ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Book1 Act 1 Part 3
ขณะเดียวกัน ณ ดินแดนทางตะวันออกที่อีกฟากหนึ่งของทะเล มีชายอีกคนที่ได้รับรายงานจากสายลับในอังกฤษเช่นเดียวกันกับคิริทสึงุ
เนื่องจากเป็นจอมเวทพันธุ์แท้ โทซากะ โทคิโอมิ จึงไม่ค่อยชำนาญเทคโนโลยีของโลกปัจจุบันเท่าคิริทสึงุ แต่เขาชำนาญวิชาลับสื่อสารระยะไกลของตระกูลโทซากะ เวทสายอัญมณีที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น
อาคารสูงในมิยามาโชของฟุยูกิคือคฤหาสน์ของโทซากะ ณ ห้องทำงานของโทคิโอมิซึ่งอยู่ใต้ดินมีอุปกรณ์ในการทดลองที่เรียกว่า ลูกตุ้มดำ ติดตั้งไว้ ความแตกต่างระหว่างการทดลองฟิสิกส์ตามปกติกับการทดลองนี้ก็คือ ภายในลูกตุ้มที่เรียงรายกันนี้มีอัญมณีเวทมนตร์ที่เป็นมรดกของโทซากะบรรจุอยู่ มันถูกสร้างให้น้ำหมึกที่ไหลลงมาตามเส้นลวดนั้นเคลือบตัวอัญมณีได้พอดิบพอดี
หินที่เคยติดอยู่กับอัญมณีตอนนี้อยู่ที่สายลับของโทซากะ ถ้าเอาหินที่ว่านี้ไปวางไว้ข้างๆลูกกลิ้งแล้วเขียนอะไรสักอย่าง อัญมณีในลูกตุ้มที่เป็นคู่ของมันจะสั่นกระเพื่อม หมึกที่หยดลงมาก็จะกลายเป็นข้อความที่สมบูรณ์แบบและแทบจะไม่ผิดพลาดปรากฎขึ้นบนม้วนกระดาษด้านล่าง ที่ว่ามานี้คือวิธีการทำงานของมันนั่นเอง
ขณะนี้อัญมณีในลูกตุ้มกับหินในถุงมือที่อีกฟากโลกในลอนดอนกำลังเชื่อมต่อและกระเพื่อมอยู่ ตอนแรกมันก็ขยับมั่วๆซ้ำไปซ้ำมาแต่ไม่นานตัวอักษรของรายงานก็เริ่มอ่านรู้เรื่องและปรากฎชัดเจน
โทคิโอมิสังเกตุเห็นจึงรีบหยิบกระดาษขึ้นมาโดยไม่รอให้หมึกแห้ง และเริ่มอ่านสิ่งที่บันทึกอยู่ในนั้น
"--จะดูเครื่องนี้สักกี่ครั้ง ชั้นก็ไม่ค่อยไว้ใจมันเลย"
โคโตมิเนะ คิเรย์ ซึ่งยืนอยู่ข้างๆแสดงความน้อยใจออกมา
"อ้าว คิดว่าถ้าใช้เครื่องแฟกซ์จะดีกว่ารึไง?
ถ้าใช้เจ้านี่ก็ไม่ต้องกลัวไฟดับแถมเครื่องไม่มีทางเสีย แล้วก็ไม่ต้องกลัวโดนจับได้อีก จอมเวทอย่างพวกเรามีอุปกรณ์ที่ทำได้ไม่น้อยกว่าเครื่องมือสมัยใหม่โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีพวกนั้นมาตั้งนานแล้ว"
ถึงกระนั้น คิเรย์ก็เห็นว่าเครื่องแฟกซ์ที่ใครๆก็ใช้ได้นั้นสะดวกกว่า "ไม่ว่าใคร"ก็ใช้มันได้ คงเป็นเรื่องที่โทคิโอมิไม่มีวันเข้าใจ เรื่องนี้เป็นเหตุให้เทคนิคและความรู้ของชนชั้นสูงกับคนสามัญแตกต่างกัน... แม้จะเป็นยุคปัจจุบัน โทคิโอมิก็ยังคงคิดแบบหลงยุคว่าตัวเองเป็น"จอมเวท"พันธุ์แท้
"ข่าวล่าสุดจาก 'หอนาฬิกา' ลอร์ดเอล-เมลลอยผู้ 'ปราดเปรื่อง' ดูเหมือนจะได้วัตถุโบราณที่หายไปคืนมาแล้ว ถ้าข่าวนี้เป็นความจริงเขาจะต้องเข้าร่วมงานนี้อย่างแน่นอน อืม เป็นคู่ต่อสู้ที่โค่นได้ลำบากจริงๆ งั้นก็ชัดเจนแล้วว่ามีมาสเตอร์ห้าคนถ้ารวมชั้นไปด้วย..."
"ที่น่าเป็นห่วงคืออีกสองตำแหน่งที่ตอนนี้ยังว่างอยู่"
"ทำไมล่ะ นี่ก็หมายความว่าไม่มีใครเหมาะสมกับเรย์จูแล้ว ถึงเวลานั้นจอกจะสุ่มหาคนมาใส่ให้ครบเจ็ดคนโดยไม่คำนึงคุณภาพ แปลว่าจะมีตัวประกอบอยู่สองคน ไม่เห็นต้องระวังอะไรเลย"
ช่างเป็นความคิดในแง่ดีสมกับเป็นโทคิโอมิซะจริงๆ ได้เป็นลูกศิษย์มาสามปี คิเรย์จึงเข้าใจความคิดความอ่านของอาจารย์ของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง แม้เตรียมตัวมาดีแค่ไหนเขาก็มักจะพลาดรายละเอียดเล็กๆน้อยๆตอนลงมือทุกที และคนที่จะจัดการกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ว่าก็คือเขานั่นเอง คิเรย์เข้าใจเรื่องนี้มานานแล้ว
"พูดถึงเรื่องระวัง--คิเรย์ ไม่มีใครเห็นตอนนายเข้ามาในบ้านนี้ใช่มั้ย? จริงๆแล้วเราต้องเป็นศัตรูกันนะ"
ตามแผนที่โทซากะ โทคิโอมิวางเอาไว้ ข้อเท็จจริงกำลังปั่นป่วนและแพร่กระจายออกไป จอกนั้นเลือกคิเรย์ตั้งแต่สามปีที่แล้ว แต่เขาซ่อนเครื่องหมายในมือขวาไว้อย่างมิดชิดตามคำสั่งของโทคิโอมิจนถึงเดือนนี้ที่เขาเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องเรย์จูบนมือของเขาด้วยตัวเอง ตั้งแต่นี้ไปเขาตัดสัมพันธ์กับโทคิโอมิในฐานะผู้แย่งชิงจอก
"ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ว่าจะมองเห็นหรือไม่ ที่นี่ก็ไม่มีข้ารับใช้หรือเวทสำรวจ ชั้น--"
"--ชั้นขอรับรอง"
เสียงของบุคคลที่สามแทรกเข้ามา พร้อมๆกับเงาดำที่ปรากฎตัวขึ้นด้านข้างคิเรย์
วิญญาณวีรชนที่ติดตามคิเรย์ด้วยร่างวิญญาณมาตลอด ตอนนี้เขาปรากฎตัวออกมาต่อหน้าต่อตาโทคิโอมิ
ร่างเงาที่ผอมสูงนั้นมีพลังปราณสูงกว่ามนุษย์ธรรมดา เขาคือ"อะไรบางอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์" คนที่ประหลาดสวมเสื้อคลุมดำยาวกับหน้ากากรูปหัวกระโหลกปกปิดตัวจริงไว้
ใช่แล้ว เขาคือวิญญาณวีรชนคนแรกที่ถูกอัญเชิญมาในเฮเว่นฟีลครั้งที่สี่ เซอร์แวนท์แอซซาซินที่ทำพันธสัญญากับโคโตมิเนะ คิเรย์— ฮัซซาน ไอ ซับบาห์
"ไม่ว่าพวกนั้นจะมาไม้ไหน ก็ไม่อาจรอดสายตาของข้า -- ของวีรชนฮัซซานไปได้ ท่านคิเรย์มาสเตอร์ของข้าไม่มีร่องรอยการถูกติดตามแม้แต่น้อย... โปรดสบายใจได้"
เหมือนจะรู้ว่าสถานะของโทคิโอมิอยู่เหนือโคโตมิเนะ คิเรย์มาสเตอร์ของตน แอซซาซินโค้งตัวรายงานอย่างนอบน้อม
จากนั้นคิเรย์ก็พูดต่อ
"เมื่อวิญญาณวีรชนถูกจอกอัญเชิญมาและปรากฎตัวขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคลาสใดก็จะถูกรายงานตรงไปที่พ่อโดยไม่ตกหล่นอย่างแน่นอน"
หลวงพ่อริเซย์เป็นที่ปรึกษาของเฮเว่นฟีลด้วยการแต่งตั้งจากผู้นำของเหล่าบาทหลวงและถูกย้ายมาประจำที่โบสถ์ฟุยูกิ ปัจจุบันเป็นเจ้าของอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ชื่อ "กระดานวิญญาณ" มันสามารถแสดงคุณลักษณะของวิญญาณวีรชนที่จอกอัญเชิญมาได้
รูปพรรณสัณฐานของมาสเตอร์ต้องอาศัยการรายงานจากผู้คนเท่านั้น แต่จำนวนและคลาสของเซอร์แวนท์ที่ปรากฎออกมา ไม่ว่าถูกอัญเชิญมา ณ ที่ใดก็จะแสดงบน "กระดานวิญญาณ" อย่างแน่นอนเพื่อให้ที่ปรึกษาควบคุมสถานการณ์ได้ง่ายขึ้น
"ตามข้อมูลของพ่อ แอซซาซินของชั้นเป็นเซอร์แวนท์คนเดียวในตอนนี้ที่ถูกอัญเชิญมา จอมเวทคนอื่นยังไม่ได้เริ่มลงมือ"
"ใช่ แต่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นเอง ไม่ช้าก็เร็วต้องมีข้ารับใช้หรือมาสเตอร์มาป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆห้องนี้ เพราะที่นี่กับคฤหาสน์มาโต้ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นที่อยู่ของมาสเตอร์เช่นเดียวกับที่พำนักของไอนส์เบิร์น"
หากเทียบกับสามตระกูลหลัก จอมเวทจากภายนอกได้เปรียบด้านที่ซ่อนตัวซึ่งไม่มีใครรู้ เพราะแบบนี้ไม่ว่าตระกูลไหนก็ต้องส่งสายสืบออกลาดตระเวนในเฮเว่นฟีลซะตั้งแต่เนิ่นๆ
ไม่ใช่ว่าคิเรย์ไม่ไว้ใจระบบข่าวสารของโทคิโอมิ พวกเขาแค่ระวังไว้ก่อนเพราะยังมีความเป็นไปได้ที่มาสเตอร์ลึกลับอีกสองคนที่เหลือจะใช้วิธีการที่รอบคอบในการซ่อนตัว ถ้าต้องสู้กับคู่ต่อสู้ประเภทนี้เซอร์แวนท์แอซซาซินของคิเรย์จะสามารถสำแดงพลังจนถึงขีดสุดได้
"เจ้าไปได้แล้ว แอซซาซิน เฝ้ายามด้านนอกต่อไปและจงระวังให้มาก"
"ขอรับ"
แอซซาซินรับคำสั่งของคิเรย์แล้วเปลี่ยนร่างเป็นวิญญาณออกจากห้องไป กับเซอร์แวนท์ที่เป็นร่างวิญญาณตั้งแต่แรก การสลับไปมาระหว่างร่างวิญญาณกับกายเนื้อนั้นเป็นเรื่องที่สามารถทำได้
แอซซาซินมีพลังพิเศษในการ "ซ่อนตัวตน" ที่วิญญาณวีรชนคลาสอื่นไม่สามารถทำได้ เรื่องการเคลื่อนไหวไม่ให้ใครจับได้นั้นไม่มีใครเทียบเขาได้อยู่แล้ว
สำหรับคิเรย์ที่ไม่ได้ต้องการชัยชนะ แต่ถูกกำหนดให้เป็นกำลังเสริมของโทคิโอมิ การอัญเชิญได้แอซซาซินถือว่าเยี่ยมที่สุดแล้ว
นี่คือแผนที่จะใช้สู้
ก่อนอื่นให้แอซซาซินของคิเรย์ออกไปสำรวจยุทธวิธีรบของมาสเตอร์คนอื่นๆและจุดอ่อนของเซอร์แวนท์ของพวกเขา จากนั้นพอคำนวณหนทางสู่ชัยชนะสำหรับแต่ละคนเรียบร้อยแล้ว เซอร์แวนท์ของโทคิโอมิก็จะจัดการเก็บทีละคนตามแผนที่วางไว้
ฉะนั้นโทคิโอมิจะต้องอัญเชิญเซอร์แวนท์ที่มีความสามารถในการโจมตีสูง และเพื่อวิญญาณวีรชนที่เขาหมายตาไว้ คิเรย์เองก็พึ่งจะเคยได้ยินเขาพูดเรื่องนี้
"โบราณวัตถุที่ชั้นเตรียมไว้จะมาถึงตอนพรุ่งนี้เช้า"
ราวกับจะรู้ว่าคิเรย์กำลังสงสัยอะไร โทคิโอมิพูดโดยไม่รอให้เขาเอ่ยปาก
"ชั้นเจอสิ่งที่ชั้นเล็งไว้แล้ว เซอร์แวนท์ที่ชั้นอัญเชิญต้องได้เปรียบคู่ต่อสู้ทุกคนแน่ ในหมู่วิญญาณวีรชนต้องไม่มีใครชนะหมอนี่ได้อยู่แล้ว"
โทคิโอมิกำลังมีความสุข ใบหน้าของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจสุดขีดที่เขาเกิดมาคู่กับมัน
"ชั้นจะทำพิธีอัญเชิญคืนนี้ -- ถ้าไม่มีมาสเตอร์คนอื่นมาสอดแนมเรา คิเรย์นายอยู่ดูกับพ่อของนายก็ได้นะ"
"พ่อด้วยเหรอครับ?"
"ใช่ ถ้าเราอัญเชิญ 'เขา' ออกมาได้สำเร็จ ชัยชนะก็อยู่ตรงหน้าเราแล้ว ชั้นอยากเผื่อแผ่ความสุขนี้ให้กับทุกคนยังไงล่ะ"
ความหยิ่งทะนงอย่างเห็นได้ชัดของเขานั้นพูดได้ว่ามาจากกรรมพันธุ์และความเห็นแก่ตัวที่สูงลิบลิ่วของโทซากะ โทคิโอมิ ตัวคิเรย์รู้สึกว่ามันจะน่าเกรงขามก็ไม่ใช่ น่าเลื่อมใสก็ไม่เชิง
ตอนนั้นเองที่คิเรย์สังเกตุเห็นอัญมณีบนลูกตุ้ม อัญมณียังคงเคลื่อนไหวไม่หยุด มันยังเขียนอยู่
"ดูเหมือนจะยังไม่หมดนะ"
"ใช่ อ่า นี่เป็นรายงานการสำรวจอีกทางด้านนึง ไม่ใช่ข้อมูลใหม่อะไร -- คงเป็นเรื่องที่ชั้นขอให้เขาสำรวจมาสเตอร์ของไอนส์เบิร์นน่ะ
ข้อมูลของตระกูลไอนส์เบิร์นที่ตัดขาดจากโลกภายนอกนั้นถือว่าหาได้ยากมากแม้แต่ในหอนาฬิกาที่ลอนดอน แต่โทคิโอมิเคยบอกไว้นานแล้วว่ามีเงื่อนงำของมาสเตอร์คนนี้อยู่ โทคิโอมิหยิบม้วนกระดาษแผ่นนั้นไปกางบนโต๊ะเขียนหนังสือ จากนั้นก็อ่านข้อความใหม่ในกระดาษ
"...มันเป็นเรื่องเมื่อเก้าปีก่อนน่ะ ไอนส์เบิร์นที่ภูมิใจในสายเลือดจอมเวทบริสุทธิ์ของตัวเองรับจอมเวทจากภายนอกเข้ามาเป็นลูกเขย ส่งผลให้ทางสมาคมจัดอภิปรายกันยกใหญ่ แต่คนที่มองความจริงในเรื่องนี้ออกนอกจากชั้นคงมีแต่หัวหน้าบ้านมาโต้เท่านั้นที่รู้
จอมเวทของตระกูลไอนส์เบิร์นที่เก่งแต่การแปรธาตุไม่เหมาะกับการต่อสู้ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะงั้นพวกเขาเลยพ่ายแพ้ในเฮเว่นฟีลครั้งก่อนๆ คิดว่าคนพวกนั้นคงจะทนไม่ไหวแล้ว
แถมจอมเวทที่พวกเขาเจอก็ดูจะ 'ได้ดั่งใจ' จริงๆซะด้วย"
หลังจากอ่านไปคุยไป โทคิโอมิก็ส่งกระดาษให้คิเรย์ พอเห็นหัวข้อ "รายงานการสำรวจ: เอมิยะ คิริทสึงุ" คิเรย์ก็หยีตามอง
"ชื่อนี้... ชั้นว่าชั้นเคยได้ยินมาก่อน รู้สึกว่าจะเป็นคนที่อันตรายทีเดียว"
"อ้อ ทางโบสถ์เคยได้ยินเรื่องนี้มั้ย? 'มือสังหารจอมเวท' เอมิยะที่กำลังลือกระฉ่อนกันในตอนนี้น่ะ ถึงจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับสมาคมอย่างเป็นทางการแต่จริงๆแล้วเป็น 'เครื่องประหาร' ระดับสูงของสมาคมเลยทีเดียว"
"ถ้าพูดแบบภาษาโบสถ์ เค้าก็เป็นเพชฌฆาตคนนึงสินะ?"
"ที่จริงแย่กว่านั้นเยอะ หมอนั่นเป็นมือสังหารรับจ้างที่ถูกฝึกมาเป็นพิเศษสำหรับสังหารจอมเวท เพราะมีแต่จอมเวทเท่านั้นที่จะเข้าใจจอมเวทด้วยกัน เขาก็เลยใช้วิธีที่ขัดกับกฎของจอมเวทที่สุดในการฆ่าเหล่าจอมเวท... เขาเป็นคนที่ใช้แผนการชั่วร้ายมากมายให้เป็นประโยชน์กับตัวเองได้อย่างหน้าด้านๆ"
น้ำเสียงของโทคิโอมิแสดงความเกลียดชังออกมาอย่างชัดเจน กระนั้นคิเรย์กลับเบนความสนใจไปยังชายที่ชื่อเอมิยะ คิริทสึงุ เขาเคยได้ยินข่าวลือเรื่องชายคนนี้มาก่อน ดูเหมือนในอดีตเขาเคยขัดแย้งกับทางโบสถ์และหลายๆคนก็บอกให้เขาระวังชายคนนี้เอาไว้ด้วย
คิเรย์อ่านข้อมูลที่เขาได้รับมา บันทึกส่วนใหญ่เป็นข้อมูลการสำรวจยุทธศาสตร์การต่อสู้ของเอมิยะ คิริทสึงุ -- คดีคนหายกับอุบัติเหตุต่างๆของจอมเวทที่เชื่อว่าเขาเป็นคนสังหาร แต่เรื่องหลักๆก็คือวิเคราห์หลักการของเขา ยิ่งอ่านไปเรื่อยๆคิเรย์ก็ยิ่งเข้าใจว่าทำไมโทคิโอมิถึงได้เกลียดชายคนนี้ การลอบจู่โจมและลอบสังหารเป็นเพียงเศษเสี้ยวของเขาเท่านั้น
วางระเบิดในที่ชุมชน สอยเครื่องบินตกทั้งๆที่มีผู้โดยสารอยู่มากมาย รายงานหลายๆเรื่องนั้นนับว่าไม่น่าเชื่อเลย แถมยังมีความน่าจะเป็นว่าโศกนาฏกรรมในอดีตที่รัฐบาลประกาศว่าเป็นฝีมือผู้ก่อการร้าย แท้จริงแล้วเป็นอาชญากรรมที่คิริทสึงุก่อขึ้นเพื่อเก็บจอมเวทเพียงคนเดียว แม้จะไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์แต่ถ้าดูตามข้อมูลนี้มันก็น่าเชื่ออยู่
มือสังหาร ถือเป็นคำที่เหมาะสมจริงๆ การที่จอมเวทต้องมาปะทะกันจนตายไปข้างนับว่าเป็นเรื่องปกติ ยังไงก็ตามมันคือการแข่งขันทางเวทมนตร์ที่ใสสะอาดและมักจะตัดสินกันด้วยธรรมเนียมการต่อสู้ที่ยึดถือกันมา พอพูดแบบนี้ ถึงจะเรียกเฮเว่นฟีลว่า "สงคราม" มันก็ไม่ใช่การฆ่ากันอย่างมั่วซั่ววุ่นวายแต่มีกฎเหล็กคอยบังคับและมีประเพณีต่างๆอยู่เช่นกัน
ไม่มีสักบรรทัดเดียวที่เขียนว่าคิริทสึงุทำตาม "ธรรมเนียมของจอมเวท" เลย
"สิ่งที่เรียกว่าจอมเวทนั้นอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ของมนุษย์ตั้งแต่แรกแล้ว นี่ถือเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เราต้องทำตามกฎในโลกของเรา"
โทคิโอมิก็เห็นด้วย น้ำเสียงสงบนิ่งของเขาถูกความโกรธครอบงำจนปั่นป่วน
"แต่เอมิยะคนนี้กลับแหกกฎทุกๆข้อ เขาไม่มีความภาคภูมิใจในฐานะจอมเวทเลย เป็นคนที่ไม่น่าให้อภัยจริงๆ"
"ความภาคภูมิใจ... เหรอครับ?"
"ใช่สิ ต่อให้เป็นชายคนนี้ เขาก็ต้องเคยผ่านการฝึกฝนสุดเข้มงวดในฐานะจอมเวทมาก่อน
แสดงว่าเขามีชะตากรรมจะต้องก้าวข้ามและฝ่าฟันกับสิ่งที่ยากลำบาก จนไม่ลืมจุดประสงค์และความต้องการเดิมแม้จะประสบความสำเร็จไปแล้วก็ตาม"
"..."
ที่โทคิโอมิพูดมานั้นไม่ใช่เลย คนโง่ๆที่ยอมเข้ารับการฝึกหฤโหดด้วยตัวเองโดยไม่มีความต้องการอะไรเลยนั้นมีอยู่จริงๆ เรื่องนี้คิเรย์รู้ดีกว่าใคร
"--แล้วทำไมเอมิยะ คิริทสึงุถึงกลายเป็นเครื่องมือฆ่าคนล่ะ?"
"นั่น คงเป็นเพราะเงินยังไงล่ะ พอเขาเข้าไปในตระกูลไอนส์เบิร์นเขาก็ล้างมือไปอย่างสิ้นเชิง เขาคงได้เงินมากพอจะใช้ไปชั่วชีวิตแล้ว คิดว่านี่แหละเป็นเหตุผลเดียว--น่าจะมีเขียนอยู่ในรายงานนะ หมอนี่ไม่ได้รับจ้างฆ่าอย่างเดียว เขาทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อเงิน"
เป็นอย่างที่โทคิโอมิพูด ท้ายๆรายงานนอกจากเรื่องอุบัติเหตุที่เกี่ยวกับจอมเวทแล้วยังมีเรื่องราวต่างๆที่เอมิยะ คิริทสึงุเคยทำ อย่างนี้นี่เอง คิริทสึงุเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งต่างๆที่เกิดขึ้นทั่วโลก เขาไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือในการฆ่าคน แต่ยังทำงานเป็นทหารรับจ้างอีกหลายต่อหลายครั้ง
"...เอกสารนี้ ชั้นขอยืมไปอ่านรายละเอียดได้มั้ย?"
"อืม แน่นอน ถ้านายช่วยวิเคราะห์รายละเอียดให้ชั้นมันจะช่วยชั้นได้มากเลย ชั้นเองก็ต้องยุ่งๆอยู่กับการเตรียมการอัญเชิญในคืนนี้อีก"
* *
คิเรย์ออกจากห้องทำงานใต้ดินแล้วขึ้นไปชั้นหนึ่ง ที่ทางเดินเขาพบสาวน้อยคนนึงกำลังทะเลาะกับสัมภาระที่ใหญ่เกินตัว
"สายัญห์สวัสดิ์ ริน"
เขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดกับเธอเป็นพิเศษ แค่ทักทายตามปรกติเท่านั้น สาวน้อยหยุดกึกและทำตาโตมองไปที่คิเรย์ เขารู้จักกับรินในบ้านนี้มาสามปีแล้วแต่ก็ยังข้องใจกับสายตาของสาวน้อยที่ดูเหมือนจะมองข้ามเขาไป
"...สายัญห์สวัสดิ์ค่ะ คิเรย์"
รินทักทายคิเรย์กลับด้วยน้ำเสียงทื่อๆแต่ก็ยังรักษามารยาท ถึงจะยังเด็กแต่รินก็มีท่าทางเหมือนๆกับแม่เธอแล้ว เธอมีมารยาทของผู้ดีและเป็นกุลสตรี เธอไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลูกสาวของโทคิโอมิอย่างแน่นอน การที่เธอไม่เหมือนเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันนับว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ
"ไปเที่ยวเหรอ? กระเป๋าใหญ่จริงนะ"
"ค่ะ ตั้งแต่วันนี้เราจะไปอยู่บ้านคุณตาสักพักนึง หนูได้ขึ้นรถรางจากที่นั่นไปโรงเรียนด้วยนะ"
เพราะเฮเว่นฟีลมันเสี่ยง โทคิโอมิจึงให้ครอบครัวของเขาย้ายไปอยู่ที่เมืองข้างๆชั่วคราว -- ที่บ้านแม่ยาย
คนเป็นแม่กับลูกสาวไม่ควรจะอยู่ในเฮเว่นฟีล มันอันตรายเกินไป แผนที่ทำไปนี้นับว่าสมเหตุสมผลแล้ว
แต่ริน ลูกสาวของเขาดูจะไม่ชอบใจเลย แม้หน้าตาเธอจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่เธอก็เบ้ปาก แสดงว่าเธอไม่ชอบ ถึงเธอจะเป็นว่าที่กุลสตรีแต่เธอก็ยังคงเป็นเด็กน้อยอยู่ดี เธอยังแสร้งทำไม่ได้ขนาดนั้น
"คิเรย์ คุณจะอยู่ช่วยพ่อหนูสู้ใช่มั้ยคะ?"
"ใช่ เป็นสิ่งที่ลูกศิษย์อย่างชั้นควรจะทำ"
รินไม่ใช่เด็กโง่ เธอเป็นถึงจอมเวทผู้สืบทอดแห่งโทซากะแถมยังได้รับการสั่งสอนเป็นพิเศษจากโทคิโอมิมาแล้ว หากพูดถึงเฮเว่นฟีลเสี่ยงตายในฟุยูกิเธอก็มีความรู้อยู่ระดับหนึ่ง
เรื่องที่ว่าทำไมต้องไปอยู่บ้านคุณตา เธอก็เข้าใจเหตุผลนั้นดี แต่สิ่งที่เธอไม่ชอบใจคือ--พอเธอไปแล้ว คิเรย์จะอยู่คนเดียวในบ้านโทซากะและทำทุกอย่างได้ตามใจชอบ
รินนับถือโทคิโอมิ พ่อของเธอเป็นพิเศษ เพราะงั้นเธอจึงไม่ชอบคิเรย์ที่ได้เป็นลูกศิษย์คนแรกและได้ร่ำเรียนเวทมนตร์จากเขา
"คิเรย์ หนูจะไว้ใจคุณได้มั้ย? คุณจะปกป้องพ่อจนถึงที่สุดมั้ย? สัญญากับหนูได้มั้ย?"
"ไม่ไหวหรอก ถ้าสงครามนี้ใจดีพอจะให้ชั้นสัญญากับหนูได้ หนูกับแม่คงไม่ต้องหลบไปไหน จริงมั้ย?"
คิเรย์ไม่ได้อยากจะพูดลอยๆเพื่อปลอบใจเธอและพูดความจริง แต่แววตาของรินดุดันขึ้นทันที เธอจ้องรุ่นพี่ที่โอหังและไร้ยางอายของเธอ
"...กะแล้ว หนูไม่ชอบคุณเลยสักนิดเดียว"
มีแต่ตอนที่เธอพูดด้วยความโมโหสมกับอายุของเธอนี่แหละที่คิเรย์จะชอบสาวน้อยคนนี้
"ริน อย่าพูดหยาบคายต่อหน้าคนอื่นอีกนะ ไม่งั้นจะเสียไปถึงพ่อ"
"เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพ่อเลยนะคะ!"
พอเห็นว่าพ่อโดนยกมาบังหน้า ความโกรธของรินก็ทะลักออกมาจนหน้าแดง แบบนี้แหละที่คิเรย์หวังอยากจะเห็น
"ฟังนะคิเรย์! ถ้าคุณทำพลาดจนพ่อบาดเจ็บ หนูจะไม่ยอมยกโทษให้คุณเลย! หนู--"
วินาทีนั้น เรียกว่าช่างเป็นเวลาที่เหมาะเจาะที่สุด เงาของอาโออิก็โผล่มา เธอเตรียมตัวเสร็จแล้วแต่ไม่เห็นรินตามมาสักที เธอจึงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
"ริน! ลูกทำอะไรน่ะ? เสียงดังเกินไปแล้วนะ!"
"--อ่า คือว่า หนู--"
"เธอมาให้กำลังผมก่อนจะไปน่ะครับ คุณผู้หญิง"
คิเรย์ทำเป็นใจเย็นและตั้งใจจะช่วยริน แต่รินกลับโมโหหนักกว่าเดิม เธอไม่กล้าพูดอะไรออกมาเวลาอยู่ต่อหน้าแม่เธอ เธอเลยพยายามหลบฉากไป
"ชั้นช่วยถือของให้นะริน กระเป๋านั่นหนักเกินไปสำหรับเธอ"
"ไม่ต้องค่ะ! หนูทำเองได้!"
รินฝืนดันกล่องให้คล่องแคล่วกว่าเดิม เพราะเรื่องเมื่อกี้เธอเลยทะเลาะกับกระเป๋าหนักขึ้นไปอีกสุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านประตูออกไปทั้งๆแบบนั้น คิเรย์รู้ว่าทำแบบนี้ไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่สักเท่าไหร่ แต่ก็อยากจะหัวเราะรินในขณะที่เขายังสามารถทำได้
อาโออิโค้งให้คิเรย์ด้วยความเคารพอย่างสูง
"คุณโคโตมิเนะ ฝากดูแลสามีดิชั้นด้วยนะคะ กรุณาช่วยให้เขาสมหวังที"
"ผมจะทำให้ดีที่สุดครับ วางใจได้เลย"
คิเรย์นั้นมองว่าโทซากะ อาโออิเป็นภรรยาที่สมบูรณ์แบบ สุขุมเยือกเย็น ประณีต เข้าใจคนเป็นสามีและไม่เคยรบกวน ซื่อสัตย์ในความรักเป็นที่สุดและมีความรับผิดชอบ--พูดง่ายๆว่าเธอเป็นแม่แบบของภรรยาและแม่ที่ดีในสมัยก่อน สมัยนี้ที่นักเรียกร้องสิทธิสตรีเคลื่อนไหวในสังคม เธอเป็นเหมือนศิลาจารึกจากครั้งอดีต โทคิโอมิเลือกคนมาเป็นคู่ครองได้เหมาะกับตัวเองจริงๆ
คิเรย์ไปส่งสองแม่ลูกที่ประตูด้วยตัวเอง ทั้งสองไม่ได้ใช้รถแท็กซี่แต่ใช้รถส่วนตัวโดยมีอาโออิเป็นคนขับเอง ตลอดสัปดาห์มานี้เธอไม่เพียงเป็นคนขับรถเท่านั้นแต่ยังเป็นคนรับใช้ทั่วไปด้วย ที่ทำแบบนี้เพื่อไม่ให้คนที่ไม่รู้เรื่องต้องได้รับอันตราย เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ความใจดีต่อต้านสายลับ โทคิโอมิไม่ระมัดระวังตัวมากพอแม้กระทั่งกับข้ารับใช้ของตัวเอง ความคิดนี้เป็นของคิเรย์ ส่วนโทคิโอมินั้นกึ่งๆถูกบังคับให้ทำตาม
ก่อนที่รถจะออก รินหลบสายตาของแม่แล้วแลบลิ้นปลิ้นตาใส่คิเรย์ คิเรย์ก็ขำนิดๆและยืนส่งพวกเขา จากนั้นก็กลับไปยังคฤหาสน์ที่ตอนนี้ไม่เหลือใครแล้ว
* *
โทคิโอมิยังไม่ออกมาจากห้องทำงานใต้ดิน คิเรย์จึงกลายเป็นเจ้าของห้องนั่งเล่นไปโดยปริยาย เขาเริ่มตั้งใจอ่านรายงานเรื่องเอมิยะ คิริทสึงุ
เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้สนใจจอมเวทประหลาดๆที่เขาไม่เคยรู้จักมากขนาดนี้ คงเพราะเขาได้รับความรู้สึกเกลียดชังที่มีต่อชายคนนี้มาจากโทคิโอมิ อาจารย์ของเขาด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์ที่ดำเนินมาตลอดสามปีนี้ราวกับเป็นเรื่องเย้ยหยัน
ในฐานะอาจารย์ โทคิโอมิเห็นว่าความตั้งใจที่จะเรียนรู้กับความเร็วในการเข้าใจของคิเรย์นั้นไร้ที่ติ แต่เดิมเขาก็เป็นเพชฌฆาตที่เกลียดชังเวทมนตร์แต่สนใจในเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับเวทมนตร์มากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คิเรย์ใช้สิ่งที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นความโลภ ในการหาความรู้และเล่าเรียนสิ่งต่างๆซึ่งนั่นทำให้โทคิโอมิพอใจมาก ตอนนี้โทคิโอมิเชื่อในตัวคิเรย์อย่างสนิทใจ ขนาดที่ว่าให้ริน ลูกสาวของเขาเคารพคิเรย์เหมือนเป็นรุ่นพี่
แต่หากเทียบกับความสัมพันธ์ของโทคิโอมิที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ หัวใจของคิเรย์กลับยิ่งอ้างว้างว่างเปล่า
สำหรับคิเรย์ เขาไม่ได้เรียนเวทมนตร์เพราะพิศมัยมัน ชีวิตของเขาที่ศรัทธาโบสถ์อยู่เสมอมากลับไม่เคยได้รับสิ่งใดตอบแทนเลย เพราะแบบนี้คิเรย์จึงเดิมพันความหวังทั้งหมดของเขาไว้กับการเรียนสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับโบสถ์ เรื่องมันก็เท่านี้เองแต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นหายนะ ในโลกของเวทมนตร์ที่เขากำลังไล่ตามอยู่นั้น คิเรย์ไม่พบความหรรษาหรือความพึงพอใจแม้แต่น้อย กลับจะตรงกันข้าม ช่องโหว่ในหัวใจของเขายิ่งขยายใหญ่ขึ้นไปอีก
โทคิโอมิไม่ได้รู้เลยว่าคิเรย์กำลังผิดหวัง ที่เขาเคยประเมินไว้ว่า "เป็นคนแบบเดียวกับริเซย์ พ่อของชั้น" นั้นถูกต้องทุกประการ ความสำคัญของโทคิโอมิกับความเชื่อใจของเขา สำหรับคิเรย์แล้วไม่ต่างจากริเซย์เลย
มีเส้นกั้นที่มองไม่เห็นระหว่างเขากับคนอย่างพ่อหรือโทคิโอมิที่เขาไม่สามารถก้าวผ่านไปได้ คิเรย์เข้าใจเรื่องนี้ดีจึงสนใจคนที่โทคิโอมิเกลียดชัง
เขาคิดว่าบางทีเอมิยะ คิริทสึงุคนนี้อาจจะอยู่ "อีกฟากของเส้น"ก็เป็นได้
ดูเหมือนที่โทคิโอมิระวังเอมิยะ คิริทสึงุเพราะฉายา "มือสังหารจอมเวท"ของเขาเท่านั้น รายงานการสำรวจนี้เลยเกิดจากคำขอของโทคิโอมิที่ให้เน้น "ประวัติส่วนตัวของเขาในการต่อสู้กับจอมเวท" รายละเอียดในเรื่องอื่นๆจึงมีบอกไว้เพียงคร่าวๆ
แต่พอได้อ่านเรื่องราวภารกิจที่ผ่านมาของคิริทสึงุ คิเรย์ก็เริ่มเกิดความเชื่อมั่น
การกระทำต่างๆของชายคนนี้เต็มไปด้วยความเสี่ยง
ในยุคที่เขาเป็นมือสังหารรับจ้างก่อนที่ไอนส์เบิร์นจะรับเข้ามาเป็นลูกเขย คิริทสึงุสำเร็จภารกิจไปมากมาย แต่พิจารณาจากเวลาที่เขาเตรียมตัวและรับภารกิจ ระยะห่างระหว่างภารกิจแต่ละอันดูสั้นเกินไป ความเป็นไปได้อย่างเดียวคือเขาจำลองแผนการสังหารไว้มากมาย เขาต้องเคยโผล่เข้าไปในการต่อสู้มาแล้วหลายต่อหลายแห่ง และเป็นตอนที่การต่อสู้ถึงขีดสุด ถึงช่วงเอาเป็นเอาตายกันแล้วทุกครั้ง
ราวกับพวกที่อยากฆ่าตัวตาย ราวกับทำไปด้วยความโรคจิต... เบื้องหลังการกระทำต่างๆของเขาคือการฆ่าตัวตายอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคิริทสึงุคนนี้ไม่มีความเห็นแก่ตัวอยู่เลย ความเสี่ยงจากการกระทำของเขากับกำไรที่ได้มันไม่คุ้มกัน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเป็นนักฆ่ากระหายเงิน
ถ้างั้น -- เขากำลังตามหาอะไรอยู่ล่ะ?
"..."
คิเรย์วางรายงานอย่างเหม่อลอย เอามือเท้าคางและตกสู่ห้วงความคิด เอมิยะคนนี้เอาชีวิตตัวเองไปวุ่นวายกับคนอื่นจนชีวิตยุ่งเหยิงไปหมด แต่คิเรย์ก็ไม่ได้เห็นว่ามันต่างจากตัวเขาเองตรงไหน
จอมเวทที่ไร้ซึ่งความภาคภูมิใจ ชายผู้สูญเสียสิ่งที่ตนเชื่อ โทคิโอมิประเมินเขาไว้แบบนี้
หากเป็นแบบนั้นจริง แล้วประสบการณ์เสี่ยงตายราวกับต้องการความหายนะของคิริทสึงุล่ะ... หรือจะให้เรียกว่าการผจญภัยเพื่อตามหาคำตอบที่สาบสูญดี?
งั้นผ้าม่านแห่งการต่อสู้ที่ไม่สิ้นสุดของคิริทสึงุก็น่าจะปิดลงทันทีเมื่อเก้าปีที่แล้ว หลังจากตามหาอย่างยากลำบากเขาก็พบกับจอมเวทไอนส์เบิร์นที่ต้องการชัยชนะในเฮเว่นฟีลที่ดินแดนทางตอนเหนือ
พูดได้ว่านั่นคือวินาทีที่เขาได้รับ "คำตอบ"ของเขาแล้ว
ตอนนี้คิเรย์กระวนกระวายหวังจะได้พบกับเอมิยะ คิริทสึงุ ในที่สุดเขาก็พบเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในการต่อสู้ที่ฟุยูกิ
กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่สนใจจอก แต่หากคิริทสึงุเริ่มเคลื่อนไหวหลังจากเงียบไปถึงเก้าปี คิเรย์ก็เริ่มเห็นความสำคัญในการมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการต่อสู้ที่สามารถขจัดความลำบากใจทั้งหมดไปได้
เขาต้องถามชายคนนี้ให้ได้ ว่าคุณต้องการสิ่งใดจึงเข้าร่วมการต่อสู้นี้ สุดท้ายแล้วคุณได้อะไรจากมัน
ไม่ว่ายังไงโคโตมิเนะ คิเรย์ก็ต้องเผชิญหน้ากับเอมิยะ คิริทสึงุให้ได้ ต่อให้เป็นกลางสนามรบที่ทุกฝ่ายต้องแลกชีวิตกันก็ตามที
เนื่องจากเป็นจอมเวทพันธุ์แท้ โทซากะ โทคิโอมิ จึงไม่ค่อยชำนาญเทคโนโลยีของโลกปัจจุบันเท่าคิริทสึงุ แต่เขาชำนาญวิชาลับสื่อสารระยะไกลของตระกูลโทซากะ เวทสายอัญมณีที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น
อาคารสูงในมิยามาโชของฟุยูกิคือคฤหาสน์ของโทซากะ ณ ห้องทำงานของโทคิโอมิซึ่งอยู่ใต้ดินมีอุปกรณ์ในการทดลองที่เรียกว่า ลูกตุ้มดำ ติดตั้งไว้ ความแตกต่างระหว่างการทดลองฟิสิกส์ตามปกติกับการทดลองนี้ก็คือ ภายในลูกตุ้มที่เรียงรายกันนี้มีอัญมณีเวทมนตร์ที่เป็นมรดกของโทซากะบรรจุอยู่ มันถูกสร้างให้น้ำหมึกที่ไหลลงมาตามเส้นลวดนั้นเคลือบตัวอัญมณีได้พอดิบพอดี
หินที่เคยติดอยู่กับอัญมณีตอนนี้อยู่ที่สายลับของโทซากะ ถ้าเอาหินที่ว่านี้ไปวางไว้ข้างๆลูกกลิ้งแล้วเขียนอะไรสักอย่าง อัญมณีในลูกตุ้มที่เป็นคู่ของมันจะสั่นกระเพื่อม หมึกที่หยดลงมาก็จะกลายเป็นข้อความที่สมบูรณ์แบบและแทบจะไม่ผิดพลาดปรากฎขึ้นบนม้วนกระดาษด้านล่าง ที่ว่ามานี้คือวิธีการทำงานของมันนั่นเอง
ขณะนี้อัญมณีในลูกตุ้มกับหินในถุงมือที่อีกฟากโลกในลอนดอนกำลังเชื่อมต่อและกระเพื่อมอยู่ ตอนแรกมันก็ขยับมั่วๆซ้ำไปซ้ำมาแต่ไม่นานตัวอักษรของรายงานก็เริ่มอ่านรู้เรื่องและปรากฎชัดเจน
โทคิโอมิสังเกตุเห็นจึงรีบหยิบกระดาษขึ้นมาโดยไม่รอให้หมึกแห้ง และเริ่มอ่านสิ่งที่บันทึกอยู่ในนั้น
"--จะดูเครื่องนี้สักกี่ครั้ง ชั้นก็ไม่ค่อยไว้ใจมันเลย"
โคโตมิเนะ คิเรย์ ซึ่งยืนอยู่ข้างๆแสดงความน้อยใจออกมา
"อ้าว คิดว่าถ้าใช้เครื่องแฟกซ์จะดีกว่ารึไง?
ถ้าใช้เจ้านี่ก็ไม่ต้องกลัวไฟดับแถมเครื่องไม่มีทางเสีย แล้วก็ไม่ต้องกลัวโดนจับได้อีก จอมเวทอย่างพวกเรามีอุปกรณ์ที่ทำได้ไม่น้อยกว่าเครื่องมือสมัยใหม่โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีพวกนั้นมาตั้งนานแล้ว"
ถึงกระนั้น คิเรย์ก็เห็นว่าเครื่องแฟกซ์ที่ใครๆก็ใช้ได้นั้นสะดวกกว่า "ไม่ว่าใคร"ก็ใช้มันได้ คงเป็นเรื่องที่โทคิโอมิไม่มีวันเข้าใจ เรื่องนี้เป็นเหตุให้เทคนิคและความรู้ของชนชั้นสูงกับคนสามัญแตกต่างกัน... แม้จะเป็นยุคปัจจุบัน โทคิโอมิก็ยังคงคิดแบบหลงยุคว่าตัวเองเป็น"จอมเวท"พันธุ์แท้
"ข่าวล่าสุดจาก 'หอนาฬิกา' ลอร์ดเอล-เมลลอยผู้ 'ปราดเปรื่อง' ดูเหมือนจะได้วัตถุโบราณที่หายไปคืนมาแล้ว ถ้าข่าวนี้เป็นความจริงเขาจะต้องเข้าร่วมงานนี้อย่างแน่นอน อืม เป็นคู่ต่อสู้ที่โค่นได้ลำบากจริงๆ งั้นก็ชัดเจนแล้วว่ามีมาสเตอร์ห้าคนถ้ารวมชั้นไปด้วย..."
"ที่น่าเป็นห่วงคืออีกสองตำแหน่งที่ตอนนี้ยังว่างอยู่"
"ทำไมล่ะ นี่ก็หมายความว่าไม่มีใครเหมาะสมกับเรย์จูแล้ว ถึงเวลานั้นจอกจะสุ่มหาคนมาใส่ให้ครบเจ็ดคนโดยไม่คำนึงคุณภาพ แปลว่าจะมีตัวประกอบอยู่สองคน ไม่เห็นต้องระวังอะไรเลย"
ช่างเป็นความคิดในแง่ดีสมกับเป็นโทคิโอมิซะจริงๆ ได้เป็นลูกศิษย์มาสามปี คิเรย์จึงเข้าใจความคิดความอ่านของอาจารย์ของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง แม้เตรียมตัวมาดีแค่ไหนเขาก็มักจะพลาดรายละเอียดเล็กๆน้อยๆตอนลงมือทุกที และคนที่จะจัดการกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ว่าก็คือเขานั่นเอง คิเรย์เข้าใจเรื่องนี้มานานแล้ว
"พูดถึงเรื่องระวัง--คิเรย์ ไม่มีใครเห็นตอนนายเข้ามาในบ้านนี้ใช่มั้ย? จริงๆแล้วเราต้องเป็นศัตรูกันนะ"
ตามแผนที่โทซากะ โทคิโอมิวางเอาไว้ ข้อเท็จจริงกำลังปั่นป่วนและแพร่กระจายออกไป จอกนั้นเลือกคิเรย์ตั้งแต่สามปีที่แล้ว แต่เขาซ่อนเครื่องหมายในมือขวาไว้อย่างมิดชิดตามคำสั่งของโทคิโอมิจนถึงเดือนนี้ที่เขาเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องเรย์จูบนมือของเขาด้วยตัวเอง ตั้งแต่นี้ไปเขาตัดสัมพันธ์กับโทคิโอมิในฐานะผู้แย่งชิงจอก
"ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ว่าจะมองเห็นหรือไม่ ที่นี่ก็ไม่มีข้ารับใช้หรือเวทสำรวจ ชั้น--"
"--ชั้นขอรับรอง"
เสียงของบุคคลที่สามแทรกเข้ามา พร้อมๆกับเงาดำที่ปรากฎตัวขึ้นด้านข้างคิเรย์
วิญญาณวีรชนที่ติดตามคิเรย์ด้วยร่างวิญญาณมาตลอด ตอนนี้เขาปรากฎตัวออกมาต่อหน้าต่อตาโทคิโอมิ
ร่างเงาที่ผอมสูงนั้นมีพลังปราณสูงกว่ามนุษย์ธรรมดา เขาคือ"อะไรบางอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์" คนที่ประหลาดสวมเสื้อคลุมดำยาวกับหน้ากากรูปหัวกระโหลกปกปิดตัวจริงไว้
ใช่แล้ว เขาคือวิญญาณวีรชนคนแรกที่ถูกอัญเชิญมาในเฮเว่นฟีลครั้งที่สี่ เซอร์แวนท์แอซซาซินที่ทำพันธสัญญากับโคโตมิเนะ คิเรย์— ฮัซซาน ไอ ซับบาห์
"ไม่ว่าพวกนั้นจะมาไม้ไหน ก็ไม่อาจรอดสายตาของข้า -- ของวีรชนฮัซซานไปได้ ท่านคิเรย์มาสเตอร์ของข้าไม่มีร่องรอยการถูกติดตามแม้แต่น้อย... โปรดสบายใจได้"
เหมือนจะรู้ว่าสถานะของโทคิโอมิอยู่เหนือโคโตมิเนะ คิเรย์มาสเตอร์ของตน แอซซาซินโค้งตัวรายงานอย่างนอบน้อม
จากนั้นคิเรย์ก็พูดต่อ
"เมื่อวิญญาณวีรชนถูกจอกอัญเชิญมาและปรากฎตัวขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคลาสใดก็จะถูกรายงานตรงไปที่พ่อโดยไม่ตกหล่นอย่างแน่นอน"
หลวงพ่อริเซย์เป็นที่ปรึกษาของเฮเว่นฟีลด้วยการแต่งตั้งจากผู้นำของเหล่าบาทหลวงและถูกย้ายมาประจำที่โบสถ์ฟุยูกิ ปัจจุบันเป็นเจ้าของอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ชื่อ "กระดานวิญญาณ" มันสามารถแสดงคุณลักษณะของวิญญาณวีรชนที่จอกอัญเชิญมาได้
รูปพรรณสัณฐานของมาสเตอร์ต้องอาศัยการรายงานจากผู้คนเท่านั้น แต่จำนวนและคลาสของเซอร์แวนท์ที่ปรากฎออกมา ไม่ว่าถูกอัญเชิญมา ณ ที่ใดก็จะแสดงบน "กระดานวิญญาณ" อย่างแน่นอนเพื่อให้ที่ปรึกษาควบคุมสถานการณ์ได้ง่ายขึ้น
"ตามข้อมูลของพ่อ แอซซาซินของชั้นเป็นเซอร์แวนท์คนเดียวในตอนนี้ที่ถูกอัญเชิญมา จอมเวทคนอื่นยังไม่ได้เริ่มลงมือ"
"ใช่ แต่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นเอง ไม่ช้าก็เร็วต้องมีข้ารับใช้หรือมาสเตอร์มาป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆห้องนี้ เพราะที่นี่กับคฤหาสน์มาโต้ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นที่อยู่ของมาสเตอร์เช่นเดียวกับที่พำนักของไอนส์เบิร์น"
หากเทียบกับสามตระกูลหลัก จอมเวทจากภายนอกได้เปรียบด้านที่ซ่อนตัวซึ่งไม่มีใครรู้ เพราะแบบนี้ไม่ว่าตระกูลไหนก็ต้องส่งสายสืบออกลาดตระเวนในเฮเว่นฟีลซะตั้งแต่เนิ่นๆ
ไม่ใช่ว่าคิเรย์ไม่ไว้ใจระบบข่าวสารของโทคิโอมิ พวกเขาแค่ระวังไว้ก่อนเพราะยังมีความเป็นไปได้ที่มาสเตอร์ลึกลับอีกสองคนที่เหลือจะใช้วิธีการที่รอบคอบในการซ่อนตัว ถ้าต้องสู้กับคู่ต่อสู้ประเภทนี้เซอร์แวนท์แอซซาซินของคิเรย์จะสามารถสำแดงพลังจนถึงขีดสุดได้
"เจ้าไปได้แล้ว แอซซาซิน เฝ้ายามด้านนอกต่อไปและจงระวังให้มาก"
"ขอรับ"
แอซซาซินรับคำสั่งของคิเรย์แล้วเปลี่ยนร่างเป็นวิญญาณออกจากห้องไป กับเซอร์แวนท์ที่เป็นร่างวิญญาณตั้งแต่แรก การสลับไปมาระหว่างร่างวิญญาณกับกายเนื้อนั้นเป็นเรื่องที่สามารถทำได้
แอซซาซินมีพลังพิเศษในการ "ซ่อนตัวตน" ที่วิญญาณวีรชนคลาสอื่นไม่สามารถทำได้ เรื่องการเคลื่อนไหวไม่ให้ใครจับได้นั้นไม่มีใครเทียบเขาได้อยู่แล้ว
สำหรับคิเรย์ที่ไม่ได้ต้องการชัยชนะ แต่ถูกกำหนดให้เป็นกำลังเสริมของโทคิโอมิ การอัญเชิญได้แอซซาซินถือว่าเยี่ยมที่สุดแล้ว
นี่คือแผนที่จะใช้สู้
ก่อนอื่นให้แอซซาซินของคิเรย์ออกไปสำรวจยุทธวิธีรบของมาสเตอร์คนอื่นๆและจุดอ่อนของเซอร์แวนท์ของพวกเขา จากนั้นพอคำนวณหนทางสู่ชัยชนะสำหรับแต่ละคนเรียบร้อยแล้ว เซอร์แวนท์ของโทคิโอมิก็จะจัดการเก็บทีละคนตามแผนที่วางไว้
ฉะนั้นโทคิโอมิจะต้องอัญเชิญเซอร์แวนท์ที่มีความสามารถในการโจมตีสูง และเพื่อวิญญาณวีรชนที่เขาหมายตาไว้ คิเรย์เองก็พึ่งจะเคยได้ยินเขาพูดเรื่องนี้
"โบราณวัตถุที่ชั้นเตรียมไว้จะมาถึงตอนพรุ่งนี้เช้า"
ราวกับจะรู้ว่าคิเรย์กำลังสงสัยอะไร โทคิโอมิพูดโดยไม่รอให้เขาเอ่ยปาก
"ชั้นเจอสิ่งที่ชั้นเล็งไว้แล้ว เซอร์แวนท์ที่ชั้นอัญเชิญต้องได้เปรียบคู่ต่อสู้ทุกคนแน่ ในหมู่วิญญาณวีรชนต้องไม่มีใครชนะหมอนี่ได้อยู่แล้ว"
โทคิโอมิกำลังมีความสุข ใบหน้าของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจสุดขีดที่เขาเกิดมาคู่กับมัน
"ชั้นจะทำพิธีอัญเชิญคืนนี้ -- ถ้าไม่มีมาสเตอร์คนอื่นมาสอดแนมเรา คิเรย์นายอยู่ดูกับพ่อของนายก็ได้นะ"
"พ่อด้วยเหรอครับ?"
"ใช่ ถ้าเราอัญเชิญ 'เขา' ออกมาได้สำเร็จ ชัยชนะก็อยู่ตรงหน้าเราแล้ว ชั้นอยากเผื่อแผ่ความสุขนี้ให้กับทุกคนยังไงล่ะ"
ความหยิ่งทะนงอย่างเห็นได้ชัดของเขานั้นพูดได้ว่ามาจากกรรมพันธุ์และความเห็นแก่ตัวที่สูงลิบลิ่วของโทซากะ โทคิโอมิ ตัวคิเรย์รู้สึกว่ามันจะน่าเกรงขามก็ไม่ใช่ น่าเลื่อมใสก็ไม่เชิง
ตอนนั้นเองที่คิเรย์สังเกตุเห็นอัญมณีบนลูกตุ้ม อัญมณียังคงเคลื่อนไหวไม่หยุด มันยังเขียนอยู่
"ดูเหมือนจะยังไม่หมดนะ"
"ใช่ อ่า นี่เป็นรายงานการสำรวจอีกทางด้านนึง ไม่ใช่ข้อมูลใหม่อะไร -- คงเป็นเรื่องที่ชั้นขอให้เขาสำรวจมาสเตอร์ของไอนส์เบิร์นน่ะ
ข้อมูลของตระกูลไอนส์เบิร์นที่ตัดขาดจากโลกภายนอกนั้นถือว่าหาได้ยากมากแม้แต่ในหอนาฬิกาที่ลอนดอน แต่โทคิโอมิเคยบอกไว้นานแล้วว่ามีเงื่อนงำของมาสเตอร์คนนี้อยู่ โทคิโอมิหยิบม้วนกระดาษแผ่นนั้นไปกางบนโต๊ะเขียนหนังสือ จากนั้นก็อ่านข้อความใหม่ในกระดาษ
"...มันเป็นเรื่องเมื่อเก้าปีก่อนน่ะ ไอนส์เบิร์นที่ภูมิใจในสายเลือดจอมเวทบริสุทธิ์ของตัวเองรับจอมเวทจากภายนอกเข้ามาเป็นลูกเขย ส่งผลให้ทางสมาคมจัดอภิปรายกันยกใหญ่ แต่คนที่มองความจริงในเรื่องนี้ออกนอกจากชั้นคงมีแต่หัวหน้าบ้านมาโต้เท่านั้นที่รู้
จอมเวทของตระกูลไอนส์เบิร์นที่เก่งแต่การแปรธาตุไม่เหมาะกับการต่อสู้ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะงั้นพวกเขาเลยพ่ายแพ้ในเฮเว่นฟีลครั้งก่อนๆ คิดว่าคนพวกนั้นคงจะทนไม่ไหวแล้ว
แถมจอมเวทที่พวกเขาเจอก็ดูจะ 'ได้ดั่งใจ' จริงๆซะด้วย"
หลังจากอ่านไปคุยไป โทคิโอมิก็ส่งกระดาษให้คิเรย์ พอเห็นหัวข้อ "รายงานการสำรวจ: เอมิยะ คิริทสึงุ" คิเรย์ก็หยีตามอง
"ชื่อนี้... ชั้นว่าชั้นเคยได้ยินมาก่อน รู้สึกว่าจะเป็นคนที่อันตรายทีเดียว"
"อ้อ ทางโบสถ์เคยได้ยินเรื่องนี้มั้ย? 'มือสังหารจอมเวท' เอมิยะที่กำลังลือกระฉ่อนกันในตอนนี้น่ะ ถึงจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับสมาคมอย่างเป็นทางการแต่จริงๆแล้วเป็น 'เครื่องประหาร' ระดับสูงของสมาคมเลยทีเดียว"
"ถ้าพูดแบบภาษาโบสถ์ เค้าก็เป็นเพชฌฆาตคนนึงสินะ?"
"ที่จริงแย่กว่านั้นเยอะ หมอนั่นเป็นมือสังหารรับจ้างที่ถูกฝึกมาเป็นพิเศษสำหรับสังหารจอมเวท เพราะมีแต่จอมเวทเท่านั้นที่จะเข้าใจจอมเวทด้วยกัน เขาก็เลยใช้วิธีที่ขัดกับกฎของจอมเวทที่สุดในการฆ่าเหล่าจอมเวท... เขาเป็นคนที่ใช้แผนการชั่วร้ายมากมายให้เป็นประโยชน์กับตัวเองได้อย่างหน้าด้านๆ"
น้ำเสียงของโทคิโอมิแสดงความเกลียดชังออกมาอย่างชัดเจน กระนั้นคิเรย์กลับเบนความสนใจไปยังชายที่ชื่อเอมิยะ คิริทสึงุ เขาเคยได้ยินข่าวลือเรื่องชายคนนี้มาก่อน ดูเหมือนในอดีตเขาเคยขัดแย้งกับทางโบสถ์และหลายๆคนก็บอกให้เขาระวังชายคนนี้เอาไว้ด้วย
คิเรย์อ่านข้อมูลที่เขาได้รับมา บันทึกส่วนใหญ่เป็นข้อมูลการสำรวจยุทธศาสตร์การต่อสู้ของเอมิยะ คิริทสึงุ -- คดีคนหายกับอุบัติเหตุต่างๆของจอมเวทที่เชื่อว่าเขาเป็นคนสังหาร แต่เรื่องหลักๆก็คือวิเคราห์หลักการของเขา ยิ่งอ่านไปเรื่อยๆคิเรย์ก็ยิ่งเข้าใจว่าทำไมโทคิโอมิถึงได้เกลียดชายคนนี้ การลอบจู่โจมและลอบสังหารเป็นเพียงเศษเสี้ยวของเขาเท่านั้น
วางระเบิดในที่ชุมชน สอยเครื่องบินตกทั้งๆที่มีผู้โดยสารอยู่มากมาย รายงานหลายๆเรื่องนั้นนับว่าไม่น่าเชื่อเลย แถมยังมีความน่าจะเป็นว่าโศกนาฏกรรมในอดีตที่รัฐบาลประกาศว่าเป็นฝีมือผู้ก่อการร้าย แท้จริงแล้วเป็นอาชญากรรมที่คิริทสึงุก่อขึ้นเพื่อเก็บจอมเวทเพียงคนเดียว แม้จะไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์แต่ถ้าดูตามข้อมูลนี้มันก็น่าเชื่ออยู่
มือสังหาร ถือเป็นคำที่เหมาะสมจริงๆ การที่จอมเวทต้องมาปะทะกันจนตายไปข้างนับว่าเป็นเรื่องปกติ ยังไงก็ตามมันคือการแข่งขันทางเวทมนตร์ที่ใสสะอาดและมักจะตัดสินกันด้วยธรรมเนียมการต่อสู้ที่ยึดถือกันมา พอพูดแบบนี้ ถึงจะเรียกเฮเว่นฟีลว่า "สงคราม" มันก็ไม่ใช่การฆ่ากันอย่างมั่วซั่ววุ่นวายแต่มีกฎเหล็กคอยบังคับและมีประเพณีต่างๆอยู่เช่นกัน
ไม่มีสักบรรทัดเดียวที่เขียนว่าคิริทสึงุทำตาม "ธรรมเนียมของจอมเวท" เลย
"สิ่งที่เรียกว่าจอมเวทนั้นอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ของมนุษย์ตั้งแต่แรกแล้ว นี่ถือเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เราต้องทำตามกฎในโลกของเรา"
โทคิโอมิก็เห็นด้วย น้ำเสียงสงบนิ่งของเขาถูกความโกรธครอบงำจนปั่นป่วน
"แต่เอมิยะคนนี้กลับแหกกฎทุกๆข้อ เขาไม่มีความภาคภูมิใจในฐานะจอมเวทเลย เป็นคนที่ไม่น่าให้อภัยจริงๆ"
"ความภาคภูมิใจ... เหรอครับ?"
"ใช่สิ ต่อให้เป็นชายคนนี้ เขาก็ต้องเคยผ่านการฝึกฝนสุดเข้มงวดในฐานะจอมเวทมาก่อน
แสดงว่าเขามีชะตากรรมจะต้องก้าวข้ามและฝ่าฟันกับสิ่งที่ยากลำบาก จนไม่ลืมจุดประสงค์และความต้องการเดิมแม้จะประสบความสำเร็จไปแล้วก็ตาม"
"..."
ที่โทคิโอมิพูดมานั้นไม่ใช่เลย คนโง่ๆที่ยอมเข้ารับการฝึกหฤโหดด้วยตัวเองโดยไม่มีความต้องการอะไรเลยนั้นมีอยู่จริงๆ เรื่องนี้คิเรย์รู้ดีกว่าใคร
"--แล้วทำไมเอมิยะ คิริทสึงุถึงกลายเป็นเครื่องมือฆ่าคนล่ะ?"
"นั่น คงเป็นเพราะเงินยังไงล่ะ พอเขาเข้าไปในตระกูลไอนส์เบิร์นเขาก็ล้างมือไปอย่างสิ้นเชิง เขาคงได้เงินมากพอจะใช้ไปชั่วชีวิตแล้ว คิดว่านี่แหละเป็นเหตุผลเดียว--น่าจะมีเขียนอยู่ในรายงานนะ หมอนี่ไม่ได้รับจ้างฆ่าอย่างเดียว เขาทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อเงิน"
เป็นอย่างที่โทคิโอมิพูด ท้ายๆรายงานนอกจากเรื่องอุบัติเหตุที่เกี่ยวกับจอมเวทแล้วยังมีเรื่องราวต่างๆที่เอมิยะ คิริทสึงุเคยทำ อย่างนี้นี่เอง คิริทสึงุเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งต่างๆที่เกิดขึ้นทั่วโลก เขาไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือในการฆ่าคน แต่ยังทำงานเป็นทหารรับจ้างอีกหลายต่อหลายครั้ง
"...เอกสารนี้ ชั้นขอยืมไปอ่านรายละเอียดได้มั้ย?"
"อืม แน่นอน ถ้านายช่วยวิเคราะห์รายละเอียดให้ชั้นมันจะช่วยชั้นได้มากเลย ชั้นเองก็ต้องยุ่งๆอยู่กับการเตรียมการอัญเชิญในคืนนี้อีก"
* *
คิเรย์ออกจากห้องทำงานใต้ดินแล้วขึ้นไปชั้นหนึ่ง ที่ทางเดินเขาพบสาวน้อยคนนึงกำลังทะเลาะกับสัมภาระที่ใหญ่เกินตัว
"สายัญห์สวัสดิ์ ริน"
เขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดกับเธอเป็นพิเศษ แค่ทักทายตามปรกติเท่านั้น สาวน้อยหยุดกึกและทำตาโตมองไปที่คิเรย์ เขารู้จักกับรินในบ้านนี้มาสามปีแล้วแต่ก็ยังข้องใจกับสายตาของสาวน้อยที่ดูเหมือนจะมองข้ามเขาไป
"...สายัญห์สวัสดิ์ค่ะ คิเรย์"
รินทักทายคิเรย์กลับด้วยน้ำเสียงทื่อๆแต่ก็ยังรักษามารยาท ถึงจะยังเด็กแต่รินก็มีท่าทางเหมือนๆกับแม่เธอแล้ว เธอมีมารยาทของผู้ดีและเป็นกุลสตรี เธอไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลูกสาวของโทคิโอมิอย่างแน่นอน การที่เธอไม่เหมือนเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันนับว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ
"ไปเที่ยวเหรอ? กระเป๋าใหญ่จริงนะ"
"ค่ะ ตั้งแต่วันนี้เราจะไปอยู่บ้านคุณตาสักพักนึง หนูได้ขึ้นรถรางจากที่นั่นไปโรงเรียนด้วยนะ"
เพราะเฮเว่นฟีลมันเสี่ยง โทคิโอมิจึงให้ครอบครัวของเขาย้ายไปอยู่ที่เมืองข้างๆชั่วคราว -- ที่บ้านแม่ยาย
คนเป็นแม่กับลูกสาวไม่ควรจะอยู่ในเฮเว่นฟีล มันอันตรายเกินไป แผนที่ทำไปนี้นับว่าสมเหตุสมผลแล้ว
แต่ริน ลูกสาวของเขาดูจะไม่ชอบใจเลย แม้หน้าตาเธอจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่เธอก็เบ้ปาก แสดงว่าเธอไม่ชอบ ถึงเธอจะเป็นว่าที่กุลสตรีแต่เธอก็ยังคงเป็นเด็กน้อยอยู่ดี เธอยังแสร้งทำไม่ได้ขนาดนั้น
"คิเรย์ คุณจะอยู่ช่วยพ่อหนูสู้ใช่มั้ยคะ?"
"ใช่ เป็นสิ่งที่ลูกศิษย์อย่างชั้นควรจะทำ"
รินไม่ใช่เด็กโง่ เธอเป็นถึงจอมเวทผู้สืบทอดแห่งโทซากะแถมยังได้รับการสั่งสอนเป็นพิเศษจากโทคิโอมิมาแล้ว หากพูดถึงเฮเว่นฟีลเสี่ยงตายในฟุยูกิเธอก็มีความรู้อยู่ระดับหนึ่ง
เรื่องที่ว่าทำไมต้องไปอยู่บ้านคุณตา เธอก็เข้าใจเหตุผลนั้นดี แต่สิ่งที่เธอไม่ชอบใจคือ--พอเธอไปแล้ว คิเรย์จะอยู่คนเดียวในบ้านโทซากะและทำทุกอย่างได้ตามใจชอบ
รินนับถือโทคิโอมิ พ่อของเธอเป็นพิเศษ เพราะงั้นเธอจึงไม่ชอบคิเรย์ที่ได้เป็นลูกศิษย์คนแรกและได้ร่ำเรียนเวทมนตร์จากเขา
"คิเรย์ หนูจะไว้ใจคุณได้มั้ย? คุณจะปกป้องพ่อจนถึงที่สุดมั้ย? สัญญากับหนูได้มั้ย?"
"ไม่ไหวหรอก ถ้าสงครามนี้ใจดีพอจะให้ชั้นสัญญากับหนูได้ หนูกับแม่คงไม่ต้องหลบไปไหน จริงมั้ย?"
คิเรย์ไม่ได้อยากจะพูดลอยๆเพื่อปลอบใจเธอและพูดความจริง แต่แววตาของรินดุดันขึ้นทันที เธอจ้องรุ่นพี่ที่โอหังและไร้ยางอายของเธอ
"...กะแล้ว หนูไม่ชอบคุณเลยสักนิดเดียว"
มีแต่ตอนที่เธอพูดด้วยความโมโหสมกับอายุของเธอนี่แหละที่คิเรย์จะชอบสาวน้อยคนนี้
"ริน อย่าพูดหยาบคายต่อหน้าคนอื่นอีกนะ ไม่งั้นจะเสียไปถึงพ่อ"
"เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพ่อเลยนะคะ!"
พอเห็นว่าพ่อโดนยกมาบังหน้า ความโกรธของรินก็ทะลักออกมาจนหน้าแดง แบบนี้แหละที่คิเรย์หวังอยากจะเห็น
"ฟังนะคิเรย์! ถ้าคุณทำพลาดจนพ่อบาดเจ็บ หนูจะไม่ยอมยกโทษให้คุณเลย! หนู--"
วินาทีนั้น เรียกว่าช่างเป็นเวลาที่เหมาะเจาะที่สุด เงาของอาโออิก็โผล่มา เธอเตรียมตัวเสร็จแล้วแต่ไม่เห็นรินตามมาสักที เธอจึงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
"ริน! ลูกทำอะไรน่ะ? เสียงดังเกินไปแล้วนะ!"
"--อ่า คือว่า หนู--"
"เธอมาให้กำลังผมก่อนจะไปน่ะครับ คุณผู้หญิง"
คิเรย์ทำเป็นใจเย็นและตั้งใจจะช่วยริน แต่รินกลับโมโหหนักกว่าเดิม เธอไม่กล้าพูดอะไรออกมาเวลาอยู่ต่อหน้าแม่เธอ เธอเลยพยายามหลบฉากไป
"ชั้นช่วยถือของให้นะริน กระเป๋านั่นหนักเกินไปสำหรับเธอ"
"ไม่ต้องค่ะ! หนูทำเองได้!"
รินฝืนดันกล่องให้คล่องแคล่วกว่าเดิม เพราะเรื่องเมื่อกี้เธอเลยทะเลาะกับกระเป๋าหนักขึ้นไปอีกสุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านประตูออกไปทั้งๆแบบนั้น คิเรย์รู้ว่าทำแบบนี้ไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่สักเท่าไหร่ แต่ก็อยากจะหัวเราะรินในขณะที่เขายังสามารถทำได้
อาโออิโค้งให้คิเรย์ด้วยความเคารพอย่างสูง
"คุณโคโตมิเนะ ฝากดูแลสามีดิชั้นด้วยนะคะ กรุณาช่วยให้เขาสมหวังที"
"ผมจะทำให้ดีที่สุดครับ วางใจได้เลย"
คิเรย์นั้นมองว่าโทซากะ อาโออิเป็นภรรยาที่สมบูรณ์แบบ สุขุมเยือกเย็น ประณีต เข้าใจคนเป็นสามีและไม่เคยรบกวน ซื่อสัตย์ในความรักเป็นที่สุดและมีความรับผิดชอบ--พูดง่ายๆว่าเธอเป็นแม่แบบของภรรยาและแม่ที่ดีในสมัยก่อน สมัยนี้ที่นักเรียกร้องสิทธิสตรีเคลื่อนไหวในสังคม เธอเป็นเหมือนศิลาจารึกจากครั้งอดีต โทคิโอมิเลือกคนมาเป็นคู่ครองได้เหมาะกับตัวเองจริงๆ
คิเรย์ไปส่งสองแม่ลูกที่ประตูด้วยตัวเอง ทั้งสองไม่ได้ใช้รถแท็กซี่แต่ใช้รถส่วนตัวโดยมีอาโออิเป็นคนขับเอง ตลอดสัปดาห์มานี้เธอไม่เพียงเป็นคนขับรถเท่านั้นแต่ยังเป็นคนรับใช้ทั่วไปด้วย ที่ทำแบบนี้เพื่อไม่ให้คนที่ไม่รู้เรื่องต้องได้รับอันตราย เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ความใจดีต่อต้านสายลับ โทคิโอมิไม่ระมัดระวังตัวมากพอแม้กระทั่งกับข้ารับใช้ของตัวเอง ความคิดนี้เป็นของคิเรย์ ส่วนโทคิโอมินั้นกึ่งๆถูกบังคับให้ทำตาม
ก่อนที่รถจะออก รินหลบสายตาของแม่แล้วแลบลิ้นปลิ้นตาใส่คิเรย์ คิเรย์ก็ขำนิดๆและยืนส่งพวกเขา จากนั้นก็กลับไปยังคฤหาสน์ที่ตอนนี้ไม่เหลือใครแล้ว
* *
โทคิโอมิยังไม่ออกมาจากห้องทำงานใต้ดิน คิเรย์จึงกลายเป็นเจ้าของห้องนั่งเล่นไปโดยปริยาย เขาเริ่มตั้งใจอ่านรายงานเรื่องเอมิยะ คิริทสึงุ
เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้สนใจจอมเวทประหลาดๆที่เขาไม่เคยรู้จักมากขนาดนี้ คงเพราะเขาได้รับความรู้สึกเกลียดชังที่มีต่อชายคนนี้มาจากโทคิโอมิ อาจารย์ของเขาด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์ที่ดำเนินมาตลอดสามปีนี้ราวกับเป็นเรื่องเย้ยหยัน
ในฐานะอาจารย์ โทคิโอมิเห็นว่าความตั้งใจที่จะเรียนรู้กับความเร็วในการเข้าใจของคิเรย์นั้นไร้ที่ติ แต่เดิมเขาก็เป็นเพชฌฆาตที่เกลียดชังเวทมนตร์แต่สนใจในเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับเวทมนตร์มากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คิเรย์ใช้สิ่งที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นความโลภ ในการหาความรู้และเล่าเรียนสิ่งต่างๆซึ่งนั่นทำให้โทคิโอมิพอใจมาก ตอนนี้โทคิโอมิเชื่อในตัวคิเรย์อย่างสนิทใจ ขนาดที่ว่าให้ริน ลูกสาวของเขาเคารพคิเรย์เหมือนเป็นรุ่นพี่
แต่หากเทียบกับความสัมพันธ์ของโทคิโอมิที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ หัวใจของคิเรย์กลับยิ่งอ้างว้างว่างเปล่า
สำหรับคิเรย์ เขาไม่ได้เรียนเวทมนตร์เพราะพิศมัยมัน ชีวิตของเขาที่ศรัทธาโบสถ์อยู่เสมอมากลับไม่เคยได้รับสิ่งใดตอบแทนเลย เพราะแบบนี้คิเรย์จึงเดิมพันความหวังทั้งหมดของเขาไว้กับการเรียนสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับโบสถ์ เรื่องมันก็เท่านี้เองแต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นหายนะ ในโลกของเวทมนตร์ที่เขากำลังไล่ตามอยู่นั้น คิเรย์ไม่พบความหรรษาหรือความพึงพอใจแม้แต่น้อย กลับจะตรงกันข้าม ช่องโหว่ในหัวใจของเขายิ่งขยายใหญ่ขึ้นไปอีก
โทคิโอมิไม่ได้รู้เลยว่าคิเรย์กำลังผิดหวัง ที่เขาเคยประเมินไว้ว่า "เป็นคนแบบเดียวกับริเซย์ พ่อของชั้น" นั้นถูกต้องทุกประการ ความสำคัญของโทคิโอมิกับความเชื่อใจของเขา สำหรับคิเรย์แล้วไม่ต่างจากริเซย์เลย
มีเส้นกั้นที่มองไม่เห็นระหว่างเขากับคนอย่างพ่อหรือโทคิโอมิที่เขาไม่สามารถก้าวผ่านไปได้ คิเรย์เข้าใจเรื่องนี้ดีจึงสนใจคนที่โทคิโอมิเกลียดชัง
เขาคิดว่าบางทีเอมิยะ คิริทสึงุคนนี้อาจจะอยู่ "อีกฟากของเส้น"ก็เป็นได้
ดูเหมือนที่โทคิโอมิระวังเอมิยะ คิริทสึงุเพราะฉายา "มือสังหารจอมเวท"ของเขาเท่านั้น รายงานการสำรวจนี้เลยเกิดจากคำขอของโทคิโอมิที่ให้เน้น "ประวัติส่วนตัวของเขาในการต่อสู้กับจอมเวท" รายละเอียดในเรื่องอื่นๆจึงมีบอกไว้เพียงคร่าวๆ
แต่พอได้อ่านเรื่องราวภารกิจที่ผ่านมาของคิริทสึงุ คิเรย์ก็เริ่มเกิดความเชื่อมั่น
การกระทำต่างๆของชายคนนี้เต็มไปด้วยความเสี่ยง
ในยุคที่เขาเป็นมือสังหารรับจ้างก่อนที่ไอนส์เบิร์นจะรับเข้ามาเป็นลูกเขย คิริทสึงุสำเร็จภารกิจไปมากมาย แต่พิจารณาจากเวลาที่เขาเตรียมตัวและรับภารกิจ ระยะห่างระหว่างภารกิจแต่ละอันดูสั้นเกินไป ความเป็นไปได้อย่างเดียวคือเขาจำลองแผนการสังหารไว้มากมาย เขาต้องเคยโผล่เข้าไปในการต่อสู้มาแล้วหลายต่อหลายแห่ง และเป็นตอนที่การต่อสู้ถึงขีดสุด ถึงช่วงเอาเป็นเอาตายกันแล้วทุกครั้ง
ราวกับพวกที่อยากฆ่าตัวตาย ราวกับทำไปด้วยความโรคจิต... เบื้องหลังการกระทำต่างๆของเขาคือการฆ่าตัวตายอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคิริทสึงุคนนี้ไม่มีความเห็นแก่ตัวอยู่เลย ความเสี่ยงจากการกระทำของเขากับกำไรที่ได้มันไม่คุ้มกัน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเป็นนักฆ่ากระหายเงิน
ถ้างั้น -- เขากำลังตามหาอะไรอยู่ล่ะ?
"..."
คิเรย์วางรายงานอย่างเหม่อลอย เอามือเท้าคางและตกสู่ห้วงความคิด เอมิยะคนนี้เอาชีวิตตัวเองไปวุ่นวายกับคนอื่นจนชีวิตยุ่งเหยิงไปหมด แต่คิเรย์ก็ไม่ได้เห็นว่ามันต่างจากตัวเขาเองตรงไหน
จอมเวทที่ไร้ซึ่งความภาคภูมิใจ ชายผู้สูญเสียสิ่งที่ตนเชื่อ โทคิโอมิประเมินเขาไว้แบบนี้
หากเป็นแบบนั้นจริง แล้วประสบการณ์เสี่ยงตายราวกับต้องการความหายนะของคิริทสึงุล่ะ... หรือจะให้เรียกว่าการผจญภัยเพื่อตามหาคำตอบที่สาบสูญดี?
งั้นผ้าม่านแห่งการต่อสู้ที่ไม่สิ้นสุดของคิริทสึงุก็น่าจะปิดลงทันทีเมื่อเก้าปีที่แล้ว หลังจากตามหาอย่างยากลำบากเขาก็พบกับจอมเวทไอนส์เบิร์นที่ต้องการชัยชนะในเฮเว่นฟีลที่ดินแดนทางตอนเหนือ
พูดได้ว่านั่นคือวินาทีที่เขาได้รับ "คำตอบ"ของเขาแล้ว
ตอนนี้คิเรย์กระวนกระวายหวังจะได้พบกับเอมิยะ คิริทสึงุ ในที่สุดเขาก็พบเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในการต่อสู้ที่ฟุยูกิ
กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่สนใจจอก แต่หากคิริทสึงุเริ่มเคลื่อนไหวหลังจากเงียบไปถึงเก้าปี คิเรย์ก็เริ่มเห็นความสำคัญในการมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการต่อสู้ที่สามารถขจัดความลำบากใจทั้งหมดไปได้
เขาต้องถามชายคนนี้ให้ได้ ว่าคุณต้องการสิ่งใดจึงเข้าร่วมการต่อสู้นี้ สุดท้ายแล้วคุณได้อะไรจากมัน
ไม่ว่ายังไงโคโตมิเนะ คิเรย์ก็ต้องเผชิญหน้ากับเอมิยะ คิริทสึงุให้ได้ ต่อให้เป็นกลางสนามรบที่ทุกฝ่ายต้องแลกชีวิตกันก็ตามที
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น