ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { Library of Healos } ห้องสมุดแห่งเฮลอส

    ลำดับตอนที่ #8 : { ตำนานโจรสลัด 2 }

    • อัปเดตล่าสุด 9 ม.ค. 55


      


    อันว่า “สลัด (PIRATE)” นั้นก็คือ เหล่าโจรที่ปล้นรังควานกองเรือสินค้าตามน่านนํ้าต่างๆ ซึ่งมีคำอื่นๆที่ใช้เรียกโจรประเภทนี้อีก เช่น บัคคาเนียร์ (BUCCA-NEER) ได้แก่ สลัดแถบอินเดียตะวันตก คอร์แซร์ (CORSAIR) คือสลัดแห่งแอฟริกาเหนือ ฯลฯ 

    สลัดน่านนํ้าเกิดขึ้นครั้งแรกโดยชนชาวฟินิเชียน ซึ่งเป็นนักเดินเรือที่เก่งกาจในครั้งกระโน้น และได้อาละวาดรบกวนขบวนเรือสินค้าอยู่นานหลายปี กระทั่ง ปอมปีย์ ผู้นำแห่งโรมทนไม่ไหว จึงส่งทัพเรือใหญ่ออกกวาดล้าง จนสลัดฟินิเชียนเหี้ยนเตียนไปจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเมื่อ 67 ปีก่อน ค.ศ. (พ.ศ.476)


    ต่อมาถึงยุคกลางของยุโรป สลัดที่ผู้คนหวาดเกรงกันนักหนาก็ได้แก่ พวกไวกิ้งแห่งสแกนดิเนเวีย พวกเขาลงเรือลำยาวออกตระเวนปล้นเมืองแถบชายฝั่งจากทะเลบัลติกไปจนถึงช่องแคบยิบรัลต้า จนกลายเป็นตำนานที่เรารู้จักกันดี 

    ในศตวรรษที่ 16 ภายใต้การสนับสนุนอย่างลับๆ ของตุรกี ได้เกิดสลัดคอร์แซร์ที่มีถิ่นฐานอยู่ในกลุ่มเมืองเล็กๆ ที่เรียกว่า บาร์บารีย์สเตทส์ ทำการปล้นล่าเรือสินค้าที่แล่นตามชายฝั่งแอฟริกาเหนือ หัวหน้าสลัดที่โด่งดังที่สุดมีนามว่า บาร์บารอสซา 

    ถัดมาในช่วงศตวรรษที่ 16-17 จัดเป็นยุคที่มีสลัดออกอาละวาดระบาดหนัก เป้าหมายก็คือเรือที่นำสินค้ามีค่าจากอเมริกามายังสเปน สลัดพวกนี้จะคอยซุ่มโจมตีอยู่ตามชายฝั่งประเทศต่างๆ เช่น สลัดสุนัขทะเล (Sea Dogs) แห่งอังกฤษ ขอทานทะเล (Sea Beggars) แห่งเนเธอร์แลนด์ หมาป่าทะเล (Sea Wolves) แห่งฝรั่งเศส โดยสลัดที่มีชื่อเสียงก็ได้แก่ เซอร์ จอห์น ฮอว์กินส์ กับ เซอร์ ฟรานซิส เดรค (ได้ บรรดาศักดิ์เป็นเซอร์ก็เพราะปล้นอาณานิคมของสเปน และนำสมบัติมาให้อังกฤษเป็นอันมาก) 

    ในศตวรรษที่ 17 ได้เกิดสลัดแห่งคาริบเบียนขึ้น ซึ่งมีฐานอยู่ตามเกาะต่างๆ เช่น เซนต์คริสโตเฟอร์, จาไมก้า, ตอร์ตูก้า ฯลฯ หัวหน้าสลัดคนหนึ่งมีนามว่า เซอร์ เฮนรีย์ มอร์แกน (เป็นชาวอังกฤษที่ได้ดีเพราะปล้นสเปนเช่นกัน) ภายหลังได้ขึ้นเป็นข้าหลวงแห่งจาไมก้า จึงกลับเนื้อกลับตัว ทำการปราบปรามสลัดจนราบคาบ 


    แม้แต่ผู้หญิงก็ยังนิยมเป็นสลัดกันเลย ได้แก่ แอนน์ บอนนีย์ กับแมรีย์ รีด ร่วมกับสลัดชายนามแจ๊ค แร็กคัม ปล้นเรือสินค้าแถบเวสท์อินดีส์ จนโด่งดังในสมัยต้นศตวรรษที่ 18 
    การอาละวาดของเหล่าสลัดสร้างความเดือดร้อนแก่ นานาประเทศ จึงได้มีการร่วมมือกันทำการกำจัดกวาดล้าง เช่น ในปี ค.ศ. 1701 จับหัวหน้าสลัดดัง กัปตัน วิลเลียม คิดด์ ขึ้นศาล และประหารชีวิต ต่อมาสหรัฐฯก็ได้จับ จอมสลัดเคราดำ (Black beard หรือนามจริง เอ็ดเวิร์ด ทีช) ซึ่งอาละวาดอยู่แถบฝั่งคาโรไลนา รวมทั้งประดาสลัดอื่นๆ มาแขวนคอ หลังจากนั้น โจรสลัดก็ได้ซาๆ ไปจากท้องทะเล 

               
    "Pirates!!"

    บางคนอาจคุ้นหูกับศัพท์คำนี้จากการดูภาพยนตร์เรื่อง Pirates of the Caribbean ภาคThe Curse of The Black Pearl (2003) หรือไม่ก็ภาค Dead Mans Chest(2006) ซึ่งโด่งดังไปทั่วโลกโดยฝีมือผู้กำกับอย่าง Gore Verbinski และยังได้ดาราดัง Johnny Depp นำแสดงเป็น Jack Sparrow, Orlando Bloom นำแสดงเป็น Will Turner และ Keira Knightley นำแสดงเป็น Elizabeth Swann ซึ่งทั้งสามเป็นตัวละครเอกในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยทีเดียว
     

    อย่างไรก็ตาม เนื้อหาในภาพยนตร์ย่อมไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป ชีวิตในการเป็นโจรสลัดไม่ได้ง่ายดายและดูเป็นแฟนตาซีมีเวทมนต์อย่างนั้น
     

    นิทานกล่อมเด็กส่วนใหญ่มักพูดถึงโจรสลัดในทางที่ไม่ดี(ซึ่งก็ถูกแล้ว) ว่ากันว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นกลุ่มชายโหดสันดานชั่ว เหี้ยม ทารุณ และร้ายกาจ ขาดสามัญสำนึกและความมีเหตุผล นั่นก็ไม่จริงเสมอไป ใช่... โจรสลัดบางพวกเป็นนักข่มขืน ฆาตกร หรือบางคนก็เป็นนักฆ่าซาดิสต์ แต่โจรสลัดส่วนใหญ่ก็คล้ายเคียงกับกะลาสีเรือในช่วงเวลานั้น บางคนเป็นโจรสลัดซึ่งทำงานให้แก่รัฐบาล(Privateers จะอธิบายในย่อหน้าต่อๆ ไป) หรือบางคนก็เคยเป็นคนของกองทัพเรือมาก่อนที่จะเปลี่ยนอาชีพ

     
    ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเต็มใจอยากเป็นโจรสลัด เมื่อเรือถูกยึด บางคนก็ถูกจับเป็นเชลยและโดนบังคับให้ทำงานรับใช้ หรือบางคนก็ถูกลักพาตัวมาจากท่าเรือและถูกขู่เข็ญให้เข้าร่วม(แม้จะไม่ใช่สิ่งที่โจรสลัดในสมัยนั้นพึงกระทำสักเท่าไร) ดังนั้น อย่าพยายามที่จะตัดสินจากการกระทำของพวกเขา หากมองกลับไปในโลกที่เต็มไปด้วยความอดอยาก การหันเหชีวิตไปเป็นโจรสลัดก็เป็นการเสี่ยงโชคและทางเลือกอย่างหนึ่ง
     

    โจรสลัดส่วนมากจะขึ้นชื่อในด้านความป่าเถื่อน ยากที่จะควบคุมและขี้เกียจสันหลังยาว แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ทำงานกันอย่างจริงจัง ก่อนที่เรือจะออกเดินทางยาวลูกเรือจะต้องเซ็นสัญญาซึ่งเกี่ยวกับการแบ่งปันสมบัติที่ขโมยและค่าทดแทนเมื่อได้รับบาดเจ็บระหว่างการต่อสู้ โจรสลัดเหล่านี้จัดตั้งกฎเบื้องต้นสำหรับการใช้ชีวิตอยู่บนเรือและบทลงโทษสำหรับผู้ละเมิดกฎ ข้อบังคับของเรือแต่ละลำแปรผันไปเรื่อยๆ แต่ก็มักมีเค้าที่คล้ายกันอยู่ กฎพวกนี้สำคัญมากสำหรับโจรสลัด เพราะพวกเขานั้นหัวแข็ง, อำมหิต, โด่งดังสำหรับภาษาอันอ่อนหวาน และติดพันกับเครื่องดื่มหลากชนิด(มักชักนำให้เกิดการทะเลาะและโต้เถียงกันบ่อยครั้ง) แม้โจรสลัดเหล่านี้จะเป็นหุ้นส่วนที่ไม่ค่อยลงร่องลงรอยกันสักเท่าไร แต่สิ่งที่เหมือนกันคือพวกเขาต่างมีความหลงใหลต่อทรัพย์สมบัติอันยั่วยวนและความปรารถนาต่อชีวิตอันเรียบง่าย

    โจรสลัด(Pirates)

    คำว่าโจรสลัดไม่ได้มีความหมายที่เข้าใจยากเลย มันแปลว่าผู้ที่กระทำการปล้นกลางทะเล โจรสลัดก็ไม่ต่างอะไรกับอาชญากรธรรมดา แต่บ้างก็เป็นตัวแสดงความเป็นเพ้อฝัน พวกเขามักเกี่ยวข้องกับน่านน้ำแถบทะเลแคริบเบียนซึ่งมีคนดำ, เกาะเขตร้อนที่เต็มไปด้วยสิ่งแปลกประหลาด และยังหีบที่เต็มไปด้วยทองและเหรียญเงิน
     

    หลายปีที่ผ่านมา นิทานปรัมปราหลากเรื่องถูกเล่าขานต่อกันไป ความจริงได้ผสมผสานกับเรื่องแต่ง ในความเป็นจริง นักเดินเรือผู้ต่อต้านการโจมตีของโจรสลัดจะถูกแขวนคอจนตายและถูกโยนลงจากเรือ สมบัติซึ่งขโมยมาก็ใช่ว่าจะเป็นหีบที่เต็มไปด้วยเหรียญเงินฝรั่งเศสและสเปน หากแต่จะเป็นห่อม้วนผ้าไหมและผ้าฝ้าย, ถังไม้บรรจุเหล้ารัมและบุหรี่, ผ้าใบเรือสำหรับยามฉุกเฉิน, เครื่องมือช่างไม้และการเดินเรือ หรืออาจจะเป็นยารักษาโรค ไม่ก็ทาสเพียงไม่กี่คน
     

    คอแซร์ (Corsairs)

    บุคคลเหล่านี้คือโจรสลัด ไม่ก็โจรสลัดที่ทำงานรับใช้รัฐบาลในแถมทะเลเมดิเตอเรเนียน กลุ่มที่โด่งดังที่สุดคือกลุ่มบาร์แบรี่ คอแซร์ จากแอฟริกาเหนือ พวกเขาได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้จู่โจมเรือจากประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์ บางรัฐถึงกับช่วยเหลือโจรสลัดด้วยซ้ำ รัฐเหล่านี้ก็ได้แก่ โมรอคโค อัลเจียร์ ทูนิส และ ทริโพไล
     

    หนึ่งในผู้ที่โด่งดังจากบาร์แบรี่ คอแซร์ คือ บาร์บารอสซ่า กลุ่มที่โด่งดังน้อยลงมาคือคอแซร์แห่งมัลตาร์  พวกเขาแล่นเรือโดยมีคำสั่งจาก อัศวินแห่งเซนต์ จอห์น คำสั่งทางทหารถูกส่งมาในช่วงสงครามครูเสด ในตอนแรกพวกเขาก็ทำเพื่อศาสนา แต่หลังได้รับรางวัลจากการเป็นโจรสลัด พวกเขาก็เปลี่ยนใจ
     

    บาร์แบรี่ คอแซร์ ขัดขวางการเดินเรือที่เดินทางผ่านแหลม กิบรัลทาร์  หรือผ่านท่าเรือใน อเล็กซานเดรีย และ เวนีซ คอร์แซร์เหล่านี้โจมตีเรือบรรทุกสินค้าของพ่อค้า ในเรือของพวกเขาใช้ทั้งใบเรือและใบพาย คอแซร์นำของที่ได้มาใส่ไว้ในลัง จับกุมผู้โดยสารและลูกเรือ แล้วจึงนำพวกเขาเป็นเชลยเพื่อเรียกค่าไถ่ไม่ก็ขายให้เป็นทาส

    โจรสลัดผู้รับใช้รัฐบาล (Privateers)

    คำว่า ไพรเวเทียร์ นี้สามารถใช้ได้กับเรือซึ่งติดอาวุธ, กัปตัน หรือลูกเรือ โจรสลัดหลายคนจากยุคทองของโจรสลัดเริ่มต้นอาชีพโดยการเป็น ไพรเวเทียร์ก่อน พวกเขาทำงานภายใต้ใบอนุญาตจากรัฐบาลให้จับกุมเรือสินค้าของชนชาติศัตรูจากหลายประเทศ ประเทศเหล่านั้นใช้พวกเขาเพื่อก่อกวนเศรษฐกิจของศัตรูพวกเขา พวกเขายังใช้โจรสลัดพวกนี้ในการสงครามเพื่อประหยัดค่าซ่อมบำรุงเรือของกองราชนาวี
     

    ขอบเขตของใบอนุญาตมักคลุมเครือ ขึ้นอยู่กับกัปตันและลูกเรือว่าพวกเขาต้องการทำอะไร โจรสลัดเหล่านี้มักทำเกินกว่าหน้าที่ที่ตนได้รับเสมอ บางครั้งก็โจมตีประเทศซึ่งเป็นกลางเหมือนกับประเทศที่เป็นศัตรูกัน พวกเขาก็มีความประพฤติไม่ต่างกับโจรสลัดน่ะแหละ แต่โจรสลัดจะได้รับการได้รับการเพ่งเล็งว่าเป็นคนชั่วร้ายเสมอ บางคนก็มองไพรเวเทียร์ ว่าเป็นผู้รักชาติซึ่งจงรักภักดีต่อประเทศของตนเพราะพวกเขา สมควร ที่จะโจมตีเฉพาะประเทศที่เป็นศัตรูกันและแบ่งส่วนแบ่งของการขโมยให้แก่ประเทศแม่ด้วย
     

    ประเทศหลายประเทศต่างให้ความสนใจกับโลกใหม่ซึ่งแข่งขันกันเพื่อเพิ่มความร่ำรวย คนบางคนเล็งเห็นว่ามันค่อนข้างได้ประโยชน์หากเป็นหมารับใช้ให้รัฐบาล แต่ภายหลังประเทศส่วนใหญ่ก็ละทิ้งการจ้างโจรสลัดเหล่านี้และสร้างไมตรีแก่กันแทน นักเดินเรือเหล่านี้ไม่ยอมเลิกราให้กับการหากันอย่างไม่สุจริต พวกเขาจึงดำรงอาชีพเป็นโจรสลัดต่อโดยไม่สนใจ
     

    โจรสลัดจากทอร์ทูกา (Buccaneers)

    แต่เดิมพวกเขาเคยเป็นนักล่าสัตว์ในเกาะฮิสพาโนล่า บัคคาเนียร์ได้ชื่อมาจากภาษาฝรั่งเศส คำว่า boucan แปลว่าบาร์บีคิว เพราะพวกเขาย่างหมูโดยใช้ตะแกรง เมื่อถูกพวกสเปนขับไล่ไสส่ง เหล่านักล่าเข้าร่วมกับกลุ่มทาสที่หนีออกมา พวกเขาเกลียดชาวสเปนเป็นอย่างมาก เหล่าบัคคาเนียร์เรียกตนเองว่า The Brethren of the Coast
     

    หลังศตวรรษที่17 คำว่าบัคคาเนียร์ก็แพร่หลายออกไปทั่วในแถบ เวสต์ อินดี้ พวกโจรสลัดเหล่านี้ตั้งศูนย์กลางการปกครองเอาไว้ในเกาะเล็กๆ ที่ชื่อ ทอร์ทูกา หลังจากนั้นพวกเขาก็ใช้ จาร์ไมก้า เป็นฐานในการปฎิบัติการ บัคคาเนียร์ที่โด่งดังคือ เซอร์ เฮนรี่ มอร์แกน เขามีบัคคาเนียร์ภายใต้การควบคุมถึง500 คนจาก ทอร์ทูกา และ 1 000 คนจาก จาร์ไมก้าในการยึด ปานามา ในปี 1671

     
    ผู้ถูกทิ้ง (Marooners)

    นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในโจรสลัดที่ก่อกวนน่านน้ำสเปน คำว่า Marooner มีรากศัพท์มาจากภาษาสเปน Cimarron ซึ่งแปลความหมายได้ว่า การทิ้ง หรือการหนี คนที่ถูกทิ้งบางครั้งก็เป็นลูกเรือจากกองราชนาวี หรือบางครั้งก็เป็นพวกนิโกร โดยที่นิโกรเหล่านี้คือทาสซึ่งถูกชาวสเปนขายให้ชาวอเมริกันเพื่อลดน้ำหนักเรือเอาไว้สำหรับหีบเหรียญเงินและทองคำ พวกทาสเข้าร่วมกลุ่มกันกับผู้ถูกทิ้งคนอื่นๆ และกลายเป็น มารูนเนอร์
     

    ศัพท์คำนี้กลายเป็นคำที่รู้จักกันสำหรับโจรสลัดในแถบแคริบเบียน แต่ไม่ใช่สำหรับเหล่าบัคคาเนียร์ เวลาผ่านไป โจรสลัดมีบทลงโทษในการปล่อยลูกเรือบนเกาะเล็กๆ และในที่สุดการกระทำแบบนี้ก็ถูกเรียกว่า Marooning การทำให้ถูกทิ้งมีหลายวิธี เช่นหลบหนีจากเรือหรือการต่อสู้, การขโมยจากลูกเรืออื่น การถูกทิ้งอาจจะฟังดูไม่น่ากลัวสักเท่าไร แต่มันก็เป็นบทลงโทษที่สาหัส เพราะมันมักสื่อความหมายไปถึงการตายอย่างช้าๆ โดยขาดอาหารหรือการถูกแดดเผาจนแห้งตาย หนึ่งในผู้ถูกทิ้งที่โด่งดังคือโจรสลัด เซลคริก หรือที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่า โรบินสัน ครูโซ

               
    ผู้ร้ายที่คอยปล้น หรือโจรกรรมกองเรือสินค้ารวมทั้งเรือโดยสารตามน่านน้ำ  หรือบางคราวก็ย่างกรายเข้าไปถึงหมู่บ้านและท่าเรือตามชายฝั่ง แน่นอนว่านี่คือนิยามของ “โจรสลัด (PIRATE) โจรแห่งท้องทะเลเหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วจะมีเป้าหมายที่เรือสินค้าเป็นหลัก นอกจากนี้ก็จะเป็นการปล้นเรือสินค้ารวมทั้งจับคนมาเรียกค่าไถ่ ในการบุกเข้าปล้นนั้น กลุ่มโจรสลัดจะใช้เรือเร็ว รวมทั้งจะใช้เรือท้องแบนที่กินน้ำไม่ลึก ทำให้ข้ามโขดหิน และปะการังได้อย่างว่องไว รูปแบบการจู่โจมมีทั้งจู่โจมแบบชัดเจนด้วยการชักธงสัญลักษณ์ของโจรสลัด หรือชูธงหลอกเป้าหมายว่าเป็นเรือสินค้าหรือเรือทางราชการ จากนั้นก็จะทำการบุกขึ้นเรือแล้วทำการปล้น ความน่ากลัวหรือโหดเหี้ยม ก็เป็นไปตามแต่ละวิธีของกลุ่มโจรนั้นๆ

     

              เราจะได้ยินชื่อเรียกโจรสลัดหลายชื่อ ซึ่งแต่ละชื่อนั้นต่างก็คือโจรสลัดเช่นกัน แต่แตกต่างกันตรงที่ หากเรียกว่า บัคคาเนียร์ (BUCCA-NEER) นั้นจะหมายถึง โจรสลัดที่โจมตีในทะเลแคริบเบียน คู่อาฆาตที่คอยปล้นบรรดาเรือสเปนในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 17 แต่หากกล่าวถึง คอร์แซร์ (CORSAIR) นั้นจะเป็นโจรสลัดที่อาละวาดในบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  เป็นโจรสลัดแห่งแอฟริกาเหนือ  ส่วน privateer ก็จะหมายถึงโจรสลัดที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลประเทศหนึ่ง เพื่อปล้นสะดมเรือของประเทศข้าศึก

     
               กล่าวกันว่าโจรสลัดมีมาตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ ยุคนั้นในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediteranean) นับว่ามีโจรสลัดชุกชุม เกาะเล็กเกาะน้อยในทะเล Aegean เป็นสถานที่เหมาะสมสำหรับโจรสลัดใช้ซุกซ่อน คอยดักโจมตีเรือสินค้า และลักพาตัวคนจากหมู่บ้านริมทะเลเพื่อเรียกค่าไถ่ ได้สร้างความเดือดร้อน จนรัฐบาลกรีกต้องนำกองทัพเรือออกปราบปราม และในยุคที่อาณาจักรโรมันที่รุ่งเรือง เมื่อราว 67 ปีก่อนคริสต์ศตวรรษ โจรสลัดชนชาวฟินิเชียน ผู้ซึ่งมีความเก่งกาจในการเดินเรือ ได้ทำการปล้นเรือสินค้า สร้างความเดือดร้อนให้กับเหล่าพ่อค้า จนปอมปีย์ (Pompey) ผู้นำแห่งโรมในยุคนั้น ต้องลุกขึ้นมากำจัดเหล่าร้ายพวกนี้ให้หายไปจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediteranean) 
     


              มีการจารึกในประวัติศาสตร์ว่า ครั้งหนึ่ง จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) เมื่อครั้งอายุได้ 25 ปี ขณะที่เดินทางไปเกาะ Rhodes เพื่อศึกษาต่อ ได้ถูกโจรสลัดจับตัวไปเรียกค่าไถ่ ครั้งนั้นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ การถูกกักขังนานถึง 5 เดือน มันได้สร้างความโกรธแค้นให้ซีซาร์ เป็นอย่างมาก และแน่นอน ภายหลังเขาจึงได้กับมาล้างแค้นด้วยการสังหารโจรสลัดกลุ่มนี้ โดยการจับตรึงไม้กางเขนประจาน
     

              โจรสลัดที่เริ่มมีอย่างเป็นจริงเป็นจัง จะอยู่ในช่วงของศตวรรษที่ 8-11 ในยุคกลางของยุโรปเมื่อ 1,100 ปีก่อน  ชนชาตินักเดินเรือผู้เกรียงไกรอย่างเหล่า ไวกิ้ง (Viking)   แห่งสแกนดิเนเวีย (Scandinavia) จากเดนมาร์ก นอร์เวย์ และสวีเดน ผู้มีเอกลักษณ์ในการจู่โจมและหลบหนีอย่างว่องไว ได้ทำการปล้นสะดมในทะเลเหนือของยุโรปตั้งแต่เมืองแถบชายฝั่งจากทะเลบัลติกไปยันช่องแคบยิบรอลต้า นับว่าเป็นยุคหนึ่งที่หลายคนจดจำกันได้ดี และยุคทองของโจรสลัดนั้นอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 15-18 

              ในศตวรรษที่ 16 กลุ่มโจรสลัดมักจะรวมตัวกันอยู่ในย่านทะเลอีเจียน (Aegean) และเมดิเตอร์เรเนียน (Mediteranean) โดยมีทั้งที่เป็นโจรอิสระไม่ขึ้นกับใคร และโจรที่ขึ้นกับรัฐบาลของประเทศที่ตัวเองสังกัดอยู่ โดยมีเงื่อนไขในการแบ่งทรัพย์สินจากการปล้นให้ แลกกับความปลอยภัยจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ และภายใต้การสนับสนุนอย่างลับๆ จากชนชั้นปกครองของตุรกี ได้มีโจรสลัดคอร์แซร์เกิดขึ้น เขาเหล่านี้มักไปรวมตัวกันตามชายฝั่ง ตั้งแต่ชายแดนตะวันตก ของอียิปต์ไปจนถึงมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เรียกว่าชายฝั่ง บาร์บารี่ (Barbary Coast) จึงทำให้มีชื่อเรียกว่า กลุ่มโจรสลัดแห่งบาร์บารีย์ โดยแหล่งกบดานใหญ่ คือ เมืองตูนิสและเมืองแอลเจียร์ ออกทำการปล้นเรือสินค้าที่แล่นตามชายฝั่งแอฟริกาเหนือ ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องการปล้นอย่างโหดร้าย  และหัวหน้าโจรสลัดชื่อดังแห่งยุคนี้ คือ สุดยอดแห่งโจรสลัดตลอดกาล สองพี่น้องอรุจ และคิเซอร์  หรือตามที่เรียกขานว่า บาร์บารอสซ่า ตามภาษาอิตาเลียน ที่หมายถึงคนที่มีเคราสีแดง สองพี่น้องบาร์บารอสซ่า ได้สร้างชื่อเสียงครั้งสำคัญเมื่อ อาจหาญด้วยการปล้นเรือของพระสันตะปาปาเอาเสีย ส่วนทรัพย์สินที่ปล้นมาได้นั้น พวกเขามีข้อตกลงไว้ว่าต้องจ่ายส่วนแบ่งให้กับสุลต่านแห่งตูนิเซียเป็นจำนวนอย่างน้อย 10% จากทรัพย์ที่ปล้นมาได้ และในยุคนั้นสองพี่น้องบาร์บารอสซ่าถือว่าเป็นผู้ที่มั่งคั่งที่สุดในเมดิเตอร์เรเนียนเลยทีเดียว
      

               กระทั่งในช่วงกลางศตวรรษที่ 16 ด้วยความที่เหล่าโจรสลัดได้ทำการปล้นอย่างโหดร้าย และเหิมเกริม ชาวแอลจีเรียจึงลุกขึ้นมาจับมือกับชาติคริสเตียนอย่างฝรั่งเศสเพื่อต่อสู้ ทำให้กองเรือทหารของฝรั่งเศสได้เข้ามาปราบปรามเหล่าโจรสลัดอย่างหนัก ยุคทองของโจรสลัดย่านบาร์บารี่ จึงได้ค่อยๆสิ้นสุดลง ความเกรียงไกรของโจรสลัดจึงได้ย้ายจากทางฝั่งของทะเลทางฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน มาสู่แคริบเบียนแทน

              ในช่วงศตวรรษที่ 17 ยุคนี้กองโจรแห่งน่านน้ำสเปนออกอาละวาดแทบจะชุกชุมกว่าปลาในทะเล กลุ่มโจรสลัด โจรสลัดเหล่านี้จะคอยดักโจมตีเรือที่นำสินค้าจากอเมริกามายังสเปน ตามชายฝั่งประเทศต่างๆ ซึ่งจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น สลัดสุนัขทะเล (Sea Dogs) แห่งอังกฤษ ขอทานทะเล (Sea Beggars) แห่งเนเธอร์แลนด์ และหมาป่าทะเล (Sea Wolves) แห่งฝรั่งเศส
     

     

               ยุคนี้มีโจรสลัดที่มีชื่อเสียงหลายคนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โจรสลัดแห่งพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ เช่น เซอร์ จอห์น ฮอว์คินส์ กับ เซอร์ ฟรานซิส เดรค, กัปตันวิลเลียม คิดด์ และที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้น เซอร์ เฮนรีย์ มอร์แกน  ที่ได้ทำการปล้นปานามาแห่งสเปน เมืองได้ชื่อว่ามั่งคั่งมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก 

    ภาพจาก บล๊อก Oknation
     

              ไม่เพียงแต่ผู้ชายเท่านั้นที่เป็นหัวหน้าโจรสลัด สมัยต้นศตวรรษที่ 18 ผู้หญิงอย่างแอนน์ บอนนีย์ กับแมรีย์ รีด ซึ่งได้ปลอมตัวเป็นชายเพื่อจะเป็นนักเดินเรือ แต่เมื่อเรือของเธอโดนปล้น จึงทำให้เธอหันมาเป็นโจรสลัดเสียเลย โดยร่วมกับ แจ๊ค แร็กคัม โจรสลัดหนุ่ม ออกปล้นเรือสินค้าในแถบเวสท์อินดีส์ จนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมองทางด้านน่านน้ำฝั่งแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย
     


              ทางฝั่งตะวันตกจอมโจรแห่งแคริบเบียนและน่านน้ำสเปนออกอาละวาด เมื่อหันมามองทางด้านตะวันออกก็ไม่น้อยหน้า โจรสลัดได้อาละวาดในมหาสมุทรอินเดีย รวมพื้นที่ครอบคลุมตั้งแต่ญี่ปุ่นถึงอินเดีย เมื่อรัฐบาลทั้งจีนและญี่ปุ่นส่งกองทัพเรือออกปราบปรามเมื่อจับได้ก็จะทำการตัดศีรษะประหารชีวิต ไม่ก็ขังคุกตลอดชีวิต

              โจรสลัดที่มีชื่อเสียงของฝั่งเอเชียมีอยู่หลายคน และเจิ้งอี้คือหนึ่งในมหาโจรที่โลกต้องบันทึกไว้ เจิ้งอี้เป็นจอมโจรที่มีชื่อเสียงในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 มีกองเรือราว 400 ลำ และลูกสมุนนับหมื่นคน แม้เจิ้งอี้จะมีชีวิตอยู่เป็นโจรได้ไม่นาน แต่นางสิงห์ผู้เป็นภรรยาก็สามารถสืบทอดกิจการต่อได้อย่างเฟื่องฟู จนได้รับการขนานนามว่า เป็นราชินีแห่งกองโจรสลัด

    เมื่อยุคของโจรสลัดต้องซบเซา

              ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17  หลายประเทศได้ร่วมมือกันเกิดการกวาดล้างเหล่าโจรสลัดที่ได้สร้างความเดือดร้อน มีการจับหน้าโจรสลัดชื่อดังหลายคนประหารชีวิต ทำให้โจรสลัดได้เริ่มลดลง  และสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 จากเมื่อก่อนที่เรือของโจรสลัดสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วกว่า เรืออื่นๆ ทำให้ได้การปล้นสะดมทำได้อย่างสะดวกสบาย แต่เมื่อเกิดยุคของการใช้เครื่องจักรไอน้ำในการเดินเรือ คราวนี้เรือโจรสลัดที่ยังใช้เรือใบ กลับต้องไล่กวดเรือสินค้า และเมื่อเจอกองทัพเรือที่ใช้เรือยนต์ในการปราบปราม ท้องทะเลก็ปลอดภัยมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา แต่ทว่าโจรสลัดก็ยังไม่หมดไปจากท้องทะเล เพียงแต่โจรสลัดในวันนี้จะไม่ใช่ภาพของโจรสลัดที่เราคุ้นตาแบบที่เห็นจากภาพยนตร์เท่านั้นเอง

              ปัจจุบันโจรสลัดก็ยังออกอาละวาดตามน่านน้ำอยู่ทั่วโลก แม้จะลดน้อยลงก็ตามที โจรสลัดในปัจจุบันแตกต่างจากยุคก่อนๆ ที่เห็นได้ชัดก็คืออาวุธที่ใช้มีความทันสมัยและน่าหวาดหวั่นมากขึ้น เช่น ใช้เรือเร็วอาวุธอัตโนมัติต่างๆ ทั้ง ปืนไรเฟิล, ปืนสั้น ปืนกล หรือรุ่นแรงอย่างเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี ส่วนเป้าหมายในการจู่โจมก็มีหลากหลายไม่ว่าจะเป็น การปล้นสินค้า การจับตัวเรียกค่าไถ่ การยึดเรือ หรือแม้แต่ทำเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง แม้ชายฝั่งของสหรัฐอเมริกา และชายฝั่งของทะเลแคริบเบียน จะมีโจรสลัดที่น้อยลงมาก เพราะมีการป้องกันที่ดีจากรัฐบาล แต่ทว่าในเขตอื่นๆ ก็ยังมีโจรสลัดคุกคามอยู่ ไม่ว่าจะเป็นชายฝั่งและทะเลใน อเมริกาใต้และทะเลเมดิเตอเรเนียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย  ในช่วงที่เรือจะต้องผ่านช่องแคบเล็กๆ ซึ่งมีเรือพาณิชย์ผ่านไปมามาก อย่างคลองสุเอซ,คลองปานามา,และช่องแคบมะละกา เมื่อเรือพาณิชย์ต้องลดความเร็ว ก็เกิดความเสี่ยงที่จะถูกเรือโจรสลัดบุก สำหรับในประเทศไทย ก็พบโจรสลัดได้ที่ฝั่งบริเวณทะเลอันดามัน 

              สำนักงานน่านน้ำสากล (International Marinetime Bureau) กล่าวว่าโจรสลัดน่านน้ำอินโดมีปฏิบัติการรุนแรง และน่ากลัวที่สุดในโลก การปฏิบัติการของโจรสลัดนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศโซมาเลีย ในทวีปแอฟริกาน่านน้ำที่ถือว่าอันตรายอันดับต้นๆ สำหรับการเดินเรือ ด้วยความที่เป็นประเทศที่รัฐบาลกลางไม่สามารถควบคุมได้ โซมาเลียเป็นชาติแอฟริกาที่อยู่ทางตะวันออกของทวีป ตอนบนติดกับอ่าวเปอร์เซีย ถือวาเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญของโลก คาดกันว่ามีเรือ "โจรสลัด" อยู่ไม่น้อยกว่า 1 พันลำ กระจายไปตามชายฝั่งโซมาเลียที่ยาวถึง 3,000 ก.ม.



    จากตำนานสู่ภาพยนตร์

               ด้วยความที่โจรสลัด เป็นเรื่องราวของการผจญภัย มีการเสี่ยงเป็นเสียงตายที่ระทึกใจ อีกทั้งมีเรื่องราวของสมบัติให้ออกตามล่า จึงนับว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าสนใจในการนำออกมาถ่ายทอดออกมาเป็นนวนิยาย และกลายมาเป็นภาพยนตร์ในที่สุด


               หนังเกี่ยวกับโจรสลัดมีมากมาย เช่น การตามล่าสมบัติในเรื่อง เกาะมหาสมบัติ (Treasure Island) ที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์หลายครั้ง โจรสลัดชื่อ กัปตัน Hook ในหนังสือเทพนิยายเรื่อง Peter and Wendy รวมทั้งเรื่อง จอมสลัดดำ (The Black Pirate), เดอะบัคคาเนียร์, The Crim son Pirate และที่ลืมไม่ได้ในยุคนี้คงหนีไม่พ้นหนังขึ้นหิ้งอย่าง Pirate of the Caribbean หนังที่สร้างให้ กับตัน แจค สแปรโรล์ กลายเป็นสัญลักษณ์ของโจรสลัดที่หลายคนนึกภาพได้อย่างชัดเจนที่สุด
     
    thx ; http://nwnk.truelife.com/blog2/entry/8756

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×