ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    O_อุ่นรักในสายลมหนาว_O

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 9 "โนเร บัง"

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.พ. 52


    ตอนที่ 9

     

    ความเมามายที่กถาได้รับช่างเป็นสิ่งแปลกใหม่ โซจูเหล้าเกาหลีรสเลิศช่างบาดคอเหลือร้าย กลืนเข้าไปไม่กี่คำก็ทำให้ทั้งเนื้อทั้งตัวร้อนผ่าว ราวกระโดดลงไปนอนแช่อยู่ในอ่างน้ำเดือด เสียงดนตรีแนวฮิพฮ็อพเร้าใจในผับที่เป็นสถานที่ชุมนุมกันของนักเที่ยวกลางคืนเช่นนี้ก็เหมือนจะปลุกอารมณ์ให้คนที่ร่ำสุราทุกคนครึกครื้นตามไปด้วย

    ไม่เว้นแม้แต่กถา แม้ว่าจะไม่คุ้นเคยกับสถานที่ แต่เมื่อดื่มโซจูจนได้ที่ ลวดลายท่าเต้นอันพิสดารจึงถูกงัดออกมาโชว์ ถึงจะมีกลิ่นควันบุหรี่คละคลุ้งไปทั่ว คนเมาได้ที่ก็ไม่นำพา เอาแต่วาดลวดลายอย่างสะใจ ไฟหลากสีในห้องมืด ๆ แคบ ๆ ขับให้เสื้อสีขาวของเขาเด่นขึ้นทันทีเมื่ออยู่กลางฟลอร์

    เต้นไปเต้นมา เจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่าไปเบียดที่เบียดทางคนอื่นเขาอยู่มาก จนมีใครบางคนมาสะกิดเตือน แต่เขาก็ยังไม่สนใจ ปัดมือที่สะกิดทิ้งไป แล้วเต้นต่ออย่างเอาเป็นเอาตาย

    ทว่า เจ้าคนสะกิดยังไม่เลิกรา ยังคงตามตื๊อสะกิดเรียก จนกถาทนไม่ไหว หลุดปากตะโกนถามไปอย่างอารมณ์เสีย แข่งกับเสียงเพลงที่ดังสนั่น

    อะไรวะ…”

    ด้วยฤทธิ์เหล้าหรือหมัดเด็ดที่พุ่งสวนคำพูดนั้นเข้ามาก็ไม่รู้ ที่ทำให้หน้าของเขาชาดิก ล้มลงกับพื้นทันที

    กถาเอามือเช็ดปาก เมื่อรู้สึกถึงรสเค็มของเลือดที่ริมฝีปาก

    อะไรกันนี่…”

    ร่างปวกเปียกเมามายของเขาไม่อาจต้านทานแรงลากจูงของกลุ่มชายฉกรรจ์ 4-5 คนที่ลากคอเสื้อของเขาออกจากฟลอร์ได้ ยิ่งดิ้นพรวดพราดหมายจะให้ตัวเองเป็นอิสระ ก็ยิ่งถูกเตะอย่างไม่ปรานีปราศรัย

    กถาไม่รู้สึกตัวเลยจนกระทั่งถูกลากออกมาจากผับแห่งนั้นแล้ว เพื่อนชาวเกาหลีอีก 2 คนที่มาด้วย ก็ถูกรุมต่อยจนหน้าพังยับ ไม่อาจช่วยกถาได้เช่นเดียวกัน

    ภายใต้สติสัมปชัญญะอันน้อยนิด กถาได้ยินเสียงพูดหยาบคายเป็นภาษาเกาหลีหลายประโยคกับเพื่อนอีกสองคนที่ล้มลงกับพื้นปูนหน้าผับไม่เป็นท่า ก่อนที่เจ้าตัวหัวหน้าที่สั่งลูกน้องลากพวกเขาออกมาจะหันมาทางเขา

    เต้นกวนนักนะแก ไอ้หน้าอ่อน มาใหม่แถวนี้แล้วยังสะเออะไม่รู้ทิศทาง

    ทำไงกับมันต่อดีลูกพี่

    วันนี้ยังไม่อยากออกแรงมาก เสียเส้นชิบ กำลังดิ้นมัน ๆ สั่งสอนพวกมันแค่นี้ก่อนก็พอ

    แต่สำหรับแกยังไม่พอ

    กถาได้ยินเสียงพูดมาจากอีกทางจึงหันไปมอง ร่างสูงใหญ่ของใครอีกคนพร้อมพวกด้านหลังเดินมาจากทางลานจอดรถ

    ความเย็นยะเยือกของคืนฤดูหนาว ยิ่งส่งให้ร่างกายของเขาปวดเจ็บเป็นล้านเท่า คิดในใจว่าซวยซ้ำซวยซ้อนจริง ๆ เจออันธพาลอีกพวกหนึ่งแล้ว

    ทว่า กลุ่มคนที่เดินมานั้น เข้ามาประจันหน้ากับกลุ่มที่รุมทำร้ายเขาอยู่

    คยองฮวัน แกกล้าทำร้ายคนไม่มีทางสู้อย่างนี้ด้วย? มันจะไม่ทุเรศไปหน่อยเหรอวะ คนมาใหม่ถามเสียงกร้าว

    ฮึนึกว่าใคร ฉันจะทำแล้วไง อันนี้ก็ช่วยไม่ได้ พอดีมันคันไม้คันมือ เลยออกกำลังกายเล่นสักหน่อย แล้วที่นี่มันก็ถิ่นของข้า หมาหลงถิ่น อย่างแกอย่าสาระแนมายุ่ง

    กถาเห็นคยองฮวันคนที่ทำร้ายเขายืนจังก้า พูดท้าทายอย่างไม่นึกกลัวเกรง

    แกอยากออกกำลังกายงั้นเหรอ ได้สิ ฉันจะช่วยสงเคราะห์ให้ เฮ้ยพวกเรา

    สิ้นเสียงร่างสูงก็พุ่งเข้าหาคู่อริ ออกหมัดสอยเจ้าหัวหน้าที่ทำร้ายกถาจนหน้าหัน ลูกน้องเจ้าถิ่นข้าง ๆ เห็นไม่ได้การจึงโถมเข้ามาบ้าง แต่ก็เหมือนผู้ติดตามของผู้มาเยือนจะรู้ทัน วิ่งสวนออกมารับมือเสียก่อน ร่างใหญ่โย่งเตะสวนเข้าหลายที แต่คู่หัวหน้าก็ผลัดกันรุกผลัดกันรับ

    กถาและเพื่อนอีก 2 คนถอยกรูดออกมารวมกันที่โคนต้นไม้หน้าผับ มองเสือสองตัวฟัดกันอย่างถึงพริกถึงขิง

    เฮ้ยมันอะไรกันวะ กถาสั่นไปหมด เร่งเร้าถามเพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ

    ซวยจริง ๆ เลย ดันมาเจอพวกแก๊งสเตอร์เข้าให้เพื่อนที่ดูจะกลัวไม่แพ้กันพูดฟันกระทบกันกึก ๆ

    จะบ้าตายเจอเข้าทั้งสองแก๊งที่ไม่ถูกกันด้วย เพื่อนอีกคนร้องเสียงหลง

    จังหวะนั้นเอง คยองฮวันเสียท่า ถูกผู้มาเยือนอัดเข้าที่ท้องจนล้มลงไปกองกับพื้น ส่วนลูกน้องที่เหลือก็อยู่ในสภาพไม่ต่างกัน

    เป็นไง แกหมดแรงแล้วเหรอคยองฮวัน ออกแรงแค่นี้ ฉันยังไม่ทันหายหนาวเลย ลุกขึ้นมาต่ออีกสักรอบสิวะ ถ้าแน่จริง

    ฝากไว้ก่อนเถอะ ฉันจะเอาคืน

    มันไม่ใช่แค่ครั้งนี้หรอก คยองฮวันบอกตัวเอง หลายครั้งหลายหนแล้วที่เขาต้องแพ้พ่ายให้กับเจ้าบ้านี่ และยิ่งวันนี้เขาต้องมาเสียหน้าในถิ่นตัวเองอีก ไว้สักวันเขาต้องแก้แค้นให้สาสม ฐานที่มาหมิ่นหยามและทำร้ายเขาอย่างสาหัส สร้างแผลพยาบาทในใจเขาเป็นหลุมลึกและเจ็บแค้น

    เฮ้ยพวกเรากลับ

    ไปเลยไป๊ อย่ามาให้เห็นหน้านะเว้ย

    กถาโล่งใจทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่ทำร้ายเขาเมื่อครู่เผ่นหนีไปแล้ว แต่ก็ต้องสะดุ้งอีกรอบเพราะร่างสูงของผู้ชนะการต่อสู้เดินมาทางเขา

    นายชื่อกถาใช่ไหม

    คนถูกถามแปลกใจเป็นอันมากทำไมถึงรู้จักเขาได้

    กถารับฝ่ามือหนาที่ยื่นมาให้เพื่อลุกขึ้นยืน แล้วจึงรับคำไปอย่างงง ๆ

    เราชื่อแทยัง เรียนที่เดียวกับนายนั่นแหละ นายคงเป็นคนไทยที่มาเรียนแลกเปลี่ยนใช่ไหม

    เอ่อใช่ แล้วนายรู้ได้ยังไง หรือนายรู้จักกับรินหมายถึงนาราริน

    ไม่เชิงหรอก เราเกรงว่าเธอจะรู้จักเราในทางที่เข้าใจผิดเสียมากกว่า

    เข้าใจผิด?

    อืม วันก่อนเพื่อนของเราไปเสียมารยาทกับคุณรินไว้ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ขอโทษ

    กถาเลิกคิ้วสูง แต่ก็ไม่ได้ทันถามความใดต่อ อัศวินผู้ช่วยชีวิตก็หันไปพูดกับเพื่อนอีกสองคนที่มากับเขาด้วย เจ้าสองคนนั้นดูท่าทางหวาด ๆ อย่างไรชอบกล

    ทีหลังก็ดูแลเขาดี ๆ หน่อยสิ เขาเป็นชาวต่างชาตินะ

    ทั้งคู่อ้อมแอ้มรับคำ แล้วสะกิดเตือนกถาให้กลับ ชายหนุ่มที่ยืนงงอยู่จึงกล่าวลา

    ขอบคุณมากนะแทยัง ไม่ได้นายช่วยไว้คงแย่แน่ ๆ

    ไม่เป็นไรหรอก แต่ระวังไว้หน่อยก็ดี มีปัญหาอะไร เราช่วยได้เสมอ แล้วเจอกันที่มหาลัยนะ

     

    //////////////////////////////////////////////////////////

     

    ไม่ใช่แค่กถาเท่านั้นหรอกที่ไป ต่อ กับเพื่อน ๆ นารารินเองก็ถูกกึ่งลากกึ่งจูงให้ไปต่อที่ร้าน โนเร บัง เหมือนกัน

    โนเร บัง คือร้านคาราโอเกะเวอร์ชั่นเกาหลีไงล่ะ จินสุกอธิบายคร่าว ๆ ก่อนจะบังคับขู่เข็ญให้เธอไปให้ได้

    หญิงสาวนึกต่อ โนเร แปลว่า เพลง แล้วคำว่า บัง แปลว่า ห้อง อย่างนั้นมันก็หมายความว่า ห้องเพลง นั่นเอง แต่เมื่อได้รู้แล้วว่ามันคืออะไร ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอยากไปอยู่ดี เธอจึงโอดครวญออกมาดัง ๆ

    ฉันไม่อยากไปอ่ะ ไม่ค่อยรู้จักใคร…”

    อะไรกันริน ก็เพราะไม่รู้จักใครสิถึงสมควรไปอย่างยิ่ง จะได้ทำความรู้จักคนใหม่ ๆ

    คนฟังทำหน้าย่น ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากทำความรู้จักใครใหม่ ๆ แต่เพราะร่างกายมันอ่อนเพลียจากการปรับตัวในการเรียนมาทั้งวันแล้วต่างหาก

    ทำไมเหรอ เค้าไม่อยากไปเหรอ เพื่อนชายอีกคนตะโกนถาม

    อืม รินเขาบอกไม่ค่อยรู้จักใคร จินสุกตะโกนแข่งเสียงเพลงตอบไปยังอีกฟาก

    มีสิทำไมจะไม่มีเค้าน่าจะรู้จักนะ หนุ่มคนเดิมสวนกลับมา

    ทั้งจินสุกและนารารินมองหน้ากันเหรอหรา ว่าใครที่เธอจะรู้จักอีก

    เอาน่าไปแล้วก็รู้เอง…”

    แล้วนารารินก็ตกกระไดพลอยโจนมายัง โนเร บังกับเขาจนได้

    ห้องร้องเพลงเรียกได้ว่าไม่แคบและไม่กว้างเกินไปนัก พอจุคนได้ประมาณสิบคน ในห้องมืดสลัว แต่มีดวงไฟหลากสีส่องแสงออกมาจากทุกมุมห้อง หญิงสาวเลือกนั่งลงตรงโซฟาชิดผนังตัวหนึ่ง ยังคงงงกับสถานที่ นั่งได้ไม่นาน เพื่อน ๆ กลุ่มใหม่ก็เข้ามาเสริม นารารินมองกลุ่มผู้มาใหม่ แล้วรู้สึกคุ้นตาชายคนสุดท้ายที่ตามเข้ามาเป็นอันมาก เมื่อเขม้นมองภายใต้แสงไฟสลัว ๆ อย่างจริงจังจึงแล้ว จึงรู้ว่าคน ๆ นั้นคือใคร

    พี่แดน...ไปไงมาไงคะนี่

    พี่ก็ขับรถมาไงครับ…” ชายหนุ่มตอบเล่น ๆ หมายจะหยอกเย้า

    ค่า…” ลากเสียงยาว นั่นน่ะรู้แล้ว แต่อยากรู้ว่าใครชวนมา

    พอดีพี่รู้จักกับเจ้าของงานน่ะ คนโน้นไง…” แดนพุทธชี้มือไปทางประตูร้านที่ เจ้าของงานกำลังกวักมือเรียกเพื่อน ๆ ให้เดินกันเข้ามาข้างใน เขาก็คือคนที่ตะโกนโต้ตอบกับจินสุกเมื่อครู่นี้เอง

    เขาบอกพี่ว่า ถ้าพี่มาพี่ก็จะได้เจอคนรู้จักด้วย ทีแรกก็งงอยู่เหมือนกัน พอมาเจอก็เลยได้ร้องเอ๋อ ว่าคือรินนั่นเองคงเพราะวันก่อนพี่เล่าให้เขาฟังว่ามีน้องคนไทยมาเรียนที่แทจอน

    เป็นอันว่าต่างคนต่างถูกหลอกให้มาเจอกัน…” นารารินหัวเราะร่วน พลางรับแก้วเครื่องดื่มที่จินสุกยัดใส่มือ

    อะไรน่ะจินสุก…”

    เบียร์คลาส…” เพื่อนสาวตอบพลางรินใส่แก้วตัวเอง แล้วตะโกนแข่งกันเสียงดนตรีที่เริ่มบรรเลงดัง มาร้องเพลงที่โนเร บัง ทั้งทีก็ต้องกินสิ

    ฉันไมดื่มแอลกอฮอล์

    ได้ฟังแค่นั้นจินสุกถึงกับทำหน้าไม่เชื่อ ทำไมไม่ดื่มล่ะแปลกจัง

    คำพูดนั้นช่างทำให้เธองงยิ่งนัก ที่แปลกก็เห็นจะเป็นที่เธอดื่มตากหากละจินสุก

    ไม่ว่าชายหรือหญิงเขาก็ดื่มกันทั้งนั้นแหละฮะ เป็นวัฒนธรรมของที่นี่…” แดนพุทธอธิบาย

    นารารินทำหน้าไม่เข้าใจ จินสุกจึงพูดเสริมเพื่อให้กระจ่าง แต่ก็ดูเหมือนจะยังฟังดูงง ๆ สำหรับเธออยู่

    “…คงเพราะเกาหลีเป็นเมืองหนาวมั้ง เราเลยต้องดื่มแอลกอฮอล์เมื่อจะได้อบอุ่นไง เลือดลมจะได้ไหวเวียนดี ไม่หนาวตายเอาเถอะ ๆ เข้าเมืองตาหลิ่วแล้วต้องหลิ่วตาตามนะริน ดื่มซะหัดไว้ถ้าไม่เคย พอเป็นแล้วจะได้ไม่ถูกใครมอมเหล้าไง

    นารารินลังเลกับคำคะยั้นคะยอของเพื่อนสาว หันหน้ามองแดนพุทธเพื่อหารือ

    นิด ๆ หน่อย ๆ คงไม่เป็นไรมังฮะ เบียร์ที่นี่ดีกรีต่ำกว่าเมืองไทยเยอะ คงไม่เมาหรอก…”

    ต้องกินให้หมดแก้วนะ…”

    หญิงสาวมองที่ แก้วตามคำเรียกของเพื่อน แต่สำหรับเธอมันน่าจะเป็น เหยือกเสียมากกว่า

    ไม่หมดถือว่าไม่แน่จริงด้วยเอ้า…”

    นั่นแหละ หญิงสาวจึงกระดกรวดเดียว ดื่มลงไปอย่างรวดเร็วราวกระหาย จนน้ำสีเหลืองไหลออกเปื้อนตามสองข้างแก้ม

    แปลก! ขมนิด ๆ แต่ก็อร่อยดีหญิงสาวคิด

    อาการเช่นนั้นทำให้จินสุกตาโต

    ใจเย็น ๆ ก็ได้ริน ฉันบอกให้กินหมดแต่ไม่ได้บอกให้รวดเดียวแบบนี้นะ เดี๋ยวก็เมากันพอดี คนยิ่งไม่เคย

    แดนพุทธหัวเราะ แต่นารารินยิ้มตาเยิ้มให้แทนคำตอบ แก้มเริ่มออกสีแดงเรื่อ ๆ ภายใต้แสงสลัวของห้องร้องเพลง

    เอ้า วันนี้เรามีเพื่อนแลกเปลี่ยนมาจากประเทศไทยนะครับ เจ้าของงานคว้าไมค์มาพูด ดังนั้น ขอได้รับเกียรติจากเธอร้องเพลงให้เราฟังสักหน่อย

    นารารินส่ายหน้าจนตัวสั่น แต่ไม่เป็นผล เจ้าภาพยัดไมค์ใส่มือเรียบร้อยแล้ว โชคดีอยู่หน่อยเพลงที่เลือกมานั้นเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เกาหลีที่เคยฉายในเมืองไทย ทำให้เธอพอจะดำน้ำกล้อมแกล้มไปได้บ้าง แต่จากนั้นไม่นาน แอลกอฮอล์ที่ดื่มไปหลายแก้วไหลปราดเข้าสู่เส้นเลือดราวปรอท หญิงสาวแย่งไมค์มาจากเพื่อนอีกคนหนึ่ง แล้วเริ่มร้องเพลงถัด ๆ ไปอย่างรื่นเริง ทุกคนสนุกกันมากต่างปรบมือให้กำลังใจ ทั้ง ๆ ที่เธอร้องไม่ได้เลยสักนิด ได้แต่งึมงำไปตามเนื้อเพลงที่วิ่งเปลี่ยนไปมาใต้จอ

    แดนพุทธยิ้มหัวอยู่คนเดียวที่ริมโซฟายาว จากนั้นจึงเดินแยกออกมาหากาแฟดื่มที่ข้างนอกร้านเงียบ ๆ คนเดียว เพราะไม่ค่อยชอบเสียงอึกทึกสักเท่าไร ที่ตกลงมากับเพื่อนรุ่นน้องเพราะเจ้าคนนั้นบอกว่าจะได้มาเจอกับคนที่รู้จัก

    ชายหนุ่มจิบกาแฟในแก้วกระดาษราคาไม่แพงที่เขากดได้จากเครื่องขายน้ำ ยืนพิงกำแพงเหม่อมองไปในความมืดที่ประดับพรายด้วยหลอดไฟหลากสีของสถานบันเทิงยามค่ำคืน ทิ้งเสียงเพลงจากในห้องให้ดังเบา ๆ ราวอยู่ห่างไกล นานเท่าไรไม่รู้ที่เขายืนอยู่ตรงนั้น มารู้ตัวอีกทีเมื่อเพื่อนรุ่นน้องเจ้าภาพงานเข้ามาสะกิดเรียก

    เห็นที่พี่คงต้องไปส่งน้องคนไทยของพี่แล้วละฮะ…”

    ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม หนุ่มเกาหลีคนนั้นก็ได้แต่ยิ้มแล้วพยักหน้าแบบที่บอกว่า ก็น่าจะเดาได้

    สภาพที่แดนพุทธเห็นนารารินตอนนี้เรียกอารมณ์ขันของเขาได้มากทีเดียว ร่างน้อย ๆ กระปกกระเปลี้ยอยู่ในอ้อมประคองของจินสุกที่ดูท่าจะดื่มไปมากเหมือนกันแต่ก็ยังครองสติไว้ได้

    คุณแดนคงต้องไปส่งรินแล้วละค่ะ คนอื่นเขามีรถไปส่งกันหมดแล้วรินก็นี่แหละค่ะ เมาไม่เป็นท่าเลย

    ฉันไม่เมานะ ฉันไม่ม้าววว…” หญิงสาวพึมพำเป็นภาษาไทยราวเด็กดื้อที่ไม่ยอมคน ทำให้แดนพุทธอดขำเป็นครั้งที่สองไม่ได้ พลอยทำให้คนพยุงอยู่หัวเราะตาม

    ส่วนตัวนารารินเอง เธอพยายามจะขืนตัวภายใต้สติอันน้อยนิด บอกว่าเธอสามารถเดินเองได้แต่ให้ตายสิ ขามันไม่ไปตามคำสั่งสักนิด มันคอยแต่จะปัดเป๋ไปมา ไม่มีแรงเลยแม้แต่น้อย

    ดูสิมีแต่คนยิ้มเยาะเรา ไม่ได้นะ เราจะต้องเดินเองไหว

    รินเดินได้ค่า เดินด้ายยย ม่ายต้องห่วง

    แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ต้องอาศัยจินสุกประคอง แถมด้วยมีรอยขบขันบนดวงตาของแดนพุทธส่งมาให้

    ขำอะไรนะพี่แดน รินยังไหวนะ ยังหวายยย…”

    ชายหนุ่มไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่เดินเข้ามาอุ้มหญิงสาวเสียเอง นารารินขืนตัวอีกรอบ แต่ร่างไร้แรงก็ไม่อาจต้านทาน ได้แต่ปล่อยตัวเองไหลเป็นน้ำไปอย่างนั้น

    ไม่นะพี่แดน รินเดินได้ รินเดินด้ายยย…”

    ชายหนุ่มไม่นำพา อุ้มเธอขึ้นด้วยลำแขนแข็งแรง เป็นจังหวะเดียวกับดวงหน้านารารินซบลงที่แผ่นอกของเขาพอดี ชายหนุ่มหัวใจเต้นแรง หน้าร้อนผ่าวราวร่ำฤทธิ์แอลกอฮอล์แข่งกันหญิงสาวในอ้อมแขน กลิ่นเรือนกายอวลอบมาหอมกรุ่นอยู่ที่ปลายจมูก ชายหนุ่มพาเธอมาที่รถแดวูสีขาว เปิดประตูหลังหมายจะวางเธอลง พยายามรักษาจังหวะการเต้นของหัวใจที่แรงผิดปรกติ แต่ก็ทำไม่ได้เลย

    ฉันว่าคุณจับเธอนั่งที่เบาะหน้าดีกว่าค่ะ…”

    อ้าว แล้วคุณจะนั่งเบาะหลังเหรอครับ…”

    เปล่าค่ะ ฉันจะนั่งเบาะอื่นต่างหาก

    คนฟังทำหน้างง ก่อนจะบรรจงว่างนารารินไว้ที่เบาะตอนหน้าของรถแต่โดยดี

    คือฉันจะต้องไปค้างกับเพื่อนอีกคนหนึ่งนะคะ เขาขอร้องให้ไปอยู่เป็นเพื่อนคืนนี้

    ชายหนุ่มทำหน้างงไปใหญ่ มีเสียงร้องเบา ๆ ว่า ไม่มาว ๆ ของนารารินขัดเป็นระยะ ๆ

    แล้วจะให้ผมส่งเธอที่หอ?

    ค่ะฉันคงไว้ใจคุณได้ ใช่ไหมคะ จินสุกพูดเหมือนถามลองเชิง ก็เห็นคุยสนิทกันดี

    ชายหนุ่มผงกศีรษะรับ คงจะต้องเป็นสารถีจำเป็นให้เสียแล้ว

    ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมรู้จักกับญาติผู้ใหญ่ของเธอ ท่านฝากฝังให้ผมดูแลเธออยู่แล้ว

    จินสุกกล่าวคำขอบคุณเบา ๆ แล้วเผ่นแผล็วไปหารถเพื่อนอีกคัน ชายหนุ่มมองตามจนไฟท้ายรถสีแดงหายสุดตานั่นแหละ จึงหันกลับมามากหญิงสาวที่นอนพริ้มตาอยู่ในรถ เสียงเครื่องยนต์ที่เปิดไว้ให้เครื่องทำความร้อนทำงานครางหึ่ง ๆ ในความมืด ชายหนุ่มเดินอ้อมมาที่ฝั่งคนขับ ลอบมองเสี้ยวหน้าขาวละมุนอีกครั้ง ทั้งห่วงและขำในเวลาเดียวกัน ประเดี๋ยวเถอะ พอรุ่งเช้า คงได้ปวดหัวจี๊ดเพราะหลับไปทั้งยังเมาอยู่อย่างนี้แน่ ๆ

    แต่อีกใจหนึ่งเขาก็นึกผ่อนคลายที่เห็นเธอสนุกสนานสบายใจ ไม่เครียดเกร็งอย่างวันวาน และรอยหมองหม่นที่ระบายอยู่เป็นริ้ว ๆ ในดวงตาของเธอก็จางหาย

    ทุกข์อันใดเล่าที่จองจำเธอไว้ในห้องขังแห่งความเศร้า ขอเธอจงปลดปล่อยมันไปเสียเช่นวันนี้ อย่าได้ทำให้ดวงหน้าสวยใสต้องเจือไว้ด้วยโศกสลดใด ๆ เลย

    ชายหนุ่มยิ้ม เมื่อนึกถึงความอุ่นที่วาบเข้ามากลางอกตอนที่ใบหน้าหญิงสาวซบลงมาเมื่อครู่ ท่ามกลางสายลมหนาวที่ป่าวหนัก ไออุ่นบางเบาบางอย่างกำลังอบร่ำให้เขาไม่ต้องเหน็บหนาวไปตามสายลมเช่นเคยเหมือนทุกปี

    แดนพุทธเร่งเครื่องยนต์แล่นผ่านความมืดไปยังจุดหมายปลายทางอย่างมั่นคง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×