ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อีกมุมนึงของแพทย์ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้

    ลำดับตอนที่ #7 : ความในใจของแพทย์ใช้ทุนคนหนึ่งที่ลาออก... (ตอนจบ)

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.พ. 55


    ทุกวันเราเริ่มเครียดมากขึ้นๆ ไม่มีความสุขค่ะ จะกินอะไรจะซื้ออะไรต้องมานั่งคิดว่าจะพอถึงสิ้นเดือนไหม? แล้วค่าซ่อมบ้านล่ะ? ฯลฯ จนถึงจุดๆหนึ่งเราเครียดจนอ้วก อยู่เวรไม่ได้ เป็นลม พยาบาลมาตามไปดูคนไข้เห็นเรานอนอยู่ (น้องไปเปิดประตู พ่อเอายาดมให้ดม)โอเคค่ะ เราก็ไปดูคนไข้ มาถึงไม่ทันได้เจอคนไข้ก็เจออาจารย์ผู้ชายคนนึง ยืนกอดอก ด่าเรากลางวอร์ดต่อหน้าคนไข้และญาติและพยาบาลมากมาย บอกว่าเราแย่มาก ทำไมตามไม่มา (เพิ่งตามไป 2 ครั้ง ถ้าไม่เป็นลมก็จะรีบมา) เนี่ยผมเลยต้องรีบมาจากคลีนิก คนไข้ผมก็รอ เสียเวลา ถ้าอยู่เวรไม่ไหวก็ไม่ต้องอยู่ อินเทิร์นรุ่นนี้แย่มาก คิดแต่เรื่องเงิน (อ้าว เกี่ยวไร ด่าหนูว่าหนูไม่รับผิดชอบไม่มาดูคนไข้หนูยอมรับค่ะ แต่ด่าว่าคิดแต่เรื่องเงินนี่อะไรคะ?) ทำงานก็ไม่ดี ยังมาขอขึ้นเงินอีก (พวกหนูขอก็ขอแค่ให้ขึ้นตามขั้นต่ำค่ะ อยากเถียงกลับมาก ทีคุณเอาเวลาราชการไปอยู่คลินิกล่ะคะ?)เราได้แต่ก้มหน้านิ่งค่ะ ท้อใจ ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น จากนั้นอาจารย์ก็ไล่เรากลับไป เราก็นั่งร้องไห้ ร้องๆๆๆๆ จนพ่อบอกว่า "ลูกลาออกเถอะ"

    เราก็เออ... จะทนทำไม? ลาออกดีกว่า เอ๊ะ แต่เดี๋ยวก่อน ลาออกแล้วจะเอาเงินที่ไหนใช้หนี้ เงินเป็นแสนๆก็ไม่มีอีก แต่อยู่ต่อไปก็อยู่ไม่ได้ อึดอัดทรมานใจ จะกินอะไรแต่ละมื้อต้องนั่งบวกลบคูณฟารเสร็จสรรพยังกะนักบัญชี ถ้ากินมื้อนี้แพง มื้อหน้าต้องถูกนะ เดี๋ยวเงินไม่พอ (น่าจะไปแข่งเกมโชว์ครอบครัวประหยัด เราว่าเราเข้ารอบแน่ค่ะ) แต่พ่อก็ยืนกรานให้ลาออก เราก็ยังบอกพ่อ "พ่อ ถ้าลาออกแล้วเรียนต่อไม่ได้นะ หาที่เรียนลำบากมากๆถ้าใช้ทุนไม่ครบ" พ่อบอกว่า "ถึงหนูอยู่ต่อไป ก็ไม่ใช่ว่าจะได้เรียนนะลูก หมอจบใหม่ปีนึงกึ่คน ตำแหน่งมีกี่ตำแหน่ง เรามันลูกชาวบ้าน ไม่มีเงิน ไม่มีอิทธิพล ไม่มีเส้นมีสาย คิดเหรอว่าจะได้เรียน และถึงหนูได้เรียน หนูจะได้กลับมาอยู่ใกล้ๆบ้าน อยู่กับพ่อกับน้องไหม? หนูดูแลทุกคนยกเว้นพ่อ เวลาพ่อป่วยอยากอยู่กับหนูหนูก็ต้องไปดูคนไข้แถมโดนคนไข้เมาอ้วกใส่ ลาออกเถอะ เรื่องใช้หนี้ค่อยคิด เอาฉโยดที่ดินไปค้ำก็ได้" พ่อว่าอย่างนี้ค่ะ เราก็ร้องไห้โฮต่อ แต่ร้องไห้ไม่นานเพราะโดนตามไปดูคนไข้

    วัน รุ่งขึ้นเราไปยื่นไปลาออก เขียนเหตุผลว่า "ไปประกอบอาชีพอื่น" พอขึ้นเดือนใหม่เราก็ยังไม่ได้ออก แต่ก็ไม่ต้องมาราวด์วอร์ดแล้วค่ะ อยู่แค่เวรฉุกเฉินกับเวรชันสูตรตามตาราง ก็คือเราฟรีวอร์ดนั่นเอง ช่วงนั้นน้ำเริ่มลดแล้ว กลับ กทม. ได้ พ่อกับน้องก็กลับไปซ่อมบ้าน โอ้โห... ซากดีๆนี่เองค่ะ เน่าไม่รู้จะเน่ายังไง ระดับน้ำขังในบ้านวัดได้ 120 เซน (บ้านทวีวัฒนา) ตู้เย็น โต๊ะ ตู้ เครื่องซักผ้า เครื่องเสียงที่พอทำค้างไว้หรือเสร็จแล้ว ฯลฯ ไม่มีอะไรเหลือค่ะ ทุกอย่างเป็นซากเน่าๆ ที่เราเศร้าใจที่สุดก็คือเปียโน (พ่อกับแม่เคยเก็บเงินซื้อให้ตอนเรายังเด็ก และพ่อยังมีร้าน มีรายได้เยอะอยู่)ก็เน่าสนิทค่ะ ไม้บวมฉึ่ง คีย์บอร์ดเหลืองติดกันกดไม่ลง... มีแต่ความหดหู่ ความเศร้า ความเสียดาย ลิ้นชักเก็บรูปถ่ายที่มีรูปแม่ รูปสมัยเด็กๆก็ล้ม รูปละลายหมดค่ะ พักบ้านนี้ไง้ก่อน ไปดูบ้านที่กระทุ่มแบน อันนี้ท่วมขำๆ แค่ต้นขา ยกของทัน หลังน้ำลงไม่ค่อยเสียหายมาก

    แต่น้ำมันก็ท่วมไปแล้ว บ้านก็พังไปแล้ว จะมัวคร่ำครวญก็เท่านั้นค่ะ เสียเวลา ไหนๆเราก็ไม่ต้องไปราวด์วอร์ดแล้ว ก็เลยหางานทำ เรารับอยู่โอพีดี, อีอาร์ ทุกวันค่ะ จะใกล้จะไกลเราไปหมด อยู่ทั้งเวรเช้า เวรดึก เช้าอยู่อุดมสุข สองทุ่มกลับมาอยู่หนองแขม หรือเช้าอยู่หลานหลวง ค่ำอยู่บางปะกอก ฯลฯ เราอยู่เวรเช้าทุกวัน (ยกเว้นวันที่ต้องกลับไปอยู่เวรฉุกเฉินที่โรงพยาบาลเดิม) และเวรนอนแทบทุกวัน เดือนนั้นหาได้ร่วมแสน (แต่เหนื่อยมากค่ะ เพราะเดินทางเยอะด้วย หกโมงออกจากบางปะกอก นั่งแท็กซี่ไปต่อที่ราชวัตร เย็นไปอยู่บางกรวย เหนื่อยมากค่ะ) บ้านก็ทยอยซ่อมไป ของอะไรใช้ไม่ได้ก็ทยอยทิ้ง แล้วเราก็เริ่มหางานประจำทำ งานที่ไม่ไกลบ้านมาก ค่าตอบแทนพออยู่ได้ ก็ตกลงได้งานโอพีดีคลินิกค่ะ รายได้อาจไม่มากนักเทียบกับโรงบาลใหญ่ๆ แต่ก็อยู่ได้สบายค่ะ หลังจากเก็บตังค์ใช้หนี้สามแสนกว่าๆ (รอใบทวงหนี้ค่ะ) และซ่อมบ้านเรียบร้อย เราก็คงหาอะไรอย่างอื่นทำ เพราะโอกาสที่เราจะได้เทรนต่อมันน้อยจนแทบเป็นศูนย์ (ก็ดันลาออกกลางคันนี่หว่า) เราเคยเรียนภาษาญี่ปุ่น (เรียนเองนานแล้วค่ะ จบมินนะโนะนิฮงโกะเล่ม 4) ก็เลยหยิบมาทวน+ท่องศัพท์+คันจิเพิ่มเติม และว่าจะไปสอบวัดระดับปลายปีนี้ แล้วก็เรียนต่ออย่างอื่นให้เป็นเรื่องเป็นราวไป อาจจะไปเรียนนิติ มสธ. เพิ่ม หรือเรียนโท MBA ราม หรือด้านสาธารณสุข แต่เรื่องโทนี่ยังไม่ได้คิดจริงจังมากค่ะ เพราะประสบการณ์การทำงานยังไม่ถึงอยู่ดี แต่ก็คงหาอะไรทำเพิ่ม value ให้ตัวเอง ตอนนี้ก็ยังคงเป็นหมอไปก่อน เก็บเงินใช้หนี้ให้หมด ซ่อมบ้าน ซื้อรถเล็กๆสักคัน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันค่ะ

    ขอบคุณทุกท่านที่รับฟังนะคะ แค่อยากให้บางท่านทราบว่า แพทย์ใช้ทุนที่เขาลาออก บางทีเขามีเหตุผลของเขา ไม่ใช่แค่เขาเห็นแก่ตัว อยากรวย อยากสบาย อันนั้นมันเป็นส่วนน้อยมากๆๆๆๆๆค่ะ กรณีของเรา ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆคงไม่ออก ถ้าน้ำไม่ท่วม บ้านไม่พัง บ้านเรารวยกว่านี้ชนิดที่ถึงไม่ได้เงินค่าเวรก็ไม่ลำบาก ถ้าพ่อเรารวยเป็นเศรษฐี เราไม่ต้องดูแลพ่อและน้อง เราก็คงไม่ลาออก เราเสียหายนะคะที่ลาออก จนตอนนี้ก็ยังเสียดายอยู่ตลอด เวลาเห็นเพื่อนๆอินเทิร์นที่เคยอยู่ด้วยกัน เขาลงรูปไปเที่ยว ลงรูปกิจกรรม เราก็ได้แต่ เออ... เราไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว แต่ใฟ้กลับไปก็คงไม่ไหว เพราะเราย้ายโรง'บาลเพิ่มพูนทักษะไม่ได้ และกลับไปก็ต้องเริ่มใหม่ เจอปัญหาเดิมๆ ตอนนี้เงินค่าเวรออกแล้วค่ะ รวม 3 เดือน 8 หมื่นกว่าๆ (3 เดือนนะคะ) เราไม่ได้ไปเช็คแล้วล่ะค่ะว่าตกลงเขาขึ้นค่าเวรให้เราเป็น 550 บาทต่อ 8 ชั่วโมงไหม และเราก็เอาไปใช้หมดแล้ว (พาพ่อไปเที่ยว ที่เหลือซ่อมบ้านต่อ ซ่อมไม่เสร็จไม่สิ้นสักทีค่ะ) อาจารย์ท่านนั้นก็จ่ายค่าเวรแล้ว (หลังจากผ่านไป 4 เดือน) แต่เราก็ยังไม่ว่างไปรับที่องค์กรแพทย์ เพราะเรารับงานทุกวัน อ้อ ลืมบอกไป เงินจำนวนนั้นคือ 1,400+1,400 = 2,800 บาทค่ะ

    ขอบคุณทุกท่านอีกครั้ง นะคะที่รับฟัง ต่างคนก็ต่างมีปัญหาของตัวเอง เราไม่ได้บอกว่าปัญหาของเราหนักที่สุด คนที่เจอหนักกว่าเราก็มีอีกบ้าง คนทำงานโรงงานหาเช้ากินค่ำแล้วโรงงานน้ำท่วมล้มละลาย เขาจะอยู่ยังไง ลูกเมียจะเอาอะไรกิน เราก็สุดจะจินตนาการค่ะ ทุกวันนี้ถ้าเรามีเงินเหลือเราก็จะเก็บออกส่วนหนึ่ง เผื่อลงทุนส่วนหนึ่ง และบริจาคอีกส่วนหนึ่ง เพื่อให้คนที่เขาไม่มีกว่าเราค่ะ

    เสริมเรื่องอาจารย์แพทย์อีกนิดค่ะ

    ครั้ง หนึ่งเราอยู่เวรฉุกเฉิน คนไข้ชายพม่า อายุ 23 ปี รถซาเล้งแหกโค้ง ชนเสาไฟไม่ใส่หมวกกันน็อค มาถึง ER BP = 70/40, PR = 120 bpm, irregular เบา, BT = 36 C, RR = ใส่ท่อแล้ว บีบ Ambu อยู่ คนไข้เรียกไม่รู้สึกตัว E1M1VTube pupils 2 ข้างไม่เท่ากัน R = 2.5, L = 1.5 slow reacted to light  มีแผลฉีกขาดของไม่เรียบที่ศรีษะยาวประมาณ 20 เซน เห็นกระโหลกศรีษามีรอยแตก (แต่ยังไม่ถึงกับเห็นเนื้อเบรน)เลือดโชกตัว แต่ซีดมาก มือเท้าเย็นเริ่มเขียว load IV crystalloid ไป 3,000 cc เริ่มขวดที่ 4,000 BP ยัง 80/50 เลือดยังเจาะไม่ได้ แทงเข็มไปก็ไม่มีเลือดตามมา ก็เลย G/M ไม่ได้ ซักพัก pulse คนไข้เริ่มยืด PR = 40 และช้าลงเรื่อยๆ ก็ขึ้นปั๊มค่ะ

    ญาติเริ่มมาเยอะ คนไข้คนนี้เป็นลูกจ้าง มีเมียท้องโต กับลูกอายุน่าจะประมาณ 2-3 ขวบ พี่ชายน้องชาย นายจ้าง ลูกนายจ้าง เต็มห้องฉุกเฉิน พี่พยาบาลแนะให้ลองโทรปรึกษาอาจารย์แพทย์เถอะ อย่ามัวแต่สู้คนเดียวเลย เราเลยโทรค่ะ

    พออาจารย์รับสาย เราเล่าเคสให้ฟัง อาจารย์ไม่ถามอะไรเลยค่ะ พูดประโยคเดียว "น้อง คุยกับญาติเลย เลิกปั๊มหัวใจได้"... แล้วอาจารย์ก็วางหูไป ไม่ลงมาดูหรือสนใจเราอีกเลย (ตอนนั้นเป็นเวลาเพียง 1 ทุ่มกว่าๆ อาจารย์ยังไม่นอนแน่ๆค่ะ)อ้อ อาจารย์ท่านนี้ไม่ใช่ท่านที่ตะคอกให้เราอ่านไกด์ไลน์นะคะ แต่ว่าอยู่แผนกเดียวกัน

    เราเห็นด้วยค่ะที่ถึงยื้อช่วยชีวิตต่อไปยัง ไง คนไข้ก็คงไม่รอด ถึงรอด ก็คงเป็นผักหรือเจ้าชายนิทรา โทรรีเฟอร์ ร.พ. ศูนย์ ก็ไมได้เพราะคนไข้ไม่สเตเบิ้ล และตอนนั้น พี่ๆพยาบาลก็หยุดปั๊มหัวใจกันแล้ว (พี่พยาบาลประสบการณ์เยอะกว่า) เห็นด้วยว่าปั๊มไปก็ไม่มีประโยชน์

    แต่คนที่ต้องคุยกับญาติคนไข้ มีเราคนเดียวน่ะสิคะ ญาติๆรวมแล้วประมาณ 10 คน รุมเราคนเดียว เมียคนไข้ก็ท้องโย้ ลูกที่อุ้มอยู่ก็ยังเล็ก เราไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง ทุกคนมองมาที่เราคนเดียวแบบมความหวังมากๆค่ะ (พี่ชายที่พูดไทยได้เขาถามเราว่า หมอ อย่าให้นอน ร.พ. นานนะ มันต้องรีบกลับไปทำงาน เดี๋ยวไม่มีเงินเลี้ยงเมียเลี้ยงลูก)... เฮ้อ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×