คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ผนึกที่ 5 : คดีฆ่าหั่นศพแห่งถนนเลดเซ
ผนึกที่ 5 : คดีฆ่าหั่นศพแห่งถนนเลดเซ
มันปรากฏตัวขึ้นในมุมมืดของซอกซอยอันเปลี่ยวเหงา
พร้อมกับมีดเล็กเรียวในมือที่สามารถผ่าแยกร่างของเหยื่อได้เป็นชิ้นๆ
ชื่อของมันคือ...
ลากูน่าเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยน้ำตามชื่อ(Lagoon) นครซึ่งมีการสัญจรทางเรือแทนการเดินหรือการใช้พาหนะอื่นๆเช่น รถม้า รถเทียม เนื่องด้วยระดับน้ำที่สูงขึ้นจนท่วมถนนหนทางกระทั่งการสัญจรติดขัด แต่ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การอพยพหนี หรือการสร้างเขตกั้นน้ำเพื่อวิดน้ำออกจากเมือง หากเป็นการยกระดับความสูงของบ้านให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ สละบ้านชั้นหนึ่งแล้วต่อเติมให้สูงขึ้นไปอีก สร้างเส้นทางการเดินเรือขึ้นเป็นทางสัญจรใหม่ ด้วยเหตุนี้ ทำให้แต่ละบ้านจำเป็นต้องมีเรือเป็นของตัวเองเพื่อการเดินทางที่สะดวกสบาย..ทางเดินเท้าก็ยังมีอยู่แต่ไม่พอที่จะเดินทางไปทั่วเมือง จะมีก็เพียงแต่ทางเท้าริมน้ำให้สามารถเดินทางไปบ้านข้างเคียงหรือทางแคบๆเล็กๆได้ และด้วยความไม่สะดวกสบายในการเดินทางนี้เอง จึงมีผู้ประกอบอาชีพเรือรับส่งที่จะคอยพาไปตามสถานที่ต่างๆในเมืองซึ่งถูกสายน้ำกลืนกินเป็นจำนวนมาก ยกเว้น...
...ถนนเลดเซ
น่าประหลาด ที่ถนนเส้นนั้นมีการยกระดับสูงตั้งแต่ก่อนที่จะมีน้ำท่วมเข้ามา การยกระดับถนนที่สูงจนผู้คนในเมืองพากันแปลกใจ แต่มาบัดนี้ มันกลับกลายเป็นถนนเพียงสายเดียวที่ไร้สายน้ำเฉอะแฮะหนทาง ...และยังเป็นทางลัดสู่จัตุรัสกลางที่เป็นศูนย์รวมคนในเมืองที่มักมีเรือมาจอดอยู่เนืองแน่นอีกด้วย..และนั่น
..คือสถานที่ของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้
แฮ่ก..แฮ่ก...
ชายหนุ่มวิ่งและวิ่งไปตามตรอกถนนอันมืดมิด เสียงสั่นกระเพื่อมของน้ำดังไกลออกไปจนรับรู้ได้ว่าห่างจากถิ่นน้ำไหลมามากเพียงไร แต่เมื่อยิ่งรู้สึกเช่นนั้น หัวใจของชายหนุ่มก็พลันกระตุกด้วยความกลัว
ชายหนุ่มคนนั้นมีรูปร่างบอบบาง ตัวเล็ก เรือนผมสีทองยาวสยายเป็นลอน ดวงตาสีฟ้าดังผืนนภาคราม แต่งตัวด้วยเสื้อสีขาวยาวปิดเข่าและกางเกงสีรัตติกาล บนไหล่มีเลือดไหลซึมออกมาอันเกิดจากของมีคมซึ่งฟันลงมาอย่างไร้ความปราณี
รอยบาดแผลเล็ก แต่กลับบาดลึกจนชาเส้นประสาท
ขาทั้งสองของชายหนุ่มเริ่มล้า แต่เดิมเขาไม่ใช่คนที่ชอบออกกำลังกายอยู่แล้วทั้งยังอ่อนแอและบอบบางเป็นอันมาก พอต้องมาออกวิ่งเช่นนี้ก็เป็นธรรมดาที่จะหอบและหมดแรงในเวลาอันสั้น แต่แรงส่งบางอย่างในร่างกายตะโกนกรีดร้องให้ก้าววิ่งต่อไป ด้วยภยันตรายที่กำลังไล่ตามหลังมาติดๆจนรู้สึกได้แม้ไม่หันไปมอง
หากแม้เพียงชะงักเพียงนิด หากแม้เพียงชะลอเพียงเสี้ยวเวลา
เขาอาจจะไม่ได้หายใจต่อไป!
ตึก..ตึก..
เสียงรองเท้าหนังดังไล่หลังมาอย่างเชื่องช้า หากกลับดังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
ตึก..ตึก..ตึก..
ตึก..ตึก..ตึก..ตึก..
เสียงที่แสนน่าหวาดกลัวดังใกล้เข้ามาทุกทีทั้งที่เขาวิ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลัง ร่างแบบบางวิ่งและวิ่ง..ความหวาดกลัวแล่นจุกที่ลำคอ กระทั่งเปล่งออกมาเป็นเสียงกรีดร้องวิงวอนที่ไร้ผู้ใดได้ยิน..
"ใครก็ได้ช่วย..!!"
ขวับ!!
พลันสติสัมปชัญญะของชายหนุ่มก็ดับหายไป...
+++++++++++
“เนลล่า หยุดได้แล้ว”
“ไม่เอาครับ”
“หยุด ก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหว”
“แล้วจะไปทนทำไมล่ะครับ”
“ก็แล้วจะให้ฉันตวาดใส่เธอจนตกน้ำไหมล่ะ!”
“ก็ตวาดมาแล้วไม่ใช่รึไงล่ะคร้าบบ!”คนโดนตวาดใส่โวยวาย สะดุ้งเฮือกอย่างแรงตอบสนองคำตวาดที่มาดังเอาใกล้ๆหูจนประสาทการฟังแทบพิการ แต่แม้กระนั้นแขนสองข้างก็ยังกอดแขนร่างสูงไว้แน่นไม่ปล่อย จนผู้ที่ถูกเกาะไว้ถึงกับต้องนวดขมับที่รู้สึกปวดขึ้นมาเสียเฉยๆ แล้วถอนหายใจยาวด้วยเลิกที่จะใส่ใจเสียที
ขณะนี้พวกเขากำลังอยู่บนเรือโดยสารขนาดหกคนนั่งที่แล่นตามถนนสายน้ำที่มีชื่อว่า"ฟรองซัวร์" ซึ่งกำลังแล่นตรงไปยังย่านจัตุรัสการค้าของเมืองลากูน่า..นครแห่งวารี เพื่อเริ่มตั้งต้นเสาะหาสิ่งที่ต้องการ ..หลังจากที่อาศัยคาราวานของไกร์จนเข้าถึงเมืองใหญ่แห่ง "ลีแลนซ์" แล้ว พวกเขาก็เข้าเมืองแล้วใช้บริการของวงเวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารเพื่อมายังเมืองลากูน่า แล้วก็นั่งเรือล่องตามน้ำมาเพื่อเข้าใจกลางเมือง..
ซึ่งเป็นปัญหาอย่างใหญ่หลวงสำหรับเนลล่า...
ส่วนสาเหตุก็ไม่ได้ใกล้ได้ไกลจนเดายากอะไร มันก็แค่ว่าเจ้าตัวดันว่ายน้ำไม่เป็นเท่านั้นเอง
อันที่จริง อิลเวสก็ไม่เข้าใจอาการกลัวน้ำของเนลล่าซักเท่าไหร่ เพราะถึงเจ้าตัวจะว่ายน้ำไม่เป็นจริง แต่ก็ชอบกระโดดลงน้ำเพราะแพ้ความร้อนบ่อยๆ และบางครั้งก็โดดลงไปในน้ำลึกเหมือนจะลืมไปว่าตัวเองว่ายน้ำไม่เป็นด้วย และบางครั้งเช่นกันที่ดูเหมือนจะหน้าซีดขึ้นมาเสียเฉยๆเพราะอาการหวาดกลัวบางอย่างจนร่างกายสั่นเทา แววตาไหวระริก แล้วก็มักจะนั่งซุกหน้าลงกับแขนเขาอยู่ร่ำไป
อาการกลัวแปลกๆที่เขาเดาสาเหตุไม่ออก..
เนลล่าสูดลมหายใจลึก ดวงตากวาดมองผืนน้ำที่ไหวระริก เด็กหนุ่มเกาะแขนอิลเวสแน่นเป็นที่พึงพิงท่ามกลางสายตาของคนที่นั่งอยู่ในเรือลำเดียวกัน ซึ่งเขาตัดสินใจที่จะไม่สนใจอีกต่อไปว่าคนพวกนี้จะเอาไปคิดอย่างไร เพราะตอนนี้สมองเขาชักทำงานติดขัดจนเบลอไปหมดแล้ว
เด็กหนุ่มรู้แก่ใจดีว่าไม่ได้เกลียดน้ำถึงแม้ว่าจะว่ายน้ำไม่เป็น แต่บางครั้งเขากลับรู้สึกแย่ขึ้นมาเสียเฉยๆเมื่อเจอเข้ากับน้ำบางที่โดยที่เขาไม่รู้สาเหตุ ..เพราะสิ่งที่ตอบสนองไม่ใช่สมอง แต่เป็นร่างกายที่จู่ๆก็มักจะขนลุกชันและหวาดกลัวขึ้นมาเฉยๆราวกับสัญชาตญาณสั่งให้เป็นไป
ที่จริงก็นึกสงสารอิลเวสอยู่เหมือนกันที่มีผู้ชายมากอดแขนตัวเองแบบนี้ ไม่รู้จะโดนคิดอย่างไร..แต่ช่วยไม่ได้จริงๆ
ก็คนมันไม่รู้จะหาที่เกาะตรงไหนนี่…
“ถึงแล้ว..เนลล่า”
เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขาวเหลือบม่วงลืมตามองท่าเรื่อที่ทอดยาวเป็นแนวออกไป ปรากฏเรือหลายลำผูกไว้กับท่อนไม้ที่วางตัวเรียงยาวปักลงบนผืนดินใต้น้ำ เรือโคลงเคลงเล็กน้อยด้วยผู้ที่โดยสารเรือมาด้วยกันค่อยๆทยอยลงจากเรือ เนลล่าที่เห็นดังนั้นจึงรีบกระโดดขึ้นฝั่งไปโดยทันที
ตุบ..
“เฮ่อ...รอดตาย”พึมพำแล้วนั่งลงกันพื้นหิน ถอนหายใจเฮือกแล้วลูบท้ายทอยตัวเอง
“เวอร์ซะจริง อ่อนแอชะมัดเลยเจ้าเด็กน้อยเอ๊ย...”คนที่ตามขึ้นมาทีหลังหัวเราะ ไม่ต้องเห็นก็รู้ว่าอีกฝ่ายเริ่มจะงอนเสียแล้ว
“ผมไม่ได้อ่อนแอซักหน่อย..”เอ่ยเสียงอ่อนระโหยขณะนั่งบนแผ่นหินขัดมันอันงดงามที่ปูลาดเป็นลวดลายบนจัตุรัสกลางเมืองลากูน่าอันเป็นศูนย์รวมของผู้คน รู้สึกได้ถึงมือหนาที่ขยี้เรือนผมสีขาวเหลือบม่วงอย่างเอ็นดูจนยุ่งเหยิง เจ้าของเนตรสีทับทิมลุกขึ้นยืนพร้อมเอามือของอิลเวสออก ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงทุ้มหวานที่ยังติดจะอ่อนระโหยอยู่ “แล้ว..จะไปหาข่าวยังไงดีล่ะครับเนี่ย”
“ความผิดเธอนั่นละ ที่ลืมถามภูติน้ำว่าจะหาเจอได้ยังไง”
“ก็จู่ๆโรเรลเขาก็หายไปแบบนั้นผมก็ขี้เกียจจะอัญเชิญมาถามอีกรอบนี่ครับ”
กล่าวพลางตีสีหน้าหน่ายใจ เนตรทับทิมมองไปรอบๆสำรวจใจกลางเมือง จัตุรัสแห่งนี้เป็นลานกว้างที่ถูกปูด้วยหินหลากสีเป็นลวดลายอันวิจิตรตระการตา ซึ่งเขาได้ยินมาว่าถูกสร้างขึ้นเพื่อความสะดวกสบายของผู้คนหลังจากที่น้ำเพิ่มระดับขึ้นจนตลาดเก่าหลายแห่งไม่อาจจะคงสภาพอยู่ได้ด้วยจมลงใต้น้ำไป รอบข้างรายล้อมด้วยบ้านคนซึ่งเป็นตึกสูงราวสามสี่ชั้น รวมถึงไกลออกไปนั้นเรียงรายไปด้วยร้านค้าซึ่งเป็นตลาดรวมสิ่งใช้สอยที่ผู้คนกำลังเดินจับข่ายสิ่งของกันขวักไขว่อย่างมีชีวิตชีวา
“จะว่าไป..ลากูน่าเป็นเมืองแห่งการค้าขายนี่นะครับ..เพราะว่ามีเส้นทางน้ำที่เชื่อมไปนครอื่นเยอะ ก็เลยเดินทางสะดวก”
“แล้วก็เป็นเมืองแรกๆที่เรามาตามหาข่าวด้วย แต่ก็คว้าน้ำเหลวกลับไป...."หรี่มองด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความไม่เชื่อในข้อมูลที่ได้มา เพราะลากูน่าเป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีข่าวลือเรื่องเวทย์มนตร์หรือตำนานอะไร เป็นเมืองที่มีวิทยาการด้านอื่นรุ่งเรืองกว่ามนตรา แต่ถึงกระนั้นในเมื่อเนลล่าไม่ฟังอะไรแล้วมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องเดินทางมาเป็นครั้งที่สอง ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ก่อนจะเสียงทุ่มนุ่มจะดังต่อไป "เอาเถอะ ดูเหมือนจะได้เศษเสี้ยวของผลึกวารีของภูตินั่นมาสินะ บางทีคราวนี้อาจจะมีอะไรก็ได้ เพราะมันอาจจะส่งกลิ่นอายถึงกัน ยังไงเราก็ลอง............”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!”
เสียงกรีดร้องดังกึกก้องมาจนทำให้ทุกร่างที่เดินกันอย่างขวักไขว้ชะงักกึก ผู้คนส่วนหนึ่งที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุเริ่มวิ่งกรูกันเข้าไปมุงดู เนลล่ายืนมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตรงไปยังจุดที่เสียงดังมาโดยไม่แม้แต่จะฟังคำห้ามปรามของอิลเวสแต่อย่างใด
“เจ้าเด็กนี่.....!”
ตึก..ตึก..
ตึก..
เสียงรองเท้าแตะลงบนพื้นดังกังวาน ร่างหนึ่งหยุดยืนอยู่ ณ จุดเกิดเหตุก่อนที่ผู้คนจะวิ่งตรงเข้ามามุงดู ภายในมุมอับแสงของซอกตึกแห่งถนนเลดเซ
ร่างนั้นสวมใส่อาภรณ์สีรัตติกาลทั่วกาย ..ชุดเดรสราตรียาวกรอมพื้นสีดำฟูฟ่องที่เต็มไปด้วยลวดลายอันวิจิตรงดงาม แขนยาวเรียวถูกปกปิดด้วยเสื้อแขนยาวที่ระบายออกบริเวณข้อมือ ร่างนั้นเคาะร่มผ้าสีดำที่สุภาพสตรีใช้กันแสงแดดลงกับพื้น ริมฝีปากแดงสดบนใบหน้าขาวซีดที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้าข่ายลูกไม้สีดำอ้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเหยียดริมฝีปากเป็นเส้นตรง แล้วใช้ร่มสีดำเขี่ยซากของสิ่งมีชีวิตตรงหน้าอย่างไม่พอใจ มือเรียวซีดขาวจับร่มไว้ด้วยกริยางดงาม ก่อนจะถอนหายใจแล้วพึมพำขึ้นอย่างแสนสุดจะรำคาญ
“ช่างเป็นการกระทำที่องอาจและน่ารังเกียจเสียจริง.....”
เสียงหวานกังวานราบเรียบดังคล้ายไม่พอใจ ก่อนจะกระชับร่มไว้ข้างกาย แล้วก้าวเดินออกจากมุมอับนั้นเมื่อผู้คนต่างกรูวิ่งกันเข้ามา ก่อนชายในชุดสีแดงโลหิตที่วิ่งเข้ามาเป็นคนแรกจะต้องถึงกับถลาลงไปกองกับพื้นเมื่อเห็นสิ่งตรงหน้าชัดเจนเต็มตา
“อุ๊บ….นี่มัน”
เนลล่าที่วิ่งตรงเข้าไปหอบหายใจเอาอากาศเข้าไป แม้ว่าจะเป็นเขตที่เต็มไปด้วยน้ำแต่อากาศดูเหมือนจะอ้าวอยู่หน่อยๆเพราะอยู่ใกล้เขตทะเลทรายอย่างลีแลนซ์ เนลล่าหยุดชะงักลงเมื่อถึงจุดที่ฝูงชนเริ่มอัดมุงดู เด็กหนุ่มร่างบางมองซ้ายมองขวาหาทางที่จะเดินเข้าไป แต่แล้วในวินาทีที่เนลล่าเตรียมที่จะแทรกฝ่าฝูงชนเข้าไป ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาจากฝูงชน
กริ๊ง..
ชั่ววินาทีนั้นดำเนินเชื่องช้าราวกับวินาที่ที่ผันผ่านพลันถูกยืดออกเป็นช่วงเวลาที่มีหน่วยเป็นนาที ผ้าคลุมหัวสีรัตติกาลที่มีลวดลายลูกไม้อันงดงามพลิ้วสัมผัสใบหน้ากลมของเจ้าของเนตรทับทิม เนลล่าเผลอหยุดชะงักมองตามด้วยกลิ่นของจัสมินที่ฉุนเตะจมูก ปรากฏร่างของหญิงสาวร่างโปร่งที่สวมชุดกระโปรงมิดชิดสูงศักดิ์สีดำ..ทั้งที่อากาศร้อนเกินกว่าจะสวมใส่ได้โดยไม่ทรมาน ที่สำคัญ ..ผิวของหญิงสาวซีด...ราวกับไม่เคยโดดแดดเผามาก่อนในชีวิต
ใบหน้านั้นหันมามองราวรับรู้ถึงการถูกสนใจ..ใบหน้าเรียวยาวสวยสง่าซึ่งมีดวงตาสีรัตติกาลเรียวคมประดับบนใบหน้า เรือนผมสีซีดถูกซ่อนไว้ใต้ผ้าคลุมสีดำที่แทบจะปิดทั้งใบหน้า ริมฝีปากแดงฉานนั้นอ้าเปิดขึ้น ก่อนจะพลันกระตุกยิ้มบางเบา
..และเมื่อชั่ววินาทีนั้นจบลง ร่างที่ปรากฏแก่สายตาก็พลันหายไป
เนลล่ากระพริบตางุนงง มองหาร่างของหญิงสาวผู้สวมใส่อาภรณ์รัตติกาลที่หายไปจากสายตาไปเสียแล้ว
..กลิ่นฉุนของดอกไม้ที่ไม่ควรฉุน...จัสมิน
กลิ่นหอม..ที่ดึงให้นึกถึงความทรงจำเก่าๆ...
สายลมที่โชยเอื่อย..
ดอกไม้สีขาวที่บานสะพรั่ง..
ร่างของคนที่หายไปแล้วไม่หวนคืน...
น้ำตาที่หลั่งรินโดยไร้ผู้ปลอบโยน...
กับกลิ่นหอมของจัสมินที่รวยระรินไม่จางหาย..
“ทุกคนถอยหน่อย!!”
เนลล่าสะดุ้งเฮือก หลุดออกจากภวังค์ของตน ทหารรักษาการณ์ประจำเมืองตะโกนลั่นแล้วเดินไปตามทางที่ฝูงชนแหวกให้เดินเข้าไปโดยมีเนลล่าที่แอบเดินตามไปด้วยอย่างเงียบๆ ก่อนจะพลันชะงักเมื่อพบต้นเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้น
"อุ๊บ..ใครเป็นคนทำกันนะ!”ทหารประจำการณ์พึมพำ ขมวดคิ้วมองด้วยความสยดสยองปนสังเวช ร่างของซากสิ่งมีชีวิตที่ถูกดับลมหายใจไปนั้นทอดกายนอนบนกองเลือดสีแดงสด ทั่วทั้งร่างกายถูกของมีคมเฉือนไปมาหลายจุดจนเลือดที่ไหลซึมออกมาปกคลุมร่างกายนั้นราวกับชุดราตรีสีแดง เรือนผมสีทองถูกกล้อนออกจนเกลี้ยงหัวแล้วจมลงบนกองเลือดเป็นสีแดงสด ดวงตาเบิกโพล่งราวต้องการประกาศก้งว่าความตายนี้มิได้ได้มาด้วยความเต็มใจ แต่ที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่านั้น คือเครื่องในและอวัยวะภายในที่ถูกควักออกมาวางเรียงรอบกายราวกับเครื่องประดับสีแดงสดของชุดราตรี..
“เอาอีกแล้วรึเนี่ย...!”
“นี่มันก็รายที่สามแล้วนะ ทหารยังจับมันไม่ได้อีกเหรอ”
“น่ากลัวจังเลย แบบนี้ก็แย่สิคะ เราจะเป็นเหยื่อรายต่อไปไหมนะ”
“ไม่หรอก ได้ข่าวว่า เหยื่อแทบทุกรายเป็นชายท่าทางผอมบางน่ะ”
เนลล่าฟังคำพูดเหล่านั้น ก่อนจะถูกกระชากคออย่างแรง
“เธอเป็นใครน่ะ!! ทำไมถึงเข้ามาดูซะใกล้แบบนี้ โรคจิตเรอะ ออกไปได้แล้ว!!”ทหารร่างยักษ์ผลักตัวเนลล่าออกไปอย่างแรงจนเด็กหนุ่มร่างบางล้มคว่ำลงกับพื้นหินอย่างจัง เนลล่าครางในลำคอ ก่อนเงาดำจะพลันปกคลุมที่เหนือศีรษะของตน
เนลล่าอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้น แล้วสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นเพื่อนร่วมทางของตนยืนจังก้ากอดอกมองลงมาด้วยสายตาคาดโทษชนิดไม่อาจให้อภัย
“เจ้า.....”
“เอ้อ..อิลเวสครับ ใจเย็นก่อนน้า...”
“เด็ก..............”
“อิลเวสคร้าบ..อิลเวสขา..เอ้อ...”
“งี่เง่า!!”
“ตายแล้ว หัวโนเชียวพ่อหนุ่ม เนลล่าสินะ ไปโดนอะไรมา”
“หกล้มหัวทิ่มพื้นมาน่ะครับ”
เด็กหนุ่มหัวเราะแห้งๆแล้วมองใบหน้าอูมของหญิงวัยกลางคนที่เอ่ยถาม..ใครจะไปกล้าบอกล่ะว่าอายุปูนนี้แล้วยังโดนเขกหัวทำโทษน่ะ
เนลล่าคิดในใจพลางนั่งกินเค้กสตอเบอรี่ที่เจ้าของร้านเอามาเสิร์ฟให้ตามที่สั่งไป มึนหัวไม่หายหลังถูกประเคนมะเหงกให้เต็มกบาลพร้อมคำด่าทอชนิดไม่เกรงใจใคร จนคนบ่นพอใจนั่นล่ะถึงโดนลากมานั่งหาอะไรกินสงบใจที่ร้านใกล้ๆเหตุการณ์ เนตรทับทิมช้อนขึ้นมองหน้าอิลเวสที่ดูเหมือนจะยังกรุ่นๆไม่หาย ก่อนจะต้องสะดุ้งแล้วหลบสายตาเมื่อนัยน์ตาคมกริบสีทองพลันมองมาอย่างคาดโทษในที
“.....อิลเวส”
“ใครใช้ให้เธอวิ่งไปโดยไม่รอฉัน”
“คือ......”
“ต้องรอให้บาดเจ็บสาหัสหรือมีเรื่องใช่ไหมถึงจะเชื่อฟัง”
“ขอโทษครับ..........”
“....................”หลังคำขอโทษกับท่าทีจ๋อยสนิทของอีกฝ่ายอิลเวสก็นิ่งไป อารมณ์โกรธที่เกิดจากความห่วงใยหายไปอย่างง่ายดาย ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจยาว ก่อนจะขยี้หัวที่ปกคลุมด้วยเรือนผมสีขาวเหลือบม่วงอย่างหมั่นไส้แกมเอ็นดู
“วันหลังอย่าวิ่งออกไปเองแบบนั้นอีก เข้าใจไหม?”
“ครับ..”
“นี่ พี่ชาย ไม่ต้องห่วงกันขนาดนั้นก็ได้นี่ ยังไงก็โตๆกันแล้ว อ๊ะ? หรือว่าเป็นพ่อลูกกันถึงได้ห่วงหากันขนาดนี้ ไม่ได้นา นานๆที่ต้องปล่อยลูกชายบ้าง อ๊ะ? หรือว่าเป็นเมีย”
..ปากปีจอ
เนลล่าหัวขวับหาคนพูดทันที ปรากฏร่างของชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเขียวส่องประกายที่เรือนผมชี้ไปมาไม่เป็นทรง ดวงตาสีอ๊อดอายส่องประกายความเจ้าเล่ห์ขณะกระดกเบียร์เข้าปากไป “ว่างาย?”
ท่าทางจะเมา....
“...ฉันไม่ได้อดอยากปากแห้งถึงขนาดจะเอาผู้ชายเป็นเมียหรอกนะ”อิลเวสกล่าวเสียงราบเรียบ ขมวดคิ้วมองก่อนจะทำเป็นไม่สนใจ สะกิดเนลล่าให้ไม่ต้องสนใจตามตน แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่เลิกรา
“ว่าอารายอย่างนั้นล่ะพี่ชายยย ดูซี่ เพื่อน อ๊ะ ลูก? เอ้อ จาอาไรก็ช่างเถอะ หมอนี่น่ะทั้งผิวสวย ทั้งอ้อนแอ้น แถมยังกินเค้กรสสตอเบอรี่อีก เป็นผู้หญิงหรือเปล่าเนี่ย ..”เอ่ยพลางเดินมา ทำท่าจะแตะต้องเนลล่าอย่างวิสาสะเพื่อพิสูจน์ แต่ก่อนที่จะทำอย่างนั้น เนลล่าก็ใช้แขนข้างที่ว่างกันเอาไว้เสียก่อน พร้อมกับจิ้มเค้กสตอเบอรี่กินต่อไป
“อย่ารบกวนคนจะกินเค้กสิครับ”คำพูดนั้นส่งผลให้ต่อมหงุดหงิดของชายที่ดื่มเบียร์เข้าไปเต็มที่ทะลุจุดเดือดทันที
“หนอย...........!”มือข้างที่ไม่ถูกกันไว้เอื้อมจะไปประทุษร้ายร่างแบบบาง แต่ก่อนที่จะถึงตัว ภาพทั้งหมดก็ตีลังกา ก่อนจะไปพบตัวเองหลังกระแทกลงกับพื้นโดยมีเด็กหนุ่มที่เขาปรามาสว่าอ้อนแอ้นน่าสัมผัสมองลงมาจากข้างบน โดนจับแขนเขาเอาไว้ในลักษณะที่ชูขึ้นไป
..นี่เขาโดนเด็กตัวแค่นี้จับตีลังกาทุ่มเรอะเนี่ย?
พลันริมฝีปากคู่สวยก็ยิ้มหวาน
ก๊อก!
กึก!
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก พอ พอแล้ว เจ็บบบบบบบบบบบ”
“แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอกครับ แค่จัดกระดูกเอง อ๊ะ ไหนๆก็ไหนแล้ว จัดทั้งตัวเลยละกัน ท่าทางจะไม่ค่อยออกกำลังกายนะครับเนี่ยตรงโน้นตรงนี้ยึดไปหมด เดี๋ยวผมจะจัดให้เป็นของตอบแทนที่มารบกวนผมตอนกินเค้ก กับที่หาว่าผมเป็นผู้หญิงก็แล้วกันนะ~”เอ่ยร่าเริงแล้วจับบิดตรงนู้นทีตรงนี้ทีจนคนโดนจัดกระดูกถึงกับร้องโหยหวนครวญคราง อิลเวสเอามือแตะหน้าผากแล้วส่ายหัวไปมา ก่อนจะหันไปสั่งเครื่องดื่มโดยไม่คิดสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นข้างๆกายตัวเองอีกต่อไป
“ขอเรมซิสอีกเหยือกแล้วกันครับ ..อืม เตรียมแอกอฮอลล์ราดก็ดี”
“เอ่อ..จ๊ะ”
.........
“จะว่าไป ก็สมควรแล้วละนะที่จะโดนเพื่อนเธอดุเข้าให้น่ะ”
หญิงสาวกล่าวขึ้นหลังจากที่ฟังเนลล่าพูดถึงสาเหตุที่โดนคนข้างๆเขกหัว กับโดนบ่นไฟแลบเข้าให้(เพราะอิลเวสดันหลุดปากบอกไป..) เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขาวเหลือบม่วงที่เพิ่งกลืนเค้กชิ้นสุดท้ายเสร็จเงยหน้าขึ้นมองด้วยความงุนงง ก่อนจะฟังเสียงหวานแหบของเจ้าของร้านกล่าวต่อไป
“การเข้าไปมุงดูแบบนั้นน่ะไม่ใช่เรื่องดีเลยนะจ๊ะ เกิดฆาตกรแอบซุ่มดูอยู่แถวนั้นล่ะจะทำยังไง ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาล่ะก็อาจจะวิ่งหนีไม่ทันเอานะ แถมเธอรูปร่างบอบบางอีกต่างหาก มันอันตรายนะรู้ไหม”
“รูปร่างบอบบาง? มันเกี่ยวกับอะไรด้วยล่ะ?”อิลเวสเอ่ยถามขึ้นขณะจรดปากแก้วน้ำ
“คือว่า ระยะนี้มีฆาตกรที่เล็งจะฆ่าแค่เด็กหนุ่มรูปร่างบอบบางน่ะจ๊ะ อย่างคดีที่ว่าเนลล่าคุงเข้าไปมุงก็คงเป็นฆาตกรรายเดียวกัน.....”
“มันเป็นฆาตกรที่ฆ่าได้อย่างอำมหิตที่สุด” สามีของเจ้าของร้านเดินออกมาจากด้านหลัง เขาเป็นชายหนุ่มร่างบึกบึนที่ไว้หนวดเครายาวเฟิ้ม ใบหน้าคมเข้มหากเนตรสีดำกลับเปล่งประกายความอ่อนโยน “แถมยังเฉือนที่นู่นที่นี่จนเลือดไหลเยิ้มไปทั้งตัวอย่างกับชุดสีแดง แล้วยังควักอวัยวะข้างในออกมาแผ่จัดเรียงซะเรียบร้อยด้วย นี่ไม่ได้ฆ่าแค่ศพเดียวนะ ตอนนี้มีเหยื่อติดกันสามศพแล้ว เธอเองระวังตัวไว้ก็ดี อย่าไปเข้าใกล้ถนนเลดเซด้วยล่ะ”
ว่าจบก็ขยี้หัวของเด็กหนุ่มร่างบางอย่างเอ็นดู
อืม...ทำไมถึงมีแต่คนชอบขยี้หัวเขาจังนะ
เนลล่าคิด แต่ก็กล่าวขอบคุณความห่วงใย
“ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ...แล้วก็เรื่องถนนเลดเซที่ว่านั่น..”
"เป็นถิ่นของมันน่ะ รู้สึกว่าสามศพที่ผ่านมาจะเกิดที่ถนนเลดเซ เป็นถนนที่ไม่ติดน้ำ รู้สึกว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมเก่าที่ไม่มีได้มีการก่อสร้างยกสูงอะไรในช่วงที่น้ำเข้ามาท่วมด้วย"
"ถ้าเป็นถนนที่ติดกับจตุรัสก็น่าจะมีคนเดินเยอะสิครับ?"เนลล่าเอ่ยสงสัย
"ไม่มีคนเดินเลยต่างหาก เพราะแถวนั้นเป็นบ้านร้างที่ไม่มีคนอาศัยน่ะ เรียกได้ว่าเป็นที่ร้างคนเลยทีเดียว อีกอย่าถนนมันก็กว้างด้วย เกิดเหตุทีก็วุ่นกันไป"
“..แล้วฆาตกรรายนี้มีชื่อไหม?”อิลเวสไต่ถามขึ้น หลังจากที่เงียบฟังอยู่นาน และได้คำตอบมาอย่างรวดเร็วจากคนที่นั่งโต๊ะไกลออกไปด้วยน้ำเสียงกะตือรือร้น
“ ฉันรู้ๆ ได้ยินพวกกวีตั้งชื่อให้อยู่!! รู้สึกจะตั้งชื่อว่า…
Red Lady(สุภาพสตรีสีแดง)”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกันล่ะครับ?”เนลล่าอุทานขึ้นมา
“ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”ชายคนที่ตะโกนชื่อออกมากล่าว
“ก็คงหมายถึง..การที่ฆาตกรคนนี้ทำให้เลือดสาดกระเซ็นทั่วร่างเหยื่อเหมือนชุดสีแดง แถมยังวางอวัยวะตามที่นู่นที่นี่ประดับประดาเป็นเครื่องประดับชุดราตรี เขาก็เลยเอาจุดนี้มาตั้งล่ะมั้ง...สุภาพสตรีที่คลั่งไคล้สีแดง...จนถึงกับใจดีเอาเลือดที่แดงสวยที่สุดมาทำชุดให้คนอื่นใส่”
เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมเดินเข้ามา ชายคนนั้นมีเรือนผมสีเขียวเช่นเดียวกับชายที่เด็กหนุ่มเนตรทับทิมทรมานไปก่อนหน้านี้ แตกต่างกันตรงทีเรือนผมสีเขียวเป็นประกายนั้นหยักศกเล็กน้อยและยาวเลยบ่าไปซักนิดพร้อมรวบไว้ที่ต้นคอ ดวงตาทั้งสองข้างมีสีเดียวกันคือประกายม่วงดุจอัญมณี ใบหน้าคมคาย ดวงตาเปล่งประกายความรักสนุก ร่างนั้นเดินเข้ามาด้วยท่าทีอันแสนมั่นใจและเต็มไปด้วยเล่ห์กล ก่อนจะกล่าวต่อไป “แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือเรื่องที่ไปฆ่าหนุ่มน้อยรูปร่างบอบบางนี่ล่ะ”
“...เป็นฆาตกรที่พิลึกจัง”เนลล่าพึมพำตอบรับคำกล่าวนั้น และชายคนนั้นก็ว่าคลอตามไป
“นั่นสิน้า”
“เนลล่า ไปกันได้แล้ว”อิลเวสผุดลุกขึ้น ดึงแขนเนลล่าให้ลุกตามกระซิบแผ่วเบา “เรายังต้องไปหาข่าวอีกไม่ใชรึไง”
“อ๊ะครับ”เนลล่าลุกขึ้นตามด้วยท่าทางงุนงง..ถามที่นี่ก็ได้ไม่ใช่หรือ
แม้จะสงสัย แต่ในเมื่อถูกลากให้ลุกขึ้นแล้วก็คงต้องเดินตามไป ดวงตามองไปยังเจ้าของร้านผู้แสนใจดีทั้งสองคนพร้อมยิ้มให้แล้วกล่าวต่อไป “ขอบคุณสำหรับอาหารอร่อยๆนะครับ”
“อันที่จริง แค่เค้กนะเนลล่า”หญิงสาวเจ้าขอิงร้านขยิบตา เรียบสีแดงให้เรื่อขึ้นบนใบหน้าหวานของเด็กหกนุ่มพร้อมเสียงหัวเราะแห้งๆที่ตามมา
“แฮะ..ๆ..”
“ไว้เจอกันอีกนะ”ชายเจ้าของเนตรสีม่วงกล่าวพร้อมโบกมือลาขณะที่เนลล่าและอิลเวสกำลังเดินออกจากร้านไป ดวงตาคมสีทองหันมามองแวบหนึ่งด้วยท่าทีไม่ไว้ใจ ก่อนจะก้าวเดินออกจากร้านไปโดยไม่ทันให้เนลล่าได้กล่าวคำตอบกลับไป
“พูดเหมือนจะได้เจอกัน ชื่อยังไม่รู้จักเลยไม่ใช่หรือไง?”บุรุษผมเขียวอีกคนที่โดนจัดกระดูกในร่างกายซะสบายตัว..ปนเจ็บหน่อยๆกล่าวพึมพำ ก่อนจะต้องแปลกใจเมื่อปรากฏรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าคมคายของชายหนุ่มผู้มีผมสีเดียวกับตน
“ไม่หรอก...
อีกไม่นานต้องเจอกันแน่ กับสองคนนั้นน่ะ”
........
“ถึงจะบอกให้หาก็เถอะครับ แต่ว่า....จะเริ่มจากตรงไหนล่ะครับเนี่ย!!”
ตะโกนพลางหันขวับไปทางคนที่จู่ๆก็ลากตนออกมาจากร้านโดยไม่คิดจะไถ่ถามสาวความเรื่องอะไรจากเจ้าของร้านทั้งสองคน ทั้งที่ใจจริงแล้วเนลล่าคิดจะลองถามถึงสถานที่ที่มีตำนานเกี่ยวกับเทพน้ำ วิหาร หรือไม่ก็หอสมุดซะหน่อย แต่ลองเดินออกมาอย่างนี้แล้ว จะไปถามใครได้อีกล่ะ!
แต่ถึงจะตะโกนไปก็ดูเหมือนคนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาจะไม่สนใจ เด็กหนุ่มจึงถอนหายใจ ผินหน้าเข้าไปในร้านอีกครั้ง“ผมจะเข้าไปถามเขา”
“อย่าเข้าไป”
เนลล่ามองมือของชายหนุ่มที่ฉุดแขนเขาไว้
“มีเหตุผลอะไรครับ” เอ่ยเสียงขุ่น ดวงตาสีทับทิมสวยยังคงมองชายร่างสูงที่ยืนข้างกายด้วยสายตาคาดโทษอยู่ เมืองลากูน่าไม่ใช่ที่ที่มีคนชุกชุม ส่วนที่มีผู้คนเดินไปมามีเพียงแค่ส่วนจัตุรัสกับที่เปิดโล่งสาธารณะบางแห่งเท่านั้นนั้นที่ผู้คนใช้พักผ่อนหย่อนใจกัน แต่ตอนนี้ที่ที่พวกเขายืนอยู่เป็นแค่ถนนริมน้ำส่วนมุมที่มีร้านเหล้าเล็กๆตั้งอยู่นั่นเอง ..นอกจากนี้ มันเป็นเรื่องยากพอสมควรจากการไปที่ไหนในเมืองโดยไม่มีเรือ แต่สำหรับเขาแล้วการนั่งเรือก็เหมือนกับการทรมานร่างกายตัวเองนั่นล่ะ แต่ถ้าต้องเดินตามถนนเลียบน้ำที่อ้อมไปนู่นทีไปนี่ที เขาก็ไม่เอาเหมือนกัน!
อิลเวสมองสายตากึ่งโกรธของเนลล่าด้วยความลำบากใจ ก่อนจะถอนหายใจยาว
“...เดี๋ยวค่อยลองเดินถามเอาแล้วก็ได้”เสหน้าจากแววตากรุ่นโกรธแล้วกล่าวขึ้น มือหนาคลายแขนเรียวบางออกแล้วยกขึ้นคลึงส่วนดั้งของตนคล้ายปวดหัวหน่อยๆ “อันที่จริง มันไม่น่าไว้ใจตั้งแต่ที่ภูติตนนั้นพูดอยู่แล้ว”
“กำลังจะบอกว่าโรเรลโกหกหรือครับ?”เนลล่ากล่าวเสียงสูง ความโกรธปะทุลุกโชติช่วง
“หรือว่าไม่ใช่?”
“มีเหตุผลอะไรที่จะต้องหลอกเราหรือครับ หรือว่าอิลแค่พาลไปเฉยๆ? จู่ๆทำไมถึงออกจากร้านมาทั้งที่ไม่มีเหตุอะไร!! ผมไม่ว่าหรอกนะถ้าจะรีบออกมาหาข่าวเพราะผมผิดเองที่รีบ แต่นี่ข่าวสารก็ยังไม่ได้ถาม อิลเวสเป็นบ้าอะไรกันแน่ครับ!”
“ในนั้นมีคนไม่น่าไว้ใจอยู่ฉันถึงต้องรีบออกมาไงเล่า!!”
“แล้วใครล่ะที่มันไม่น่าไว้ใจน่ะ!!! อิล!”
การสนทนาถูกหยุดไว้ครู่หนึ่ง
อิลเวสลังเลที่จะพูด ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียดแล้วเสยผมตัวเองขึ้นไป
“ถึงจะแค่นิดเดียว...มีกลิ่นเทวดา”อิลเวสกล่าว เสหน้าไปมองทางอื่นด้วยใบหน้าตึงเครียด ส่วนเนลล่าหน้าถอดสี อึ้งไปพักใหญ่แล้วหายใจเข้าออก เข้าใจในทันทีถึงความรีบร้อนของอีกฝ่าย
เทวดา กับยมทูต ปรปักษ์ของผู้พรากความตาย
น่าเจ็บใจที่ผู้พรากความตายต้องมาเป็นศัตรูของพวกต่างภพถึงสองประเภท เทวดาบนสวรรค์ ยมทูตใต้นรก ..ถึงแม้ว่าจะมีสนธิสัญญาที่ห้ามข้ามล้ำเส้นกันรวมถึงต้องมีการทำงานร่วมกันตามกฎที่กำหนดไว้ แต่สามเผ่าพันธุ์ก็ไม่หวังจะอยู่ใกล้กันอยู่ดี
ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดก็คงจะเป็นผู้พรากความตายที่ทำลายกฎเกณฑ์วัฏจักรโลก ด้วยการกินความตาย เพราะแม้แต่ตอนนี้ ยมทูตและเทวดาก็ยังพร้อมที่จะหาข้ออ้างเพื่อทำลายสนธิสัญญาเสมอ
“...........แล้วทำไมถึงเพิ่งมาบอกล่ะครับ!”
แม้เข้าใจถึงเหตุผลแล้วแต่ยังไม่หายโกรธ อิลเวสหันมามองใบหน้าหวาน ตั้ง ใจจะหาข้อแก้ตัวแย้งไป แต่แล้วก็ต้อถอนหายใจยาว แล้วยกมือยอมแพ้อย่างจนหนทาง
“เออ โอเคๆ ฉันผิดเอง..”
เนลล่ามองใบหน้าคมด้วยสายตาที่ความโกรธเคืองยังไม่หายไป แต่แล้ว กลิ่นที่แสนคุ้นเคยก็ต้องจมูกอีกครา
จัสมิน..แต่คราวนี้อ่อนหวานและเบาบาง
กริ๊ง...
เสียงของกระดิ่งดังมาจากเบื้องหลังอิลเวส...
กริ๊ง...
เวลาเดินช้าลงอีกครา ความรู้สึกเย็นเยียบสัมผัสผิวกาย สายลมพลิ้วไหวอย่างเงียบสงบ..
ดวงตาคู่งามสีทับทิมมองทอดออกไปเบื้องหลังของอิลเวส เสียงกระดิ่งยังดังกังวานในโสตประสาทแม้ไม่ต้องการ
และแล้วปรากฏร่างหนึ่งกำลังเดินผ่าหัวมุมถนนไป
...หญิงสาวคนนั้นสวมใส่ชุดเดรสฟูฟ่องสีดำดุจสุภาพสตรีชั้นสูงในเมืองอันหรูหราที่ไหนซักแห่ง เรือนผมที่พลิ้วไสวถูกปกปิดด้วยผ้าคลุมลูกไม้สีเดียวกับชุดเดรสสีดำ ร่างนั้นผินใบหน้ามอง แสยะยิ้มให้ด้วยริมฝีปากแดงสดดุจกลีบดอกกุหลาบ ก่อนจะพลันหายตัวเจ้าหลืบมุมไป
เสียงหนึ่งดังหลอนกังวานในแก้วหู..
พร้อมกับกลิ่นของจัสมิน..
เนลล่า...
รอยยิ้ม..ที่หายไปในคืนที่สายฝนพร่างพรม
“เนลล่า..? เป็นอะไร”อิลเวสที่สังเกตเห็นความผิดปรกติเอ่ย มองใบหน้าที่ประดับด้วยดวงตาสีทับทิมซึ่งกำลังเบิกกว้างราวกับเจออะไรบางอย่างที่น่าตกใจ ร่างกายเพรียวบางสั่นชั่วครู่ ก่อนจะพลันพึมพำขึ้นมา
“ทำไม....”
ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึง.......!
พลั่ก!
“เนลล่า!”อิลเวสตะโกนเรียกเมื่อร่างของเด็กหนุ่มผมขาวพลันชนเขาแล้ววิ่งไปทางถนนที่อยู่เบื้องหลัง อิลเวสมองตามด้วยสายตางุนงงระคนหงุดหงิด ก่อนจะสบถพึมพำออกมาเสียงดัง ขยี้ผมตัวเองด้วยความโมโหไม่ชอบใจ ก่อนจะออกวิ่งตามไปโดยไม่รีรอ
แฮ่ก..แฮ่ก...
กริ๊ง..
เสียงกระดิ่งกำลังดังไกลออกไปทุกที ร่างนั้นวิ่งอยู่ตรงหน้าเขาห่างไปราวสี่ห้าเมตรแต่ยังอยู่ในสายตา กลิ่นหอมของจัสมินและเสียงกระดิ่งเป็นตัวนำทางให้เขาวิ่งต่อไป
..ตามมาทำไม?
เพราะมีกลิ่นของจัสมิน? เพราะว่าหล่อนเดินออกมาจากที่เกิดเหตุฆาตกรรม? เพราะว่าหล่อนดูไม่น่าไว้ใจ?
เพราะว่าหล่อนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องในการฆาตกรรม..ที่ไม่ได้เกี่ยวกับเขาและเรื่องที่เขาตามหา?
หัวสมองประมวลได้ว่าไม่ใช่เรื่องของตนที่จะต้องวิ่งตาม ไม่ใช่เรื่องของเขาที่จะตามจับเพื่อหาข่าวคนร้ายในคดีฆ่าคน..
..แต่กระนั้นร่างกายกลับวิ่งตาม
..กลิ่นนั้น..กลิ่นนั้นมัน..
เนลล่า เนลล่า อย่าร้องไห้สิครับ อ๊ะ เอาอย่างนี้ดีกว่า
เอาดอกไม้ไปสิครับ แล้วจำไว้นะ
ว่าถ้าได้กลิ่นของจัสมินล่ะก็ นึกถึงผมแล้วหยุดร้องไห้ซะนะครับ
เพราะจัสมินเป็นสัญลักษณ์ของผมเอง
นั่นมันกลิ่นของเรย์!!
หมับ!
“เนลล่า ทำอะไรน่ะ!”ชายหนุ่มร่างสูงจับแขนของเนลล่าได้ในที่สุดหลังจากที่ร่างนั้นออกวิ่งมาโดยไม่สนใจจะรอเขาแต่อย่างใด ดวงตาสีทองคมขมวดคิ้วยามเห็นนัยน์ตาสีทับทิมเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา แววเนตรดูเหม่อลอยราวกับหายไปในที่ไกลโพ้น..ไกลออกไปจากที่ที่เขายืนอยู่
เด็กหนุ่มหันมองไปตามร่างที่กำลังวิ่งตาม ก่อนจะสะบัดแขนออกจากการเกาะกุม “ปล่อยผม!!”
อิลเวสมองมือที่ถูกสะบัดออก ก่อนจะเสยผมอย่างหงุดหงิดอีกครั้ง แล้วสบถลั่นอย่างไม่เกรงใจใคร
“เนลล่า ไอ้เด็กบ้า!”
อิลเวสสบถ ก่อนจะวิ่งตามร่างของคู่หูตัวเองไป
....
.......
...
เรย์ เรย์ฮะ ทำไมกลิ่นของเรย์ถึงเป็นกลิ่นดอกไม้ล่ะฮะ?
อืม..มันเป็นกลิ่นที่ติดตัวผมมาตั้งนานแล้วล่ะ แล้วก็..
เป็นสัญลักษณ์เพื่อให้คนคนหนึ่งตามหาผมเจอ
ความคิดเห็น