ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : จิตวิญญาณแห่งผู้นำ
                    คำสั่งบุกดังขึ้นจากใครบางคนที่อาจจะไม่ใช่ตัวแม่ทัพเองก็เป็นไป แต่ก็ทำให้พวกทหารน้อยใหญ่หลายพันนาย ของทั้งสองโห่ฮา ด้วยความคึกคะนอง ฝีพายของทั้งสองพวกจ้ำเดินหน้าเต็มกำลัง จนเมื่อเรือลำแรกของ เซอร์คาร์น เข้าปะทะกับเรือใหญ่ของ ซีเตอ ทหารเซอร์คาร์น บนเรือจะต้องรีบใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า “เขี้ยวเสือ” คืออาวุธที่ดูคล้ายๆ กับกรงเล็บสัตว์ที่ คมๆ เอาสวมไว้ที่มือ คล้ายๆ สนับ ใช้สำหรับเกาะพื้นผิวที่เป็นไม้และใช้เป็นอาวุธประชิดตัว ทหารหลายร้อยนายพยายามปีนขึ้นไปให้ถึงหน้าด่านเรือ แต่ต้องเจอกับอุปสรรคต่างๆ ที่กองทหาร ซีเตอ ส่งมาให้ ทั้ง น้ำมันที่ราดลงมาตามผิวไม้ ของหนักต่างๆ เช่น ถุงทราย ก้อนหิน และที่ร้ายที่สุดคือ กองทัพ ธนูเพลิงที่โหมยิงลงมานับพันนับหมื่นดอก จนทะเลแถบลุกเป็นไฟ ทหารเซอร์คาร์น เกือบครึ่งปีนไปไม่ถึงจุดหมายพลัดตกลงมาบ้าง โดนอาวุธฝ่ายตรงข้ามเล่นงานบ้าง สิ้นชีพไปก็นับพันแล้ว ส่วนที่ปีนไปถึง ก็ยังจะต้องไปสู้กับทหารที่รอตั้งรับอยู่บนเรือของซีเตออีก หากแรงมีเท่ากัน ก็ว่าไปอย่าง แต่ทหารที่ต้องปีนที่สูงเกือบ 30 ฟุต แรงย่อมถูกใช้ไปมาก จนถูกฆ่าตายบนเรือก็มากมี
                    นาวาลเห็นท่าสถานการณ์ กองหน้า ไม่ดีจึงสั่งกองกลางเข้าสมทบ และส่งสัญญาณให้กองหลังขึ้นมาแทนที่ตน นาวาลสั่งกองเรือให้ เดินหน้าเต็มที่ เมื่อยิ่งเข้าไปใกล้ ก็เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ชัดเจนขึ้น กองเรือที่เขาส่งไปก่อนหน้านี้ ไม่ได้เสียเปรียบไปซะทุกอย่าง ทหารหลายพันคนยังมีชีวิตอยู่ และก็ยังอยู่ในสภาพที่ยังพร้อมรบ หลายร้อยนายก็ขึ้นไปบนเรือบางลำของ ซีเตอได้ และที่ทำให้เขามีความหวังมากที่สุดคือ เขามองไปเห็นเรือของ ซีเตอ ลำหนึ่ง ถูกเผาวอดวายใกล้อับปางเต็มที บางทีหากเขาสั่งทหารสู้สุดกำลัง กองเรือของ “ซีเตอ” ที่เหลืออีกไม่กี่สิบลำ อาจจะมีสภาพไม่ต่างจากเรือที่กำลังจะอับปางก็เป็นได้
                    นาวาลหันไปพูดกับทหารบนเรือของเขาอย่างดัง ราวกับเป็นการปลุกกำลังใจจากทหารแห่งอาณาจักรอีกครั้ง
                  “พวกเราที่อยู่เบื้องหน้าท่านทั้งหลาย ต่างก็สละซึ่งแรงกาย และ แรงใจ ตลอดจนชีวิต มิใช่เพื่ออาณาจักร แต่เขาทำเพื่อท่านทั้งหลาย ที่กำลังจะไปทำความหวังที่เขาต้องการ ให้เป็นจริง แล้วท่านทั้งหลายที่อยู่กับข้าตรงนี้ จักทำเพื่อพวกเขาเหล่านั้น มิได้ เชียวหรือ”
                      วลี ที่ทำให้ทหารกองกลางทุกนายที่ได้ยิน พร้อมลุกขึ้นสู้กับพวกกบฎอีกครั้ง นี่แสดงให้เห็นว่า การมีปากที่ดี ก็ทำให้บางอย่างดีขึ้นมาได้อย่างไม่ยาก
                      ถึงตอนนี้ไม่มีทหารรายใดของ เซอร์คาร์น ที่ขลาดกลัวอีกแล้ว พวกเขาตอนนี้มิใช่เป็นเพียงทหาร แต่เป็นยอดทหารแห่งอาณาจักร ที่พร้อมจะประมือ กับทุกอริราชศัตรู
                     
                      เสียงโห่ฮามาแต่ไกล ทำให้ พวกซีเตอ หลายต่อหลายคน ต่างหวาดผวา เสียงที่พวกเขากำลังได้ยิน มันไม่ได้ไร้ความหมาย แต่มันกำลังมาพร้อมกับความกล้าหาญของเหล่าบรรดาขุนพลทหารน้ำ (จำเป็น) ของ อาณาจักร แม้แต่ “จูล” เองก็ยังหวั่นใจอยู่เหมือนกัน
                  จูล จำเป็นต้องลงไปบัญชาการยังหน้าเชิงเทินเรือลำใหญ่ ตะโกนร้องลั่นให้ทหารในบังคับบัญชาสกัดกั้นอย่าให้ทหารฝ่ายตรงข้ามรุกเข้ามาในส่วนของเรือลำใหญ่ได้ ทหารซีเตอที่ต่อสู้อยู่บนเรือไม่ต่างจากการต่อสู้บนบก พวกเขาไม่สามารถต้านทานการบุกโจมตีอย่างหนักหน่วงจากฝ่ายอาณาจักรได้ 
                  ศพแล้วศพเล่าของฝ่ายกบฎชาวเรือ ที่ถูกฆ่าตายอย่างง่ายดาย ไม่เพียงแค่เพราะจำนวนทหารที่มากมายมหาศาลของฝ่ายอาณาจักร แต่เป็นเพราะความหวาดกลัวที่แม้แต่การต่อสู้ในเรือพวกเขาก็ยังจะต้องแพ้ ทหารซีเตอบางพวกตัดสินใจปลดเรือเล็กหนีออกทะเลไป “จูล” ทนเห็นความขลาดของทหารตนเองไม่ได้จึงสั่งให้โหมธนูใส่พวกที่หนีทัพ อย่างไม่ใยดี ก่อนที่จะใช้สะพานไม้พาดข้ามไปยังเรือที่มีการต่อสู้กัน เพื่อจะเข้าไปไล่พวกทหารอาณาจักรลงทะเลไป “จูล” วิ่งเข้าหาศัตรูทั้งๆ ที่ตัวเองยังไม่ได้สวมเกราะ มีเพียงดาบยาว 6 ฟุต (183 ซม.) เพียงเล่มเดียวเท่านั้นที่จะใช้ปราบศัตรู
                  “นาวาล” สังเกตเห็นจูลได้อย่างชัดเจนเพราะแม่ทัพกบฎ ไม่ได้สวมหมวกเหล็ก มีทหารบางนายแนะนำให้ระดมยิงธนูใส่จูลแต่ นาวาล ไม่ยอม โดยเขาต้องการจะประดาบกับ จูล ท่ามกลางเสียงคัดค้านของแม่ทัพนายอื่น “นาวาล” ไม่สนใจ เขาตัดสินใจไปแล้วและจะไม่มีทางเปลี่ยนใจ เขาเลือกทหารอีก 4 นาย ติดตามไป ก่อนที่จะหันมาบอกกับแม่ทัพที่เหลือว่า “แล้วข้าจะนำศรีษะมัน ไปถวายพี่ข้า”
                “นาวาล” กระโดดเกาะเชือกที่ผูกกับเรือศัตรูไว้แล้วก่อนหน้านี้ โดยคาบดาบประจำกายยาว 4 ฟุตเศษ ไว้ โดยมีทหารอีก 4 นายตามขึ้นไป เมื่อปีนถึงบนเรือ เขาวิ่งไปยังสะพานไม้ที่พาดกันระหว่างเรือเพื่อวิ่งไปยังเรือที่ จูล กำลังไล่ฟันทหารฝ่ายอาณาจักรตายไปจำนวนมาก
                  แม้ จูล จะฆ่าฟันศัตรูไปกว่าร้อยศพ ในช่วงเวลาเพียงชั่วครู่ แต่ก็มีทหารเซอร์คาร์น วิ่งกรูเข้ามาหาอยู่เรื่อยๆ เหมือนจะไม่มีวันหมด และถึงแม้เขาจะเหนื่อยซักแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะถอยหนีแม้แต่ก้าวเดียว เขายังคงล้มทหารฝ่ายตรงข้ามทีละนาย ๆ จนเมื่อนาวาลวิ่งมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุสำคัญ
              “ฝีมือเก่งกล้านัก สมกับเป็นหัวหน้าโจรสลัดผู้เลื่องลือแห่งฟากตะวันตก แต่หากเอาแต่ฆ่าทหารเลวอยู่เสมอ คงหาได้เก่งเทียบกับพญาเสือแห่งเซอร์คาร์นหรอกหนา”
              “นาวาล” พูดชมแล้วถากถางจูลต่อ
              “หากเป็นจริงอย่างที่ข้าพูดเมื่อครู่ก็จงสู้กับพลทหารชั้นเลวของข้าต่อไปเถิด”
              ไม่ถึงอึดใจเดียวจากที่ประโยคสุดท้ายของนาวาลจะหมด “จูล” ใช้ดาบชี้หน้าของนาวาลแล้วพูดสวนกลับไป
              “ไอ้เด็กปากสวะ..!! หากจะพูดพร่ำอยู่อย่างนี้แล้วหมายความว่ากลัวหรืออย่างไร ข้าไม่เคยเลือกคู่ประดาบ หากเพียงผู้ใดต้องการจะสู้กับข้าก็อย่าได้แต่พูดอยู่เลย .
โปรดติดตามตอนต่อไป
                    นาวาลเห็นท่าสถานการณ์ กองหน้า ไม่ดีจึงสั่งกองกลางเข้าสมทบ และส่งสัญญาณให้กองหลังขึ้นมาแทนที่ตน นาวาลสั่งกองเรือให้ เดินหน้าเต็มที่ เมื่อยิ่งเข้าไปใกล้ ก็เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ชัดเจนขึ้น กองเรือที่เขาส่งไปก่อนหน้านี้ ไม่ได้เสียเปรียบไปซะทุกอย่าง ทหารหลายพันคนยังมีชีวิตอยู่ และก็ยังอยู่ในสภาพที่ยังพร้อมรบ หลายร้อยนายก็ขึ้นไปบนเรือบางลำของ ซีเตอได้ และที่ทำให้เขามีความหวังมากที่สุดคือ เขามองไปเห็นเรือของ ซีเตอ ลำหนึ่ง ถูกเผาวอดวายใกล้อับปางเต็มที บางทีหากเขาสั่งทหารสู้สุดกำลัง กองเรือของ “ซีเตอ” ที่เหลืออีกไม่กี่สิบลำ อาจจะมีสภาพไม่ต่างจากเรือที่กำลังจะอับปางก็เป็นได้
                    นาวาลหันไปพูดกับทหารบนเรือของเขาอย่างดัง ราวกับเป็นการปลุกกำลังใจจากทหารแห่งอาณาจักรอีกครั้ง
                  “พวกเราที่อยู่เบื้องหน้าท่านทั้งหลาย ต่างก็สละซึ่งแรงกาย และ แรงใจ ตลอดจนชีวิต มิใช่เพื่ออาณาจักร แต่เขาทำเพื่อท่านทั้งหลาย ที่กำลังจะไปทำความหวังที่เขาต้องการ ให้เป็นจริง แล้วท่านทั้งหลายที่อยู่กับข้าตรงนี้ จักทำเพื่อพวกเขาเหล่านั้น มิได้ เชียวหรือ”
                      วลี ที่ทำให้ทหารกองกลางทุกนายที่ได้ยิน พร้อมลุกขึ้นสู้กับพวกกบฎอีกครั้ง นี่แสดงให้เห็นว่า การมีปากที่ดี ก็ทำให้บางอย่างดีขึ้นมาได้อย่างไม่ยาก
                      ถึงตอนนี้ไม่มีทหารรายใดของ เซอร์คาร์น ที่ขลาดกลัวอีกแล้ว พวกเขาตอนนี้มิใช่เป็นเพียงทหาร แต่เป็นยอดทหารแห่งอาณาจักร ที่พร้อมจะประมือ กับทุกอริราชศัตรู
                     
                      เสียงโห่ฮามาแต่ไกล ทำให้ พวกซีเตอ หลายต่อหลายคน ต่างหวาดผวา เสียงที่พวกเขากำลังได้ยิน มันไม่ได้ไร้ความหมาย แต่มันกำลังมาพร้อมกับความกล้าหาญของเหล่าบรรดาขุนพลทหารน้ำ (จำเป็น) ของ อาณาจักร แม้แต่ “จูล” เองก็ยังหวั่นใจอยู่เหมือนกัน
                  จูล จำเป็นต้องลงไปบัญชาการยังหน้าเชิงเทินเรือลำใหญ่ ตะโกนร้องลั่นให้ทหารในบังคับบัญชาสกัดกั้นอย่าให้ทหารฝ่ายตรงข้ามรุกเข้ามาในส่วนของเรือลำใหญ่ได้ ทหารซีเตอที่ต่อสู้อยู่บนเรือไม่ต่างจากการต่อสู้บนบก พวกเขาไม่สามารถต้านทานการบุกโจมตีอย่างหนักหน่วงจากฝ่ายอาณาจักรได้ 
                  ศพแล้วศพเล่าของฝ่ายกบฎชาวเรือ ที่ถูกฆ่าตายอย่างง่ายดาย ไม่เพียงแค่เพราะจำนวนทหารที่มากมายมหาศาลของฝ่ายอาณาจักร แต่เป็นเพราะความหวาดกลัวที่แม้แต่การต่อสู้ในเรือพวกเขาก็ยังจะต้องแพ้ ทหารซีเตอบางพวกตัดสินใจปลดเรือเล็กหนีออกทะเลไป “จูล” ทนเห็นความขลาดของทหารตนเองไม่ได้จึงสั่งให้โหมธนูใส่พวกที่หนีทัพ อย่างไม่ใยดี ก่อนที่จะใช้สะพานไม้พาดข้ามไปยังเรือที่มีการต่อสู้กัน เพื่อจะเข้าไปไล่พวกทหารอาณาจักรลงทะเลไป “จูล” วิ่งเข้าหาศัตรูทั้งๆ ที่ตัวเองยังไม่ได้สวมเกราะ มีเพียงดาบยาว 6 ฟุต (183 ซม.) เพียงเล่มเดียวเท่านั้นที่จะใช้ปราบศัตรู
                  “นาวาล” สังเกตเห็นจูลได้อย่างชัดเจนเพราะแม่ทัพกบฎ ไม่ได้สวมหมวกเหล็ก มีทหารบางนายแนะนำให้ระดมยิงธนูใส่จูลแต่ นาวาล ไม่ยอม โดยเขาต้องการจะประดาบกับ จูล ท่ามกลางเสียงคัดค้านของแม่ทัพนายอื่น “นาวาล” ไม่สนใจ เขาตัดสินใจไปแล้วและจะไม่มีทางเปลี่ยนใจ เขาเลือกทหารอีก 4 นาย ติดตามไป ก่อนที่จะหันมาบอกกับแม่ทัพที่เหลือว่า “แล้วข้าจะนำศรีษะมัน ไปถวายพี่ข้า”
                “นาวาล” กระโดดเกาะเชือกที่ผูกกับเรือศัตรูไว้แล้วก่อนหน้านี้ โดยคาบดาบประจำกายยาว 4 ฟุตเศษ ไว้ โดยมีทหารอีก 4 นายตามขึ้นไป เมื่อปีนถึงบนเรือ เขาวิ่งไปยังสะพานไม้ที่พาดกันระหว่างเรือเพื่อวิ่งไปยังเรือที่ จูล กำลังไล่ฟันทหารฝ่ายอาณาจักรตายไปจำนวนมาก
                  แม้ จูล จะฆ่าฟันศัตรูไปกว่าร้อยศพ ในช่วงเวลาเพียงชั่วครู่ แต่ก็มีทหารเซอร์คาร์น วิ่งกรูเข้ามาหาอยู่เรื่อยๆ เหมือนจะไม่มีวันหมด และถึงแม้เขาจะเหนื่อยซักแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะถอยหนีแม้แต่ก้าวเดียว เขายังคงล้มทหารฝ่ายตรงข้ามทีละนาย ๆ จนเมื่อนาวาลวิ่งมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุสำคัญ
              “ฝีมือเก่งกล้านัก สมกับเป็นหัวหน้าโจรสลัดผู้เลื่องลือแห่งฟากตะวันตก แต่หากเอาแต่ฆ่าทหารเลวอยู่เสมอ คงหาได้เก่งเทียบกับพญาเสือแห่งเซอร์คาร์นหรอกหนา”
              “นาวาล” พูดชมแล้วถากถางจูลต่อ
              “หากเป็นจริงอย่างที่ข้าพูดเมื่อครู่ก็จงสู้กับพลทหารชั้นเลวของข้าต่อไปเถิด”
              ไม่ถึงอึดใจเดียวจากที่ประโยคสุดท้ายของนาวาลจะหมด “จูล” ใช้ดาบชี้หน้าของนาวาลแล้วพูดสวนกลับไป
              “ไอ้เด็กปากสวะ..!! หากจะพูดพร่ำอยู่อย่างนี้แล้วหมายความว่ากลัวหรืออย่างไร ข้าไม่เคยเลือกคู่ประดาบ หากเพียงผู้ใดต้องการจะสู้กับข้าก็อย่าได้แต่พูดอยู่เลย .
โปรดติดตามตอนต่อไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น