คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : [นาฏศิลป์] ตำนานการฟ้อนรำ
ตำนานการฟ้อนรำ
ในบางยุคของชาวอินเดียถือว่า พระอิศวรเป็นเทพเจ้าที่มีผู้เคารพนับถือมาก ยุคนี้พระอิศวรทรงเป็นนาฎราช (ราชาแห่งการร่ายรำ) มีประวัติทั้งในเมืองสวรรค์ และเมืองมนุษย์ โดยมีเรื่องเล่าขานไว้ว่า ฤาษีพวกหนึ่งประพฤติอนาจารฝ่าฝืนเทวบัญชา พระอิศวรทรงขัดเคืองจึงทรงชวนพระนารายณ์เสด็จมายังโลกมนุษย์ เพื่อทรมานฤาษีพวกนั้น เมื่อพระองค์ทรงเห็นพระฤาษีสิ้นฤทธิ์ จึงทรงฟ้อนรำทำปาฏิหาริย์ขึ้น ขณะนั้นมียักษ์ค่อมตนหนึ่งชื่อ "มุยะกะละ (บางตำราเรียกว่า มุยะละคะ หรืออสูรมูลาคนี) มาช่วยพวกฤาษี พระอิศวรจึงทรงเอาพระบาทเหยียบยักษ์ค่อมนั้นไว้ แล้วทรงฟ้อนรำต่อไปจนหมด กระบวนท่าซึ่งร่ายรำในครั้งนี้ทำให้เกิดเทวรูปที่เรียกว่า "ปางนาฏราช" หรือ "ศิวะนาฏราช (Cosmic Dance)" บางทีก็เรียกว่า "ปางปราบอสูรมูลาคนี" เมื่อพระอิศวรทรงทรมานพวกฤาษีจนสิ้นทิฐิ ยอมขอขมาต่อพระเป็นเจ้าทั้งสองแล้ว พระองค์ก็เสด็จกลับเขาไกรลาศ ส่วนพระนารายณ์ก็เสด็จกลับยังเกษียรสมุทร ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นการร่ายรำครั้งที่ 1 ของพระอิศวร
ต่อมาพระยาอนันตนาคราชซึ่งได้ติดตามพระเป็นเจ้าทั้งสองเมื่อครั้งไปปราบพวกฤาษี ได้เห็นพระอิศวรฟ้อนรำเป็นที่งดงาม จึงใคร่อยากชมพระอิศวรฟ้อนรำอีก พระนารายณ์จึงแนะนำให้ไปบำเพ็ญตบะบูชาพระอิศวรที่เชิงเขาไกรลาศ เพื่อให้พระอิศวรทรงเมตตาประทานพรจึงทูลขอพรให้ได้ดูพระอิศวรทรงฟ้อนรำตามประสงค์ ครั้นเมื่อพระยาอนันตนาคราชบำเพ็ญตบะ จนพระอิศวรเสด็จมาประทานพรที่จะฟ้อนรำให้ดู โดยตรัสว่าจะเสด็จไปฟ้อนรำให้ดูในมนุษยโลก ณ ตำบลจิดรัมบรัม หรือ จิทัมพรัม ซึ่งอยูทางตอนใต้ของอินเดีย เพราะเห็นว่าเมืองนี้เป็นศูนย์กลางของมนุษยโลก พระอิศวรแสดงการฟ้อนรำให้ประชาชนชมถึง 108 ท่าด้วยกัน ประชาชนจึงสร้างเทวาลัยขึ้นที่เมืองนี้ เพื่อเป็นที่เคารพบูชาแทนองค์พระอิศวร ภายในเทวาลัยนี้แบ่งออกเป็น 108 ช่อง เพื่อแกะสลักท่าร่ายรำของพระอิศวรไว้จนครบ 108 ท่า การร่ายรำครั้งนี้ถือเป็นการร่ายรำครั้งที่ 2 ของพระอิศวร
ในสมัยต่อมาพระอิศวรจะทรงแสดงฟ้อนรำให้เป็นแบบฉบับ จึงเชิญพระอุมาให้ประทับเป็นประธานเหนือสุวรรณบังลังก์ ให้พระสรัสวดีดีดพิณ ให้พระอินทร์เป่าขลุ่ย ให้พระพรหมตีฉิ่ง ให้พระลักษมีขับร้อง และให้พระนารายณ์ตีโทน แล้วพระอิศวรก็ทรงฟ้อนรำให้เทพยดา ฤาษี คนธรรพ์ ยักษ์ และนาคทั้งหลายที่ขึ้นไปเฝ้าได้ชมอีกครั้งหนึ่ง นับเป็นการร่ายรำครั้งที่ 3 ของพระอิศวร โดยในครั้งนี้พระองค์ทรงให้พระนารทฤาษีเป็นผู้บันทึกท่ารำ แล้วนำมาสั่งสอนแก่เหล่ามนุษย์
ตำรารำของไทย
ตำรานาฏยศาสตร์ ที่พวกพราหมณ์นำเข้ามาสอนในประเทศไทยนั้น ไม่มีต้นฉบับเหลืออยู่ให้รู้ได้ เข้าใจว่าคงจะได้แปลเป็นภาษาไทยไว้ อาจจะทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน แล้วบอกเล่าสั่งสอนกันต่อๆมาเท่าที่รู้ได้ เพราะมีท่ารำของไทยที่ลักษณะ และชื่อท่ารำคล้ายคลึงกับในตำรานาฏยศาสตร์ ที่แปลงชื่อเป็นภาษาไทยก็มีแต่ต้นฉบับก็่สูญหายไปเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาเป็นส่วนมาก ที่คงเหลืออยู่จนถึงปัจจุบันนี้มีตำราท่ารำต่างๆเขียนรูประบายสีปิดทอง 1 เล่ม เหลืออยู่เฉพาะตอนต้นเป็นฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 1 ตำราท่ารำเหมือนกับเล่มแรก แต่เขียนฝุ่นเป็นลายเส้น ฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 2 หรือรัชกาลที่ 3 มีภาพรำบริบูรณ์ถึง 66 ท่า ได้มาจากพระราชวังบวร ท่ารำ และการเรียงลำดับท่าเหมือนเล่มแรก เข้าใจว่าจะเป็นสำเนาคัดจากเล่มสมัยรัชกาลที่ 1 นั่นเอง
เข้าใจว่าตำราเช่นนี้มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้โปรดเกล้าฯ ให้พระวิทยประจง (จ่าง โชติจิตร) ช่างในกรมศิลปากรกับขุนประสิทธิจิตรกรรม (อยู่ ทรงพันธ์) ช่างเขียนในหอพระสมุดฯ ช่วยกันเขียนภาพใหม่ตามแบบท่ารำในตำราเดิม นำมาพิมพ์ไว้ใน "ตำราฟ้อนรำ" เก็บไว้ในหอสมุดแห่งชาติ
ชื่อท่ารำต่างๆในตำราของไทยเรานั้นปะปนกันอยู่ดังนี้
1. ชื่อท่ารำที่แปลจากตำราอินเดียโดยตรง
2. ชื่อท่ารำที่คลาดเคลื่อนจากตำราเดิม เพราะบอกเล่าสืบต่อกันมาหลายต่อ
3. ชื่อท่ารำที่คิดประดิษฐ์ขึ้นในภายหลัง
คำกลอนของเก่าที่ว่าด้วยตำราท่ารำ มีอยู่ 3 บท คือ...
1. กลอนตำรารำเป็นกลอนสุภาพ มีมาแต่โบราณ
กลอนตำรารำ | |
เทพประนมปฐมพรหมสี่หน้า | สอดสร้อยมาลาช้านางนอน |
ผาลาเพียงไหล่พิสมัยเรียงหมอน | กังหันร่อนแขกเต้าเข้ารัง |
กระต่ายชมจันทร์จันทร์ทรงกลด | พระรถโยนสารมารกลับหลัง |
เยื้องกรายฉุยฉายเข้าวัง | มังกรเลียบถ้ำมุจลินทร์ |
กินนรรำซ้ำช้างประสานงา | ท่าพระรามาก่งศิลป์ |
ภมรเคล้ามัจฉาชมวาริน | หลงใหลได้สิ้นหงส์ลินลา |
ท่าโตเล่นหางนางกล่อมตัว | รำยั่วชักแป้งผัดหน้า |
ลมพัดยอดตองบังพระสุริยา | เหราเล่นน้ำบัวชูฝัก |
นาคาม้วนหางกวางเดินดง | พระนารายณ์ฤทธิรงค์ขว้างจักร |
ช้างหว่านหญ้าหนุมานผลาญยักษ์ | พระลักษณ์แผลงอิทธิฤทธี |
กินนรฟ้อนฝูงยูงฟ้อนหาง | ขัดจางนางท่านายสารถี |
ตระเวนเวหาขี่ม้าตีคลี | ตีโทนโยนทับงูขว้างค้อน |
รำกระบี่สี่ท่าจีนสาวไส้ | ท่าชะนีร่ายไม้ทิ้งขอน |
เมขลาล่อแก้วกลางอัมพร | กินนรเลียบถ้ำหนังหน้าไฟ |
ท่าเสือทำลายห้างช้างทำลายโรง | โจงกระเบนตีเหล็กแทงวิไสย |
กรดสุเมรุเครือวัลย์พันไม้ | ประไลยวาตคิดประดิษฐ์ทำ |
กระหวัดเกล้าขี่ม้าเลียบค่าย | กระต่ายต้องแร้วแคล้วถ้ำ |
ชักซอสามสายย้ายลำนำ | เป็นแบบรำแต่ก่อนที่มีมา |
2. บทนางนารายณ์ในบทละครเรื่อง "รามเกียรติ์" พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 ตอนนารายณ์ปราบนนทุก
บทนางนารายณ์ | |
เทพประนมปฐมพรหมสี่หน้า | สอดสร้อยมาลาเฉิดฉิน |
ทั้งกวางเดินดงหงส์บิน | กินรินเลียบถ้ำอำไพ |
อีกช้านางนอนภมรเคล้า | แขกเต้าผาลาเพียงไหล่ |
เมขลาโยนแก้วแววไว | มยุเรศฟ้อนในอัมพร |
ลมพัดยอดตองพรหมนิมิต | ทั้งพิสมัยเรียงหมอน |
ย้ายท่ามัจฉาชมสาคร | พระสี่กรขว้างจักรฤทธิรงค์ |
ฝ่ายว่านนทุกก็รำตาม | ด้วยความพิสมัยใหลหลง |
ถึงท่านาคาม้วนหางลง | ก็ชี้ลงถุกเพลาเข้าทันใด |
3. กลอนไหว้ครูละครชาตรี (โนห์รา เมืองนครศรีธรรมราช)
กลอนไหว้ครูละครชาตรี สอนเอยสอนรำ ครูให้ข้ารำเทียมบ่า ปลดปลงลงมา แล้วให้ข้ารำเพียงพก วาดไว้ปลายอก เรียกแม่ลายกนกผาลา ซัดสูงขึ้นเพียงหน้า เรียกช่อระย้าดอกไม้ ปลดปลงลงมาใต้ ครูให้ข้ารำโคใเวียน นี่เรียกรูปวาด ไว้วงให้เหมือนรูปเขียน ท่านี้คงเรียน ท่าจ่าเทียนพาดตาล ฉันนี้เหวยนุช พระพุทธเจ้าท่านห้ามมาร
ความคิดเห็น