คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 9 "โนเร บัง"
ตอนที่ 9
ความเมามายที่กถาได้รับช่างเป็นสิ่งแปลกใหม่ ‘โซจู’ เหล้าเกาหลีรสเลิศช่างบาดคอเหลือร้าย กลืนเข้าไปไม่กี่คำก็ทำให้ทั้งเนื้อทั้งตัวร้อนผ่าว ราวกระโดดลงไปนอนแช่อยู่ในอ่างน้ำเดือด เสียงดนตรีแนวฮิพฮ็อพเร้าใจในผับที่เป็นสถานที่ชุมนุมกันของนักเที่ยวกลางคืนเช่นนี้ก็เหมือนจะปลุกอารมณ์ให้คนที่ร่ำสุราทุกคนครึกครื้นตามไปด้วย
ไม่เว้นแม้แต่กถา แม้ว่าจะไม่คุ้นเคยกับสถานที่ แต่เมื่อดื่มโซจูจนได้ที่ ลวดลายท่าเต้นอันพิสดารจึงถูกงัดออกมาโชว์ ถึงจะมีกลิ่นควันบุหรี่คละคลุ้งไปทั่ว คนเมาได้ที่ก็ไม่นำพา เอาแต่วาดลวดลายอย่างสะใจ ไฟหลากสีในห้องมืด ๆ แคบ ๆ ขับให้เสื้อสีขาวของเขาเด่นขึ้นทันทีเมื่ออยู่กลางฟลอร์
เต้นไปเต้นมา เจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่าไปเบียดที่เบียดทางคนอื่นเขาอยู่มาก จนมีใครบางคนมาสะกิดเตือน แต่เขาก็ยังไม่สนใจ ปัดมือที่สะกิดทิ้งไป แล้วเต้นต่ออย่างเอาเป็นเอาตาย
ทว่า เจ้าคนสะกิดยังไม่เลิกรา ยังคงตามตื๊อสะกิดเรียก จนกถาทนไม่ไหว หลุดปากตะโกนถามไปอย่างอารมณ์เสีย แข่งกับเสียงเพลงที่ดังสนั่น
“อะไรวะ
”
ด้วยฤทธิ์เหล้าหรือหมัดเด็ดที่พุ่งสวนคำพูดนั้นเข้ามาก็ไม่รู้ ที่ทำให้หน้าของเขาชาดิก ล้มลงกับพื้นทันที
กถาเอามือเช็ดปาก เมื่อรู้สึกถึงรสเค็มของเลือดที่ริมฝีปาก
“อะไรกันนี่
”
ร่างปวกเปียกเมามายของเขาไม่อาจต้านทานแรงลากจูงของกลุ่มชายฉกรรจ์ 4-5 คนที่ลากคอเสื้อของเขาออกจากฟลอร์ได้ ยิ่งดิ้นพรวดพราดหมายจะให้ตัวเองเป็นอิสระ ก็ยิ่งถูกเตะอย่างไม่ปรานีปราศรัย
กถาไม่รู้สึกตัวเลยจนกระทั่งถูกลากออกมาจากผับแห่งนั้นแล้ว เพื่อนชาวเกาหลีอีก 2 คนที่มาด้วย ก็ถูกรุมต่อยจนหน้าพังยับ ไม่อาจช่วยกถาได้เช่นเดียวกัน
ภายใต้สติสัมปชัญญะอันน้อยนิด กถาได้ยินเสียงพูดหยาบคายเป็นภาษาเกาหลีหลายประโยคกับเพื่อนอีกสองคนที่ล้มลงกับพื้นปูนหน้าผับไม่เป็นท่า ก่อนที่เจ้าตัวหัวหน้าที่สั่งลูกน้องลากพวกเขาออกมาจะหันมาทางเขา
“เต้นกวนนักนะแก ไอ้หน้าอ่อน มาใหม่แถวนี้แล้วยังสะเออะไม่รู้ทิศทาง”
“ทำไงกับมันต่อดีลูกพี่”
“วันนี้ยังไม่อยากออกแรงมาก เสียเส้นชิบ กำลังดิ้นมัน ๆ สั่งสอนพวกมันแค่นี้ก่อนก็พอ”
“แต่สำหรับแกยังไม่พอ”
กถาได้ยินเสียงพูดมาจากอีกทางจึงหันไปมอง ร่างสูงใหญ่ของใครอีกคนพร้อมพวกด้านหลังเดินมาจากทางลานจอดรถ
ความเย็นยะเยือกของคืนฤดูหนาว ยิ่งส่งให้ร่างกายของเขาปวดเจ็บเป็นล้านเท่า คิดในใจว่าซวยซ้ำซวยซ้อนจริง ๆ เจออันธพาลอีกพวกหนึ่งแล้ว
ทว่า กลุ่มคนที่เดินมานั้น เข้ามาประจันหน้ากับกลุ่มที่รุมทำร้ายเขาอยู่
“คยองฮวัน แกกล้าทำร้ายคนไม่มีทางสู้อย่างนี้ด้วย? มันจะไม่ทุเรศไปหน่อยเหรอวะ” คนมาใหม่ถามเสียงกร้าว
“ฮึ
นึกว่าใคร ฉันจะทำแล้วไง อันนี้ก็ช่วยไม่ได้ พอดีมันคันไม้คันมือ เลยออกกำลังกายเล่นสักหน่อย แล้วที่นี่มันก็ถิ่นของข้า ‘หมาหลงถิ่น’ อย่างแกอย่าสาระแนมายุ่ง”
กถาเห็นคยองฮวันคนที่ทำร้ายเขายืนจังก้า พูดท้าทายอย่างไม่นึกกลัวเกรง
“แกอยากออกกำลังกายงั้นเหรอ ได้สิ ฉันจะช่วยสงเคราะห์ให้ เฮ้ย
พวกเรา”
สิ้นเสียงร่างสูงก็พุ่งเข้าหาคู่อริ ออกหมัดสอยเจ้าหัวหน้าที่ทำร้ายกถาจนหน้าหัน ลูกน้องเจ้าถิ่นข้าง ๆ เห็นไม่ได้การจึงโถมเข้ามาบ้าง แต่ก็เหมือนผู้ติดตามของผู้มาเยือนจะรู้ทัน วิ่งสวนออกมารับมือเสียก่อน ร่างใหญ่โย่งเตะสวนเข้าหลายที แต่คู่หัวหน้าก็ผลัดกันรุกผลัดกันรับ
กถาและเพื่อนอีก 2 คนถอยกรูดออกมารวมกันที่โคนต้นไม้หน้าผับ มองเสือสองตัวฟัดกันอย่างถึงพริกถึงขิง
“เฮ้ย
มันอะไรกันวะ” กถาสั่นไปหมด เร่งเร้าถามเพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ
“ซวยจริง ๆ เลย ดันมาเจอพวกแก๊งสเตอร์เข้าให้” เพื่อนที่ดูจะกลัวไม่แพ้กันพูดฟันกระทบกันกึก ๆ
“จะบ้าตาย
เจอเข้าทั้งสองแก๊งที่ไม่ถูกกันด้วย” เพื่อนอีกคนร้องเสียงหลง
จังหวะนั้นเอง คยองฮวันเสียท่า ถูกผู้มาเยือนอัดเข้าที่ท้องจนล้มลงไปกองกับพื้น ส่วนลูกน้องที่เหลือก็อยู่ในสภาพไม่ต่างกัน
“เป็นไง แกหมดแรงแล้วเหรอคยองฮวัน
ออกแรงแค่นี้ ฉันยังไม่ทันหายหนาวเลย ลุกขึ้นมาต่ออีกสักรอบสิวะ ถ้าแน่จริง”
“ฝากไว้ก่อนเถอะ ฉันจะเอาคืน”
มันไม่ใช่แค่ครั้งนี้หรอก
คยองฮวันบอกตัวเอง หลายครั้งหลายหนแล้วที่เขาต้องแพ้พ่ายให้กับเจ้าบ้านี่ และยิ่งวันนี้เขาต้องมาเสียหน้าในถิ่นตัวเองอีก ไว้สักวันเขาต้องแก้แค้นให้สาสม ฐานที่มาหมิ่นหยามและทำร้ายเขาอย่างสาหัส สร้างแผลพยาบาทในใจเขาเป็นหลุมลึกและเจ็บแค้น
“เฮ้ย
พวกเรากลับ”
“ไปเลยไป๊ อย่ามาให้เห็นหน้านะเว้ย”
กถาโล่งใจทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่ทำร้ายเขาเมื่อครู่เผ่นหนีไปแล้ว แต่ก็ต้องสะดุ้งอีกรอบเพราะร่างสูงของผู้ชนะการต่อสู้เดินมาทางเขา
“นายชื่อกถาใช่ไหม”
คนถูกถามแปลกใจเป็นอันมาก
ทำไมถึงรู้จักเขาได้
กถารับฝ่ามือหนาที่ยื่นมาให้เพื่อลุกขึ้นยืน แล้วจึงรับคำไปอย่างงง ๆ
“เราชื่อแทยัง เรียนที่เดียวกับนายนั่นแหละ นายคงเป็นคนไทยที่มาเรียนแลกเปลี่ยนใช่ไหม”
“เอ่อ
ใช่ แล้วนายรู้ได้ยังไง หรือนายรู้จักกับริน
หมายถึงนาราริน”
“ไม่เชิงหรอก เราเกรงว่าเธอจะรู้จักเราในทางที่เข้าใจผิดเสียมากกว่า”
“เข้าใจผิด?”
“อืม วันก่อนเพื่อนของเราไปเสียมารยาทกับคุณรินไว้ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ขอโทษ”
กถาเลิกคิ้วสูง แต่ก็ไม่ได้ทันถามความใดต่อ อัศวินผู้ช่วยชีวิตก็หันไปพูดกับเพื่อนอีกสองคนที่มากับเขาด้วย เจ้าสองคนนั้นดูท่าทางหวาด ๆ อย่างไรชอบกล
“ทีหลังก็ดูแลเขาดี ๆ หน่อยสิ เขาเป็นชาวต่างชาตินะ”
ทั้งคู่อ้อมแอ้มรับคำ แล้วสะกิดเตือนกถาให้กลับ ชายหนุ่มที่ยืนงงอยู่จึงกล่าวลา
“ขอบคุณมากนะแทยัง ไม่ได้นายช่วยไว้คงแย่แน่ ๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก แต่ระวังไว้หน่อยก็ดี มีปัญหาอะไร เราช่วยได้เสมอ แล้วเจอกันที่มหา’ลัยนะ”
//////////////////////////////////////////////////////////
ไม่ใช่แค่กถาเท่านั้นหรอกที่ไป ‘ต่อ’ กับเพื่อน ๆ นารารินเองก็ถูกกึ่งลากกึ่งจูงให้ไปต่อที่ร้าน ‘โนเร บัง’ เหมือนกัน
“โนเร บัง คือร้านคาราโอเกะเวอร์ชั่นเกาหลีไงล่ะ” จินสุกอธิบายคร่าว ๆ ก่อนจะบังคับขู่เข็ญให้เธอไปให้ได้
หญิงสาวนึกต่อ ‘โนเร’ แปลว่า ‘เพลง’ แล้วคำว่า ‘บัง’ แปลว่า ‘ห้อง’ อย่างนั้นมันก็หมายความว่า ‘ห้องเพลง’ นั่นเอง แต่เมื่อได้รู้แล้วว่ามันคืออะไร ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอยากไปอยู่ดี เธอจึงโอดครวญออกมาดัง ๆ
“ฉันไม่อยากไปอ่ะ ไม่ค่อยรู้จักใคร
”
“อะไรกันริน ก็เพราะไม่รู้จักใครสิถึงสมควรไปอย่างยิ่ง จะได้ทำความรู้จักคนใหม่ ๆ”
คนฟังทำหน้าย่น ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากทำความรู้จักใครใหม่ ๆ แต่เพราะร่างกายมันอ่อนเพลียจากการปรับตัวในการเรียนมาทั้งวันแล้วต่างหาก
“ทำไมเหรอ เค้าไม่อยากไปเหรอ” เพื่อนชายอีกคนตะโกนถาม
“อืม รินเขาบอกไม่ค่อยรู้จักใคร” จินสุกตะโกนแข่งเสียงเพลงตอบไปยังอีกฟาก
“มีสิทำไมจะไม่มี
เค้าน่าจะรู้จักนะ” หนุ่มคนเดิมสวนกลับมา
ทั้งจินสุกและนารารินมองหน้ากันเหรอหรา ว่าใครที่เธอจะรู้จักอีก
“เอาน่าไปแล้วก็รู้เอง
”
แล้วนารารินก็ตกกระไดพลอยโจนมายัง ‘โนเร บัง’ กับเขาจนได้
ห้องร้องเพลงเรียกได้ว่าไม่แคบและไม่กว้างเกินไปนัก พอจุคนได้ประมาณสิบคน ในห้องมืดสลัว แต่มีดวงไฟหลากสีส่องแสงออกมาจากทุกมุมห้อง หญิงสาวเลือกนั่งลงตรงโซฟาชิดผนังตัวหนึ่ง ยังคงงงกับสถานที่ นั่งได้ไม่นาน เพื่อน ๆ กลุ่มใหม่ก็เข้ามาเสริม นารารินมองกลุ่มผู้มาใหม่ แล้วรู้สึกคุ้นตาชายคนสุดท้ายที่ตามเข้ามาเป็นอันมาก เมื่อเขม้นมองภายใต้แสงไฟสลัว ๆ อย่างจริงจังจึงแล้ว จึงรู้ว่าคน ๆ นั้นคือใคร
“พี่แดน...ไปไงมาไงคะนี่”
“พี่ก็ขับรถมาไงครับ
” ชายหนุ่มตอบเล่น ๆ หมายจะหยอกเย้า
“ค่า
” ลากเสียงยาว “นั่นน่ะรู้แล้ว แต่อยากรู้ว่าใครชวนมา”
“พอดีพี่รู้จักกับเจ้าของงานน่ะ คนโน้นไง
” แดนพุทธชี้มือไปทางประตูร้านที่ ‘เจ้าของงาน’ กำลังกวักมือเรียกเพื่อน ๆ ให้เดินกันเข้ามาข้างใน เขาก็คือคนที่ตะโกนโต้ตอบกับจินสุกเมื่อครู่นี้เอง
“เขาบอกพี่ว่า ถ้าพี่มาพี่ก็จะได้เจอคนรู้จักด้วย ทีแรกก็งงอยู่เหมือนกัน พอมาเจอก็เลยได้ร้องเอ๋อ ว่าคือรินนั่นเอง
คงเพราะวันก่อนพี่เล่าให้เขาฟังว่ามีน้องคนไทยมาเรียนที่แทจอน”
“เป็นอันว่าต่างคนต่างถูกหลอกให้มาเจอกัน
” นารารินหัวเราะร่วน พลางรับแก้วเครื่องดื่มที่จินสุกยัดใส่มือ
“อะไรน่ะจินสุก
”
“เบียร์คลาส
” เพื่อนสาวตอบพลางรินใส่แก้วตัวเอง แล้วตะโกนแข่งกันเสียงดนตรีที่เริ่มบรรเลงดัง “มาร้องเพลงที่โนเร บัง ทั้งทีก็ต้องกินสิ”
“ฉันไมดื่มแอลกอฮอล์”
ได้ฟังแค่นั้นจินสุกถึงกับทำหน้าไม่เชื่อ “ทำไมไม่ดื่มล่ะ
แปลกจัง”
คำพูดนั้นช่างทำให้เธองงยิ่งนัก
ที่แปลกก็เห็นจะเป็นที่เธอดื่มตากหากละจินสุก
“ไม่ว่าชายหรือหญิงเขาก็ดื่มกันทั้งนั้นแหละฮะ เป็นวัฒนธรรมของที่นี่
” แดนพุทธอธิบาย
นารารินทำหน้าไม่เข้าใจ จินสุกจึงพูดเสริมเพื่อให้กระจ่าง แต่ก็ดูเหมือนจะยังฟังดูงง ๆ สำหรับเธออยู่
“
คงเพราะเกาหลีเป็นเมืองหนาวมั้ง เราเลยต้องดื่มแอลกอฮอล์เมื่อจะได้อบอุ่นไง เลือดลมจะได้ไหวเวียนดี ไม่หนาวตาย
เอาเถอะ ๆ เข้าเมืองตาหลิ่วแล้วต้องหลิ่วตาตามนะริน ดื่มซะ
หัดไว้ถ้าไม่เคย พอเป็นแล้วจะได้ไม่ถูกใครมอมเหล้าไง”
นารารินลังเลกับคำคะยั้นคะยอของเพื่อนสาว หันหน้ามองแดนพุทธเพื่อหารือ
“นิด ๆ หน่อย ๆ คงไม่เป็นไรมังฮะ เบียร์ที่นี่ดีกรีต่ำกว่าเมืองไทยเยอะ คงไม่เมาหรอก
”
“ต้องกินให้หมดแก้วนะ
”
หญิงสาวมองที่ ‘แก้ว’ ตามคำเรียกของเพื่อน แต่สำหรับเธอมันน่าจะเป็น ‘เหยือก’ เสียมากกว่า
“ไม่หมดถือว่าไม่แน่จริงด้วยเอ้า
”
นั่นแหละ หญิงสาวจึงกระดกรวดเดียว ดื่มลงไปอย่างรวดเร็วราวกระหาย จนน้ำสีเหลืองไหลออกเปื้อนตามสองข้างแก้ม
แปลก! ขมนิด ๆ แต่ก็อร่อยดี
หญิงสาวคิด
อาการเช่นนั้นทำให้จินสุกตาโต
“ใจเย็น ๆ ก็ได้ริน ฉันบอกให้กินหมดแต่ไม่ได้บอกให้รวดเดียวแบบนี้นะ เดี๋ยวก็เมากันพอดี คนยิ่งไม่เคย”
แดนพุทธหัวเราะ แต่นารารินยิ้มตาเยิ้มให้แทนคำตอบ แก้มเริ่มออกสีแดงเรื่อ ๆ ภายใต้แสงสลัวของห้องร้องเพลง
“เอ้า วันนี้เรามีเพื่อนแลกเปลี่ยนมาจากประเทศไทยนะครับ” เจ้าของงานคว้าไมค์มาพูด “ดังนั้น ขอได้รับเกียรติจากเธอร้องเพลงให้เราฟังสักหน่อย”
นารารินส่ายหน้าจนตัวสั่น แต่ไม่เป็นผล เจ้าภาพยัดไมค์ใส่มือเรียบร้อยแล้ว โชคดีอยู่หน่อยเพลงที่เลือกมานั้นเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เกาหลีที่เคยฉายในเมืองไทย ทำให้เธอพอจะดำน้ำกล้อมแกล้มไปได้บ้าง แต่จากนั้นไม่นาน แอลกอฮอล์ที่ดื่มไปหลายแก้วไหลปราดเข้าสู่เส้นเลือดราวปรอท หญิงสาวแย่งไมค์มาจากเพื่อนอีกคนหนึ่ง แล้วเริ่มร้องเพลงถัด ๆ ไปอย่างรื่นเริง ทุกคนสนุกกันมากต่างปรบมือให้กำลังใจ ทั้ง ๆ ที่เธอร้องไม่ได้เลยสักนิด ได้แต่งึมงำไปตามเนื้อเพลงที่วิ่งเปลี่ยนไปมาใต้จอ
แดนพุทธยิ้มหัวอยู่คนเดียวที่ริมโซฟายาว จากนั้นจึงเดินแยกออกมาหากาแฟดื่มที่ข้างนอกร้านเงียบ ๆ คนเดียว เพราะไม่ค่อยชอบเสียงอึกทึกสักเท่าไร ที่ตกลงมากับเพื่อนรุ่นน้องเพราะเจ้าคนนั้นบอกว่าจะได้มาเจอกับคนที่รู้จัก
ชายหนุ่มจิบกาแฟในแก้วกระดาษราคาไม่แพงที่เขากดได้จากเครื่องขายน้ำ ยืนพิงกำแพงเหม่อมองไปในความมืดที่ประดับพรายด้วยหลอดไฟหลากสีของสถานบันเทิงยามค่ำคืน ทิ้งเสียงเพลงจากในห้องให้ดังเบา ๆ ราวอยู่ห่างไกล นานเท่าไรไม่รู้ที่เขายืนอยู่ตรงนั้น มารู้ตัวอีกทีเมื่อเพื่อนรุ่นน้องเจ้าภาพงานเข้ามาสะกิดเรียก
“เห็นที่พี่คงต้องไปส่งน้องคนไทยของพี่แล้วละฮะ
”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม หนุ่มเกาหลีคนนั้นก็ได้แต่ยิ้มแล้วพยักหน้าแบบที่บอกว่า ‘ก็น่าจะเดาได้’
สภาพที่แดนพุทธเห็นนารารินตอนนี้เรียกอารมณ์ขันของเขาได้มากทีเดียว ร่างน้อย ๆ กระปกกระเปลี้ยอยู่ในอ้อมประคองของจินสุกที่ดูท่าจะดื่มไปมากเหมือนกันแต่ก็ยังครองสติไว้ได้
“คุณแดนคงต้องไปส่งรินแล้วละค่ะ คนอื่นเขามีรถไปส่งกันหมดแล้ว
รินก็
นี่แหละค่ะ เมาไม่เป็นท่าเลย”
“ฉันไม่เมานะ ฉันไม่ม้าววว
” หญิงสาวพึมพำเป็นภาษาไทยราวเด็กดื้อที่ไม่ยอมคน ทำให้แดนพุทธอดขำเป็นครั้งที่สองไม่ได้ พลอยทำให้คนพยุงอยู่หัวเราะตาม
ส่วนตัวนารารินเอง เธอพยายามจะขืนตัวภายใต้สติอันน้อยนิด บอกว่าเธอสามารถเดินเองได้
แต่ให้ตายสิ ขามันไม่ไปตามคำสั่งสักนิด มันคอยแต่จะปัดเป๋ไปมา ไม่มีแรงเลยแม้แต่น้อย
ดูสิ
มีแต่คนยิ้มเยาะเรา ไม่ได้นะ เราจะต้องเดินเองไหว
“รินเดินได้ค่า เดินด้ายยย
ม่ายต้องห่วง”
แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ต้องอาศัยจินสุกประคอง แถมด้วยมีรอยขบขันบนดวงตาของแดนพุทธส่งมาให้
“ขำอะไรนะ
พี่แดน รินยังไหวนะ ยังหวายยย
”
ชายหนุ่มไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่เดินเข้ามาอุ้มหญิงสาวเสียเอง นารารินขืนตัวอีกรอบ แต่ร่างไร้แรงก็ไม่อาจต้านทาน ได้แต่ปล่อยตัวเองไหลเป็นน้ำไปอย่างนั้น
“ไม่นะพี่แดน รินเดินได้ รินเดินด้ายยย
”
ชายหนุ่มไม่นำพา อุ้มเธอขึ้นด้วยลำแขนแข็งแรง เป็นจังหวะเดียวกับดวงหน้านารารินซบลงที่แผ่นอกของเขาพอดี ชายหนุ่มหัวใจเต้นแรง หน้าร้อนผ่าวราวร่ำฤทธิ์แอลกอฮอล์แข่งกันหญิงสาวในอ้อมแขน กลิ่นเรือนกายอวลอบมาหอมกรุ่นอยู่ที่ปลายจมูก ชายหนุ่มพาเธอมาที่รถแดวูสีขาว เปิดประตูหลังหมายจะวางเธอลง พยายามรักษาจังหวะการเต้นของหัวใจที่แรงผิดปรกติ แต่ก็ทำไม่ได้เลย
“ฉันว่าคุณจับเธอนั่งที่เบาะหน้าดีกว่าค่ะ
”
“อ้าว แล้วคุณจะนั่งเบาะหลังเหรอครับ
”
“เปล่าค่ะ ฉันจะนั่งเบาะอื่นต่างหาก”
คนฟังทำหน้างง ก่อนจะบรรจงว่างนารารินไว้ที่เบาะตอนหน้าของรถแต่โดยดี
“คือฉันจะต้องไปค้างกับเพื่อนอีกคนหนึ่งนะคะ เขาขอร้องให้ไปอยู่เป็นเพื่อนคืนนี้”
ชายหนุ่มทำหน้างงไปใหญ่ มีเสียงร้องเบา ๆ ว่า ‘ไม่มาว ๆ’ ของนารารินขัดเป็นระยะ ๆ
“แล้วจะให้ผมส่งเธอที่หอ?”
“ค่ะ
ฉันคงไว้ใจคุณได้ ใช่ไหมคะ” จินสุกพูดเหมือนถามลองเชิง “ก็เห็นคุยสนิทกันดี”
ชายหนุ่มผงกศีรษะรับ
คงจะต้องเป็นสารถีจำเป็นให้เสียแล้ว
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมรู้จักกับญาติผู้ใหญ่ของเธอ ท่านฝากฝังให้ผมดูแลเธออยู่แล้ว”
จินสุกกล่าวคำขอบคุณเบา ๆ แล้วเผ่นแผล็วไปหารถเพื่อนอีกคัน ชายหนุ่มมองตามจนไฟท้ายรถสีแดงหายสุดตานั่นแหละ จึงหันกลับมามากหญิงสาวที่นอนพริ้มตาอยู่ในรถ เสียงเครื่องยนต์ที่เปิดไว้ให้เครื่องทำความร้อนทำงานครางหึ่ง ๆ ในความมืด ชายหนุ่มเดินอ้อมมาที่ฝั่งคนขับ ลอบมองเสี้ยวหน้าขาวละมุนอีกครั้ง ทั้งห่วงและขำในเวลาเดียวกัน ประเดี๋ยวเถอะ พอรุ่งเช้า คงได้ปวดหัวจี๊ดเพราะหลับไปทั้งยังเมาอยู่อย่างนี้แน่ ๆ
แต่อีกใจหนึ่งเขาก็นึกผ่อนคลายที่เห็นเธอสนุกสนานสบายใจ ไม่เครียดเกร็งอย่างวันวาน และรอยหมองหม่นที่ระบายอยู่เป็นริ้ว ๆ ในดวงตาของเธอก็จางหาย
ทุกข์อันใดเล่าที่จองจำเธอไว้ในห้องขังแห่งความเศร้า ขอเธอจงปลดปล่อยมันไปเสียเช่นวันนี้ อย่าได้ทำให้ดวงหน้าสวยใสต้องเจือไว้ด้วยโศกสลดใด ๆ เลย
ชายหนุ่มยิ้ม เมื่อนึกถึงความอุ่นที่วาบเข้ามากลางอกตอนที่ใบหน้าหญิงสาวซบลงมาเมื่อครู่ ท่ามกลางสายลมหนาวที่ป่าวหนัก ไออุ่นบางเบาบางอย่างกำลังอบร่ำให้เขาไม่ต้องเหน็บหนาวไปตามสายลมเช่นเคยเหมือนทุกปี
แดนพุทธเร่งเครื่องยนต์แล่นผ่านความมืดไปยังจุดหมายปลายทางอย่างมั่นคง
ความคิดเห็น