ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Saint Seiya The Lost Canvas] The White Sky Memories

    ลำดับตอนที่ #6 : มิอาจเอ่ย

    • อัปเดตล่าสุด 31 ก.ค. 59


    ดวนีย่าหยุดอยู่หน้าประตูบานใหญ่สีขาวบานหนึ่งก่อนจะหันไปบอกแก่เด็กน้อยทั้งสองอย่าง

    อ่อนน้อม


    "ห้องนี้เป็นที่พักอาศัยของพวกท่าน หากต้องการเรียกใช้เหล่าบริวารให้ทำสิ่งใดโปรดสั่นกระดิ่งนี้

    นะคะ"เธอผายมือไปทางกระดิ่งทองคำที่แขวนอยู่หน้าห้อง 


    "อาหารเช้าจะถูกจัดเตรียมขึ้นในอีกราวๆหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า ขอให้พวกท่านเดินไปทางขวามือ

    เรื่อยๆจนพบกับรูปปั้นนางระบำแล้วเข้าประตูที่อยู่ติดกันจะพบห้องอาหารค่ะ"


    แพทริเซียพยักหน้าช้าๆอย่างคนที่กำลังจดจำแล้วยิ้มให้นางสนมคนสวย

    "ขอบคุณมากค่ะ พี่โดวนีย่า" 


    "หากพวกท่านยังไม่มีเหตุเรียกใช้แล้ว ข้าขอไปตามช่างตัดเสื้อมาวัดตัวพวกท่านก่อนตามประสงค์

    ขององค์สุลต่าน ระหว่างนี้เชิญพวกท่านพักผ่อนกันตามสบายเลยค่ะ"นางสนมทำความเคารพแล้ว

    ยิ้มให้ก่อนจะเดินจากไป 


    แพทริเซียรอจนนางหายลับสายตาไปแล้วจึงผลักบานประตูออกแล้วจูงอัศมิตาเข้าไป ทันทีที่เด็ก

    หญิงปิดประตูให้สนิท เธอก็ถูกกระตุกแขนโดยอีกคนที่เงียบอยู่นาน


    "แพทริเซีย สิ่งที่เจ้าได้กล่าวกับองค์สุลต่านนั้นเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ"เด็กชายที่อยู่ข้างกายเอ่ยขึ้นมา

    ด้วยเพราะมิอาจอดกลั้นความสงสัยได้อีกต่อไป แล้วอีกอย่างเพราะพื้นที่ตรงนี้ไม่มีเสียงคนเดินผ่าน

    ไปมาจึงเสมือนกับว่าอยู่กันเพียงแค่สองคน


     แพทริเซียหัวเราะพรืดออกมาด้วยเพราะความใสซื่อของอัศมิตา


    "จริงซะที่ไหนกันล่ะ ฉันบอกไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากอยู่ที่นี่นานๆหรอกนะ สุลต่านนั่นจะไว้ใจได้

    สักแค่ไหนก็ไม่รู้ด้วย มันแปลกนะที่ต้อนรับพวกเราดีขนาดนี้"เด็กหญิงจบประโยคด้วยน้ำเสียง

    ครุ่นคิดอย่างไม่ไว้วางใจ 


    "นั่นก็คงเป็นเพราะองค์สุลต่านเป็นคนดีกระมัง...ที่เจ้าระแวงนั้นไม่ใช่เรื่องผิด แต่ว่าการปดเรื่องขึ้น

    มาไม่ใช่สิ่งที่ดีเอาเสียเลยนะแพทริเซีย"อัศมิตาทำหน้ามุ่ยและพองแก้มใส่แพทริเซียด้วยความที่

    ไม่อยากให้เพื่อนของตนทำในสิ่งที่ไม่ดี 


    นิ้วเรียวจิ้มแก้มของเด็กชายเบาๆ"เธอนี่น้า มีคนเคยบอกฉันไว้ว่าพวกผู้ใหญ่ที่ทำดีมากๆกับเรา

    น่ะ..บางทีอาจหวังผลอะไรสักอย่างอยู่ก็ได้ ถ้าเจอผู้ใหญ่แบบนี้ต้องระวังตัวไว้ดีๆ" 


    "องค์สุลต่านจะหวังสิ่งใดจากเด็กอย่างพวกเรากันเล่า"เขาขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ 


    "ถ้าสุลต่านปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้ล่ะ ทะเลทรายแบบนี้จะมีโอกาสที่น้ำพุ่งขึ้นมาเอง

    สักแค่ไหน แล้วมันก็เกิดขึ้นตอนที่เราพักที่นั่นด้วย ถ้าเกิดว่าสุลต่านรู้ว่าฉันเป็นคนทำล่ะ"


    แพทริเซียพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนขึ้นเรื่อยๆ ร่องรอยความเครียดปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม หัวใจเต้น

    แรงเสียจนเด็กชายตาบอดได้ยินชัดเจน 


    "สงบใจก่อนเถิดแพทริเซีย เราว่าองค์สุลต่านคงจะมิได้กระทำเรื่องเลวร้ายกับผู้ใช้เวทมนต์เช่นเจ้า

    แน่นอน"เขากอดเธอไว้แนบแน่น นั่นคือวิธีปลอบเพียงอย่างเดียวที่เด็กชายวัยหกขวบนึกออก มัน

    ทำให้เขารู้สึกสบายใจเมื่อได้รับการปลอบเช่นนี้ หวังเพียงแต่ว่าเธอจะสบายใจขึ้นเช่นกัน 


    "เธอน่ะไม่รู้อะไรหรอก"เสียงที่หลุดลอดออกมาแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบแต่กลับเจือไปด้วยความ

    รู้สึกอัดอั้นจนน่าอึดอัด 


    "หากเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจโปรดบอกแก่เราเถิด...อย่าเก็บเอาไว้คนเดียวเลย"อัศมิตาเอื้อมมือออก

    ไปแล้วลูบหัวเธอเบาๆ รู้สึกได้ถึงความนุ่มของเรือนผมยาวนั้น 


    "ถ้าถึงเวลา..."เสียงเล็กเอ่ยอย่างผ่อนคลายลง แพทริเซียรู้ว่าเธอหลุดพูดอะไรหลายอย่างที่ไม่

    สมควรให้คนตรงหน้ารู้และควรจะควบคุมอารมณ์ให้ดีกว่านี้ โชคยังดีที่คนตรงหน้ายังไม่ถามเซ้าซี้

    อะไรต่อ ไม่งั้นต้องแย่แน่ๆ 


    สาวน้อยรีบหาเรื่องเบี่ยงประเด็นโดยการอาสาจูงเพื่อนตาบอดให้เดินสำรวจรอบห้องที่กว้างใหญ่

    พอๆกับห้องบนเรือบ้านของเธอรวมกันประมาณสามสี่ห้อง ฝั่งตรงกันข้ามกับประตูห้องมีผ้าม่านสี

    น้ำตาลเข้มปักดิ้นทองซึ่งดูสวยงามรับกันดีกับหน้าต่างบานใหญ่จนสามารถเห็นวิวของทั้งเมืองได้ 

    เตียงนอนสี่เสาที่ดูน่านอนมีขนาดใหญ่มาก ด้านบนเต็มไปด้วยผ้าห่มและหมอนใหญ่น้อยนับสิบใบ 

    ส่วนอื่นในห้องตกแต่งด้วยสไตล์อาหรับแท้ๆอย่างหรูหราด้วยโทนสีน้ำตาลทอง ซึ่งสีทองส่วนใหญ่

    มาจากทองคำแท้ๆที่ถูกแปรสภาพเป็นของตกแต่งและของใช้ภายในห้อง 


    เมื่อจูงเดินสำรวจทั่วห้องแล้วสาวน้อยก็จูงอัศมิตาไปนั่งที่ปลายเตียง ก่อนเธอจะกระโดดลงไปนอน

    แผ่หลาด้านบนเตียง ทำให้สปริงเตียงเด้งจนเด็กชายตาบอดสะดุ้งโหยงและหันมาถามด้วยท่าทีตื่น

    กลัวจนแทนจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว


    "แพทริเซีย เหตุใดเมื่อเจ้าล้มตัวลงนอนแล้วเตียงจึงเด้งขึ้นมางั้นหรือ" 


    เด็กหญิงกลั้นหัวเราะจนใบหน้าบิดเบี้ยวก่อนจะเอ่ยตะกุกตะกัก"ม..ไม่ใช่เตียงเด้ง..ขึ้นมานะ..กลไก

    มันน่ะ..ถ้าฉันจำไม่ผิด..อยู่ตรงส่วน..ฟูกนอนต่างหาก"มือเล็กขยี้ผมของเด็กชายด้วยรู้สึกเอ็นดู

    แปลกๆ เนื่องจากถึงแม้จะมีอายุรุ่นราวราวเดียวกันแต่เขากลับอ่อนต่อโลกกว่าเธอมากนัก 


    "ก..ก็เรามิเคยมีความเข้าใจในเรื่องนี้มาก่อนเลยสักนิดเดียว"เด็กชายซ่อนใบหน้าที่เป็นสีแดงเพราะ

    ความอายไว้หลังฝ่ามือน้อยๆทั้งสองข้าง 


    แพทริเซียยิ้มน้อยๆให้ถึงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่อาจมองเห็นก็ตาม"ฉันว่านะ ทั้งพระราชวังแล้วก็ห้องพักนี่

    มันชักจะหรูเกินไปแล้วสิ ฉันพอจะเดาสาเหตุที่ชาวบ้านไม่มีจะกินได้แล้วล่ะ"เธอเอ่ยขึ้นมาลอยๆ 


    "หรูหราเกินไปงั้นหรือ เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้นกันเล่า ช่วยอธิบายให้เราฟังได้หรือไม่" 


    "ก่อนอื่น เธอรู้จักทองคำแล้วก็มูลค่าของมันไหมล่ะ"แพทริเซียเอ่ยถามด้วยท่าทีเป็นงานเป็นการขึ้น

    เล็กน้อย 


    "ทองคำคือแร่..สีเหลือง ใช้ทำเครื่องประดับและเครื่องใช้สำหรับชนชั้นสูงหรือพวกเศรษฐีเนื่องจาก

    มีมูลค่าสูงมาก เราเข้าใจถูกหรือไม่"อัศมิตามีน้ำเสียงไม่ค่อยแน่ใจนักตอนพูดถึงสี เนื่องจากไม่เคย

    มองเห็น เพียงแค่ได้ยินมาจากปากของผู้ใหญ่เท่านั้น 


    "ถูกต้อง มันแพงมาก แต่ในห้องนี้มีของที่ตกแต่งด้วยทองเต็มไปหมด เงินที่เอามาซื้อคงไม่น้อย

    เลยใช่หรือเปล่าล่ะ" 


    เด็กชายนิ่งคิดไปชั่วครู่หนึ่ง"เราคิดว่าคงจะเป็นอย่างที่เจ้าพูด แล้วเหตุใดองค์สุลต่านจึงนำทรัพย์

    มาใช้อย่างเสียเปล่าแทนที่จะนำไปช่วยเหลือชาวบ้านงั้นหรือ" 


    "คนรวยๆส่วนใหญ่ไม่ว่าจะพ่อค้า กษัตริย์ หรือขุนนางมักจะยึดความสบายของตัวเองเป็นหลักอยู่

    แล้วล่ะ ถ้าที่ไหนผู้ปกครองดีก็อาจจะแบ่งมาช่วยเยอะหน่อย แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีสิทธิจะ

    เรียกร้องความช่วยเหลืออะไรอยู่แล้วด้วย"แพทริเซียตอบอย่างเหม่อลอยเหมือนนึกถึงอะไรบาง

    อย่างอยู่ 



          ขณะนั้นเอง อัศมิตาได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินมาตามทางเดินจึงล้มตัวลงนอนข้างแพทริเซีย

    แล้วกระซิบอย่างแผ่วเบา


    "เสียงฝีเท้า..กำลังตรงมาทางนี้ เราทั้งสองควรหยุดการสนทนาไว้เพียงเท่านี้ก่อนเถิด" 


    "ได้เลย แต่ฉันขอล่ะ เธออย่าเอาเรื่องที่เราคุยกันเมื่อกี้ไปบอกใครเด็ดขาดนะ"เด็กหญิงกระซิบ

    ตอบ ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมเสียงของหญิงสาว


    "ข้าเป็นช่างตัดเสื้อที่องค์สุลต่านสั่งให้มาวัดตัวและตัดชุดให้พวกท่าน ขอเข้าไปหน่อยจะได้หรือไม่

    เจ้าคะ" 


    "ได้เลยค่ะ รอเดี๋ยวนะคะ"เด็กหญิงผุดลุกขึ้นไปเปิดประตูบานใหญ่หน้าห้อง คนที่ยืนรออยู่เป็นหญิง

    สาววัยยี่สิบกลางๆ เครื่องแต่งตัวดูน่าจะราคาแพงพอสมควร เธอหอบกระเป๋าพะรุงพะรังเต็มสอง

    มือ แพทริเซียชะงักไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม"เอ่อ ท่าทางจะหนักนะคะ ให้ฉันช่วยดีกว่าไหม" 


    "หน้าที่ของท่านคือดูแลองค์ชายอัศมิตามิใช่หรือไงกัน ไม่จำเป็นต้องมาถือกระเป๋าให้ข้าหรอก

    เจ้าค่ะ ข้าถือเองได้" 

    "ค่ะ"สาวน้อยรับด้วยน้ำเสียงอึ้งนิดๆแล้วหลบออกมาให้หญิงสาวเข้ามาได้สะดวก


    อะไรเนี่ย อุตส่าห์หวังดีอยากจะช่วยแท้ๆ ไม่อยากให้ฉันถือก็บอกกันดีๆได้นี่ ทำไมต้องมาแขวะกันด้วยนะ...



    แพทริเซียนึกบ่นในใจอย่างหงุดหงิดเล็กน้อยที่ถูกพูดจาไม่ดีใส่ตั้งแต่เช้า หญิงสาวคนนั้นวาง

    กระเป๋าลงกลางห้องแล้วเดินไปหาเด็กชายที่นั่งอยู่บนเตียง


    "องค์ชายเจ้าคะ"เขาสะดุ้งเฮือกเนื่องจากได้ยินที่เธอพูดกับเพื่อนของเขาหมดแล้ว อัศมิตาค่อยๆลุก

    เดินไปทางต้นเสียงอย่างระมัดระวังพลางคิดวิตกในใจว่าตนจะโดนผู้หญิงคนนี้ใช้คำพูดจิกกัด

    อย่างไรบ้าง แต่พอเขาเดินไปถึงกลางห้องเธอกลับวางมือบนไหล่เขาแล้วเอ่ยอย่างสุภาพ


    "โปรดถอดเสื้อออกด้วยเจ้าค่ะ หม่อมฉันจะได้ทำการวัดตัวของท่านได้" เขานิ่งอึ้งอยู่สักพักก่อนที่

    จะพยายามลงมือถอดเสื้อออกอย่างรวดเร็วที่สุดเพราะกลัวถูกหญิงสาวพูดจากระทบกระเทียบใส่ 


    เมื่อช่างตัดเสื้อสาวเห็นเรือนร่างท่อนบนของอัศมิตาซึ่งดูผอมและไม่ค่อยมีเนื้อหนังราวกับอดอยาก

    มานาน เธอจึงเดินตรงเข้าไปหาแพทริเซียด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง


    "เหตุใดท่านจึงปล่อยให้องค์ชายต้องอดอยากจนมีรูปร่างเช่นนี้..ในขณะที่รูปร่างท่านดูจะอยู่ดีกินดี

    กว่าองค์ชายเสียอีกล่ะเจ้าคะ"หญิงสาวเอ่ยคำตำหนิติเตียนขึ้นอย่างเย็นชา 


    "แต่ว่า--"อัศมิตาทนไม่ไหวที่เพื่อนของตนโดนตำหนิในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงจึงพยายามแก้ตัว

    แทน แต่ก็ถูกขัดขึ้นเสียก่อน


    "ข้าต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งเพคะองค์ชาย..ที่มาพบท่านช้าเกินไปจนท่านต้องมีสภาพร่างกายเช่น

    นี้"เด็กหญิงพยายามทำน้ำเสียงรู้สึกผิดเพื่อไม่ให้มีพิรุธ 


    "ดีมากเลยที่ท่านทำผิดแล้วรู้จักขอโทษนะเจ้าคะ"ช่างตัดเสื้อยิ้มอย่างพึงพอใจโดยไม่ได้สังเกต

    ว่า'องค์ชาย'กำลังขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเอาเสียเลย 


    เธอหยิบสายวัดตัวออกมาวัดรอบแผ่นอกของอัศมิตา เด็กชายตาบอดรู้สึกถึงวัตถุบางอย่างที่กำลัง

    พันอยู่รอบแผ่นอกจึงเผลอพลั้งปากถามออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ


    "วัตถุที่มีลักษณะเป็นเส้นซึ่งอยู่ตรงบริเวณอกของเราคือสิ่งใดงั้นหรือ"

    ช่างตัดเสื้อสาวขมวดคิ้วด้วยงุนงง"องค์ชายทรงไม่รู้จักสายวัดตัวงั้นหรือเจ้าคะ" 


    แพทริเซียสะดุ้งโหยงที่เขาเผลอหลุดปากถามเรื่องนี้ออกไป ถ้าเกิดช่างตัดเสื้อคนนี้จับพิรุธได้

    แล้วไปแจ้งกับสุลต่านคงมีหวังได้หัวขาดทั้งคู่อย่างแน่นอน 


    "เพราะว่าองค์ชายทรงต้องหลบหนีจากศัตรูมาตลอดเลยต้องปลอมตัวอยู่บ่อยๆ เลยทำให้ไม่มีเวลา

    ได้ตัดชุดดีๆเท่าไหร่ค่ะ"แพทริเซียรีบแก้ตัวอย่างรวดเร็วพลางลุ้นระทึกว่าหญิงสาวจะเชื่อที่เธอพูด

    หรือไม่ 


    ช่างตัดเสื้อสาวไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่มองหน้าเธอด้วยสายตาตำหนิแล้วหันไปวัดตัวอัศมิตาต่อ

    จนเสร็จ แล้วจึงวัดตัวเธอด้วยท่าทางไม่สุภาพเท่าใดนักก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไป



          ทันทีที่อัศมิตาได้เสียงฝีเท้าของช่างตัดเสื้อสาวหายลับไปจากระยะที่สามารถได้ยินการพูดคุย

    ของทั้งสองได้แล้ว เขาก็หันมาทางแพทริเซียแล้วพูดสิ่งที่กำลังอัดอั้นตันใจมาตลอดตั้งแต่ที่หญิง

    สาวนางนั้นเข้ามาในห้อง


    "เรามิชอบวิธีที่นางพูดกับเจ้าเอาเสียเลย ในน้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม 

    เฉกเช่นกับที่เราเคยถูกกระทำเมื่อครั้งอยู่อินเดีย" 


    "ฉันเองก็ไม่ชอบ แต่ว่าเรายังจำเป็นต้องเล่นละครต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นน่ะสิ"สาวน้อยถอนหายใจ


    "เล่นละครที่เจ้าว่าหมายความว่าอย่างไรกัน เราทั้งสองมิได้แสดงมหรสพอะไรให้นางได้รับชมมิใช่

    หรือ" 


    ใบหน้าที่พูดบึ้งของเด็กหญิงพลันยิ้มออกมาด้วยนึกขำในความใสซื่อของเด็กชายตรงหน้า

    "เล่นละครน่ะเป็นสำนวนที่หมายถึงการแสดงบทบาทหรืออารมณ์เป็นอีกอย่างที่เราไม่ได้รู้สึกหรือ

    อยู่ในบทบาทนั้นจริงน่ะ" 


    "เหตุใดจึงต้องเล่นละครกับนาง..ทั้งที่เจ้าเองก็มิได้ชื่นชอบสิ่งที่นางกระทำเสียหน่อย"ถามไปตาม

    ประสาเด็กน้อยที่ยังไม่รู้จักโลก 


    "สักวันนึงเธอจะเข้าใจว่าโลกใบนี้มันไม่ได้สวยงามนักหรอกนะ..."นัยน์ตาสีอเมทิสต์ฉายแววดูเจ็บ

    ปวด"บางทีคนเราก็ต้องโกหกเพื่อเอาตัวรอดเหมือนกัน"


    เธอรีบพูดต่อ"ฉันไม่ได้สนับสนุนการโกหกนะ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ การโกหกน่ะเอาไว้ใช้เวลา

    จำเป็นก็พอแล้ว" 


    "โล่งอกไปที เรานึกว่าเจ้าสนับสนุนการทำสิ่งไม่ดีเสียอีก"อัศมิตาหันหน้าไปตามเสียงใสนั้นแล้ว

    แย้มยิ้มอย่างจริงใจ แต่ทว่าคำพูดของเขาทำให้เธอรู้สึกผิดบาปแปลกๆจึงเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา


    "ว่าแต่ไปอาบน้ำกันดีไหม ที่นี่ร้อนมากเลย ฉันรู้สึกอย่างกับว่าน้ำในตัวระเหยไปหมดเลยล่ะ" 


    "อียิปต์นั้นมิได้มีอุณหภูมิสูงกว่าอินเดียมากนัก เราจึงไม่ร้อนเสียเท่าไหร่"เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะ

    ถามต่อ


    "แล้วโรมาเนียบ้านเกิดของเจ้านั้นเป็นอย่างไรเล่า เจ้ายังมิได้เล่าให้เราฟังแม้แต่คราเดียวเลย"เอ่ย

    ด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ 


    "โรมาเนียน่ะ..เป็นที่ๆสวยมากเลย อากาศก็ดี ไม่ร้อนเหมือนอินเดียด้วย"เสียงเล็กเอ่ยพึมพำต่อ

    อย่างแผ่วเบา


    "แต่ไม่ว่าจะเป็นที่ๆงดงามแค่ไหน ความงามจะสูญไปเพราะใจคน" 


    ถ้อยคำเหล่านี้มีความหมายอย่างไรกัน... แพทริเซีย เจ้าประสบเหตุการณ์แบบไหนมากันแน่ 


    อัศมิตาทำหน้าครุ่นคิดถึงถ้อยคำเมื่อครู่ของเด็กหญิง


    "เจ้าช่วยบอกความหมายของถ้อยคำที่เจ้ากล่าวได้หรือไม่ ปิดบังสิ่งใดแก่เราหรืออย่างไร"เขาควาน

    หามือของสาวน้อยแล้วจับไว้ 


    สีหน้าของเด็กชายพลันดูจริงจังขึ้นมา เขาไม่อยากให้แพทริเซียเก็บเรื่องทุกข์ใจไว้เพียงคนเดียว 

    เธอเป็น'เพื่อน'ของเขา เป็นคนช่วยดึงเขาออกมาจากความทุกข์ มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยที่เธอ

    ต้องแบกรับความทุกข์เอาไว้ 


    ร่างเล็กสะดุ้ง ถอยหลังไปสองสามก้าว"ฉันจะเล่าทุกอย่างให้เธอฟัง..ถ้าถึงเวลาที่เธอต้องเลือกทาง

    เดินชีวิตของตัวเอง"ตอบอย่างหนักแน่น น้ำเสียงที่เด็กชายตาบอดได้ยินนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจ

    แม้เจือไปด้วยความเศร้าเหลือแสน


    "สัญญากับเราได้หรือไม่"เขายื่นนิ้วก้อยของมืออีกข้างออกมา เนื่องด้วยเคยได้ยินจากเด็กคนอื่นที่

    พูดเรื่องการเกี่ยวก้อยสัญญา


    "ด้วยชีวิตเลยล่ะ"เธอเกี่ยวนิ้วก้อยของตนเข้ากับนิ้วก้อยของเด็กชายเป็นเครื่องยืนยันคำสัญญา


    "เอาล่ะ สัญญากันแล้วก็ไปอาบน้ำกันเถอะ"แพทริเซียวิ่งกึ่งจูงกึ่งลากเด็กชายไปยังห้องอาบน้ำ

    อย่างรวดเร็วจนเด็กชายต้องปรับจังหวะฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อให้ก้าวทันเด็กหญิงซึ่งตัวใหญ่กว่า 


    "แพทริเซีย ช้าลงหน่อยได้หรือไม่ เราตามฝีเท้าเจ้าไม่ทันเลย"พูดพร้อมเสียงหอบฮักๆ


    "ตอนวิ่งหนีโจรเธอยังวิ่งเร็วได้เลยนี่"เด็กหญิงทำน้ำเสียงหยอกเย้าพร้อมทั้งยักคิ้วให้แม้ว่าเด็กชาย

    จะมองไม่เห็น 


    "ในตอนนั้นเราเตรียมใจไว้แล้วว่าเราจำเป็นต้องวิ่ง.."เด็กชายมีสีหน้าหม่นลง เขาเริ่มคิดว่าตนเอง

    เป็นภาระที่ทำให้เธอไม่สามารถวิ่งเล่นได้ตามใจต้องการ อดีตของเขาเริ่มผุดขึ้นมาในหัว 


    "โอ๋ๆ ไม่เอานะ อย่าร้องไห้สิ ฉันขอโทษนะ ฉันขอโทษ"เด็กน้อยเริ่มใจเสีย น้ำเสียงของเธอแสดง

    ความรู้สึกผิดออกมาอย่างชัดเจน 


    "เจ้าไม่ต้องขอโทษหรอก เราต่างหากที่เป็นภาระของเจ้า"


    คงจะเป็นจริงดังที่เด็กเกเรพวกนั้นว่า เขานั้นไม่มีค่า...แม้เพียงน้อยนิด 


    "ฉันเองก็ลืมนึกถึงความรู้สึกของเธอไปหน่อย เอาเป็นว่าฉันจะเดินให้ช้าลงแล้วกันนะ"เธอลด

    ความเร็วของฝีเท้าลงให้เด็กชายเดินตามมาทันจนไปถึงห้องอาบน้ำซึ่งอยู่มุมห้องนอนแล้วปิดประตู

    ลวดลายหรูหรานั้นลง 


    ห้องอาบน้ำนี้กว้างประมาณหนึ่งในสี่ของขนาดห้องนอน แต่ว่ามันก็ยังใหญ่กว่าห้องนอนเล็กๆอัน

    แสนอบอุ่นบนเรือบ้านของแพทริเซียอยู่ดี 


    "ห้องอาบน้ำนี้ช่างกว้างขวางเหลือเกิน"อัศมิตาอุทานออกมาเบาๆ 


    "เธอรู้ได้ยังไงว่ามันกว้าง ทั้งๆที่เธอมองไม่เห็นนี่นา"ดวงตากลมโตคู่สวยจับจ้องเด็กชายตาบอด

    ด้วยความประหลาดใจ 


    "เราฟังจากเสียงฝีเท้าที่ดังสะท้อนก้องออกมา"เด็กชายยิ้มอย่างภาคภูมิใจพลางใช้มืออีกข้างที่ไม่

    ได้จับมือของแพทริเซียคลำผนังห้องเพื่อสำรวจ 


    "ถอดเสื้อผ้ารอฉันอยู่ตรงนี้นะ ฉันขอตัวไปเปิดน้ำก่อน"มือเล็กปล่อยมือของเด็กชายแล้วเดินไปเปิด

    น้ำในอ่างที่ดูราวกับสระน้ำขนาดย่อม อ่างนี้มีขอบต่ำแทบเสมอพื้นโดยรอบ แต่มีพื้นที่ลึกลงไปด้าน

    ล่าง 


    อัศมิตาถอดเสื้อผ้าออกอย่างระมัดระวังแล้วรวบรวมมาถือไว้"เราควรทำเช่นไรกับเสื้อผ้าเหล่านี้"

    เขาหันไปถามแพทริเซียซึ่งเปิดน้ำเรียบร้อยและกำลังเดินเข้ามา


    "พาดไว้ตรงราวแขวนบนหัวเธอนั่นแหละ"เสียงเล็กของเธอเอ่ยอย่างลืมตัว ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ในอีก

    สองวินาทีถัดมาว่าเขามองไม่เห็น


    "เอามานี่สิ เดี๋ยวฉันแขวนให้" เขาส่งเสื้อผ้าทั้งหมดให้แพทริเซีย ทว่าราวแขวนนั้นกลับสูงกว่าที่

    เธอคิด


    "ฮึบ...ฮึบ"เด็กหญิงกระโดดหย็องแหย็ง พยายามจะเอาเสื้อผ้าขึ้นไปพาดให้ได้ 


    "เราคิดว่าเจ้าควรขี่หลังเราขึ้นไปจะได้เอื้อมถึงนะ แพทริเซีย"เขาเสนอตัวด้วยสงสารเพื่อนที่

    พยายามกระโดดอยู่หลายครั้ง


    "ไม่ได้หรอก เธอน่ะตัวเล็กมากเลยนะ ขืนถ้าฉันขี่หลังเธอขึ้นไปกระดูกเธอคงหักแน่ๆ"ตอบด้วย

    ความตกใจ แต่ก็รู้สึกดีที่เด็กชายพยายามเสนอตัวเข้าช่วย พลันสายตาเหลือบไปเห็นเก้าอี้ไม้สี

    น้ำตาลตัวเล็กตรงบริเวณมุมห้อง 


    "ทำไมถึงไม่วางเก้าอี้ไว้ใกล้ๆกันนะ"เสียงเล็กบ่นอุบอิบขณะยกเก้าอี้ไม้มาเป็นฐานเหยียบขึ้นไป

    พาดเสื้อผ้าของเด็กชาย จากนั้นแพทริเซียก็เปลื้องเสื้อผ้าของตนออก แล้วนำไปแขวนบนราวเช่น

    เดียวกัน 


    "มาเถอะ น้ำเต็มแล้วล่ะ"จับมือที่เล็กกว่าไว้แน่น ค่อยๆจูงเขาอย่างระมัดระวัง แต่ทว่าเด็กชายกลับ

    เร่งฝีเท้าขึ้นจนแทบจะนำหน้าเธออยู่แล้ว แววตาสีม่วงจ้องมองเขาอย่างประหลาดใจยิ่งนัก


    "เธอนี่มันแปลกคนดีนะ ทีตอนอาบครั้งแรกยังไม่ยอมฉันสุดชีวิตเลยนี่"น้ำเสียงเจือความเสียดสีด้วย

    ขบขันที่ท่าทีของอัศมิตาต่อการอาบน้ำเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้ 


    "การอาบน้ำมิใช่สิ่งเลวร้ายดังคำที่เราถูกปลูกฝังมา เรารู้สึกว่าการอาบน้ำเป็นสิ่งที่ทำให้ผ่อนคลาย

    และรู้สึกสดชื่น บางที..สิ่งที่เราเคยได้รับรู้จากที่อินเดียอาจไม่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด"เสียงของเขา

    ปิดท้ายด้วยความไม่มั่นใจ 


    "ดีมาก เด็กน้อย พัฒนาไปอีกขั้นแล้วสินะ เวลาเธอจะเชื่ออะไรก็ต้องได้รู้ด้วยตัวเองก่อน อย่าเชื่อ

    ตามคำคนอื่นไปซะทุกอย่างนะจ๊ะ"แพทริเซียแกล้งทำเสียงภูมิฐานฟังดูตลกจนอัศมิตาหัวเราะคิก 


    "น้ำเสียงของเจ้ามิได้ฟังดูมีอายุมากกว่าเราเสียเท่าไร แต่ไฉนเจ้าจึงเรียกเราว่าเด็กน้อยกัน"เขา

    พองแก้ม นี่ตัวเขาดูเป็นเด็กขนาดนั้นเลยหรือในสายตาเพื่อนของตน



         ทว่าด้วยความที่ทั้งสองมัวแต่คุยกันอย่างไม่ทันระวัง เท้าข้างหนึ่งของอัศมิตาก้าวพรวดเข้าไป

    เลยขอบอ่างทำให้ตัวเขาเซถลาลงไปในอ่างโดยที่แพทริเซียคว้าไว้ไม่ทัน เด็กชายตาบอด

    ตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ พยายามเอาชีวิตรอดขึ้นมา 


    "ใจเย็นๆก่อนสิ ก่อนอื่นเธอต้องหยุดทำท่าทางเหมือนลูกหมาตกน้ำแบบนั้นได้แล้ว"เสียงของเธอดู

    ตกใจแต่ยังคุมสติไว้ได้อยู่ 

    "จะให้เราทำเช่นไรกัน หากเราหยุดเสียอาจจมน้ำได้"เขายังไม่หายจากอาการลนลานเพราะความ

    ตกใจ 


    "เลิกคิดไปเองเถอะน่า! ถ้าเธอยืนตรงๆน้ำก็สูงพอกับซี่โครงเธอนั่นแหละ"เด็กหญิงเสียงดังขึ้น

    เพราะหวังจะให้เขาได้สติเสียที 


    "อ้าว..เป็นเช่นนั้นเองหรือ"เสียงของเขาแผ่วลงด้วยความอายจัด รู้สึกถึงเลือดที่สูบฉีดขึ้นมาบน

    ใบหน้าของตน เขาค่อยๆปล่อยตัวเองให้ลงมาในท่ายืนตรง ระดับน้ำเป็นไปตามที่เด็กหญิงพูดจริงๆ

    ด้วย 


    แพทริเซียลงมายืนข้างเขาอย่างระมัดระวัง"เธอคงจะตกใจกับน้ำเพราะไม่ได้ลงมาดีๆใช่ไหมล่ะ"มือ

    ของเธอแตะไหล่เขา 


    เด็กชายที่ก้มหน้างุดๆพยักหน้าหนึ่งที 


    "ถึงจะพูดไปก็คงไม่มีประโยชน์ มานี่สิ"แพทริเซียเดินนำเขามาที่ตะกร้าที่อยู่อีกมุมหนึ่งของของอ่าง


    "ตรงนี้มีสบู่ให้เลือกเยอะแยะเลย"เสียงใสของเธอหัวเราะขึ้นอย่างอารมณ์ดี 


    "ใช้หลักเกณฑ์ใดในการเลือกสบู่ ขอให้เจ้าช่วยสอนเราบ้าง"ตอบด้วยยังไม่รู้ความแตกต่างของสบู่

    มากมายนัก 


    "แต่ละคนจะมีหลักการเลือกต่างกันไปนะ สำหรับฉัน ก้อนไหนหอมก็เอาก้อนนั้นแหละ"เธอพูด

    ติดตลก


    "มาช่วยกันเลือกหน่อยสิ"ยังไม่ทันขาดคำ เธอยื่นสบู่มาจ่อใต้จมูกอัศมิตาไปเรื่อยๆ ในที่สุดเด็กชาย

    ก็เลือกสบู่ก้อนหนึ่งที่มีกลิ่นหอมสดใสราวดอกไม้ออกมาจากสบู่นับสิบๆก้อน 


    เด็กหญิงข้างกายถูตัวและสระผมให้เขาดังเช่นตอนนั้น เขารู้สึกชื่นชอบสัมผัสอันอ่อนโยนนี้เป็นอัน

    มาก 


    อยากจะอยู่เช่นนี้ตลอดไป... 


    "เสร็จแล้ว ระหว่างรอฉันอาบ เธอจะเล่นน้ำไปพลางๆก่อนก็ได้"แม้ไม่เห็นหน้า แต่จากน้ำเสียงของ

    แพทริเซียทำให้คาดเดาได้ว่ากำลังแย้มยิ้มอยู่ 


    เขาพยักหน้าแล้วหันไปดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนานจนกระทั่งเธออาบเสร็จ เด็กหญิงจูงเขาขึ้นจาก

    ขอบสระ ทั้งสองไม่ได้พูดสิ่งใดกันอีกระหว่างแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่เตรียมมาและเดินออกจากห้องน้ำ

    ไป 


    จนกระทั่งเด็กชายทิ้งตัวลงบนเตียงนอนหนานุ่มแสนสบาย


    "แพทริเซีย เรารู้ว่าสิ่งที่เรากำลังจะพูดอาจฟังดูเลื่อนลอย แต่โปรดฟังเราได้หรือไม่" 


    "เอาสิ ว่ามาเลย"เด็กหญิงนั่งลงข้างๆเขา พร้อมตั้งใจฟังเต็มที่ 


    "เรารู้สึก..ราวกับความทรงจำอันเลือนลางเมื่อครั้งเยาว์วัยว่าเคยได้รับการดูแลที่ดีกว่าสิ่งที่จัณฑาล

    ควรได้รับมาก่อน ทว่าเราไม่แน่ใจ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง หรือเป็นเพียงความเพ้อฝันก็มิอาจรู้ได้.."


    น้ำเสียงสั่นเครือไปด้วยความสับสน อัศมิตาซบหน้าลงกับฝ่ามือน้อยๆสองข้าง 


    "นี่เธอ--"ทันใดนั้น มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นการขัดจังหวะ เด็กหญิงลุกไปเปิดประตูอย่างหัวเสีย

    เล็กน้อย ทว่าคนที่ยืนอยู่หน้าบานประตูกลับไม่ใช่คนที่เธอคิด 


    "อ้าว พี่โดวนีย่า"เธออุทานออกมาเบาๆ 

    "ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกท่านจะได้รับประทานอาหารเช้าแล้ว โปรดตามข้ามาค่ะ"เธอทำความเคารพ

    ให้เด็กหญิง 

    แพทริเซียเดินกลับไปที่เตียงแล้วจับมืออัศมิตาออกมาด้วยใจระทึก 

    เอาแล้วไงล่ะคราวนี้ ได้มีความแตกแน่ๆเลย....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×