสต้าของร้านนี้ชื่อ ฟาเอลครับ เอ้าถอดชุดบิดบังใบหน้าออกแล้วนั่งลงก่อน เพราะคุณเป็นเหมือนลูกค้าผมไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรคุณหรอกเดี๋ยวผมชงกาแฟให้ทุกท่านรับประทาน” ทั้งสามคนก็นั่งลงที่โต๊ะที่ใกล้กับเคาน์เตอร์มากที่สุดเพื่อให้เห็นว่าเขาชงอย่างไรบ้าง ฟาเอลเริ่มชงกาแฟอย่างคล่องแคล่วยังกับหุ่นยนต์กำลังชงกาแฟให้ สิงห์ก็เริ่มมองฟาเอลตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาเป็นคนผอมสูงปานกลางมีผมสีดำสนิท ทรงผมของเขาแต่งด้วยเจลต่งผม แล้วหวีผมแสกข้าง แต่งตัวแบบบาริสต้าทั่วไปแต่ใส่ผ้ากันเปื้อนลายชื่อของร้าน ‘Rainbow Cafe’ อายุราวๆสามสิบกว่าๆ หน้าตาของเขาดูท่าทางเป็นคนหน้าตาดีในระดับหนึ่ง แล้วยิ่งแสงไฟจากเสาไฟริมทางส่องเข้ามาในร้านทำให้หน้าตาของเขาดูดีมากในรดับหนึ่ง แต่ว่าไม่ถึงนาทีกาแฟร้อนของเขาก็เสร็จ พร้อมกลิ่นหอมกรุ่น “เชิญรับประทานครับ” “ฉันจะเชื่อได้ยังไงว่ามันไม่มีพิษ” “นั่นสิ” แบล็คและไวท์เสริม “ถ้าคุณไม่เชื่อล่ะก็ ผมจะทานให้คุณดู” เขายกถ้วยกาแฟดื่มอย่างรวดเร็วจนหมด “เสียดายกาแฟรสชาติเยี่ยมไปแล้วแก้วหนึ่งเลยฮ่า ฮ่า” สิงห์พูดอย่างสะใจ “งั้นเดี๋ยวผมชงมาให้เรื่อยๆนะครับ” ต่อมาทั้งสามต่างก็ดื่มกาแฟของฟาเอลไปเกือบสิบแก้วได้แล้วกาแฟของเขามีหลากหลายสีมาก “น่าแปลกนะ ผ่านมาตั้งนานแล้วตำรวจยังไม่เห็นมาเลย” “เฮ้ย! อย่าพูดให้เป็นลางสิ คนเค้ากำลังเอ็นจอยกับกาแฟที่อร่อยที่สุดอยู่นะ” “บางทีเค้าอาจจะยังไม่เจอหรอกครับ บอกแล้วไงคุณเป็นเหมือนลูกค้าผมไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรคุณหรอก” ฟาเอลพูดเพื่อให้พวกสิงห์สบายใจก่อนที่จะชงกาแฟแก้วสุดท้ายเสร็จ “เอาล่ะ แก้วสุดท้ายแล้วครับ เป็นจุดขายของร้านเราชื่อว่า กาแฟโลหิต Bloody Coffee” ฟาเอลเสิร์ฟถ้วยสีแดงไว้บนโต๊ะ พร้อมช้อนคนกาแฟข้างๆถ้วย ถึงแม้สีของกาแฟจะมีสีตรงตามชื่อว่า ‘สีเลือด’ แต่ความหอมของกาแฟทำให้ร่างกายของทั้งสามขยับไปหยิบถ้วยกาแฟมาดื่มเองโดยไม่รู้ตัว
“สุดยอดจริงๆ นายเนี่ย ฉันว่านายต้องขายดีอย่างแน่นอน” สิงห์เอ่ยปากชมไม่หยุด ฟาเอลก็ได้แต่โค้งตัวลง แล้วหยิบกระเป๋าของทั้งสามคนขึ้นมา “เฮ้ย! ของๆพวกเรานายจะเอาไปไหนน่ะ” ไวท์ถาม “ค่ากาแฟครับ” “เดี๋ยวก่อนสิคุณ” ระหว่างที่สิงห์คว้าไหล่ของฟาเอลไว้ภาพที่เขาเห็นเริ่มพร้ามัว “มันเกิดอะไรขึ้น” สิงห์เกาะเคาน์เตอร์เอาไว้ และพยายามประคองสติของตัวเอง “ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่ส่งคุณให้ตำรวจหรอก แต่….” “แต่…?” “ผมสนใจของในกระเป๋าพวกนี้ และความสามารถของคุณว่าเป็นคนที่มีความสามารถต่างๆ น่าจะทำอะไรได้อีกเยอะ ส่วนลูกน้องที่น่ารำคาญของคุณน่ะผมไม่ต้องการแล้ว ผมเลยกำจัดไปเรียบร้อย” สิงห์รีบพยายามประคองตัวอีกครั้งเพื่อไปหาสองคนนั้น แต่ทั้งสองในตอนนี้กลายเป็นร่างเนื้อไร้วิญญาณเรียบร้อยแล้ว “ไม่นะ! ไอ้จิน ไอ้กาย” “ถ้าคุณทำตัวดีมีประโยชน์ ผมอาจจะบอกสูตรกาแฟนี้ก็ได้นะ” ฟาเอลพูด “แกใส่ยาลงไปตอนไหนน่ะ” “ผมคงไม่จำเป็นต้องบอก เพราะว่าคุณก็ใช่วิธีเดียวกับที่ทำกับ ‘บลู’ ยังไงล่ะ” “หรือว่าแกคือ….” “มันสายไปแล้ว” ทันใดนั้นร่างกายอันใหญ่โตของสิงห์ก็ล้มลงกับพื้นที ส่วนฟาเอลนั้นยืนดูศพสองศพ กับคนที่หลับไปด้วยของฤทธิ์ยาอีกคนหนึ่ง “หึ หึ ขอให้ฝันดีนะครับ” จากหน้าตาของเขาที่ดูนุ่มนวล ใจเย็น ได้เปลี่ยนไปเมื่อเขายิ้มแสยะ และหัวเราะให้เห็นฟันอย่างชัดเจน จนกลายเป็นปีศาจอำมหิตโดยสิ้นเชิง และเสียงหัวเราะของเขาได้ก้องกังวาลไปทั่วถนนย่านมอเตอร์เวย์ที่เงียบสงัดแห่งนี้ ราวกับว่าความชั่วร้ายกำลังจะครอบคลุมที่นี้แล้ว
อีกด้านหนึ่ง เวลาตีสาม บริเวณด่านคนเข้าเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ มีเสียงเรียกเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินออกมาจากด่านนั้นพอดี “ยูคาริทางนี้ กระเป๋าพวกเราหยิบมาให้แล้วนะ ครบหมดทุกใบ” ยูคาริก็เดินไปหากลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งรอเธออยู่ก่อนแล้ว “มิยูกิ ไม่ต้องตะโกนเรียกก็ได้ฉันอายเค้า อีกอย่างฉันก็เพิ่งมาประเทศนี้ครั้งแรกด้วย ฉันก็อยาก…” “ให้ฉันเงียบๆลงบ้างใช่ไหม โอเคค่ะประธานนักเรียนสุดสวย” ยูคาริโดนย้อนศรเต็ม “ขอโทษค่ะ ทุกคนที่ทำให้เสียเวลา ไปหาแท๊กซี่เข้าโรงแรมกันเถอะ” ยูคาริก็เดินลงบันไดเลื่อนไปยังชั้นล่างสุดพร้อมกับสัมภาระของเธอ เธอใช้เวลาไปสิบกว่านาทีกว่าจะติดต่อแท๊กซี่ได้ “เอ้า! ช่วยกันเอาของขึ้นรถหน่อยเร็ว” “ค่ะ. รอแป๊บหนึ่งนะ” ปิ้ด!!! เสียงสายสะพายกระเป๋าของยูคาริขาดกระทันหัน “เอ้า! สายกระเป๋าขาดเหรอ เดี๋ยวกลับไปที่โรงแรมเย็บให้” ยูมิพูดพลางพายูคาริขึ้นรถ ‘มันเกิดอะไรขึ้น ทั้งๆที่กระเป๋านี้เพิ่งซื้อใหม่ๆ เพื่อมาเมืองไทยแท้ๆจะขาดได้ยังไง หรือว่ามันเป็นลางบอกเหตุอะไรสักอย่าง’ ยูคาริก็รีบกระเป๋าขึ้นรถไป.
แต่ขณะเดียวกันตอนตีสาม ในห้องๆหนึ่งซึ่งมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงอยู่ ต่อมาจู่ๆเธอก็ลุกพรวดจากเตียงขึ้นมานั่ง พร้อมเสียงลมหายใจหอบอย่างรุนแรง “ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ” เธอลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปยังโต๊ะทั้งในห้องยังมืดอยู่ เธอมองไดอารี่คู่กับสมุดโน้ตและนิยายสยองขวัญที่กองเต็มโต๊ะของเธอ “ยัยริญเอ้ย! เก็บไปฝันอีกแล้วถึงฝันร้ายแบบนี้” เธอกุมขมับและส่ายหัว เพื่อปลุกสติให้กลับมานี้แหละวิธีของเธอ หลังจากเธอตั้งสติกลับมาได้ เธอเปิดโคมไฟแล้วพลิกกระดาษไปยังหน้ากำหนดการพรุ่งนี้ จะเห็นว่าเธอเขียนอักษรตัวโตๆด้วยไฮไลท์สีชมพูว่า ‘ไปเที่ยวกับญาติ กับมะนาว และไพลิน’ “เอาเถอะ! เราเองต้องเก็บแรงเอาไว้สำหรับพรุ่งนี้ นอนดีกว่า” เธอบ่นพึมพำเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟแล้วกลับไปที่เตียง และวางหัวหนุนหมอนจากนั้นเองก็นอนต่อพร้อมกับทิ้งความกังวลใจออกไป.
แม้จะอยู่ช่วงเวลาเดียวกัน แต่สถานที่แตกต่างๆกัน ความรู้สึกอาจจะไม่เหมือนกันทุกคน อย่างตอนเวลาตีสาม บางคน…….
กำลังวุ่นวายกำลังแผนการที่ตนวางไว้
ฟาเอลกำลังขนศพของ จิน และกายใส่ถุงดำ และลากสิงห์ไปขังที่ห้องใต้ดิน
กำลังดิ้นรนหาทางหนี
สิงห์ฝันเห็นฟาเอลกำลังทรมาณเขาอยู่ในห้องที่มืดสนิท ไม่เห็นแม้แต่ตัวเอง
กำลังครุ่นคิด
ยูคาริคิดเรื่องสายกระเป๋าที่ขาดกระทันหัน ว่ามันขาดตอนไหน เมื่อไหร เพราะอะไร ทั้งๆที่ไม่มีใครสามารถตอบคำถามเธอได้ถูกใจเธอสักคน พลางหยิบรูปร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่เขียนภาษาญี่ปุ่นปนอังกฤษทับไว้ด้วยปากกาแดงว่า ‘เป้าหมาย Rainbow Café มอเตอร์เวย์’
กำลังฝันถึงอนาคตอันแสนหวาน
ริญกำลังคิดถึงทริปที่เธอใฝ่ฝันอยากไปกับญาติ และเพื่อนๆในวันหยุด ระหว่างนอนอยู่บนเตียง ในขณะนั้นลมในห้องพัดจนไดอารี่เปิดไปหน้ากำหนดการวันพรุ่งนี้ มาร์คด้วยวงกลมสีแดง เป็นรูปร้านกาแฟที่ดูราบเรียบ แต่ภายในดูดีต่างจากภายนอกโดยสิ้นเชิง แสงอาทิตย์ส่องมาทางป้ายชัดเจนว่า ‘Rainbow Cafe’.
หารู้ไม่ว่าอนาคตอันใกล้นี้ชะตาได้นำพาพวกเขาสู่คำว่า ‘โศกนาฎกรรม’
เพียงเพราะกาแฟถ้วยเดียว.
คุณพร้อมที่จะร่วมผจญภัยไปกับคดีในครั้งนี้แล้วหรือยัง?
ผลงานอื่นๆ ของ Bloggers Meaninglife ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Bloggers Meaninglife
ความคิดเห็น