คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : กุมารีรัศมีสุวรรณ
กุมารีรัศมีสุวรรณ . . .
บาทน้อย ๆ ค่อยย่องผ่านม่านพระเวทกลับมาสู่นครจากทางด้านหลัง อาศัยความอลหม่านของชาวประชาจากเหตุการณ์แร้งโฉบเฉี่ยวไปมาเหนือเวหา ค่อย ๆ เคลื่อนกายเข้าร่วมในความวุ่นวายของไพร่ฟ้า แล้วจึงมุ่งหน้าไปหาบิดามารดาที่ภายในราชวัง
"พวกมันไปแล้วหรือพระเจ้าค่ะ" ครั้นมาถึงได้พบทั้งสองพระองค์ ทักษรักษ์จึงแสร้งมีทีท่าคล้ายว่าตนนั้นประทับกายอยู่ภายในม่านพระเวทตลอดเวลา
"ทักษรักษ์ วราธร กรณ์รบสพวกลูกหายไปไหนมา พ่อกับแม่ตามหากันให้ทั่วเลยรู้ไหม" พระนางกชรสกางกรโผเข้าตระกองกอดโอรสนางพลัน ในฤทัยก็คลายพะวงลงเบาบางเมื่อได้พบว่าโอรสตนมิได้ถูกลักพาไปกับห่าแร้ง
"ลูกกับน้องพากันไปละเล่นอยู่ในอุทยานหลวงมาน่ะพระเจ้าค่ะ เห็นฝูงแร้งบินโฉบเฉี่ยวไปมาเลยหลบกันอยู่ใต้พฤกษาไม่กล้าออกมาจวบจนพวกมันไป" ทักษรักษ์ตอบความพระมารดาแทนอนุชาทั้งสองของตน
"ชะ...ใช่แล้วพระพุทธเจ้าค่ะ ข้าพระพุทธเจ้าก็อยู่ด้วย"
"แล้วท่านจะเสียงสั่นทำไมกันหัวหมู่สรรค์"
"โธ่ท่านหมื่น ก็..."
"หัวหมู่สรรค์คงจะสั่นกลัวยังมิคลายน่ะท่านหมื่น" เป็นวราธรที่กล่าวแทรกหัวหมู่สรรค์ขึ้นว่าตอบ เนื่องด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสั่นเครือมิหายนั้น เกรงว่าจะส่อถึงพิรุธจนทำให้เรื่องของการออกนอกม่านพระเวทล่วงรู้ไปถึงพระกรรณของสองพระองค์ได้
"ถึงแร้งมันจะบินผ่านไปโดยไม่คิดทำสิ่งใดต่อตจสาร ทว่าในภายภาคหน้าต้องมีสักวันแน่ที่มันสามารถทลายม่านพระเวทแห่งตจสารลงได้" องค์เหนือหัวปรุฬห์ทอดพระเนตรขึ้นเบื้องนภา แลเหลียวไปตามทิศาที่ห่าแร้งมันบินผ่านไป อย่างมากมายไปด้วยสิ่งให้ครุ่นคิดมีพะวง
"พวกมันจับเด็กไปทำไมกันพระเจ้าค่ะเสด็จแม่" กรณ์รบสถามต่อพระมารดาด้วยนัยนาใส ทว่าหยั่งลึกถึงภายในกลับมากไปด้วยแววเวทนา มิใช่แค่เพียงอนุชาทว่าเชษฐาทั้งสองคนก็ด้วยเช่นกัน
"โธ่ลูก" มารดานางโผเข้าโอบกายโอรสนางอีกครั้ง
"ไม่มีทางช่วยเหลือเลยหรือพระเจ้าค่ะ" ทักษรักษ์เงยรูปพักตร์น้อย ๆ ขึ้นสบวงพักตร์พระบิดา
"ทักษรักษ์ พ่อก็อยากจะช่วยเหลือกุมารีเหล่านั้น แต่พ่อไม่อาจนำชาวประชาตจสารเข้าไปเสี่ยงด้วยได้ ยามเมื่อลูกเติบโตขึ้นสักวันลูกจะเข้าใจเอง" ผู้เป็นบิดาละพักตร์ลงจากเบื้องเวหาพลางลดกายาลงให้เสมอเพียงโอรส แล้วจึงใช่ฝ่าหัตถ์ลูบไปตามเกศาเหนือศิระด้วยรักใคร่เอ็นดู ชื่นชมนักที่โอรสมีจิตคิดห่วงใยผู้อื่น
เหนือขึ้นสู่ท้องนภา
เหนือหมู่เมฆาขึ้นไปถึงถิ่นวิมานที่ประทับของหนึ่งนางสวรรค์ผู้ไร้บริวาร สูงถึงถิ่นวิมานอันถูกตัดขาดออกจากผืนสวรรค์หมู่มาก ด้วยพิษจากวรรษร้อนอันเกิดขึ้นจากธารเพลิงเหลวหลากใต้โลกา ประโปรยลงทั่วถิ่นวิมานสีสุกให้เคล้าระคนไปด้วยสีตมมิน่าดู เดิมเคยงดงามสะพรั่งไปด้วยพฤกษามาลาอุดม มาบัดนี้ไร้แล้วความอุดมแต่กลับมากไปด้วยสีตโมตรมสิ้นนามกรเทวารัณย์
หนึ่งนางรัมภาผู้ฝักใฝ่ในวิเวกสงบจึงขอประทานจากองค์เทวราช ให้ตัวนางได้สถิตอยู่ ณ เทวารัณย์อันไร้ร้างแล้วผู้ประทับอยู่ ท้าวเทวราชอีกทั้งพระเทวีสุคันธมาทน์จึงเห็นพ้องประทานให้อย่างนางวอนขอ แลหนึ่งนางรับภาผู้ทูลขอก็จึงได้ประทับอยู่ ณ เทวารัณย์สีตรมมาจนบัดนี้
สองบาทสีลออยกย่างวางลงสู่ผืนวิมานสีตม ก้าวย่างเข้าสู่แดนวิมานพร้อมมาด้วยเสียงแจ้วจากหนึ่งกุมารีรุดแล่นออกรับผู้กลับคืนมา แต่แล้วความเริงร่าก็ต้องหยุดยั้ง กุมารีแลจากเบื้องบาทขึ้นสู่ชายพระภูษาเลื่อนไล่เนตรขึ้นจนถึงวงกรนางรับภา ที่กำลังโอบอุ้มกุมารีอีกหนึ่งนางเอาไว้ รอบยิ้มน้อย ๆ พร้อมด้วยสำเนียงเสียงแจ้วจึงพลันเลือนรางลงไป แล้วจึงเผยให้เห็นสีพักตร์คิดสงสัยแทน
"แก้วสกาว กุมารีน้อยนางนี้เจ้าช่วยเราดูแลให้ดีได้ไหม" รับภาผู้ช่วยเหลือกุมารีนางที่มีหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ให้รอดพ้นจากห่าแรงคราร่วงหล่น เลื่อนลดกายตนลงให้ต่ำเพียงเด็กหญิงนามแก้วสกาว ให้เด็กน้อยคนที่นางเคยช่วยเหลือไว้คราวหลั่งไหลมาตามธารธาราเย็น ได้แลดูกุมารีที่กำลังหลับพริ้มอยู่ในวงกร
"น้องสาวหรือเจ้าคะ" นางสวรรค์ไหวพักตร์อ่อนตอบความแก้วสกาวเด็กน้อยเบื้องหน้า แลเมื่อได้คำตอบกลับมาหัตถ์น้อย ๆ ของผู้ถูกช่วยเหลือมาก่อน จึงยกขึ้นลูบศิระน้องผู้อยู่ในวงกรผู้ให้แหล่งพักพิง
"อีกคนแล้วหรือวาลัย" สุรเสียงเรียบเย็นฟังเสนาะ แว่วดังขึ้นจากเบื้องหลังครารัมภาวาลัยวางกุมารีน้อยลงพักเอาไว้บนพระแท่นใจกลางหมู่มาลามากพิษร้อนที่ยังมิทุเลาคลาย
"พระเทวีทรงเสด็จมาด้วยเรื่องใดหรือเพคะ" วาลัยพนมหัตถ์ไหว้พระนางผู้เป็นใหญ่ยิ่งกว่าตน พร้อมด้วยแก้วสกาวที่ถูกอบรมสอนสั่งมาอย่างดีก็รู้ความกระทำตามมิต้องบอกให้มากความ
"ฝูงแร้งคิดกล้ากระทำขึ้นทุกทิวาวัน" พระเทวีสุคันธมาทน์ว่าตอบวาลัยพลางแลเหลียวพระพักตร์ทอดพระเนตรแลมองออกสู่เบื้องโลกา เพลานั้นรัมภาวาลัยจึงสั่งความต่อแก้วสกาวเอาไว้ให้ดูแลกุมารีที่ยังคงหลับใหล ก่อนจะติดตามพระเทวีออกนอกสวนสวรรค์เคล้าพิษไป
"กุมาริกา พระธิดาท้าวกษิดิศ" ครั้นเมื่อพระเทวีหยุดยั้งบาทย่างก้าว จึงแลเหลียวพักตร์กลับแลพิศกุมารีน้อยที่ยังคงหลับพริ้มพร้อมทั้งขานนามอย่างรู้เห็นถึงถิ่นที่นางพลัดมา เนื่องด้วยกุมารีนางนี้เป็นหนึ่งในมาลาที่พระเทวีทรงบำรุงรักษ์ไว้บนฆยานีย์กระทั่งวาดหว่านลงแดดาล
"เพคะ"
"ไม่คิดว่าราพณะจะหันหน้าเข้าร่วมการกับพญาแร้ง โฉบเฉี่ยวลงลักพากุมารีผู้บันดาลมาจากมาลาสุราลัยไปมากมายเช่นนี้ ไม่รู้ว่าท้าวเทวราชท่านตัดสินพระทัยดีแล้วแน่หรือ" แววพระเนตรเวทนาทอดลงมองสู่แว่นแคว้นนครอันถูกรุกรานไปด้วยห่านกแร้ง เสียหายไปมากมายทั้งยังต้องสูญเสียแก้วตาดวงฤทัยตนไปอีก คงจะยากยิ่งที่จะบรรเทาหฤทัยให้คลายตรอมตรม
"พระองค์ต้องทรงคิดไว้ดีแล้วแน่เพคะ"
พระเทวีสุคันธมาทน์มักจะแวะมาเยี่ยมเยือนแลดูความเป็นไปในเทวารัณย์อยู่บ่อยครั้ง หวังว่าสักวันสีตมที่กลืนกินไปทั่วเทวารัณย์จะคลายตรมลงบ้างจนกลับคืนสีสุก แลนอกเสียจากพระเทวี ผู้ที่มักจะมาเยี่ยมเยือนมิต่าง ก็ยังมีเทพบุตรเทพธิดาผู้ที่เคยเกี่ยวข้องต่อเทวารัณย์วิมานครั้งอดีตกาลด้วย
วาลัยรัมภาครั้งเกิดเป็นนางมนุษย์บนภพมนุสสภูมิ นางนั้นเคยเป็นข้าราชบริพารในโกสุมาศนคร เป็นข้าหลวงติดตามพระธิดาทั้งสามพระองค์จวบจนเสียสละตนเพื่อช่วยเหลือพระนาง บัดนั้นคราดวงอาภาวิญญาณดับจึงได้พวยพุ่งขึ้นสู่แดนสวรรค์ประภพเป็นรัมภา ครั้นเมื่อตนได้เป็นถึงรับภาดวงจิตก็ยังคงคิดรักหวังปกปักพระธิดาอยู่มิคลาย ทว่าคิดไปเบียดเบียนกรรมทำสิ่งใดมากมิได้ มันจะเป็นสิ่งตามติดตนวนไปมิจบสิ้น
เมื่อหนึ่งนางถูกนำพาไปประทับถึงแดนวิมาน อีกหนึ่งก็ได้ถูกนำพาลงลึกถึงเบื้องล่างใต้ธรณิน
เสียงเหล่ากุมารีร่ำร้องดังกึงก้องจนทั่วบริเวณธารกูณฑ์ เหล่านางน้อยผู้ถูกลักพามาจากทั่วแว่นแคว้นแดนไกล บัดนี้ถูกโอบล้อมเอาไว้ด้วยห่าทานพของจอมอสูร เหล่านางผู้มีอาภาหลากวรรณะต่างกันไปตามกำเนิดตน แลมีเพียงผู้บำเพ็ญตนเช่นราพณะเท่านั้นที่แลเห็นแสงรัศม์อาบวรกาย ราพณะกวาดเนตรแลไล่ไปทีละเรือนกาย มองหาหนึ่งสิ่งที่หวังจะต้องได้มา
กระทั่ง! ห่าแร้งฝูงสุดท้ายทะยานลงถึงเบื้องพักตร์จอมอสูร มาพร้อมหนึ่งกุมารีมอบให้ราพณะถึงเบื้องหน้าราวรู้ว่าใช่สิ่งที่เขาต้องการ
โอษฐ์ราพณะร่ายยิ้มออกพึงพอต่อกุมารีที่ได้มาเป็นคนสุดท้าย แม้จะลูบฝ่าหัตถ์ใหญ่ลงศิระด้วยถนอมอย่างไร ทว่ากายกุมารีกลับยิ่งสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว
"อีกหนึ่งนางหายตัวไปกลางเวหา มิรู้ว่าหายไปได้อย่างไร" พญาวเรณย์เอ่ยกล่าวขึ้นเมื่อบริวารมากมายตนมาจนครบทั้งหมดแล้ว แลกุมารีที่เจ้าอสูรนั้นต้องการหากแลดูด้วยเนตรก็คงจะมีมากพอแล้วเช่นกัน
"ช่างเถิด เพียงได้นางมาก็นับว่ามิสูญเปล่า" ราพณะตอบความขณะที่พักตร์ก็ยังยลชอมอาภาเรืองรองที่ปรากฏอยู่รอบกายนาง มันลูบไล้กุมารีจากศิระลงถึงลำกรน้อย ๆ นาง พลางคว้าขึ้นหวังจะพิศรูปสลักบนทองกรนาง แต่เนตรก็พาเลื่อนไปพบรอยอักษรสลักอยู่ด้านในวงทองกร ครานั้นจอมอสูรมันจึงถอดทองกรกุมารีออกอ่านความ
"ปสพสุวรรณ อาภางามสมดั่งนามกร" เมื่อได้รู้ถึงนามผู้มีรัศมีทอง ราพณะมันจึงยอมสวมใส่ทองกรกลับเข้าคล้องข้อหัตถ์กุมารีไว้ดังเดิม พลางเลื่อนหัตถ์เขาปาดเช็ดชลนาอาบดวงพักตร์นางที่กำลังร้องสะอื้นให้ทุเลา
"บริวารข้านับแต่นี้จงเร่งติดตามหาอณูของดอกว่านอัมพุชล เมื่อโลหิตถูกกวนผสมเข้ากับผกาคราม มาลาพิษก็จะยังคงบานสะพรั่งขึ้นทั่วทั้งโลกาต่อไป" ไม่ใช่เพียงแต่ห่าทานพทว่าร่วมถึงบริวารของท้าววเรณย์ด้วย ที่ราพณะขอแรงให้ร่วมเก็บสมว่านผการ่วมกัน
แม้นมิรู้ว่าผู้เก็บสมว่านผกาจะไปจุติอยู่ ณ ที่แห่งใด ฝ่ายราพณะก็จะขอกวาดล้างดอกว่านอัมพุชลให้สิ้น จะทำลายทั้งผกาที่งอกงามขึ้นสู่แดนดิน จะทำลายทิ้งทั้งพฤกษาอุดมสีขจี ให้คงไว้แค่เพียงมาลาพิษอันมีฤทธิ์แผ่ฑาหะขึ้นกลืนกินทุกชีวิตบนโลกา
"มาลาสุราลัยที่ท่านประโปรยลงมา หากว่าตัวข้าไม่คิดเข่นฆ่าแต่ทว่าจะบำรุงรักษ์เอาไว้ให้แก่ผกาพิษในภายภาคหน้า เป็นเช่นนั้นแล้วแดนสุขาวดีจะทำอย่างไรต่อไปกัน"
เมื่อก่นวาจาไปถึงแดนสวรรค์แล้วดังนั้น หัตถ์น้อย ๆ จึงถูกคว้าจับ ร่างกุมารีถูกดึงรั้งให้หยัดยืนยังชายขอบธารเพลิงร้อน มินานฉวีสีลออก็จึงถูกลากกีดออกเปิดเนื้อให้หลั่งโลหิต บัดนั้นเสียงเด็กหญิงจึงร่ำร้องออกด้วยความเจ็บปวด แม้กายเด็กน้อยจะดิ้นรน ทว่าหัตถ์กลับยังคงถูกจอมอสูรจับยื่นออกสู่ธารากูณฑ์อย่างไร้ปราณี โลหิตนางหยาดหยดลงผสมกับธารอัคคีจากธารสีแสดจึงกลายแดงขึ้นอย่างโลหิตนาง
กุมารีในวัยยังมิรู้ความ จำต้องถูกพรากห่างไกลนิวาสสถาน ห่างไกลจากอ้อมอุระผู้ให้กำเนิดนาง ช่างน่าสงสารเสียจริง
ความคิดเห็น