ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Stony) Captain Husband

    ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 6 - Come and Go

    • อัปเดตล่าสุด 18 ต.ค. 63


    .

    -Steve-

    .

    แซมเงียบไปหลายอึดใจ สีหน้านิ่งมาก จะมีก็แต่แววตาของเขาเท่านั้นที่เศร้าสลด

    “...หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น?” เขาถาม 

    สตีฟเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก้มมองมือตัวเองที่ประสานปลายนิ้วกันอยู่หลวม ๆ

    “บัคกี้ขับรถกลับมาที่บ้าน และฉันบังเอิญเข้าไปเห็น...”

    “อะไรนะ?”

    “ใช่... ฉันเองก็รู้เหมือนกัน”

    เขารู้... รู้มาตลอด รู้มาตั้งแต่ 23 ปีที่แล้ว สำหรับโทนี่ พวกเราอาจจะเคยเจอกันครั้งแรกที่ค่ายทหาร แต่สำหรับสตีฟ พวกเราเคยเจอกันก่อนหน้านั้นที่ศาลในวันตัดสินคดีความของบัคกี้ตอนที่เขาอายุ 15 ปีเท่านั้น... สตีฟจำมันได้ติดตา โทนี่ในวัยยี่สิบต้น อ่อนเยาว์ งดงาม เกรี้ยวกราด และเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดอยู่เต็มหัวใจ

    ‘ไอ้ระยำ! แกฆ่าแม่ฉัน! สวะอย่างแกไม่สมควรได้รับโอกาสนี้!!’ 

    โทนี่ตะโกน เขาเดินตรงเข้ามาและเหวี่ยงหมัดใส่บัคกี้ในชุดผู้ต้องหาสีส้มและถูกล็อกกุญแจมือท่ามกลางความตกใจของทุกคน บัคกี้หน้าหัน เขาถูกโทนี่ชกเข้าเต็ม ๆ เจ้าพนักงานที่ได้สติรีบเข้าไปล็อกตัวโทนี่ ส่วนเจ้าหน้าที่ประกบบัคกี้ก็พยายามควบคุมตัวเด็กหนุ่มออกไป 

    โทนี่ดิ้นและโวยวาย สบถด่าทุกคนและทุกสิ่ง

    ‘ระบบลูกขุนแบบนี้มันระยำ! แกเองก็ระยำ!! ทำแบบนี้ได้ยังไง ปกป้องคนผิดแบบนี้ได้ยังไง ไอ้ทุเรศ!’ โทนี่หันไปมองทนายฝั่งของบัคกี้ ‘แกเสียเวลาช่วยขยะสังคมแบบนี้ แกเองก็ไม่ต่างจากเศษสวะ!’

    ชายในวัย 20 กว่าที่เป็นทนายของบัคกี้กลับยืนนิ่งสงบ เขาไม่ตอบโต้และไม่พูดอะไรทั้งนั้น โทนี่ถูกควบคุมตัวให้ออกไปสงบสติอารมณ์ สตีฟทันเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด... เขาก้าวไปหาคุณทนาย มันอาจจะมีแค่เขาและทนายคนนี้เท่านั้นที่ยืนอยู่ข้างบัคกี้

    ‘คุณโอเคไหมครับ คุณเมอร์ด็อค’

    ‘ผมโอเค ไม่ต้องห่วงหรอก’ อีกฝ่ายว่าและหันมายิ้มให้เล็กน้อย สตีฟจับน้ำเสียงของเขาไม่ได้ว่ารู้สึกแบบนั้นจริงไหม ‘นี่ไม่ใช่การว่าความครั้งที่แย่ที่สุด สำหรับผม ผมว่ามันค่อนข้างผ่านไปได้ด้วยดี’

    ‘คุณเก่งมากเลยนะครับ’ สตีฟเอ่ยชมอีกฝ่ายออกไปอย่างจริงใจ จนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองฝันไป 

    แมตต์ เมอร์ด็อคเป็นทนายจบใหม่จาก Columbia สอบเนติมาได้หมาด ๆ เริ่มต้นทำอาชีพทนายและว่าความให้กับคนตัวเล็ก ๆ ที่เดือดร้อนในนิวยอร์ก สตีฟบังเอิญได้เจอกับแมตต์เพราะเพื่อนบ้านของเขา เขามีญาติที่เคยเดือดร้อนจากการถูกไล่ที่ พวกเขาทั้งถูกตัดน้ำตัดไฟ และลอบวางเพลิงเพื่อขู่ให้ย้ายออกไป แมตต์ช่วยเหลือคนพวกนั้น สตีฟได้ที่อยู่สำนักทนายความของแมตต์มา เขารีบไปติดต่ออีกฝ่ายที่สำนักทนายความเล็ก ๆ ในย่านเฮลส์คิทเช่น 

    ‘ผมคิดว่าคงไม่อยากมีทนายคนไหนอยากว่าความให้บัคซะแล้ว หรือหากมี เขาก็คงไม่ช่วยเหลือเรามากเท่าคุณ’ เพราะเราเป็นเพียงแค่คนตัวเล็ก ๆ ในสังคมที่ไม่มีเงินมากมายมากพอจะจ้างทนาย ไม่รู้ข้อกฎหมาย และเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด

    เมอร์ด็อควางมือบนบ่าของสตีฟ ‘มีคนอีกมากมายที่สมควรเข้าคุกมากกว่าเพื่อนของเธอ สำหรับผมเขาเป็นเพียงเหยื่อที่น่าสงสารจากความรุนแรงคนหนึ่งเท่านั้น’

    สตีฟลังเล สีหน้าเขาเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด ความรู้สึกในตอนนั้นคือความขัดแย้งสับสน บัคกี้ขับรถกลับมาบ้านโดยมือปืนอยู่กับตัวและหญิงคนนั้นที่ถูกยิง หล่อนนั่งหายใจรวยรินอยู่ในรถ...

    ‘เธอมีสติมากนะสตีฟ เธอตัดสินใจถูกแล้วที่ขอให้บัคกี้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง และกล้าหาญมากที่มาเป็นพยานให้กับเขา’

    ‘ผมรู้ว่าเขาผิด’ สตีฟในตอนนั้นบอกกับเมอร์ด็อค เขารู้สึกกระอักกระอ่วนราวกับกำลังกลืนยาขม ยาขมที่ว่านั่นคือการเลือกระหว่างความถูกต้องกับเพื่อนรัก และสตีฟก็ได้เลือกมันไปแล้ว ‘แต่เขาเป็นเพื่อนผม...และผมทนเห็นเขาเข้าคุกไปเฉย ๆ โดยที่ไม่ช่วยเหลือไม่ได้’

    สตีฟเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในศาลทุกครั้ง มันเปิดโลกให้กับเขาและทำให้เห็นถึงความต่างชนชั้นของเราทั้งคู่... 

    คดีของบัคกี้ถูกเจ้าพนักงานยื่นฟ้องไปที่ศาลอาญาแทนที่จะเป็นศาลเด็กและเยาวชน ทั้งที่บัคกี้อายุแค่ 16 ปี เขายังเป็นผู้เยาว์อยู่แท้ ๆ แค่เริ่มต้นต่อสู้ก็ต้องทำในศาลผู้ใหญ่ซะแล้ว ถ้าหากไม่มีเมอร์ด็อก สตีฟก็ไม่เห็นหนทางอื่นที่บัคกี้จะรอดออกไปได้

    ‘มันไม่ใช่ความผิดเขาทั้งหมด’ เมอร์ด็อคอธิบาย ‘เขามีความผิด... ใช่... แต่เขาไม่ใช่เด็กที่เลวร้าย เขาสมควรได้รับความเป็นธรรม’

    สื่อทุกสำนักเล่นงานและลงข่าวนี้ในหน้าหนังสือพิมพ์ นักข่าว ตำรวจ หรือกระทั่งโจทก์ที่ฟ้องร้องเองก็ตราหน้าว่าบัคกี้เป็นฆาตกร พวกเขาต้อนให้จนมุมและพยายามทำให้บัคกี้ได้รับการลงโทษที่หนักหนาที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เพื่อทำให้สตาร์กพอใจ เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับสตาร์ก ยัดเยียดบทลงโทษที่หนักหนาที่สุดสำหรับผู้ใหญ่มาให้แบบที่บัคกี้จะไม่มีวันรอดออกไปได้ พวกเขากำลังพูดถึงคุก 25 ปีโดยไม่มีการปล่อยตัวก่อน[1] 

    “ในตอนนั้นเธอยังไม่ตาย สตีฟเกลี้ยกล่อมให้ฉันพาเธอไปที่โรงพยาบาลและไปกับตำรวจ มันเป็นการฆ่าโดยเจตนาแต่ไม่ไตร่ตรองไว้ก่อน[2]” บัคกี้บอกกับแซม สีหน้าเขาเคร่งเครียดและน้ำเสียงเกือบจะขมขื่น “สตีฟบอกกับฉันว่าห้ามพูดอะไรกับตำรวจทั้งนั้น ให้รอจนกว่าเขาจะพาทนายเข้ามา ตอนนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรามีเงินจ่ายค่าทนาย” 

    “แล้ว..มิสซิสสตาร์ก..?”

    บัคกี้ส่ายหน้า

    “เธอเสียชีวิตที่โรงพยาบาล มันเป็นแค่โชคเข้าข้าง... และฉันก็คิดว่าฉันไม่สมควรได้รับมัน” เขาก้มมองมือตัวเอง “มือของฉันเปื้อนเลือด ไม่ว่าจะทำยังไงฉันก็ลบล้างความผิดที่ทำกับสตาร์กไว้ไม่ได้”

    ประโยคของบัคกี้ทำให้แซมนิ่วหน้า ขณะที่สตีฟพ่นลมหายใจออกจมูก เงียบกันไปสักพักหนึ่งก่อนที่สตีฟจะเป็นฝ่ายพูดขึ้น คลายความคลางแคลงใจให้กับแซม

    “บัคกี้ไม่ได้มีสติเต็มร้อยตอนที่เขาก่อเหตุ” สตีฟเว้นวรรค “เขากินซาแน็กซ์[3]เข้าไป และถูกกดดันจากพี่เขย” 

    ร่องรอยการถูกทำร้ายร่างกายบนตัวของบัคกี้และกระปุกยาในกระเป๋าเสื้อเป็นหลักฐานชั้นดี ปืนที่เขาใช้เองนั้นก็ไม่ได้มีเพียงรอยนิ้วมือของเขาเพียงคนเดียว

    ตอนนั้นบัคกี้อยู่ภายใต้การดูแลของรีเบคก้า บาร์นส์ พี่สาว หล่อนอาศัยอยู่กับคนรักที่เป็นพวกกากเดนสังคม ไอ้เวรนั่นมันอยู่กับแก๊งมาเฟีย มันซ้อมและข่มขู่บัคเป็นประจำ และรีเบคก้าก็ปล่อยให้มันทำแบบนั้นกับน้องชายของหล่อนเพียงเพราะไม่อยากจะเป็นคนที่ถูกซ้อม ไม่อยากถูกตบตีแทน

    บัคกี้อยู่ในครอบครัวที่ใช้ความรุนแรง เขาถูกพี่เขยซ้อมก่อนที่จะก่อเหตุ มีอาการแพนิคก่อนก่อเหตุและกินซาแน็กซ์เข้าไป มันทำให้เขาไม่มีสติครบถ้วนมากพอจะไตร่ตรองสถานการณ์ให้ดี 

    สตีฟรู้ว่ามันเป็นทางเลือกที่ผิด และบัคกี้ก็ทำมันไปแล้ว... แต่ถ้าหากว่าโชคชะตาไม่โหดร้ายกับบัคกี้ ถ้าหากว่าอีกฝ่ายไม่อยู่ภายกับความยากจนที่เฮงซวย ไม่มีครอบครัวที่ใช้ความรุนแรง ถ้าหากว่าเขากล้าหาญและเข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับพี่เขย ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็คงไม่ลงเอยแบบนี้

    “เพราะยังเป็นผู้เยาว์อยู่ แสดงเจตนาว่าอยากจะช่วยชีวิตมาเรีย สตาร์กโดยการพาเธอไปที่โรงพยาบาล มอบตัวกับตำรวจ ไม่ขัดขืนการจับกุม และอยู่ในภาวะกดดันจากความเครียดและครอบครัว บวกกับที่สติไม่สมประกอบขณะก่อเหตุ... สุดท้ายพวกเขาตัดสินลดหย่อนโทษให้บัคกี้ติดคุกแค่ 5 ปี”

    ขณะที่สตีฟรู้สึกโล่งใจ คำตัดสินในวันนั้นมันกลับทำให้โทนี่คลั่ง โทนี่ที่โผล่มาแค่วันเดียวคือวันฟังคำพิพากษา เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าโทนี่จะเสียใจมากแค่ไหน 

    “ฆ่าโดยเจตนาแต่ไม่ได้ไตร่ตรอง, ปล้นชิงทรัพย์ และมีอาวุธปืนในครอบครอง แต่กลับโดนโทษแค่ 5 ปีเนี่ยนะ? พวกนายไปหาทนายแบบนี้ได้จากไหนวะ?” แซมถามเสียงสูง เขาไม่อยากเชื่อ สีหน้าของแซมทั้งประหลาดใจและงุนงง “บัคกี้ ไม่ได้ว่านายนะ แต่ทนายคนนี้นี่... เขาสร้างปาฏิหาริย์ชัด ๆ”

    “ใช่” สตีฟเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ สีหน้าเคร่งเครียด “เราแค่โชคดีมาก ๆ

    โทนี่คงรู้สึกเจ็บปวดเจียนตาย โทนี่รักแม่ของเขามาก... ตั้งแต่เล็กจนโต มาเรีย สตาร์กเป็นความอบอุ่นหนึ่งเดียวของโทนี่ คงคิดว่าพวกเขาไม่ได้ความยุติธรรม น่าขำ เพราะสตีฟก็รู้สึกแบบเดียวกันวันที่บัคกี้ถูกส่งตัวไปพิจารณาคดีีที่ศาลอาญา

    โชคชะตาชอบเล่นตลก... 

    มันนำพาเขาและโทนี่กลับมาเจอกันในเวลาอีกหลายปีให้หลัง 

    สตีฟ โรเจอร์สได้ทำความรู้จักโทนี่ สตาร์ก ลูกชายของเหยื่อจากเหตุเศร้าสลด เขาเริ่มต้นเข้าหาอีกฝ่ายเพราะความรู้สึกผิดในวัยเด็กและลงเอยด้วยการหลงรักโทนี่อย่างกับคนโง่งม 

    “เดี๋ยวนะ ฉันขอเวลานอกหน่อย ฉันต้องประมวลผลข้อมูล” แซมส่งเสียงที่เกือบจะเป็นการโวยออกมา ชายผิวสีขมวดคิ้วแน่น ท่าทางเส้นเลือดในสมองคงกำลังเต้นตุบ ๆ เมื่อความจริงจากเพื่อนรักของเขาทั้งคู่เปิดเผยออกมา “หมายความว่านายรู้ว่าบัคกี้ฆ่ามาเรีย สตาร์กตั้งแต่แรก แต่นายก็ยังแต่งงานกับสตาร์กเนี่ยนะ? นายเป็นบ้าเหรอวะสตีฟ!”

    “บัคกี้ก็พูดแบบนี้กับฉันเหมือนกันตอนที่เขารู้เรื่อง”

    แซมพ่นลมหายใจออกจมูก 

    “ฉันเจอกับเขาอีกครั้งหลายปีให้หลัง จากโรงเรียนนายร้อย West Point ได้รู้จักเขา...แล้วฉันก็รักเขา”

    “นายแม่งสิ้นหวัง สตีฟ”

    “ฉันรู้...”

    กับโทนี่มันไม่ใช่รักแรกพบ ไม่ได้โรแมนติกขนาดนั้น พวกเขาเริ่มต้นจากการถกเถียงกันด้วยอุดมการณ์ที่ต่างขั้ว รู้ตัวอีกทีก็สนใจอีกฝ่ายและกลายเป็นหาข้ออ้างโง่ ๆ ให้ได้เจอหน้า ให้ได้พูดคุยกัน

    “ฉันคิดว่ามันจะเป็นการดีกว่าถ้าโทนี่ไม่รู้เรื่องนี้”

    “แต่สตาร์กก็รู้จักบัคกี้ เมื่อห้าปีก่อน?”

    “เขารู้จักฉันในฐานะ ‘บัคกี้ บาร์นส์’ ไม่ใช่ ‘เจมส์ บูแคแนน บาร์นส์’ ฆาตกรคนนั้นที่ฆ่าแม่ของเขา” บัคกี้ตอบคำถาม “ห้าปีก่อนที่ฉันเจอกับเขา เขาจำฉันไม่ได้เลย ไม่มีความแคลงใจหรือคับคล้ายคับคลาสักนิด สายตาที่เขามองฉันมันเหมือนคนไม่รู้จักกัน ทั้งที่ฉันควรจะรู้สึกแย่... ฉันกลับโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก”

    สตีฟพยักหน้า เพราะเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างไปจากเพื่อน

    “ฉันคิดว่าฉันปกป้องโทนี่โดยการไม่บอกความจริงกับเขา... แต่เรื่องจริงก็คือ ฉันปกป้องตัวเอง...”

    ปกป้องตัวเองจากการสูญเสียโทนี่ สูญเสียครอบครัว สูญเสียความรักและความเชื่อใจ...

    แต่เขาสูญเสียมันไปแล้วหนึ่งครั้งในวันที่โทนี่ตัดสินใจฟ้องหย่า วันนี้เขาได้มันกลับคืนมาเพราะโทนี่ลืมเลือน 5 ปีในอดีตไปเสียสิ้น แต่อนาคตล่ะ...?

    “เราต่างก็ปกป้องตัวเอง ฉันคิดว่าฉันจะเก็บความลับนี้ให้ตายไปกับฉันด้วยซ้ำ... แต่ฉันทำไม่ได้ ทำไม่ได้จริง ๆ ว่ะ...” บัคกี้หลับตาลงด้วยความรู้สึกสิ้นหวังและยอมแพ้ “พวกนายรู้ไหม สตาร์กมาหาฉันทันทีที่รู้เรื่องระเบิดและแขนซ้าย เขาเสนอให้ฉันเข้าโปรแกรมทดลองแขนกลที่ควบคุมด้วยความคิด หรือถ้าฉันไม่อยาก เขาพร้อมจะหาแบบที่พร้อมใช้งานมาให้ฉันทันที เขาเป็นห่วงฉันสตีฟ เขาเป็นห่วงออกมาจากใจจริง... เพียงเพราะฉันเป็นเพื่อนรักของนาย คนที่เขารักที่สุด” 

    สตีฟชะงัก ความรู้สึกเย็นวาบราวกับถูกสาดน้ำเย็นจัดใส่ใบหน้า

    “ฉันปฏิเสธ แหงอยู่แล้ว... ฉันไม่มีหน้าไปขอความช่วยเหลือ และอาการ PTSD ของฉันก็หนักข้อมากขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่ทำให้ฉันฝันร้ายตอนกลางคืนไม่ใช่สงคราม มันคือเหตุการณ์คืนนั้น คืนที่ฉันฆ่าแม่ของเขา แม่งเอ๊ย! ฉันฝันว่าฉันฆ่ามาเรีย สตาร์กต่างกันไม่ต่ำกว่าสิบแบบ ฉันไม่รู้ด้วนซ้ำว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ๆ มันคือเหตุการณ์ไหนกันแน่ เป็นอย่างนั้นอยู่เป็นเดือนจนฉันทนไม่ไหว ฉันเป็นคนสารภาพกับสตาร์กเองว่าฉันทำอะไรลงไป... เขาโกรธ...คลั่งเลยล่ะ”

    นั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้พักหลังมานี้บัคกี้พยายามฆ่าตัวตาย สตีฟรู้ว่ามันยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะสิ่งที่เลวร้ายที่สุดกำลังจะตามมา...

    “เขาถามฉันกลับว่านายรู้เรื่องไหม ฉันเงียบ สตาร์กได้คำตอบที่เขาอยากรู้” 

    น้ำเสียงที่บัคกี้เอ่ยมันขมขื่นและกล้ำกลืนความรู้สึก 

    “สตีฟ ฉันขอโทษ ฉันทำให้ครอบครัวของนายพังพินาศ” บัคกี้ร้องไห้ เขาไม่ได้สะอื้น แค่นอนนิ่งอยู่บนเตียงและร้องไห้ น้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ

    สตีฟอยากจะเข้มแข็ง อยากจะบอกกับบัคกี้ว่ามันไม่เป็นไร แต่ความจริงก็คือ...พรมที่คลุมปัญหาก้อนใหญ่ที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้มาเป็นเวลานานมันถูกดึงออกไปแล้วเท่านั้น มันก็แค่ถูกคลี่คลายออกและปรากฏขึ้นให้เห็นอย่างชัดเจนเท่านั้น

    ถ้าโทนี่รู้ความจริง... เขาจะต้องเกลียดสตีฟแน่ ๆ

    นี่หรือเปล่าสาเหตุของการหย่าร้าง?

    เพราะบัคกี้กลับเข้ามา โทนี่ถึงได้ลืมเลือนช่วงเวลา 5 ปีนี้ไปใช่ไหม? ลืมแม้กระทั่งช่วงเวลาที่เรามีมอร์แกนเข้ามาในชีวิต

    โกรธเกลียดจนถึงขั้นต้องฟ้องหย่า ไม่อยากเห็นหน้ากัน ไม่อนุญาติให้เขากลับบ้าน...

    สตีฟหลับตาลง เขาเอาอุ้งมือทั้งสองข้างขึ้นมานวดกระบอกตาตัวเอง กัปตันโรเจอร์ส หัวหน้าทีมหน่วยรบพิเศษที่มักจะยืนหลังตรง ควมคุมสถานการณ์ได้เสมอไม่มีอีกแล้ว มีแต่สตีฟ โรเจอร์ส ผู้ชายธรรมดาที่หมดท่าและไหล่ตกลู่ลงอย่างสิ้นหวัง...

    “สตีฟ นายไหวไหม?” เสียงของแซมเป็นกังวล “เฮ้... บอกพวกเราทีว่านายยังโอเคอยู่”

    สตีฟสูดลมหายใจเข้าออกลึกยาว เขาพยายามตั้งสติและกลับมาเป็นกัปตันโรเจอร์ที่นิ่งขรึมและเข้มแข็งอีกครั้ง 

    “ฉันขอเวลาคิดก่อน” บอกกับเพื่อนทั้งคู่ “พรุ่งนี้โทนี่กำลังจะออกจากโรงพยาบาลกลับมาอยู่ที่บ้าน ฉันคิดว่ามันยังไม่ใช่เวลาที่จะบอกอะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจของเขาตอนนี้”

    “อะไรนะ! สตาร์กเข้าโรงพยาบาลเหรอ มันหมายความว่ายังไงสตีฟ?”

    “โทษทีบัค แต่ฉันต้องไปแล้ว” ดวงตาสีฟ้าเหลือบมองที่ 2 นาฬิกา เขาพยายามส่งยิ้มและโบกมือให้กับพีทที่เดินจูงมือมอร์แกนออกมาจากบ้านบอลขนาดใหญ่ในคอมมูนิตี้มอลล์ “แซม นายช่วยเล่าให้บัคกี้ฟังทีนะ... และฉันฝากดูแลเขาด้วย”

    “แน่นอน”

    “ไว้คุยกันใหม่” สตีฟบอกลาเพื่อนทั้งสองก่อนจะเอื้อมมือไปกดปุ่มวางสายบนสตาร์กแพด ถอดหูฟังบลูธูตออกจากหูและวางลงบนโต๊ะ ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาและเอนหลังพิงพนักพิงเก้าอี้ 

    ตอนที่แซมโทรมาหาเขา สตีฟกำลังอยู่ข้างนอก เขาพาเด็ก ๆ ออกมากินข้าวกลางวันในวันหยุดสุดสัปดาห์ สตีฟจึงถือโอกาสพามอร์แกนมาที่บ้านบอลอย่างที่เธอต้องการ ปีเตอร์เองก็มาด้วยกัน เด็กหนุ่มอยู่เป็นพี่เลี้ยงมอร์แกนระหว่างที่สตีฟตระเวนซื้อของใช้สำหรับผู้ป่วยติดเตียงให้กับโทนี่ 

    สตีฟรู้ว่าเขาไม่สามารถไปหาบัคกี้ได้ในตอนนี้ เขาทิ้งมอร์แกนกับปีเตอร์ไปไม่ได้ ขณะเดียวกัน การพาเด็กทั้งสองไปที่ฟอร์ตแบรกก์ก็ไม่ใช่ทางเลือกเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่สตีฟทำคือการ vdo call คุยกับแซมและบัคกี้แทน 

    เห็นบัคกี้ฟื้นแล้วและอาการไม่น่าเป็นห่วงสตีฟก็โล่งใจมากขึ้น

    ทุกอย่างมันเกือบจะดีอยู่แล้วเชียว เขาได้โทนี่กับครอบครัวกลับมา บัคกี้ฟื้นและพ้นขีดอันตราย...

    แต่พระเจ้าคงไม่อนุญาตให้เขามีทุกอย่าง

    “เฮ้...” สตีฟยืนขึ้น เขาคว้าสตาร์กแพดและเอามันใส่กระเป๋าเป้ของปีเตอร์พร้อมกับหูฟัง พยักหน้าให้ลูกชายคนโตและย่อตัวลงมารวบร่างเล็กของเด็กหญิงขึ้นมาอุ้มไว้ มองลูกสาวตัวน้อยด้วยรอยยิ้ม “บ้านบอลสนุกไหม”

    “ที่สุดเลยค่ะป๋า” มอร์แกนฉีกยิ้มกว้าง สองแขนเรียวเล็กโอบกอดรอบลำคอแกร่ง ผมเปียแกละสองข้างของเธอที่ปีเตอร์ถักให้หลุดลุ่ยไปหมด แก้มของเด็กหญิงแดงนิด ๆ และขมับก็ชื้นเหงื่อ “เรามาบ่อย ๆ ได้ไหม?” 

    “พ่อต้องปรึกษากับพ่อของลูกอีกทีนะ ลูกคงไม่อยากให้โทนี่พลาดความสนุกนี้ใช่ไหมล่ะ?” สตีฟใช้นิ้วก้อยแตะปลายจมูกที่เหมือนกับเม็ดกระดุมของลูกสาว มอร์แกนส่งเสียงหัวเราะจนตาหยี เธอห่อไหล่เข้าหากันและส่ายหน้าไปมา

    “ไม่อยาก ได้ค่ะ ครั้งหน้าชวนพ่อมาด้วย เนอะพีทเนอะ!” 

    ปีเตอร์หัวเราะ เขายิ้มกว้างและพยักหน้ากับน้องน้อย สตีฟปล่อยตัวมอร์แกน และคุณพ่อลูกสองก็พาเด็ก ๆ กลับไปที่ Tesla model-X รถยนต์สำหรับครอบครัวเพียงคันเดียวในบ้าน กระโปรงหลังมีของใช้เด็กอ่อน เบาะหลังถูกติดตั้งเบาะนั่งสำหรับเด็ก ข้างกันมีตุ๊กตายัดนุ่น และบนพื้นรถก็มีของเล่นเด็กตกอยู่... 

    มันงดงามและทำให้รู้สึกพองฟูและอบอุ่นในอกจนสตีฟอยากจะร้องไห้

    .

    (Peter)

    .

    เวลาหนึ่งเดือนครึ่งผ่านไปอย่างกับฝัน เป็นฝันที่ดีที่สุดในชีวิตของปีเตอร์ 

    ทุก ๆ เช้าป๋าจะตื่นมาแต่เช้าตรู่เพื่อทำอาหารให้พวกเรากิน ฝีมือของป๋าไม่ได้เรื่อง แต่ป๋าพยายาม และปีเตอร์ก็ไม่อยากจะเรื่องมากนัก เพราะพ่อเองก็ไม่ใช่คนที่ทำอาหารอร่อยมากมายเช่นกัน 

    ปีเตอร์เข้ามาช่วยในครัวมากขึ้น เขาหยิบจับอะไรต่อมิอะไรได้คล่องแคล่วกว่าทั้งพ่อและป๋า และอาหารที่ปีเตอร์ทำก็ออกมาดีกว่าทั้งสองคน พ่อทึ่งมาก(เขาคงจำไม่ได้ว่าเมื่อก่อนใครทำอาหารอร่อยที่สุดในบ้าน) ส่วนป๋านั้นภูมิใจในตัวเขาสุด ๆ 

    ‘ลูกทำให้พ่อคิดถึงนานาของลูก’ ป๋าบอกพร้อมกับรอยยิ้ม ‘นานาของลูกทำอาหารอร่อยที่สุด’

    นานาหรือคุณย่าของพวกเราเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่สตีฟกล่าวถึง

    ป๋ามาจากบรู๊คลิน คุณปู่ของเราเป็นทหารรับใช้ชาติเช่นเดียวกับป๋า ปลดเกษียณตัวเองหลังจากสงครามเวียดนามและเสียชีวิตด้วยมะเร็งตอนป๋าเป็นแค่เด็กประถม ป๋าจึงโตมากับแม่แค่สองคน แต่พอป๋าโตเป็นวัยรุ่น คุณย่าหรือนานาก็เสีย ป๋าไม่มีครอบครัวที่ไหนนอกจากลุงบัคกี้ที่เป็นเพื่อนสนิท ถึงป๋าจะไม่มีใคร แต่ปีเตอร์รู้สึกว่าป๋าไม่ได้โดดเดี่ยว

    ต่างจากพ่อ... 

    พ่อไม่ค่อยเอ่ยถึงคุณปู่และคุณย่า แต่ปีเตอร์รู้ว่าพ่อรักพวกท่านมาก โดยเฉพาะคุณย่าที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุตอนพ่ออายุ 20 ต้น ๆ ‘มันคงจะดีถ้าลูกได้รู้จักกับย่าของลูก ย่าของลูกใจดี เธอเป็นผู้หญิงที่พ่อรักที่สุด’ ปีเตอร์จำรอยยิ้มนั้นได้ รอยยิ้มที่มีความสุขเมื่อเอ่ยถึงย่าของพ่อแต่ขณะเดียวกันมันก็ขมขื่น พ่อบอกต่อว่าคุณปู่ทำงานหนักจนล้มป่วย เสียชีวิตไปอีกคนปีสองปีให้หลัง เขาสัมผัสได้ว่าพ่อไม่อยากพูดถึงปู่ เด็กชายไม่ถามอะไรต่อ ตอนนั้นเขาได้แต่หวังว่าพ่อจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป

    พอมาตอนนี้ ปีเตอร์รู้สึกได้ว่าสิ่งที่เขาหวังกำลังเป็นจริง...

    พ่อไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไป เพราะเราเป็นครอบครัวที่อบอุ่นและสมบูรณ์ พ่อ ป๋า ปีเตอร์ และมอร์แกน

    หลังจากมื้อเช้า ป๋าจะขับรถไปส่งมอร์แกนที่ preschool และส่งเขาที่โรงเรียน ตอนบ่ายจึงค่อยขับรถมารับเรา

    ป๋าก้มตัวลงไปจูบลาพ่อที่นั่งอยู่บนรถเข็นขณะที่มอร์แกนเดินนำไปและไม่ได้มองอยู่ ทั้งคู่ยิ้มให้กันก่อนที่พ่อจะใช้มือขวาดึงคอเสื้อป๋าลงมาจูบกันอีกครั้ง ปีเตอร์นิ่วหน้า เขาเสมองไปทางอื่นและงึมงำบอกทั้งคู่

    “ป๋าฮะ ผมกับน้องไปรอที่รถก่อนนะ”

    ก็รู้นั่นแหละว่ารักกัน... แต่มันออกจะประหลาด ยิ่งเขาเป็นวัยรุ่นและรู้ว่าอะไรเป็นอะไร พอมาเห็นพ่อสองคนพลอดรักใส่กันแบบนี้มันก็อดรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่ได้ คงคล้ายกับเวลาพ่อแม่เห็นลูกตัวเองพลอดรักกับแฟนนั่นแหละ

    ปีเตอร์คิดอะไรเพลิน ๆ รถยนต์ก็มาจอดหน้าโรงเรียนของเขาแล้ว 

    “ตอนเย็นพ่อมารับนะ”

    “ได้ฮะ ไว้เจอกันฮะป๋า” ปีเตอร์พยักหน้ารับ เขาเอี้ยวตัวไปกอดกับป๋าหนึ่งครั้ง ป๋ากอดเขาแน่น จูบที่ขมับ

    “พ่อรักลูก”

    “รักเหมือนกันฮะ”

    อยากให้เป็นแบบนี้ทุกวัน... 

    “ป๋าฮะ ผมถามอะไรป๋าหน่อยได้ไหม?” เด็กหนุ่มค่อย ๆ ผละออกมา ดวงตาสีนำ้ตาลจ้องตาสีฟ้าใสของป๋า ตลอดระยะเวลาสองเดือน ป๋าทำให้พวกเรารู้ว่าเขารักครอบครัวหมดหัวใจ และเขาจะพยายามมากขึ้นเพื่อครอบครัว วันนั้นที่ปีเตอร์ตัดสินใจขับรถไปหาป๋าที่ฟอร์ตแบรกก์ เขาคิดว่าเขาคิดถูก แต่ถึงอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็อยากจะได้ยินคำยืนยันจากปากของผู้เป็นพ่อ อยากให้อีกฝ่ายช่วยบอกให้เขาชื่นใจ “หลังจากพ่อหายดีแล้ว ป๋าจะทำอะไรต่อไปเหรอฮะ?”

    มันทำให้ป๋าชะงักงัน ปีเตอร์รู้สึกหน่วงในอกเล็กน้อย เขาไม่สบายใจเอาซะเลยกับสิ่งที่เขาเห็น

    “ป๋าจะกลับไปดีพลอยต่อใช่ไหมฮะ”

    ตอนเด็ก ๆ ปีเตอร์จำได้แม่นว่าเราภูมิใจในตัวป๋ากันแค่ไหน เขาเป็นฮีโร่ อยู่แนวหน้าและเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อปกป้องประเทศชาติ พ่อบอกว่าไม่ใช่แค่ป๋าที่ต้องเสียสละ พวกเราในฐานะครอบครัวของป๋าก็ต้องเสียสละเช่นกัน ปีเตอร์ในวัยเด็กไม่เข้าใจ เพราะยังไร้เดียงสา 

    “ผม..ผมเข้าใจนะฮะว่าป๋าต้องไป มันเป็นหน้าที่ เพราะป๋าเป็นคนที่เสียสละและรักชาติยิ่งกว่าใครทั้งหมด นั่นทำให้พ่อ ทำให้พวกเราภูมิใจในตัวป๋ามาก ๆ” 

    เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปาก เขากลืนน้ำลายหนึ่งครั้ง บังคับไม่ให้อารมณ์ไหลบ่าออกมาทั้งหมด 

    “แต่ว่า ป๋าคิดว่าความเสียสละของเรามันจะมีจุดจบไหมฮะ? หรือป๋าจะมาและไปอย่างนี้” 

    จนวันหนึ่งเราต้องสูญเสียป๋าไปในสนามรบ...

    ปีเตอร์หยุดเอาไว้ก่อนจะหลุดปากพูดออกไป 

    เขาอดคิดไม่ได้ว่ามันคงจะดีกว่านี้ ถ้าป๋าได้กลับมาอยู่ที่บ้านตลอดเวลา ไม่ต้องกลับไปรับใช้ชาติอีกต่อไป ป๋าทำอะไรเพื่อประเทศชาติมานานมากกว่า 10 ปี ป๋าออกไปอยู่ข้างหน้า อยู่ในสนามรบ มันมากพอแล้ว ไม่อยากได้ฮีโร่ของคนทั้งประเทศอย่างกัปตันโรเจอร์ส ทหารหน่วยรบพิเศษที่ติดบั้ง ติดเหรียญเกียรติยศมากมาย เขาอยากได้ ‘สตีฟ โรเจอร์’ ป๋าของเขา และสามีของพ่อกลับมา

    “โอ้ ปีเตอร์...” 

    เด็กชายเงยหน้ามองพ่อของเขา พ่อของเขาที่มีสีหน้าเสียใจและแววตาสำนึกผิด 

    “ไม่เป็นไร ป๋าค่อย ๆ คิด ผมน่ะยังไม่อยากได้คำตอบตอนนี้หรอก” ปีเตอร์ซบใบหน้ากับไหล่กว้างที่แข็งแรงของสตีฟ เด็กชายลูบใบหน้าของตัวเองและแอบปาดน้ำตาทิ้งไป “ผมต้องไปเรียนแล้ว ไว้ตอนเย็นเจอกันนะฮะ” 

    พ่อลูกกอดกันอีกครั้ง แล้วปีเตอร์ก็ลงจากรถ เดินเข้าโรงเรียนมัธยมของเขา ทิ้งสตีฟเอาไว้บนรถกับความรู้สึกดิ่งเหมือนกับในอกมีหลุมดำหลุมเบ้อเริ่มเกิดขึ้น

    .

    (Steve)

    .

    ‘ความเสียสละของเรามันจะมีจุดจบไหมฮะ? หรือป๋าจะมาและไปอย่างนี้...’

    น้ำเสียงไม่แน่ใจของปีเตอร์ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของสตีฟจนถึงตอนนี้ ผ่านมาแล้วหลายวัน แต่สตีฟก็ยังสลัดมันไม่หลุด เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน มันเหมือนกับว่าเขาออกจากบ้านไปไกลเป็นเวลาแสนนาน และเมื่อกลับมาอยู่ที่บ้านก็พบว่ามันมีแต่ฝุ่นเกาะและหยากไย่ใยแมงมุมเต็มบ้าน สตีฟอยากจะคว้าไม้กวาดออกมาเริ่มทำความสะอาด แต่ความสกปรกนั้นมันก็มากเหลือเกินจนไม่รู้จะเริ่มตรงไหน แต่จะไม่ทำความสะอาดบ้านก็ไม่ได้ เพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพของเขาและคนในบ้านสักนิด

    “บอกตามตรง ฉันไม่รู้จะทำยังไงเลยล่ะแซม” สตีฟสารภาพกับแซม ไหล่กว้างของนายทหารลู่ลงเพราะภาระหนักอึ้งบนบ่า “พอฉันมานั่งคิดดูว่าฉันพลาดตรงไหน ฉันก็รู้สึกเหมือนจะได้คำตอบ... แต่ก็ไม่รู้อีกนั่นล่ะว่าคำตอบนั้นมันจะถูกต้องไหม”

    แซม วิลสันถึงกับไปไม่เป็น นายทหารผิวสีคนนี้แค่ขับรถมาหาสตีฟเพื่อพูดคุยและบอกเล่าเกี่ยวกับบัคกี้ที่บ้านของสตีฟเท่านั้น เขานึกไม่ถึงว่าจะเห็นสตีฟในสภาพแบบนี้ แซมทั้งตกใจและประหลาดใจ คนอย่าง ‘สตีฟ โรเจอร์ส’ ที่เขารู้จักไม่เคยลังเล 

    “เฮ้ ไม่เอาน่า นี่ไม่สมกับเป็นนายเลยนะ”

    พวกเขาทั้งอยู่นั่งคุยกันอยู่บริเวณม้านั่งริมทะเลสาบข้างบ้านของสตีฟ..ของโทนี่... ของทั้งคู่ ก่อนหน้านี้มอร์แกนวิ่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ เด็กหญิงปีนป่ายขึ้นลงบ้านต้นไม้จนเหนื่อย ขณะนี้จึงนอนหลับปุ๋ย หัวกลมหนุนอยู่บนตักของสตีฟ ใบหน้าหวานของเจ้าหญิงน้อยดูผ่อนคลายและมีความสุข มือใหญ่ของสตีฟค่อย ๆ ลูบเส้นผมอ่อนนุ่มของลูกสาว ดวงตาสีฟ้าของเขาทั้งมีความสุขและขมขื่นไปพร้อม ๆ กัน

    “ฉันรู้” 

    สตีฟระบายลมหายใจออกมา ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน ย้อนกลับไปในช่วงเวลาก่อนหน้านี้สัก 5 ปี ช่วงเวลาเดียวกันกับที่โทนี่จำได้ สตีฟจะมีคำตอบที่ชัดเจนอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้อะไรมันก็เปลี่ยนไป และสตีฟรู้สึกว่าเขาจะหันหลังให้กับครอบครัวและเดินกลับไปทางเดิมที่เคยเดินมาตลอดไม่ได้อีก

    เขารู้ว่าเขากำลังจะจบกับโทนี่ อีกฝ่ายตัดสินใจไปแล้วและไม่ว่าสตีฟจะคัดค้านขัดขืนแค่ไหน โทนี่ก็จะไม่เปลี่ยนใจ แต่แล้วจู่ ๆ มันก็เกิดอุบัติเหตุนี่ขึ้นมา โทนี่เจ็บหนัก เขาอยู่ในระหว่างช่วงพักหลังจากปฏิบัติภารกิจสำเร็จ ได้กลับมาอยู่กับครอบครัวกับโทนี่ มันเป็นโอกาสที่สองชัด ๆ

    สตีฟไม่เคยรักใครอื่นนอกจากโทนี่ สตาร์ก โทนี่เป็นความรักครั้งเดียวและคนรักเพียงคนเดียวของเขา แต่เพราะต้องไปปฏิบัติภารกิจ ต้องฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชาออกไปทำหน้าที่ปกป้องประเทศชาติอย่างเลี่ยงไม่ได้... ไม่สิ มันเลี่ยงได้ แต่เขาไม่ทำเองต่างหาก เพราะสตีฟอยากจะพาตัวเองไปอยู่ตรงจุดนั้น ไปเสี่ยงอันตราย และไปทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ เขาเคยชินและคุ้นชินกับการเป็น ‘ฮีโร่’

    ป้ายเกียรติยศและเหรียญกล้าหาญพร้อมกับยศกัปตันทหารบนคอปกชุดยูนิฟอร์มแบบเต็มทำให้สตีฟรู้สึกภูมิใจที่ตัวเองเป็นคนอเมริกัน เป็นคนรักชาติ รับใช้ชาติอย่างหนักหน่วงและทุ่มเท สานฝัน ‘อเมริกันดรีม’ เท่าที่ชายชาติทหารคนหนึ่งจะทำได้

    นี่มันน่าสมเพชมาก เพราะสุดท้ายแล้วอเมริกันดรีมนั่นก็เป็นแค่มายาคติตื้นเขิน ทำร้ายโทนี่และครอบครัวของเราให้ขมขื่นมาเป็นเวลาเกือบ 10 ปี

    ความรัก ความคิดถึงและคะนึงหาของเขายามที่ไปปฏิบัติภารกิจมันไม่พอที่จะหล่อเลี้ยงจิตใจของครอบครัวเราเลยสักนิด ปีเตอร์และมอร์แกนต้องการพ่ออีกคน และโทนี่ก็ต้องการสามีอย่างเขา

    “ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันโชคดีขนาดไหน แต่มันก็ยากเหมือนกันที่ฉันจะต้องละทิ้งหน้าที่”

    “ฉันเห็นใจนายว่ะ สตีฟ” แซมผ่อนลมหายใจ วางมือลงบนบ่าแข็งแกร่งที่ตอนนี้ลู่ลงอย่างเห็นได้ชัด “แต่ถ้าจะบอกว่าฉันเข้าใจทั้งหมดก็คงจะเป็นการมั่นใจและยโสเกินไป” ไหนจะเรื่องระหว่างสตีฟกับโทนี่ เรื่องครอบครัวของพวกเขา เรื่องหย่า และยังเรื่องของบัคกี้กับโทนี่อีก มันเละเทะและซับซ้อนจนแม้แต่แซมก็นึกไม่ออกว่าจะแก้ไขมันอย่างไร

    “จะให้ฉันพูดว่าทุกอย่างจะโอเคมันก็คงเป็นไปไม่ได้” นายทหารผิวสีพูดขึ้นอย่างเชื่องช้า ตั้งแต่วันนั้นที่บัคกี้ฟื้น สตีฟไปหาพวกเราที่โรงพยาบาลเพียงครั้งเดียว และก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปอีก มันไม่ใช่สตีฟไม่อยาก บัคกี้เป็นเพื่อนรัก แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่สตีฟตัดสินใจ 

    ‘ฉันไม่อยากเจอนาย...’ บัคกี้บอกกับสตีฟ ‘นายควรจะทำเหมือนฉันไม่มีตัวตนไปซะ’

    ‘หมายความว่ายังไง?’

    ไม่ใช่แค่สตีฟคนเดียว แซมก็ไม่เข้าใจ

    ‘มันอาจจะดีกว่าก็ได้ ถ้าฉันไม่เข้าไปอยู่ในชีวิตของนายกับสตาร์ก’ 

    ‘พูดอะไรของนาย บัคกี้?’ แซม

    ‘สตาร์กหย่ากับสตีฟก็เพราะเขารู้ว่าสตีฟเป็นเพื่อนรักฆาตกรที่ฆ่าแม่เขา ใครกันจะทนได้ ฉันเป็นคนทำให้ความสัมพันธ์ของพวกนายพังลงไป ฉันไม่มีหน้ากลับไปหาพวกนายหรอก...’ บัคกี้เอ่ยอย่างขมขื่น ‘สตาร์กสูญเสียความทรงจำใช่ไหมล่ะ ไหน ๆ สำหรับเขาในตอนนี้ฉันก็ไม่เคยมีตัวตนอยู่แล้ว นายก็แค่ปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นต่อไป ทุกอย่างก็จบแล้วจริงไหม’

    ทั้งสตีฟและแซมต่างก็อึ้ง พวกเขาไม่คิดว่าบัคกี้จะพูดอะไรแบบนี้ออกมา ความสัมพันธ์ของพวกเขามันเป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่น้อง การจะปล่อยให้ใครคนใดคนหนึ่งไปมันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ สตีฟรู้ดีที่สุด เขาเป็นคนที่ผูกพันกับบัคกี้มานานที่สุด

    ‘ฉันรู้ว่าพวกนายไม่เห็นด้วย แต่ฉันไม่ได้มาขอความเห็น’

    พวกเขาเงียบ

    ‘นายต้องปล่อยฉันไปสตีฟ นายซ่อมฉันไม่ได้ ดูแขนฉันสิ มองฉัน ฉันกลายเป็นคนพิการไปแล้ว และฉันก็ไม่มีอะไรจะต้องสูญเสีย’

    ‘อย่ามาล้อเล่น บัค มันไม่ตลก’

    ‘ฉันไม่ได้ล้อเล่น อย่ามาเสี่ยงกับฉันเลยสตีฟ ฉันไม่ควรค่าพอหรอก นายยังมีสตาร์ก มีปีเตอร์ มีมอร์แกน จะทิ้งครอบครัวที่รักนายขนาดนั้นมาเพื่อเพื่อนวัยเด็กอย่างฉันเหรอ? นายโง่รึเปล่า’

    สตีฟเจ็บในอก ‘นายไม่เข้าใจฉัน’

    ‘ฉันเข้าใจนายดี ฉันถึงเลือกพูดแบบนี้ออกมาต่างหาก’ ชายหนุ่มผมบรูเน็ตตอบโต้ ปัดมือของสตีฟออกไป ‘เข็มทิศแห่งคุณธรรมโง่ ๆ ของนายมันชี้ผิดทิศ เพราะงั้นนายถึงเลือกทางผิดและยังบื้อเดินตามมันเรื่อย ๆ จนถึงตอนนี้’

    ‘พูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง...’ สตีฟเริ่มใส่อารมณ์ เขารู้สึกเหมือนอารมณ์ของตัวเองกำลังดำดิ่งสู่สระน้ำไร้ก้น ‘นายเป็นพี่น้องของฉัน! เป็นครอบครัวจากวัยเด็กเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่’ 

    สีหน้าของบัคกี้ไม่ได้สู้ดีนัก เขาเองก็เจ็บปวด พวกเราระวังหลังให้กันและกันมาตั้งแต่เด็ก 

    ‘เพราะแบบนั้นไงฉันถึงจะออกไปจากชีวิตนายซะ’

    สตีฟรู้ว่าบัคกี้เองก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมหยุด

    ‘นายจะแบกฉันต่อไปไม่ได้ ปล่อยวางได้แล้ว พี่น้องน่ะตัวติดกันไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกนะ’

    สตีฟรู้สึกเหมือนกับถูกชกหน้าด้วยความจริง ความจริงที่เขาไม่เคยใช้เศษเสี้ยวของสมองทำความเข้าใจมันสักนิด อาจจะเป็นเพราะส่วนหนึ่งเขาไม่ได้ต้องการทำแบบนั้น คิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าปล่อยไป มันคงทำให้คนรอบตัว...มันคงทำให้โทนี่เจ็บน้อยกว่า แต่สุดท้ายมันก็เป็นแค่การยื้อเวลาเผชิญหน้ากับความเป็นจริงออกไปให้นานขึ้นเท่านั้น

    “สุดท้ายฉันก็ไม่เคยตัดสินใจทำอะไรเพื่อเขา... เพื่อเราอย่างจริงจังเลยสักครั้ง”

    สตีฟระบายลมหายใจ มือใหญ่โตและหยาบกระด้างวางแนบแก้มของเจ้าหญิงน้อย ร่างเล็กของเด็กหญิงมอร์แกนยังหลับสนิทและผ่อนลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมออย่างสบายอกสบายใจ ริมฝีปากจิ้มลิ้มอมยิ้มราวกับกำลังฝันดี 

    “ฉันคิดว่า... ฉันต้องการความช่วยเหลือ”

    แซมชะงัก เขาอ้ากปากคล้ายกับจะพูดอะไรบางอย่าง รวมรวมความคิดของตัวเองและเอ่ยออกมาอย่างไม่มั่นใจ 

    “ความช่วยเหลือแบบไหนล่ะ”

    กัปตันหัวเราะเบา เกือบจะดูเย้ยหยัน สตีฟซบใบหน้าลงกับฝ่ามือตัวเอง “หาหมอน่ะ... นักบำบัด...”

    แซมเงียบ เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

    “นายพอจะรู้จักใครหรือแนะนำได้ไหมว่าฉันควรเริ่มต้นตรงไหน?”

    .

    .

    สตีฟทำนัดกับนักบำบัดที่แซมแนะนำ แซมคอยช่วยเหลือทหารผ่านศึกและคอยช่วยในกิจกรรมบำบัดจิตใจในฐานะทหารขณะที่ตนเองยังอยู่ในกองทัพ เขาบอกว่าไม่ใช่แค่ทหารผ่านศึกที่สามารถเป็น PTSD ได้ แซมเองก็เผชิญความรู้สึกนั้นมาแล้วตอนที่เขาสูญเสียวิงแมนไป 

    กัปตันนั่งรออยู่ในคลินิกเพียงคนเดียวกับพนักงานประจำเคาน์เตอร์ ไหล่ตั้งหลังตรง แม้จะใส่ชุดไปรเวท สวมหมวกแก๊บ แต่ผมสั้นเกรียนกับร่างกายแข็งแรงกับท่าทางแข็งขันเป๊ะทุกกระเบียดนิ้วในเมืองแบบนี้ทำให้ดูออกไม่ยากว่าเป็นทหารสักนิด

    “คุณสตีฟ” ประตูถูกเปิดออกและหญิงสาวชาวเอเชียรูปร่างโปร่งบางก็ยื่นหน้าออกมาและเรียกเขา ร่างสูงลุกขึ้นยืน เขาพยักหน้าให้กับหญิงสาวและเอ่ยทักกลับ

    “สวัสดีค่ะ ดีใจที่ได้พบกับคุณนะคะ” 

    “เช่นกับครับ” 

    แซมบอกว่าเธอคนนี้ทำให้เขาคิดว่ารีเซปชั่นนิสต์หญิงวัยกลางคนเป็นนักบำบัด และนักบำบัดคือรีเซปชั่นนิสต์ อีกฝ่ายพูดถูก เพราะมองจากสายตาของคนที่ไม่รู้อะไรอย่างสตีฟ มันน่าประหลาดใจที่เห็นสาวชาวเอเชียรูปร่างโปร่งบางสวมชุดเดรสคอจีนสีฟ้าคนนี้กำลังจะบำบัดจิตใจของเขา

    “เชิญด้านในเลยดีกว่าค่ะ” เธอยิ้มพอเป็นพิธีเล็กน้อย และอ้าประตูเปิดมากขึ้นให้สตีฟได้เข้ามาในห้อง สู่พื้นที่ส่วนตัวของหล่อน

    “แซม วิลสัน เพื่อนของผมบอกว่าคุณเคยช่วนเหลือเขาเอาไว้” สตีฟเปรย มองรอบห้องบำบัดที่ดูสว่างตาด้วยไฟสีขาวและเฟอร์นิเจอร์สไตล์มินิมอลสีโทนฟ้า เทา และขาว 

    นักบำบัดสาวพยักหน้ากลับ เธอผายมือให้เขานั่งลงบนเก้าอี้อาร์มแชร์แสนสบาย 

    “ฉันก็แค่ทำหน้าที่ของฉันเท่านั้นล่ะค่ะ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “แต่คุณจะยอมปลดปล่อยตัวเองจากเรื่องที่ทุกข์อยู่หรือเปล่า ฉันเชื่อว่ามันขึ้นอยู่กับคุณเท่านั้น”

    คำพูดของนักบำบัดสาวทำให้สตีฟชะงัก ดวงตาสีฟ้าของเขาฉายแววฉงนจังงัน เขาหลับตาลงและก้มหน้าเล็กน้อย ภาษากายราวกับว่าจะยอมรับกลาย ๆ สิ่งที่คุณหมอเฮเลนพูดนั้นเป็นความจริง

    “ฉันว่าเราเริ่มเซสชั่นนี้กันเลยดีกว่าค่ะ”

    “ได้สิครับ”

    พวกเขาทั้งคู่นั่งลงที่เก้าอี้คนละตัว สายตาประสานอยู่ในระดับเดียวกัน ดร.เฮเลนเงียบคล้ายกับกำลังให้เวลาสตีฟทำใจสักเล็กน้อย สตีฟไม่เคยมาคลินิกแบบนี้มาก่อน เขาไม่แน่ใจว่าควรทำตัวอย่างไร

    “อะไรกำลังกวนใจคุณอยู่เหรอคะ”

    “ก็...” สตีฟเว้นวรรค เขาประสานนิ้วมือบนตัก ความรู้สึกหนักอึ้งเกิดขึ้นในใจตีรวนขึ้นมาจนบ่าแข็งแกร่งของเขาเกร็ง “หลายอย่างอยู่นะครับ”

    เรื่องครอบครัว

    เรื่องของบัคกี้

    และสำคัญที่สุด เรื่องหย่าระหว่างเขาและโทนี่

    “อย่างนั้น...บอกฉันได้ไหมคะ อะไรทำให้คุณตัดสินใจมาหาฉันในวันนี้

    “…”

    “เหตุการณ์อะไรที่ทำให้คุณรู้สึกว่ามันเป็นฟางเส้นสุดท้ายจนคุณทนเก็บมันไว้ไม่ไหวอีกไป”

    .

    .

    การเปิดอกคุยกับใครสักคนแม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นนักบำบัดก็ตามเป็นเรื่องโหดหินสำหรับสตีฟ สัญชาตญาณของเขามักจะยับยั้งคำพูด ยับยั้งการแสดงความรู้สึกนึกคิดของตนเองอยู่เสมอโดยเฉพาะเรื่องของ ‘ความรู้สึก’ อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นเรื่องของ ‘ความถูกต้อง’ ล่ะก็ มันเป็นไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม สวนทางกันอย่างสิ้นเชิง

    สตีฟเป็นคนเถรตรง เขายืนหยัดในความถูกต้อง กล้าพูด กล้าออกมายืนข้างหน้าคนเดียวเพื่อปกป้องคนอีกจำนวนมากข้างหลังเขา 

    ตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งโทนี่สวมแค่เฝือกอ่อนและสามารถเดินไปไหนต่อไหนโดยไม่ต้องใช้ไม้ค้ำพยุง สตีฟใช้เวลากับเฮเลนหลายเซสชั่นกว่านักบำบัดจึงจะเริ่มได้รับข้อมูลที่เธอคิดว่ามันคือสิ่งที่เขา ‘ยึดติด’

    “สามีของผมบอกว่าผมเป็นโกลเด้นบอยของกองทัพ” กัปตันกล่าวติดตลก เขาหัวเราะ แต่แววตานั้นกลับเศร้าสร้อยและเจ็บปวด รอยยิ้มของโทนี่หรือแม้แต่น้ำเสียงของอีกฝ่ายเวลาที่เอ่ยแซวชื่อเล่นที่ชอบตั้งให้ยังฉายชัดอยู่ในความทรงจำอย่างกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

    “คุณคิดอย่างไรกับมัน?”

    “ทีแรกผมก็ไม่คิดอะไร แต่มาตอนนี้... ผมชักจะเริ่มไม่อยากเป็น”

    การจะเป็นโกลเด้นบอย เป็นฮีโร่ของอเมริกาต้องแลกมาด้วยความสุขของคนที่เขารักทั้งนั้น มากกว่าสิบปีเชียวนะที่คนที่ปากเขาพร่ำบอกรัก พร่ำบอกว่าเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตและจะต้องปกป้องให้ได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นถูกเขาละเลยและต้องทนทุกข์ทรมาน 

    “ผมต้องแลกความสุขของพวกเขากับหน้าที่การงานของผม”

    “…”

    “ผมเคยกลัวว่าวันหนึ่ง เมื่อผมต้องเลือกระหว่างการรับใช้ชาติกับครอบครัว ผมจะเลือกอย่างแรก...” สตีฟแค่นหัวเราะ “นั่นไม่จริง ผมไม่เห็นจะต้องกลัว ไม่เห็นจะต้องคิดอะไรมากมาย เพราะผมทำแบบนั้นมาตั้งแต่ต้น ผมเลือกที่จะเป็นทหาร แทนการเป็นพ่อที่ดี เป็นคนรักที่สามีของผมต้องการ”

    มันขมขื่นและสตีฟรู้สึกข่มปร่าที่ปลายลิ้น ตลอดเวลาที่เขาพูดประโยคเหล่านั้น มันเป็นความจริงที่แสนจะเจ็บปวดและทำให้เขารู้สึกอึดอัดจนอยากจะอาเจียน

    “คุณพูดว่า ‘เคย’ แปลว่าคุณเอาชนะความกลัวของคุณได้แล้ว?”

    “ไม่เลยครับ มันแย่กว่าเดิมเสียอีก”

    ร่างหนาเอนตัวพิงพนักพิงเก้าอี้ เขาหลับตาลง พ่นลมหายใจยาว 

    “ทุกวันนี้ผมอยู่กับครอบครัว อยู่กับสามีของผมด้วยความกลัว มันกัดกินหัวใจของผมมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ”

    นักบำบัดสาวเลิกคิ้ว เธอขยับตัวเล็กน้อย ประสานมือบนตักตัวเอง 

    “ฉันนึกว่าช่วงเวลานี้ที่คุณได้ใช่ร่วมกับสามีและลูก ๆ เป็นช่วงเวลาที่คุณมีความสุขที่สุดเสียอีก?”

    “สุขและทุกข์ไปพร้อม ๆ กันน่าจะตรงและใกล้เคียงความเป็นจริงมากกว่า” 

    สตีฟนวดกระบอกตาของเขา นักบำบัดอดรู้สึกไม่ได้ว่าดวงตาของอีกฝ่ายแดงก่ำและแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ น้ำตาลูกผู้ชายที่มีความเศร้าโศกเสียใจ ความขมขื่น และความผิดหวังในตนเองจนมันก้ำกึ่งกับความเกลียดชัง

    “เพราะผมรู้ดีว่าถ้าหากวันหนึ่งโทนี่ได้ความทรงจำของเขากลับมาแล้ว เขาจะทำตามความตั้งใจเดิมของเขา”

     

    .

    .

    .

    เชิงอรรถ

    -------------

    [1] 25 years without parole

    [2] second-degree murder

    [3] Xanax กลุ่มยาคลายกังวล รักษาอาการ panic attack ฉับพลัน มีฤทธิ์กดประสาท ทำให้มีอาการมึนงง (drowsines) ขาดสมาธิ (trouble concentrating) และอื่น ๆ  

    -------------

    เราขอโทษจริงๆค่ะ จริงๆตอนนี้เขียนเสร็จนานแล้วแต่ไม่ได้ลงในเด็กดี ลงแต่ raw ยังไงสามารถติดตามที่เว็บนั้นได้อีกช่องทางนะคะ (และในอีกเว็บเนื้อหาจะไม่ใช่ PG-13 แบบในเด็กดีแล้ว) คิดถึงคนอ่านนะคะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×