คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : *๐๕,, {White Fantasian เชปเตอร์ . ซีโร่ วัน}
ไวท์ วันเดอร์แลนด์. แฟนตาเชี่ยน สตอรี่
เชปเตอร์ ; ซีโร่ วัน *
When do you feel sad and lonely.
Close your eyes and think of light,
white wonderland is located in front of you!
ข้าทำได้แค่เพียงมองชายที่รักอย่างสุดหัวใจอยู่ห่างๆ
แต่ถ้าวันนึงชายที่ข้ารักคนนั้นหายไป...ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้มั้ยนะ
เจ้าชายหนุ่มแห่งเมืองเจว์ลูน ที่เพรียบพร้อมไปทั้งหน้าตาและความสามารถ กำลังยืนพิงอยู่ที่ริมขอบหน้าต่าง นัยน์ตาคมคายจับจองไปที่สิ่งมีชีวิตเล็กๆที่มือขวาของตัวเองส่วนอีกมือก็ยกขึ้นบังแดดจ้าที่ส่องมาทางทะเลกว้าง ลมเย็นๆปะทะเข้าที่ใบหน้า แม้จะมีแดดแรงมากเพียงไร แต่เมืองที่เป็นเกาะอย่างเจว์ลูนนั้นก็มีลมธรรมชาติที่พัดมาจากทะเลอยู่เป็นประจำ ทำให้สภาพอาการของที่นี่ไม่ร้อนอบอ้าวเท่าไหร่นัก
‘นกน้อยตัวนี้มันบินมาข้าทุกวันเลยแฮะ’ ริมฝีปากหยักได้รูปกำลังเอ่ยปากพูดออกมา ในห้องของพระองค์ช่างเงียบสงัด จะมีก็แต่เสียงเล็กๆของนกที่ร้องออกมาทำลายความเงียบสงบในห้องนี้ได้
‘ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าอยากบอกอะไรข้า...ฮ่ะๆ ก็ข้าฟังภาษานกไม่เป็นนี่’ เจ้าชายหนุ่มหัวเราะออกมาเล็กน้อย มือซ้ายของพระองค์ยกขึ้นมาลูบหัวเจ้านกน้อยอย่างเอ็นดู
‘ข้าเบื่อชีวิตในพระราชวังยิ่งนัก ท่านพ่อไม่ยอมให้ข้าออกทะเลเพราะกลัวภยันตราย พระองค์คงลืมไปว่าข้าโตและสามารถดูแลตัวเองได้’ เจ้าชายยิ้มเศร้าสร้อยก่อนจะเอ่ยต่อ ‘ฮ่ะๆ ข้าไม่มีมิตรสหายมากเท่าไหร่นักหรอกนะ ได้เจ้านี่แหละเป็นที่รับฟัง มันคงจะดีไม่น้อยถ้าข้ามีสตรีสักคนมาคอยรับฟังข้าแบบเจ้า... นกน้อย’
เจ้าชายยิ้มเศร้าสร้อยก่อนที่จะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ไม้สักอย่างดี นกน้อยตัวเล็กยังคงเกาะที่ขอบหน้าต่าง ดวงตาของสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆจากป่าจ้องมองไปยังเจ้าชายหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่เพียงลำพัง มันไม่อาจจะพูดอะไรเพื่อเป็นการปลอบใจเจ้าชายได้แม้แต่นิด เพราะเจ้าชายไม่สามารถรับรู้ภาษาของวิหกที่แสนจะต้อยตำเฉกเช่นมันได้เลย
แต่...ณ เวลานี้ เจ้านกน้อยตัวเล็กรู้แล้วว่าตัวเองจะต้องทำยังไงเพื่อเจ้าชาย
ชายป่ากว้างซึ่งกินพื้นที่ตั้งแต่บริเวณของอณาจักลิเวียน ตัดผ่านสามอณาจักรใหญ่มาจนถึงสุดปลายของรอยต่อเมืองท่าขนาดใหญ่อย่างอณาจักรทรอนซ์กับอณาจักรเลวาลัวร์ นอกจากการเข้าไปหาทรัพยากรอันล้ำค่าในป่าแล้ว ชาวทวีปฝั่งพื้นดินต่างลงความเห็นเอกฉันท์ว่าป่ากว้างแห่งนี้ไม่ควรค่าแก่การนำชีวิตเข้าไปเสี่ยง เพราะมีทั้งสัตว์ร้าย ภูติ ไม่เว้นแม้แต่โจรป่าอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้อย่างลึกลับ หากมนุษย์ตนใดเหยียบย่างกรายเข้าไปในป่าอย่างไม่ระมัดระวังล่ะก็...
คงได้กลายเป็นศพไม่มีญาติเน่าสลายอยู่ในป่านั่นแหละ
แต่ถึงจะมีการกล่าวขวัญอย่างนั้นแล้ว ก็ยังมีผู้คนหรือไม่ก็นักเดินทางเข้าไปเสาะแสวงหาทรัพยากรในป่าแห่งนี้เป็นประจำ เพราะนอกจากป่าลึกที่เป็นรอยต่อระหว่างอณาจักรครอมต์กับไอเซนเบิร์กแล้ว ไม่มีอะไรที่เกินกว่าความสามารถของมนุษย์ที่เปี่ยมไปด้วยความทะเยอะทะยานอยู่เต็มหัวใจ หากแต่ป่าลึกที่อยู่ไกลถึงรอยต่อนั่น ยังไม่มีใครไปถึงและรอดกลับมาได้สักที
ผู้ที่ได้เชยชมความงามของป่าลึกที่ไม่ถูกมนุษย์ย่ำยีจะมีก็แต่ภูติหรือสัตว์บางชนิดที่อาศัยอยู่ในป่าลึกแห่งนี้ อยู่อย่างมีความสุข หรือไม่ก็รอคอยความหวังว่าสักวันจะมีมนุษย์ผู้กล้าเข้ามาทำให้ป่าแห่งนี้ไม่ต้องเงียบต่อและกลายเป็นสิ่งต้องห้าม
หรือถ้าไม่...มนุษย์คนนั้นก็ต้องจบชีวิตลงเหมือนคนก่อนๆอยู่ดี
“ดันเต้ แมคเคอร์ดี้! หยุดบินเดี๋ยวนี้ เจ้ากำลังทำให้ข้าหมดความอดทนนะ!” เสียงทุ้มแผดเสียงก้องไปทั่วป่าลึกแห่งเมืองลิเวียน นกน้อยตัวเล็กสีเหลืองสดใสกำลังบินวนอยู่รอบๆตัวของภูติแมวหนุ่มจอมทะเล้นที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทวีปทริเปียนก้า
“เจ้ามีไม่สิทธิ์มาสั่งข้านะ อาร์ลซาส” นกน้อยตัวเล็กเอ่ยเสียงแหลมและบินขึ้นไปเกาะบนกิ่งไม้ “หรือเจ้าอยากให้ข้าฟ้องท่านอัลฟี่ว่าเจ้าเป็นคนหักกิ่งไม้เล่นจนบรรดาสัตว์เดือดร้อนไปทั้งป่า”
ภูติแมวหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเพราะเจ้านกเอ่ยถึงชื่อพี่สาวคนเดียวที่เขานั้นทั้งกลัวแสนกลัว ถ้าจะไป สิ่งเดียวที่อาร์ลซาส ซินเทรย์จะกลัว ก็เห็นจะมีแต่ภูมิแมวสาวที่มีศักดิ์เป็นพี่สาวแท้ๆของเขาละมั้ง
“แล้วนี่เจ้าจะไปไหน ท้องฟ้ายามราตรีมืดออกซะขนาดนี้ ระวังโดนเจ้าฟูคัสโตทำร้ายเอาล่ะ” อาร์ลซาสเอ่ยเตือนอย่างหวังดี ทำให้นกน้อยตัวเล็กถึงกับหวั่นเกรงเมื่อนึกถึงภูติหนุ่มที่แสนจะร้ายกาจและน่ากลัวตนนั้น
“ฟะ...ฟูคัสโตแล้วยังไงล่ะ! ข้าน่ะเคยบินไปถึงเมืองเจว์ลูนมาแล้วนะ!!!” นกน้อยแผดเสียงเล็กๆของตน
“คิดว่าถ้าจะเชื่องั้นหรือดันเต้ เมืองเจว์ลูนเป็นเมืองที่อยู่กลางมหาสมุทร ถ้าจะบินจากที่นี่ไปถึงเมืองนั่นก็กินเวลาหลายเลยทีเดียว” อาร์ลซาสเอ่ยเสียงเรียบ “ถ้าเจ้าจะไปถึงที่นั่น ดีไม่ดีอาจตายได้นะ”
“อย่ามาดูถูกข้านะ อาร์ลซาส!!!!!!” นกน้อยแผดเสียงแหลมของตัวเองดังไปทั่วป่า ก่อนที่จะบินหนีขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มีสีทะมึนของยามราตรี
ก็ได้...ถ้าเจ้าดูถูกข้าอย่างนั้น นกน้อยตัวนี้จะทำในสิ่งที่เจ้าไม่คิดมาก่อนให้ดู!!
กล่าวถึงมหาสมุทรเงียบสงบที่โดนแบ่งแยกออกมาจากมหาสมุทรคิริเวนอย่างเห็นได้ชัด ผืนน้ำกว้างใหญ่นั้นสงบนิ่งไม่มีคลื่นลมอย่างน่าอัศจรรย์ มหาสมุทรเวิ้งว้างไร้ซึ่งปรากฏการณ์ธรรมชาติใดๆแห่งนี้ถูกผู้คนกล่าวขนานนามว่าวิริเซียส ผู้คนมากมายนิยมมาหาความเพลิดเพลินใส่ตัวเองโดยการกระโดดลงแช่น้ำในมหาสมุทรแห่งนี้ ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว มหาสมุทรวิริเซียสคือทะเลธรรมดาทั่วไปที่ใครก็ตามจะกระโดดลงไปเล่นก็ได้
แต่ข้อเท็จจริงนั้นอาจไม่ตรงตามความคิดของมนุษย์เสมอไป...
ไกลจากชายฝั่งของพื้นดินที่แสนจะมั่นคงไปถึงใจกลางมหาสมุทรที่ยากจะหยั่งถึง ที่อยู่อาศัยของอิสตรีที่ไม่มีขาแต่มีเพียงหางดังเช่นมัจฉา พวกนางอาศัยกันอยู่อย่างเป็นกลุ่มก้อน หากแต่ชุมนุมที่น่าพิศวงในใจกลางมหาสมุทรนั้นมีประชากรเหลืออยู่ไม่มากนัก บ้างก็เล่นซุกซนจนต้องไปเป็นอาหารให้สัตว์ร้ายแห่งมหาสมุทรคิริเวน บ้างก็โดนหลุมดำแสนลึกลับดูดหายไป ธรรมชาติของมหาสมุทรแห่งนี้ช่างน่าพิศวงยิ่งนัก!
เสียงเพลงที่ดังขับกล่อมชาวประมงที่ออกเรือมาหาในฝั่งน้ำลึกดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันต่างออกไปเพราะไซเรนสาวแสนสวยกำลังขับกล่อมมันออกมาจากหัวใจเลยทีเดียว เสียงเพลงที่แสนยั่วยวนของนางดังจนไปเข้าหูของนางเงือกสาวนามเอโอวี่ คันนิ่งแฮม เงือกสาวแสนสวยเจ้าของนัยน์ตาสีมรกตกับเรือนผมสีดำขลับโดดเด่นแตกต่างจากนางเงือกทั่วไป
“เอาอีกแล้วสินะ คีสแตล่า” เอโอวี่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะเบือนหน้าหนี นางไม่อยากเห็นการกระทำที่ชวนอาเจียนของไซเรนสาวที่นางรู้จักและรู้จักนางดี
“โธ่เอ้ย เอโอวี่ผู้แสนโง่เขลา” คีสแตนล้าโบกมือเป็นเชิงให้เจ้าชายหนุ่มหยุดป้อนสาหร่ายสีเขียวให้กับเธอก่อนจะพูดต่อ “เจ้าเป็นนางเงือกที่มีใบหน้าสวยหมดจด แถมเสียงเจ้าก็ใสดั่งแก้วที่บริสุทธิ์ เพียงแค่เจ้าเอ่ยปากมาว่าอยากจะเป็นข้า....” นางทิ้งเสียงและปรายตาไปมองที่นางเงือกสาว “ข้าก็ยินดีเป็นอาจารย์ให้เจ้า”
“คนที่เอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงกับเรืออันแข็งแกร่งของพวกมนุษย์ไม่ใช่หรือ ที่จะเป็นผู้โง่เขลา” สิ้นเสียงของเอโอวี่ ไซเรนสาวถึงกับหันมามองตาขวางอย่างไม่พอใจ “ข้าไม่เห็นว่าการเอาตัวไปเสี่ยงเพื่อความบันเทิงที่แสนไร้สาระนั่นจะทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นตรงไหนเลย”
“เจ้าลืมไปแล้วหรอว่ากำลังพูดจาเยี่ยงนี้ต่อหน้าใคร!?” คีสแตล่าตวาดเสียงลั่น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นางเงือกสาวรู้สึกหวาดเกรงเลยแม้แต่น้อย
“ข้าไม่มีวันเกรงใจไซเรนที่ทำตัวน่าสมเพชเยี่ยงเจ้า!!”
“เอโอวี่ คันนิ่งแฮม!!!!!!!!!!!”
คีสแตล่าแผดเสียงดังลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว ดวงตาสีเขียวใสคู่สวยจ้องมองนางเงือกสาวตรงหน้าด้วยความแค้นจัด นางยกมือขึ้นมากั้นกลางระหว่างตัวเองและคู่กรณีเอาไว้ก่อนที่จะดีดนิ้วเรียว เอโอวี่มองภาพของไซเรนสาวตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก แต่ความปั่นป่วนของท้องทะเลก็ทำให้นางรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้!
ครืน...
ทันใดนั้นก็เกิดคลื่นลูกยักษ์ขึ้นที่ใจกลางมหาสมุทร คลื่นยักษ์ใหญ่ขนาดไม่ต่ำกว่าสามสิบเมตรก็ถาโถมเข้ามาที่ตัวนาง นางเงือกสาวยิ้มเหยียดก่อนจะเอ่ยปากตอบโต้
“เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไร ว่าตัวข้านั้นก็เป็นนางเงือก คลื่นลูกยักษ์แบบนี้ทำอะไรข้าไม่หรอก” สิ้นคำพูดของนางเงือกสาว คีสแตล่าก็หัวเราะเสียงดังก่อนจะจรดนิ้วเรียวยาวไปทางชายฝั่งซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านเล็กๆ
“ข้าไม่ได้อยากเล่นงานเจ้า....หมู่บ้านนั่นต่างหากคือเป้าหมายของข้า! มาดูกันสิว่าเงือกสาวแสนดีอย่างเจ้าจะช่วยเหลือพวกมนุษย์แสนโง่เขลาในหมู่บ้านนั้นได้ยังไง” ไซเรนสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงชัยชนะ รอยยิ้มแพรวพราวปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยหมดจดก่อนที่นางจะฮัมเพลงซึ่งเปี่ยมไปด้วยความสุขอีก ชายหนุ่มรอบตัวหยิบสาหร่ายของโปรดมาป้อนพร้อมปรนนิบัติไม่ขาด เอโอวี่เบือนหน้าหนีก่อนจะมองไปยังคลื่นลูกยักษ์ที่ถึงแม้จะลดขนาดลงบ้างแล้ว แต่ทว่ามันยังใหญ่พอที่จะทำลายหมู่บ้านริมฝั่งนั่นได้แบบไม่เหลือซาก
นางเงือกสาวว่ายน้ำด้วยความเร็วจนยากที่ใครจะจับตัวได้ไปถึงที่ชายฝั่ง คลื่นลูกใหญ่ที่ลดขนาดลงแล้วแต่ก็ยังคงทวีความรุนแรงได้พัดเข้าไปที่บ้านชาวประมงที่เป็นเพิงเล็กๆ เมื่อคลื่นขนาดใหญ่นั่นกระแทกเข้ากับเพิงไม้ที่ไม่แข็งแรง บ้านทั้งหลังก็พังทลายมาอย่างง่ายดาย เอโอวี่ทำได้เพียงแต่หลบอยู่หลังโขดหินด้วยหัวใจที่เต้นระรัวอยู่ในอก ชาวประมงที่ยังดูหนุ่มแน่นคนหนึ่งพยายามวิ่งหนีคลื่นที่กำลังม้วนตัวไปหาเขา เสียงกรีดร้องของคนในหมู่บ้านทำให้นาเงือกสาวเผลอกัดริมฝีปากสีชมพูอ่อนของตัวเองด้วยความรู้สึกประหลาด เพียงไม่นานนัก ร่างของชาวประมงหนุ่มก็โดนคลื่นดูดกลื่นลงไปเรื่อยๆ ราวกับว่าน้ำทะเลกำลังฉุดขาของชายคนนั้นให้ลงไปในทะเลที่ลึกสุดจะหยั่งถึง ร่างของเขาจมลงไปพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังระงมไม่หยุดหย่อน
เอโอวี่ถอนหายใจยาวแล้วปรายตามองผ่านหลังโขดหินไปยังพวกมนุษย์ที่นางไม่เคยแม้แต่จะนึกถึง มนุษย์พวกนี้สินะที่ทำให้มหาสมุทรอันเป็นเหมือนกับที่อยู่อาศัยของนาง ไม่ใช่เรื่องที่สมควรเลยแม้แต่นิดถ้านางเงือกสาวจะต้องเข้าไปช่วยพวกมนุษย์เห็นแก่ตัวพวกนี้
ใช่...ไม่สมควรเลย
“เดม่อน!!!!!” สตรีนางหนึ่งที่ดูมีอายุวิ่งมาหยุดอยู่ริมหาด ชายหนุ่มหลายพยายามกันไม่ให้เธอวิ่งลงไปในน้ำ นางเงือกสาวถึงกับชะงักเมื่อเห็นน้ำตาที่เอ่อท้วมท้นไปทั่วใบหน้าของหญิงสาวชาวบ้านที่ดูสูงวัยนั่น
“ทำไมกัน! ทั้งๆที่เดม่อนลูกชายหน้าไม่เคยก่อความเดือดร้อนให้ใครเลย ทำให้ทะเลต้องพรากเขาไปจากข้าด้วย ทำไม!!!!!!” หญิงสาวกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งราวกับคนเสียสติ ก่อนที่จะทรุดลงนั่งลงบนพื้นทราย เสียงสะอื้นของนางดังลั่นไปทั่วชายหาด นางเงือกสาวเบือนหน้าหนีจากภาพที่น่าเวทนาก่อนจะกำมือแน่น สมองของนางตีรวนไปหมด
ทำไมกันนะ....หัวใจของเข้าถึงได้คับพองในอกอย่างนี้
ข้าไม่อยากให้ใครต้องมาสังเวยชีวิตแด่มหาสมุทรเพราะอารมณ์ที่แสนจะเกรี้ยวกราดของคีสแตล่า...หรือว่านั่นจะเป็นการสมควรแล้วที่พวกมนุษย์จะต้องเสียใจเพราะการกระทำที่พวกเขาเคยทำ
หรือคิดอีกที....ทำแบบนี้ข้าก็คือคนเห็นแก่ตัวเหมือนกันสินะ
เสียงน้ำกระจายเหมือนมีสิ่งมีชีวิตกำลังกระโจนลงน้ำ ชาวบ้านริมหาดทำเพียงแค่ชะโงกหน้ามองความเปลี่ยนแปลงหลังโขดหินนั่น... นางเงือกสาวได้ว่ายน้ำจากไปโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นแม้แต่ปลายผม แต่นางไม่สามารถกลับไปที่อาศัยของนางยังใจกลางมหาสมุทรได้
ถ้าไม่ได้ช่วยเขาคนนั้น...!
ในป่าลึกแห่งเดิมของเมืองลิเวียน ความมืดยามรัตติกาลเข้าปกคลุมในส่วนลึกของป่าจนแทบมิด หากนักเดินทางที่แสนจะโง่เขลาได้หลงเข้าไปในสถานที่แห่งนี้แล้วล่ะก็ เขาคนนั้นอาจจะขาดใจตายเพราะอาการมองมือตัวเองไม่เห็นและเดินชนต้นไม้ไปทั่วเป็นแน่แท้
มีเพียงเสียงเล็กๆของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ธรรมดาทั้งสองดังขึ้นทำลายความเงียบสงัดของยามวิกาลเช่นนี้ หากมองทะลุเข้าไปในโพรงไม้ใหญ่ในป่าแล้วสังเกตบนกิ่งไม้ที่แสนจะสูงชันสักหน่อย ร่างของสตรีเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป หากแต่นางมีหูกับหางและท่าทางการเคลื่อนไหวไม่ต่างจากสัตว์มีขนสี่เท้าเยี่ยงแมวก็เท่านั้น ท้องฟ้าในบริเวณนี้อาจดูสว่างจ้าขึ้นมาเล็กน้อย เพราะสตรีอีกนางที่รูปร่างหน้าตาสวยหมดจด ผิวขาวนวลดุจดั่งแสนจันทร์กำลั่งนั่งอยู่บนก้อนเมฆสีขาว
เหมือนปุยนุ่ย นางทั้งสองกำลังเจรจากันอย่างออกอรรถรส
“เจ้าที่ช่างมีอารมณ์ขันยิ่งนัก ไม่เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์ลงทุนแอบพี่ชายมานั่งสนทนายามวิกาลกับเจ้า” สตรีที่อยู่บนก้อนเมฆป้องปากหัวเราะอย่างชอบใจ ส่งผลให้ภูติแมวสาวที่นั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งไม้ฉีกยิ้มแพรวพราว
“พี่ชายของเจ้าเป็นถึงเทพสุริยา ไยถึงไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่าน้องสาวคนเดียวที่เป็นเทพแห่งจันทราแอบหนีมาสนทนากับภูติแมวที่แสนต้อยต่ำเยี่งข้าเล่า” นางกดปลายเสียงให้ต่ำลงเหมือนต้องการจะหยั่งเชิง แต่ในใจรู้ดีอยู่แล้วว่าเทพจันทราไอร์คาลิส พาแอชเชอร์ นางนี้ไม่มีวันหวั่นไหวกับเรื่องเล็กน้อยอย่างนั้นเป็นแน่แท้
“ถึงพี่ข้ารู้ เจ้าคิดหรือว่าข้าจะยอมปล่อยให้เขามาทำอะไรข้า” ไอร์คาลิสหัวเราะชอบใจอีกครั้งก่อนจะเอ่ยปากพูดต่อ “ข้าต้องการเพียงแค่เพื่อนคุยสักคน”
ภูติแมวสาวยิ้มกว้างอีกครั้ง นางหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนที่จะปีนขึ้นไปนั่งยังกิ่งไม้ที่อยู่สูงขึ้นไป ถ้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคงทำแบบนางไม่ได้ อย่าว่าแต่ปีนขึ้นมาสูงเกือบถึงเมฆเลย...แค่ขึ้นมาเหนือพื้นดินไม่ต่ำกว่าสามเมตรก็น่าจะขาสั่นไม่กล้าปีนต่อแล้วก็เป็นได้
“ข้ายินดีเป็นเพื่อนคุยให้เจ้า แต่ขอบอกไว้ก่อน...” ภูติแมวสาวกดหางเสียลงต่ำอีกครั้งก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเทพจันทราที่นั่งอยู่บนก้อนเมฆ “ข้าคือภูติแมวอัลเฟย์ ซินเทรย์ ผู้ไม่เคยก้มหัวให้ใครไม่เว้นแต่เจ้ามนุษย์หมาป่ากระหายเลือดท ข้าเกรงว่าอาจจะไม่สามารถยกย่องเจ้าอย่างสมฐานะได้หรอก ”
เทพจันทราเจ้าของใบหน้าสวยหมดจดอดทึ่งไปกับกริยาของภูติแมวตนนี้ไม่ได้ นางยิ้มให้กับตัวเองอีกครั้งก่อนจะเอ่ยปากพูดต่อ
“ข้าไม่อยากได้เพื่อนที่ยกย่องข้า แต่ข้าอยากให้เพื่อนที่รับฟังและมองข้าเป็นเพื่อนเหมือนกับเ เพราะฉะนั้นเจ้าเรียกว่าข้าว่าไอลิสดีกว่า ชื่อนี้มีแต่พี่ชายของข้าเท่านั้นที่จะเรียก” ไอร์คาลิสเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“งั้นเจ้าเรียกว่าอัลฟี่แล้วกัน” อัลเฟย์เอ่ยก่อนจะยื่นมือของนางไปยังสตรีที่นั่งอยู่บนก้อนเมฆ มือของสตรีสองนางประสานกันเป็นเวลาเพียงสั้น ก่อนที่เสียงปริศนาจะดังขึ้นทำลายความสงบ
“ฮ่าๆๆ~ เจ้าเห็นเหมือนที่ข้าเห็นหรือเปล่าฟูคัสโต ภูติแมวของพวกเรากำลังผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ที่เป็นถึงเทพจันทราเชียวนะ” ภูติสาวที่มีใบหน้าสวยงามไม่แพ้ภูติหรือมนุษย์หน้าไหนเดินออกมาจากความมืด ก่อนที่ภูติเงาที่ความร้ายกาจนั้นไม่เป็นรองใครจะเดินตามออกมา
“ข้าไม่คิดมาก่อนว่าภูติในป่าแห่งนี้อยากจะผูกมิตรกับเทพที่มาจากท้องฟ้าเบื้องบน” ภูติฟูคัสโตยิ้มเหยียด “ช่างหน้าขันเสียนี่กระไร”
จบประโยคของฟูคัสโต เขากับภูติสาวเกรเทลก็แผดเสียงหัวเราะที่ฟังดูน่าขนลุก ภูติแมวอัลเฟย์ฉีกยิ้มเย็นชืดก่อนจะกระโดดลงจากต้นไม้มายืนประจันหน้ากับภูติสองตนอย่างเอาเรื่อง
“พวกเจ้า....!” นางถลึงตามองไปยังคู่กรณีที่ฉีกยิ้มอย่างเคลือบแคลงมาให้ ก่อนที่มือเรียวกับกรงเล็บยาวและแข็งแกร่งจะยื่นไปที่หน้าของภูติทั้งสอง
“ข้าเดาว่าพวกเจ้าของไม่อยากมีเรื่องกับข้าในยามวิกาลเยี่ยงนี้หรอก โดยเฉพาะ...” นางเว้นช่วงก่อนจะปรายตามองไปยังก้อนเมฆที่มีเทพจันทราไอคาลิสนั่งอยู่บนนั้น “เวลาที่เทพจันทราอยู่ฝั่งเดียวกับข้าแล้วด้วยอย่างนี้น่ะ!”
กรงเล็บแข็งของนางตวัดไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของภูติเงาฟูคัสโต โลหิตสีแดงสดไหลออกมาจากบาดแผลเป็นทางยาวที่แก้มด้านขวา ทำเอาเจ้าตัวเม้มปากสีซีดเข้าหากันอย่างแสดงควาไม่พอใจสุดขีด ภูติสาวเกรเทลเดินตรงเข้ามาหาอัลเฟย์อย่างหมายจะเอาเรื่อง แต่ก็มีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นก่อนที่สายฟ้าขนาดย่อมจะผ่าเปรี้ยงเข้าที่พื้นดินตรงหน้านาง
“ฮึ่ม!!” เกรเทลกำมือแน่นก่อนจะหันไปมองฟูคัสโตที่มีสภาพโกรธไม่แพ้กัน ความสามารถควบคุมสภาพอากาศในเวลากลางคืนแบบนี้ ไม่แปลกนักหรอกที่ไอร์คาลิสจะสามารถใช้มันได้ ก็นางเป็นถึงเทพจันทรานี่!
“พวกเจ้าจะหนี...งั้นหรอ?” อัลเฟย์พูดจาหยั่งเชิงเหมือนต้องการจะยั่วโมโห จนภูติทั้งสองถึงกับกัดฟันกรอดอย่างไม่พอใจ เสียงหัวเราะอย่างสะใจดังมาจากบนก้อนเมฆ นั่นยิ่งทำให้คู่กรณีทั้งสองทวีความโกรธเคืองยิ่งขึ้นไปอีก แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้ทำอะไร ก็มีชายปริศนาเดินแหวกความมืดและตรงเข้ามาในวงล้อมแห่งการวิวาท เขาฉีกยิ้มอย่างเป็นมิตรแต่แฝงไปด้วยปริศนาก่อนจะเหลือบมองขึ้นไปบนก้อนเมฆและคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง
“เจ้าเป็นใคร!?” อัลเฟย์มองหน้าชายหนุ่มปริศนาด้วยความฉงน ชายหนุ่มเอามือเสยผมก่อนจะปรายตามองมายังภูติแมวสาวอย่างจะต้องการยั่วโมโห ริมฝีปากหยักได้รูปขยับขึ้นลงเปล่งคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอวดดี
“ข้าคือแบรนด์ เฮฟเว่น ..!!”
จบอย่างมึนงงสงสัยกับไวท์ตอนแรก . ที่ตูนบอกว่าจะออกมาสี่คนนั้นไม่น่าไหวแล้วค่ะ
เพราะว่าคนแต่งมึนกับนิยายตัวเองมาก เป็นแฟนตาซีเรื่องแรกที่แต่งอย่างจริงจัง
ความคิดเห็น