ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Reborn! fic - Project :: Le quattro Stagioni [ Normal ]

    ลำดับตอนที่ #9 : Le Quattro Stagioni :: - L’Inverno - 1_Killer

    • อัปเดตล่าสุด 24 ธ.ค. 52





    Story :: Le Quattro Stagioni

     

    Title :: L’Inverno

     

    Author :: ด้านมืดของพระจันทร์

     

    Type :: Drama/Action

     

    Pairing :: 80 X L [ Lal Michi ]

     

    Songs :: Tear [ SNSD ] And Tear [ X-Japan ]

     

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------

     

     

     

     

                     เช้าวันต่อมา ร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งขดอยู่ที่ริมหน้าต่างของตำแหน่งเดิมที่เขามานั่งชมหิมะท่ามกลางแสงดาวเมื่อวาน ดวงตาสีน้ำตาลแลดูอ่อนโยนสำรวจไปทั่วห้องเหมือนจะค้นหาอะไรบางสิ่งที่มักจะติดเป็นนิสัยยามเขาตื่น รอบข้างมีแต่กระป๋องเบียร์วางระเกะระกะเต็มไปหมด เป็นอย่างนี้แทบจะทุกปีเมื่อถึงวันนั้นทีไรเขาจะดื่มหนักกว่าทุกครั้ง มือหนาเอื้อมมาลูบต้นคออย่างเหนื่อยอ่อน ทันใดนั้นเองเสียงลูกบิดของประตูที่ค่อยๆหมุนบ่งบอกถึงการมาเยือนของผู้มาใหม่ ยามาโมโตะดันตัวเองลุกขึ้นจากพื้นห้องก่อนจะเปลี่ยนที่ไปทิ้งตัวลลงมาโซฟานุ่มแทน

     

                    โอยปวดหลังจังเลย!”

     

                    เมื่อคืนนายดื่มหนักขนาดนี้เลยรึไง ยามาโมโตะ!!” เสียงทุ้มต่ำกล่าวขึ้นทันที เมื่อเห็นขยะมากมายที่อยู่บนพื้น ยิ่งเห็นจำนวนกระป๋องเหล่านั้นที่มากกว่าทุกปีก็ทำให้ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขี้เถ้าถอนหายใจอย่างเนือยๆ ปกติชายตรงหน้าของเขาไม่ใช่คนสำมะเรเทเมาอย่างนี้ เหล้าเบียร์หายากที่ชายคนนี้จะเตะหากไม่ใช่เวลาสังสรรค์ กับ

     

                    นิดหน่อยน่ะโกคุเทระ ว่าเข้าพร้อมกับรอยยิ้มเช่นเคย รอยยิ้มที่ปิดบังทุกสิ่งในใจ แม้แต่น้ำตาของชายหนุ่มเอง ดวงตาสีเขียวจับจ้องคนที่นอนอยู่บนโซฟาก่อนจะถอนหายใจช้าๆแล้วเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวของตนเอง กาลเวลาทำให้คนเราโตขึ้นจริงแต่มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้บาดแผลในจิตใจเลือนหายไปเลยก็ยิ่งซ้ำเติมให้มันเป็นแผลเหวอะว่ะขึ้นไปอีก เมื่อไรตัวเขาเองจะยอมรักษาบาดแผลในใจนั้นสักที ความคิดเหมือนถูกทำลายลงเมื่อเจ้าตัวสัมผัสได้ถึงจิตสังหารในบริเวณนั้น ร่างสูงดีดตัวขึ้นจากโซฟาที่นอนอยู่ทันที ดวงตาสีไม้โอ๊คจับจ้องไปหน้าต่างกระจกนั่นที่มีเพียงแค่สายลมเข้ามาหยอกล้อกับกระจกบานนั้นเพียงแค่นั้น

     

                    เป็นอะไรของนาย..เจ้าบ้าเบสบอล ผู้พิทักษ์วายุชะโงกออกมาถามเมื่อเห็นท่าทางของเพื่อนสนิทเปลี่ยนไป แต่ปฏิกิริยาก็อย่างที่คาดไว้ ผู้เปรียบเสมือนสายพิรุณทำเพียงแค่ส่ายหน้าให้กับเขาเท่านั้นพร้อมรอยยิ้มเช่นเคย รอยยิ้มที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงแบบนั้น ร่างสูงลุกขึ้นจากโซฟาเดินเข้าไปยังห้องส่วนตัวของตนเพื่อไปจัดการชำระล้างกลิ่นของแอลกอฮอล์เพื่อจะไปพบคนสำคัญในวันนี้ และล้างเรื่องบางอย่างออกไปจากสมองของเขา

     

     

     

     

     

     

                     สถานที่ที่ห่างไกลความวุ่นวายจากเหล่าผู้คน พื้นดินที่เคยปกคลุมไปด้วยหญ้าเขียวชะอุ่มบัดนี้เหลือเพียงพื้นสีขาวระรานตาไปทั่วบริเวณ เหล่าต้นไม้ที่เหลือเพียงแค่กิ่งก้านเท่านั้นเพราะบรรดาใบต่างพากันโรยราไปในฤดูที่แสนสวยงามที่ผ่านมา หากจะมีต้นไม้ต้นหนึ่งที่ออกกอดเบ่งบานแข่งกับความหนาวของฤดูสีขาวแบบนี้ ดอกไม้สัญลักษณ์แห่งเหมันต์ เสียงแกรกเบาๆดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบ เพียงเพราะมือเรียวของใครบางคนดันไปทำกิ่งดอกไม้สีขาวหักไม่รู้ตัว เสียงเหยียบย่างไปยังพื้นสีขาว นั้นความหนาวที่เกาะกินตั้งแต่ผิวหนังไปจนถึงหัวใจของเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลแดง ไอความร้อนที่ลอยออกมาจากริมฝีปากสวยเพราะอาการอบกาย

     

                    เสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ดังมาจากเบื้องหลังทำให้สัญชาตญานของเด็กสาวรีบหันไปซัดอาวุธเต็มๆ เบื้องหลังมีเพียงรอยไหม้จากกระสุนปืนเพียงเท่านั้น มีเพียงแค่ความว่างเปล่าเท่านั้น แต่ทำไมเธอกลับรู้สึกว่ามีสายตาคุ่หนึ่งกำลังจับจ้องเธออยู่ในที่ใดสักแห่ง ดวงตาเต็มไปด้วยจิตสังหารแรงกล้าอย่างไม่เคยสัมผัสที่ไหนมาก่อน พลันความเจ็บปวดที่อยู่มันก็แล่นผ่านมาจนถึงส่วนสั่งการพร้อมกับโลหิตสีแดงที่สาดกระเซ็นไปทั่วพื้นสีขาว เหมือนดั่งหยดเลือดที่ดรยอยู่บนเกล็ดน้ำแข็งใส ความรวดเร็วที่เปรียบเสมือนสายลมนี่มันคืออะไรกัน ร่างของหล่อนค่อยๆล้มสู่พื้นดิน หากแต่ว่าเธอยังพอมีแรงใช้มือยันเพื่อให้ร่างของเธอสัมผัสกับความเย็นนั่น พลันเมื่อเธอเงยไปเห็นร่างของผู้ลอบทำร้าย ร่างสูงโปร่งประมาณร้อยเจ็ดสิบในชุดผ้าคลุมสีดำสนิทในมือข้างถือดาบญี่ปุ่นยาวที่เก็บอยู่ในฝัดดาบเป็นอย่างดี กลิ่นของโลหิตที่ลอยคละคลุ้งมาจากร่างนั้นไม่บอกก็รู้ว่าคนเบื้องหน้ามีอาชีพอะไร หากแต่ใบหน้านั้นกับถูกบดบังด้วยหน้ากากสีขาวสะอาดแต้มด้วยลายดอกไม้สีแดงสดที่ลากยาวมาด้านข้าง ดอกไม้แบบเดียวกับดอกที่อยู่สมรภูมิเลือด แต่เธอกลับจำมันได้เป็นอย่างดี คนที่พรากเอาชีวิตของคนสำคัญของเธอไป

     

                    แก!!!”

     

                     “….” ไม่มีคำพูดออกมาจากเจ้าหน้ากากนั่นแม้แต่น้อย มือข้างที่ว่างของมันจับเข้ากับด้ามดาบสีดำสนิทมีพู่สีแดงพันประดับอยู่ หากแต่ว่าท่างทีของคนนิรนามผู้นั้นก็ไม่มีท่าทีจะชักดาบปะทะกับหล่อนเลย แต่เหมือนกับว่ามันกำลังจ้องกับรอยแผลของเธอแทน

     

                    จะรอช้าอะไรอยู่ล่ะ ฆ่าฉันซะเลยสิ เท่านั้นแหละ ร่างที่อยู่เบื้องหน้าก็พุ่งใส่ร่างของอัลโกบาเรโน่ไม่สมประกอบอย่างรวดเร็วดั่งสายลมก็มิปานทันที ดาบเล่มงามถูกชักออกมาฟันไปที่ลำคอที่ปกคลุมไปเรือนผมสีดำนั้น แต่แทนที่หัวของหล่อนจะสะบั้นหลุดลงจากบ่า มันกลับไม่มีอะไรเกิดแม้แต่น้อย ดวงตาสีน้ำตาลแดงเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวต่อความตายอย่างบอกไม่ถูกเหงื่อพระกาฬไหลหยดลงมาอย่างโล่งอก พลันเสียงกระซิบแผ่วเบาก็ดังขึ้นที่ข้างหู

     

                    คนที่ไม่เห็นค่าของชีวิตที่คนอื่นมอบให้อย่างเธอ ไม่สมควรที่ดาบของฉันต้องเปื้อนเลือดโสโครกนั่น ประโยคที่สามารถแปรเปลี่ยนให้พระพายกลายเป็นใบมีดคมมาเฉือนก้อนเนื้อในอก เลือดโสโครก  งั้นหรือ เพียงแต่นั้นเธอหยิบเจ้าลูกซองแบบปั๊มแอ๊คชั่นคู่มือขึ้นกระหน่ำยิงใส่คนที่พูดประโยคอย่างไม่ยั้งจนลืมความเจ็บปวดจากบาดแผลไป โทสะบันดาลให้หล่อนขาดสติจึงเป็นรองเจ้าหน้ากากนั่นอยู่แม้จะกระหน่ำไปเท่าไรเหมือนกับว่า จะไม่โดนเจ้าฆาตกรปากดีนั่นแม้แต่เสี้ยวเดียวของกระสุน เสียงเคร้งดังสนั่นขึ้นทันทีเมื่อเจ้าหน้ากากชักดาบขึ้นมาปัดกระสุนลูกหนึ่ง ดาบสีดำสนิทตั้งแต่ด้ามไปจนถึงปลายแม้กะทั่งโกร่งและคมของมัน

     

                    เลือดของเธอมันได้กลิ่นเย้ายวนให้ มุรามาสะ* นี่กระหายเลยแม้แต่น้อย รัล มิลจิคนที่เริ่มสงครามประสาทว่าไปก็ยกดาบขึ้นพลางกับมองร่างที่กำลังหอบเหนื่อยอยู่ ไม่เหมือนกับเจ้าหนุ่มผมทองนั่น

     

                    แก!!!!!!” ความโกรธเกรี้ยวทุกอย่างเข้ามาแทนในหัวใจเมื่อได้ยินประโยคเย้ยหยันของฝ่ายนั้น มือเรียวหมายจะคว้าปืนคู่กายขึ้นมาอีกแต่ก็อีกฝ่ายใช้เจ้าดาบปีศาจนั่นขาดเป็นสองท่อนลงต่อหน้าต่อตา ความแค้นเริ่มทวีโหมกระหน่ำขึ้นอย่างหนัก เมื่อโดนเจ้าของเตะกระเด็นจนตัวลอยชนกับต้นไม้

     

                    แค่กๆ เสียงไอที่เลือดเจือปนออกมากลิ่นอันหอมหวนชวนให้น่าสะอิดสะเอียนนั่น ร่างของเด็กสาวค่อยๆยันตัวเองลุกขึ้นจากพื้นหิมะแต่เหมือนกับสังขารจะไม่ให้ ยิ่งได้รับความสมเพสจากดวงตาหลังหน้ากากนั่นมันยิ่งชวนให้เธอเจ็บใจตัวเอง แต่ยังไม่ทันไรเสียงเคร้งก็ดังอีกเป็นรอบที่สองไม่ใช่เสียงกระสุนปะทะกับดาบ เสียงของดาบกับดาบปะทะกัน

     

                    เฮ้!!!!!แกน่ะฝีมือดาบ เจ๋งเหมือนกันนี่หว่า เสียงแหกปากโวยวายทำให้พอที่จะรู้ว่าเป็นใคร ไม่ใช่ศัตรูที่ช่วยทำให้เธอโล่งใจขึ้นนิดหน่อยก็แค่นิดหน่อยเท่านั้น

     

                    “….” ไม่มีคำพูดใดออกมาจากเจ้าหน้ากากนั่นอีก ดวงตาที่มองเห็นร่างของชายหนุ่มผมยาวสลวยสีเงินยวงพร้อมกับดาบที่สะท้อนกับแสงพระอาทิตย์ในยามนี้ ทั้งสองรีบผละออกจากกันอย่างโดยเร็วเมื่อมีลำแสงสีทองแผดเผามาจากระยะไกล ทำเอาบรรดาหิมะขาวต่างพากันละลายกลายเป็นน้ำกันในทันที เปลวไฟดับเครื่องชนอนุภาพรุนแรงขนาดนี้ คงไม่ใช่คนที่จะต่อกรด้วยง่ายๆ คนที่กำลังประเมินสถานการณ์ตัดสินใจเก็บดาบเข้าฝักตามเดิมพลางกับหยัดลุกขึ้นยืนเต็มตัว

     

                    ไอ้หัวหน้างี่เง่านั่น มันคิดจะทำอะไรของมัน เทพกระบี่แห่งวองโกเล่โวยวายอย่างขัดใจ ก่อนที่ดวงตาสีเทาจะหันมาจับจ้องคู่มือคนใหม่ของตนที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง พลางกับใช้ดาบยาวสีเงินที่ติดอยู่มือนั่นชี้ไปทางบุคคลนิรนามผู้นั้น เฮ้!!!!แกน่ะ!!!!”

     

                    ลงมาปะดาบกันต่อสิ!!!!” ไร้ซึ่งสุรเสียงใดๆอีกครา มือข้างหนึ่งของผู้ที่ถือดาบสีรัตติกาลค่อยๆยกมือขึ้นหมานที่จะปลดหน้ากากนั่นออกแต่แล้วก็ต้องชะงักลง เพราะมีแขกรับเชิญมาอีกคน ผู้เปรียบเสมือนเป็นนภาสีนิลแห่งวาเรีย หน่วยล่าสังแห่งแก๊งมาเฟียผู้น่าเกรงขาม แซนซัสมองร่างของคนที่อยู่สูงกว่าตนดวยแววตาที่ไม่ไหวติงแม้แต่น้อย เหมือนกับที่เจ้าหน้ากากนั่นกำลังมองเขาและสคอวโล่อยู่ ก่อนที่เหล่าแนวหน้าของวาเรียจะตามมาสมทบอีกทีหลัง แซนซัสยกมือขึ้นอย่างเคยพลางออร่าสีส้มก็โพยพุ่งออกมาแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างในชุดคลุมสีดำกระโดดเข้าว่าเหวี่ยงดาบใส่คนข้างกายทันที โดยที่ไม่หึความสนใจเขาแม้แต่น้อย

     

                    เมื่อเสียงโลหะเข้าปะทะกันอีกคราก็ทำให้คนนิ่งอยู่ตื่นจากภวังค์มองการต่อสู้ระหว่างนักดาบทั้งสองหนึ่งคือเทพกระบี่ผู้โค่นมาไม่รู้ต่อกี่สำนักแล้วกับมือพิฆาตปริศนาที่มีหน้ากากบดบัง แต่เท่าที่ประเมินดูเหมือนกับว่าฝ่ายฉลามพิรุณจะเหนือกว่าเจ้าหน้ากากเงาอยู่ แต่ใครจะรู้ว่าคนที่เหมือนจะได้เปรียบต้องหลบหลีกคมดาบสีดำนั่นอยู่เหนื่อยพอตัวหากเผลอไปเสี้ยววิอาจจะโดนคมดาบนั่นตัดกับเนื้อหนังก็ได้ผิดกับคนที่เหมือนจะเสียเปรียบนั่นกับไม่มีท่าเลยว่าจะเหนื่อยเพลียกับเหวี่ยงมันไปตามแรงและเทคนิคยุทรของตน

     

                    ชิชิ เจ้าสคอวโล่ชนะเห็นๆ อีกไม่นานคงเจ้าหน้ากากนั่นคงจะถูกสับเป็นชิ้นๆแน่ ใช่มั๊ยล่ะบอส คนที่เชื้อราชวงศ์เดินเข้ามาสมทบโดยทำได้แค่ยืนอยู่เบื้องหลังคนที่กำลังจ้องมองการต่อสู้เท่านั้น

     

                    บอสครับ แล้วผู้หญิงคนนี้เอาไงดีครับ อัสนีแห่งวาเรียถามบอสหนุ่มทันทีพลางกับอุ้มร่างของผู้ดูแลนอกแก๊งขึ้นมา เลือดที่ไหลออกจากร่างกายตอนนี้หยุดไหลลงแล้วอาจเป็นเพราะความเย็นจากสภาพแวดล้อมก็ได้ แต่สิ่งที่ได้แทนคำตอบที่ต้องการคือดวงตาที่เหลียวมามองร่างของเขาเพียงชั่ววูบเท่านั้น แค่นั้นก็ทำให้หัวหน้าหน่วยย่อยเลวี่ อาแทน ถึงกับหน้าถอดสีพาร่างของคนไม่ได้สติไปหลบให้ไกลจากสมรภูมิรบแห่งนี้ทันที การปะดาบเหมือนจะไม่ท่าทีว่าจะสิ้นสุดลงหากไม่มีฝ่ายใดยอมถอย แต่สุดท้ายเจ้าหน้ากากเงาก็ดูเหมือนจะเสียท่า ทำให้ร่างของมันรับเอาตมดาบของฉลามหนุ่มไปเต็มๆ จนร่างนั้นต้องปละออกก่อนจะกระโดดหนีไปตามระเบียบ

     

                    ชิชิ ว่าแล้วว่า ยังไงตานี้…!!!”

     

                    โครม! เสียงที่อะไรบางอย่างที่บอสประเคนไปให้คนที่เพิ่งได้รับชัยชนะมาเต็มๆทำเอาร่างที่หอบเหนื่อยอยู่ถึงฆาตลงไปนอนกองกับพื้นทันที

     

                    สวะ มันก็เป็นสวะอยู่วันยังค่ำ เสียงเหี้ยมพูดขึ้นทันทีก่อนจะเดิยหันหลังตามอัสนีไป ทิ้งไว้ให้เจ้าชายที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก ก่อนจะเดินมาดูเพื่อนร่วมสังกัดเดียวกับตน เท่านั้นความจริงก็ให้คำตอบกับเขาทันที ร่างของเทพกระบี่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมายนับไม่ถ้วนถึงว่าจะไม่ฉกรรจ์สักเท่าไรนักแต่ว่าก็พอที่จะเป็นคำตอบให้กับเขาได้ว่าทำไม บอสถึงอารมณ์เสียขนาดนี้

     

                    ชิชิ ไม่น่าเลยนะ เจ้าฉลามโง่ ว่าไม่พอยังใช้เท้าเตะเข้าที่ท้องน้อยของคนที่นอนอยู่อยู่ด้วยก่อนจะเดินจากไปเหลือแค่ร่างนั้นนอนหนาวอยู่ท่ามกลางฟูกสีขาวอันเย็นยะเยือกนั่น

     

     

     

     

     

     

                    ในขณะเดียวกัน คนที่เหมือนจะเสียท่า ค่อยๆยกมือปลดหน้ากากขาวนั่นออกช้าเพื่อให้ตัวเองได้หายใจโล่งขึ้นบ้างจากการต่อสู้เมื่อกี้ และนั่นทำให้เห็นใบหน้างามคมสวยกว่าอิสตรีทั่วไป ดวงตาคู่นั้นราวกับทะเลดาวในห้วงอวกาศอันแสงไกลก้มลงมองแผลใหญ่ของตัวเอง ที่ค่อยๆประสานเข้าหากันเหลือดที่ไหลออกมาจากปากนั่นค่อยไหลย้อนกลับไปยังทางที่มันไหลออกมา มือเรียวยกขึ้นลูบบริเวณที่เคยมีแผลมาก่อนที่ตอนนี้มันเนียนสนิทหากแต่ความเจ็บปวดมันยังอยู่ แต่ใบหน้างามนั่นกลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาทั้งสิ้น ก่อนจะหยิบหน้ากากสีขาวนั่นที่วางอยู่ช้างกายมาปกปิดใบหน้าของตัวเองต่อไป









    ***หมายเหตุ :: เป็นชื่อดาบที่มีอยู่จริงในประเทศญี่ปุ่น และเป็นชื่อดาบในเรื่อง Samurai Deeper Kyo ด้วยครับ







    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    มาอัพตอนที่หนึ่งแล้วนะครับ เหอๆๆๆๆสงสัยฟิคของผมยังมือไม่ถึงสักเท่าไร เลยไม่ได้รับคอมเม้น แหะๆๆๆ
    สงสัยว่าตัวเองยังอ่อนเกินไป แต่ผมจะพยายามพัฒนาตัว เพื่อให้จะได้รับการคู่ควรที่จะได้รับคอมมเนนะครับ



    ยังคงออกทะเลเหมือนเช่นเคยสำหรับตอนนี้ เอ่อคือผมมันเด็กกระแส เลยยังไม่รู้เรื่องนิสัยของตัวละคร
    มากพอสมควรยังคงต้องปรึกาน้องสาว และคนอ่านอยู่เรื่อยๆ ยังไงอยากให้แก้ตรงไหน
    ก็บอกเลยนะครับ ผมน้อมรับไว้เต็มที่


    ที่เหลืออยากบอกว่า ผมอยากติดตัวแดงครับ จะได้ดังแบบใครๆเขาสักทีเอิ๊กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    เจอกันตอนหน้าครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×