ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผมนี่แหละคิม จอง-อิล

    ลำดับตอนที่ #7 : เด็กหอ-3

    • อัปเดตล่าสุด 9 มิ.ย. 50


        

         
    ก่อนผมมาเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนนี้ ผมกับพ่อฝึกวิชาสั่งลากันเป็นครั้งสุดท้าย ชาวเกาหลีที่แท้จริงเป็นชาตินักสู้ พ่อสอนไว้เช่นนี้ ผมเคารพและเชื่อฟังพ่อมาตลอด แต่ผมไม่ชอบการต่อสู้เลย แต่พ่อสอนไว้ว่า ลูกต้องต่อสู้ให้เป็นเพื่อหยุดการต่อสู้ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นให้ได้ ลูกต้องเก่งกว่าอีกฝ่ายหนึ่งมาก ถึงจะหยุดอีกฝ่ายได้โดยเขาไม่บาดเจ็บ

        

       ถ้าลูกไม่เป็นวิชาต่อสู้เลยลูกก็จะปกป้องตนเองไม่ได้ ฝึกครึ่งๆกลางๆก็ไม่สามารถปกป้องคนที่เราอยากปกป้อง และต้องฝึกให้เชี่ยวชาญจนไม่ทำให้แม้แต่คู่ต่อสู้ของเราบาดเจ็บ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุผลที่คิมจองอิลขยันฝึกซ้อมและหมั่นทบทวนทุกศิลปะการต่อสู้ที่พ่อสั่งสอนตุบ ผลั๊ว คิมจองอิล นอนลงกับพื้นหลังกระแทกกับโรงฝึกอย่างแรง เขานอนเหยียดกายลงบนโรงฝึกที่ปูด้วยพรมสีเขียว ข้างฝาผนังมีหนังหมีตัวกว่า5 เมตรที่เขากับพ่อเคยไปล่ามาด้วยกัน ลุกขึ้นพ่อพูดพร้อมกับทิ้งศอกลงมาอย่างรุนแรคิมจองอิลม้วนตัวจับข้อศอกของพ่อ ใช้แรงของพ่อฉุดดึงให้พ่อถูกแรงวโน้มถ่วงดึงลงสู่พื้นและคิมจองอิลฉวยโอกาสนั้นสะบัดมือใส่ซี่โครง แต่พ่อไวกว่ามากศอกกลับใส่เขา มือของคิมจองอิลแตะชายเสื้อ พ่อก็ซัดศอกมาถึงกกหูแล้ว
        คิมจองอิลใช้มือข้างหนึ่งกันและยืมแรงอีกครั้งพ่อเดาทางได้จึงหันตัวกลับเอาเข่ามารอไว้อยู่แล้ว พ่อพลิกแพลงการเตะได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นเข่า หน้าแข้ง หลังเท้า ส้นเท้า จมูกเท้าตรงนิ้วโป้ง ไม่ว่าคิมจองอิลหลบไปทางไหนพ่อก็ดักทางไว้หมด



       
    คิมจองอิลสืบเท้าเข้าประชิดตัวเขาไม่ใช่คนที่หวาดกลัวอะไรอย่างง่ายดาย เขาเตะหน้าในช่วงแคบไม่ถึง10เซนติเมตรจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครเตะหน้าในระยะปกระชิดเช่นนี้ได้แต่นี่คือการฝึกฝนดัดตัวเป็นระยะเวลากว่า10ปีเพื่อจะให้เร็วขึ้น1วินาทีกระโดดสูงขึ้น1เซนติเมตร  ปึก



       
    คิมจองอิลล้มทั้งยืน
    "เก่ง มากลูก แต่ยังเก่งไม่พอ" พ่อชกอย่างรุนแรงเช่นกันจากระยะขามาหน้ากับมือมาท้องระยะทางของพ่อสั้นกว่า มันเป็นสถานการณ์ที่เหมือนกับดวลปืนกันและพ่อก็ไวกว่า และความสามารถในการใส่แรงในระยะประชิดที่ชกหมัดจากระยะสั้นได้รุนแรงเช่นนี้พ่อเก่งกว่าเขาแม้จะพยายามถอย โดนทำร่างกายลู่ไปตามแรงหมัดแต่พ่อบิดพลิกหมัดสองครั้ง

     ก็ทำให้การผ่อนแรงของคิมจองอิล การขยับขาตามพลังหมัด และกล้ามท้องที่ผ่านการฝึกกระทบกับลูกบาส ไปพร้อมกับการซิทอัพ พังทลายไปทันที ความเจ็มปวดไม่ได้อยู่ที่ท้องแต่เจ็บไปถึงกลางหลัง ตอนนอนหงายกับพื้นรู้สึกเหมือนกับของในกระเพาะจะออกมาและกระเพาะบิดเป็นเกลียว น้ำลายของคิมจองอิลออกมาที่ปากความรู้สึกอยากอ้วกแต่อ้วกไม่ออกและพ่อชกซ้ำมาบริเวณใบหน้า

       ปึงเสียงหนักแน่นดังไปทั่วโรงฝึกอันกว้างขวาง หมัดของพ่ออยู่ห่างจากศีรษะของคิมจองอิลไม่ถึง1เซนติเมตร คิมจองอิลรู้สึกสะเทือนไปทั้งร่างกายเมื่อรู้สึกถึงแรงที่ส่งออกมาจากหมัด จินตนาการได้ถึงความรุนแรงของหมัดและผลลัพธ์ที่จะเกิดชึ้นหากมันกระแทกเข้าที่ใบหน้าของเขา

      "ครั้งนี้ลูกแพ้เพราะอะไร" พ่อกล่าวถามคิมจองอิลถามเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมาในสิบกว่าปีนี้ พ่อจะให้เขาทบทวนตัวเองเสมอหลังความพ่ายแพ้

      อ๊อก "เพราะผมยังอ่านสถานการณ์ไม่ดีครับระยะทางจากใบหน้าถึงเท้าผมกับระยะหมัดพ่อถึงทรวงอกพ่อไวกว่าผมครับ

      คิมจองอิลตอบกลับไปขณะที่กำลังเปลี่ยนลมหายใจเพื่อลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

     

      "ครั้งนี้ลูกผิดแล้ว "

       พ่อของเขาส่ายศีรษะช้าๆ ดวงตาที่มีเมตตาของท่านเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก 
    " จากพื้นมาหน้าเป็นระยะที่ไกลกว่าจริงแต่จากพื้นมาที่อัณฑะของพ่อละจะมีผลเป็นย่างไร " พ่อจ้องมองคิมจองด้วยความหมายลึกซึ้ง

      คิมจองอิลพยายามลุกขึ้นยืนพ่อประคองคิมจองอิลให้ลุกขึ้นยืนเป็นครั้งแรกที่พ่อช่วยประคองเพราะทุกครั้งในการฝึกพ่อจะเข้มงวดมาก จะสอนให้คิมจองอิลลุกขึ้นยืนด้วยตนเองเสมอแม้ตอนปกติจะเป็นพ่อที่คุยและสนิทสนมกับคิมจองอิลก็ตาม

     "เอ่อผม ผมจะทำแบบนั้นกับพ่อได้อย่างไรครับมันไม่ใช่วิธีที่ลูกผู้ชายพึงทำเลยนะครับ?" คิมจองอิลกุมท้องและยืนขึ้นมา

      พ่อยื่นมือมาตบไหล่คิมจองอิลเบา "ลูกรัก  การต่อสู้ที่แท้จริงต้องหัดเจ้าเล่ห์ไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นฝีมือดีแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์รู้ถึงผลของความใจอ่อนไม่ยอมใช้วิธีต่ำช้าแล้วหรือยัง หากพ่อเป็นศัตรู เจ้าคงแพ้และบาดเจ็บนอนกองอยู่กับพื้นไปแล้ว"

      คิมจองอิลมองพ่อ ด้วยสายตาที่มั่นคงไม่คลอนแคลน " แต่พ่อครับคนที่ใช้วิธีแบบนั้นแปลว่าเป็นคนที่ไม่เชื่อในวิถีนักสู้ของตนเอง คนอย่างนั้นไม่มีทางชนะผมได้หรอกครับพ่อ"

       พ่อยิ้มแล้วตบไหล่คิมจองอิล "หากลูก ตัดความอ่อนโยนและความมีน้ำใจออกไปได้ภายในสามปีลูกคงเก่งกาจยิ่งกว่าพ่อแล้ว  "  
       พ่อหยุดสักครู่ กระชากแขนเสื้อของคิมจองอิลไปด้านหลังเพื่อจะทุ่มคิมจองอิลตอนไม่ทันระวัง แต่คิมจองอิลรู้ตัวก่อนจึงสะบัดตัวหลบได้แล้ว

      "ฮะฮะและนิสัยที่อ่อนโยนเกินไปของลูกนี่แหละคือเหตุผลที่พ่อส่งลูกไปเรียน ที่ ทาง "ใต้"  แม้ว่าแม่ของเจ้าจะห้ามพ่อไว้ก็ตาม 3ปีต่อจากนี้เจ้าต้องหาทางเลี้ยงตัวเองให้ดีเพราะพ่อจะไม่ให้เงินสับสนุนใดๆทั้งสิ้น

    "ทุกอย่างลูกมีพร้อมหมด แล้ว พ่ออยากให้ลูกไปเรียนรู้โลกภายนอก และแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยตนเอง แล้วพอเรียนจบมัธยมแล้ว ก็ตัดสินใจด้วยตนเองว่า จะเรียนต่อมหาวิทยาลัย หรือ กลับมาสืบทอดกิจการของทางบ้านแล้วแต่งงานแต่งการเสีย"

      พูดถึงเรื่องแต่งงานคิมจองอิลก็หน้าแดงทันที 

      มีบางเรื่องที่พ่อของคิมจองอิลไม่ได้บอกกับเขา นั่นคือพ่อต้องการให้คิมจองอิลเปลี่ยนนิสัยที่อ่อนโยนของเขา และไปเรียนรู้การใช้ชีวิตที่โหดร้าย ไม่ใช่ต้องการให้คิมจองอิลลำบากจากการหาเงินใช้เอง เพราะพ่อรู้ดีอยู่แล้วว่า คิมจองอิลหาเงินใช้เองได้สบายด้วยความสามารถและความอดทน ความมีมารยาทของเขา จึงส่งไปในสถานที่ ที่ดีที่ สุดและเลวร้ายที่สุดในที่เดียวกันมัธยมเชกัล  ดินแดนของความสามารถ และการแข่งขันกันอย่างรุนแรง ต้องการให้ลูกเรียนรู้ทุกอย่างที่จำเป็นต่อการสืบทอดกิจการของที่บ้าน

    .....จบเรื่องราวย้อนหลัง....

      ปัจจุบัน คิมจองอิลได้จับมือถือแขนผู้หญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่งผิวขาวเรียนเรียบ ผมสีเงินทอประกาย คู่กับแสงแดดสีแดงในยามเย็น ผู้หญิงพยายามขัดขืนการกุมมือ แต่คิมจองอิลกลับยึดไว้แน่นไม่ย่อมปล่อย คิมจองอิลกุมมือเรียวยาวขาวสะอาด คู่นั้นไว้อย่างแนบแน่น ราวกับการกุมมือของคนรักที่ไม่ยอมแยกจากกัน

     แกรกๆ คิมแจกิวได้จดบันทึกประจำวันไว้ด้วยข้อความเหล่านี้

     "คิมจองอิลนี่เป็นอย่างนี้เป็นหนุ่มไวไฟนะนี่ พบหน้าฝ่ายหญิงครั้งแรกก็จับมือถือแขนกันแล้ว" คิมแจกิวเอ่ยกับพรรคจองที่ปัดฝุ่นออกจากตัว

      "ใช่ไวไฟจริงๆ เอ้ออย่าลืมเขียนไปด้วยละว่า คิมจองอิลเพื่อจะจับมือถือแขนผู้หญิงถึงกับทะเลาะกับเราจนผลักเราลงกับพื้น และเราสองคนทะเลาะกันเพราะแย่งที่จะจับมือของผู้หญิงคนเดียวกัน" พรคคจองบอกด้วยสีหน้ายิ้มๆ

      พรรคจองแย่งมุขเราไปพูดอีกแล้ว คราวที่แล้วไม่รับมุขคราวนี้อาศัยเราเป็นคนส่งมุขให้เด่น มันจะเกินไปแล้วนะพรรคจอง แต่มุขนี้ใช้ได้ต้องจดไว้ก่อน ในอนาคตพรรคจองคงเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของเราแน่ๆ


    ไม่น่าเชื่อว่าในภายภาคหน้าความคิดของคิมแจกิวจะแม่นยำเสียยิ่งกว่าเทพธิดาพยากรณ์ ตอนนั้นแม้แต่คิมแจกิวก็ยังไม่คิดว่า ความคิดของเขาจะตรงกับความเป็นจริงได้ขนาดนั้น

       "เฮ้ยไม่คิดจะช่วยกันบ้างเลยเรอะ "คิมจองอิลคิดอยู่ในใจ ดูดี ดีแล้วสองคนนี้ นิสัยมันโคตรจะเข้ากันได้ดีเลยนะนี่

      "อย่าเขียนเรื่องบิดเบือนเกี่ยวกับเราสิ" คิมจองอิลแม้มือจะอยู่ตรงนี้ และสมาธิจะอยู่กับคนตรงหน้า แต่สองหูก็ต้องสดับฟังทั้ง8ทิศ นี่หละคิมจองอิล คำพูดของทั้งสองคนจึงเข้าหูเขาอย่างช่วยไม่ได้

     

     ความจริงแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกล่าวโดยย่อก็คือหลังจากที่คิมจองอิลใช้ยุทธวิธีหลอกล่อทั้งสองคนจนใช้แรงจากทั้งตัวผลักพรรคจองให้ล้มไปได้ คิมจองอิลก็ สามารถบิดมือไขว้หลังของหญิงสาว โดยแขนซ้ายของหญิงสาวงอพับจากด้านบนลงล่าง และแขนขวางอพับจากด้านล่างขึ้นบน แขนสองข้างพบกันที่กลางหลังโดยคิมจองอิลใช้มือข้างเดียวกุมทั้งสองมือที่ไว้โดยใช้นิ้วโป้งกับนิ้วก้อยเชื่อมนิ้วจากมือซ้ายขวาของหญิงสาวไว้ด้วย

      โดยนัยหนึ่งคิมแจกิวจะบอกว่าจับมือก็ไม่ผิด หรือจะเกี่ยวก้อยด้วยก็ไม่ผิด แต่ข้อเท็จจริงเมื่อใช้ใน สถานการณ์ที่แตกต่างกันไป ความหมายก็จะผิดไปได้

      คิมจองอิลได้รู้ว่าแม้ทำอย่างดีที่สุดแล้วก็อาจโดนคนตำหนิได้ ดีที่สุดยังไม่พอสินะคิมจองอิลคิดขึ้นมาเช่นนั้น

     

      แต่หญิงสาวคิดต่างไป แม้คิมจองอิลคิดว่าเขายังทำได้ไม่ดีพอ แต่ก็ทำให้หญิงสาวตกใจเป็นอย่างมาก เพราะแม้จะบรรยายสั้นๆว่าอาศัยแรงกระแทกจากพรรคจองบิดมือไขว้หลังแต่เธอมั่นใจว่าเธอสลัดการยึดจับข้อต่อได้ไม่ว่าจะหนาแน่นแค่ไหน แต่สลัดหลุดจากมือคิมจองอิลไม่ได้ทั้งที่คิมจองอิลไม่ได้ยึดกุมไว้แน่นอะไร และเธอมั่นใจในแรงขาและสะโพกที่จะช่วยให้เธอขยับตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่คิมจองอิลกลับอาศัยแรงของเธอกับพรรคจองมาจับตัวเธอเอง โดยออกแรงแค่นิดเดียว ทำให้เธอ รู้สึกไม่พอใจ เพราะเท่ากับว่าเธอไม่ได้แพ้คิมจองอิลแต่แพ้แรงของตัวเองต่างหาก

        "รู้ไหมคุณทำให้ผมรู้สึกเหมือนตอนไปล่าสุนัขจิ้งจอกในป่ากับพ่อของผม"


       "อย่างหนึ่งคือผมเห็นว่ามันสวยงามมากเวลาเคลื่อนไหวตอนวิ่งขึ้นภูเขามันดูงดงามและทรงพลังไม่ท้อถอยกับสภาพอากาศที่หนาวเหน็บและอีกอย่างหนึ่งคือมันรู้จักการแกล้งตาย" คิมจองอิลขยับตัวมาทางด้านหลังซ้ายและย่อตัวลงเล็กน้อยทำให้หญิงสาวที่เตรียมจะสะบัดตัวหนีออกไปทรุดเข่าซ้ายลงกับพื้น เนื่องจากเธอเกร็งแรงที่ขาขวาทำให้ไม่ได้เตรียมใจรับแรงกดทางด้านซ้าย แต่คิมจองอิลดู ออกจากการขยับไหล่และนิ้วมือที่กุมกันอยู่ การต่อสู้คือการหยั่งรู้คู่ต่อสู้ วางยุทธวิธีจนกว่าจะได้ชัยชนะ เฮ้อ ..ชนะแล้วมันได้อะไรละ สุดท้ายก็เปล่าประโยชน์

     

       "ปล่อยนะ" หญิงสาวกล่าวอย่างกระชากเสียง  เนื่องจากคิมจองอิลไม่ปล่อยให้หญิงสาวไปจากการ ยึดกุมของเขา แววตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความหมายและความต้องการบางอย่าง ส่วนแววตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจ

       

      "ขอร้องละ คิมแจกิวนายจะเลิกเขียนบิดเบือนซะทีได้ไหม หรือถ้าเลิกไม่ได้ก็ช่วยอย่าส่งเสียงบรรยายสิ่งที่นายเขียนออกมาเลยนะ ถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์อย่างนี้มันก็น่าสนุกอยู่หรอก พรรคจองนายก็ห้ามคิมแจกิวแทนเราทีเถอะขอร้องละ" คิมแจกิวกล่าวออกมาอย่างเหลืออด

       พรคจองตบไหล่คิมแจกิว "พอเถอะคิมแจกิว เท่านี้ คิมจองอิลก็อายจนหน้าแดงแล้วถ้าแดงกว่านี้คนนึกว่าไฟแดงแน่"
            คิมแจกิวถอนใจแล้วเก็บสมุดลงกระเป๋า

    "เฮ้อหมดสนุกเลย"

      "สองคนนี้มันรับมุขกันดีมากจริงนะๆนะนี่" คิมจองอิลก็ได้แต่คิดในใจ

      "นี่จะปล่อยฉันได้หรือยัง" เสียงเย็นๆดังขึ้นมาอีกครั้ง "หรือจะอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย"

     "เลือกข้อสองไปเลยคิมจองอิลเราสนับสนุน" คิมแจกิวแทรกขึ้นมาทันที "คิดดูสินายจะเข้าหอเมื่อไรก็ได้ แต่ได้จับมือถือแขนผู้หญิงโดยอีกฝ่ายอนุญาตนานๆอย่างนี้ แทบไม่มีโอกาสเลยนะ 
      
        
    " เอ่อคิมแจกิว" พรรคจองสะกิดไหล่คิมแจกิว "แถวบ้านเราเขาเรียกว่าประชดนะ"คิมแจกิวอึ้งไปครู่หนึ่ง "หมายความว่า นี่เราทำอะไรผิดกาลเทศะอีกแล้วใช่ไหมนี่"ทุกคนผงกศีรษะยืนยันความคิด ทำให้คิมแจกิวทำหน้าจ๋อยขึ้นมาทันที ทุกคนที่ว่ายกเว้นหญิงสาว

      

     บางทีเธอคงจะโมโหคิมจองอิล หรืออาจจะโมโหพรรคจอง หรืออาจจะโมโหเพราะคำพูดอันเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขันของผม เคยมีข้อมูลของนักวิชาการบางคนที่ผมไม่ค่อยเชื่อถือท่านหนึงกล่าวเอาไว้ว่า 90เปอร์เซนของมนุษย์สื่อสารกันด้วยภาษากาย เช่นชี้นิ้ว ยักไหล่ แบฝ่ามืออกทั้งสองข้างเอามือกอดอกเป็นต้น กิริยาท่าทางเหล่านี้สื่อสารต่างๆที่ออกมาจากใจได้ดีกว่าคำพูดมากนัก เช่นการไปเยี่ยมคนป่วย เราพูดอะไรอาจจะสื่อได้ไม่ดีเท่ากับการกุมมือเบาๆแล้วส่งสายตาที่เปี่ยมด้วยความห่วงใยไปให้ หรืออาจจะเอามือไปอังที่จมูกแล้ว เลื่อนผ้าห่มมาคลุมหน้า สิ่งต่างๆและเป็นสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ ถ้าเราหัดสังเกตเราก็จะรู้จิตใจคนได้มากขึ้น  สำหรับคนที่อยากเป็นนักพูดต่อหน้าชุมชนแล้วการสังเกตกิริยาเล็กน้อยว่าผู้ฟังเบื่อหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญเช่นผู้ฟังเอามือปิดปากเพื่อหาวเราก็ควรพูดในจังหวะที่เร็วขึ้นเพื่อสร้างความตื่นเต้น หรือผู้ฟังหยิบกระป๋องน้ำจะปาขึ้นมาบนเวทีเราก็จะรู้ว่าผู้ฟังจะปามาทางไหนและจะทำให้เราหลบได้ทัน

      คิมแจกิวรู้เรื่องต่างๆเหล่านี้ดีอาจมีสิ่งเดียวที่เขาไม่รู้คือกาลเทศะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×