ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : มิอาจเอ่ย
โดวนีย่าหยุดอยู่หน้าประตูบานใหญ่สีขาวบานหนึ่งก่อนจะหันไปบอกแก่เด็กน้อยทั้งสองอย่าง
อ่อนน้อม
"ห้องนี้เป็นที่พักอาศัยของพวกท่าน หากต้องการเรียกใช้เหล่าบริวารให้ทำสิ่งใดโปรดสั่นกระดิ่งนี้
นะคะ"เธอผายมือไปทางกระดิ่งทองคำที่แขวนอยู่หน้าห้อง
"อาหารเช้าจะถูกจัดเตรียมขึ้นในอีกราวๆหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า ขอให้พวกท่านเดินไปทางขวามือ
เรื่อยๆจนพบกับรูปปั้นนางระบำแล้วเข้าประตูที่อยู่ติดกันจะพบห้องอาหารค่ะ"
แพทริเซียพยักหน้าช้าๆอย่างคนที่กำลังจดจำแล้วยิ้มให้นางสนมคนสวย
"ขอบคุณมากค่ะ พี่โดวนีย่า"
"หากพวกท่านยังไม่มีเหตุเรียกใช้แล้ว ข้าขอไปตามช่างตัดเสื้อมาวัดตัวพวกท่านก่อนตามประสงค์
ขององค์สุลต่าน ระหว่างนี้เชิญพวกท่านพักผ่อนกันตามสบายเลยค่ะ"นางสนมทำความเคารพแล้ว
ยิ้มให้ก่อนจะเดินจากไป
แพทริเซียรอจนนางหายลับสายตาไปแล้วจึงผลักบานประตูออกแล้วจูงอัศมิตาเข้าไป ทันทีที่เด็ก
หญิงปิดประตูให้สนิท เธอก็ถูกกระตุกแขนโดยอีกคนที่เงียบอยู่นาน
"แพทริเซีย สิ่งที่เจ้าได้กล่าวกับองค์สุลต่านนั้นเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ"เด็กชายที่อยู่ข้างกายเอ่ยขึ้นมา
ด้วยเพราะมิอาจอดกลั้นความสงสัยได้อีกต่อไป แล้วอีกอย่างเพราะพื้นที่ตรงนี้ไม่มีเสียงคนเดินผ่าน
ไปมาจึงเสมือนกับว่าอยู่กันเพียงแค่สองคน
แพทริเซียหัวเราะพรืดออกมาด้วยเพราะความใสซื่อของอัศมิตา
"จริงซะที่ไหนกันล่ะ ฉันบอกไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากอยู่ที่นี่นานๆหรอกนะ สุลต่านนั่นจะไว้ใจได้
สักแค่ไหนก็ไม่รู้ด้วย มันแปลกนะที่ต้อนรับพวกเราดีขนาดนี้"เด็กหญิงจบประโยคด้วยน้ำเสียง
ครุ่นคิดอย่างไม่ไว้วางใจ
"นั่นก็คงเป็นเพราะองค์สุลต่านเป็นคนดีกระมัง...ที่เจ้าระแวงนั้นไม่ใช่เรื่องผิด แต่ว่าการปดเรื่องขึ้น
มาไม่ใช่สิ่งที่ดีเอาเสียเลยนะแพทริเซีย"อัศมิตาทำหน้ามุ่ยและพองแก้มใส่แพทริเซียด้วยความที่
ไม่อยากให้เพื่อนของตนทำในสิ่งที่ไม่ดี
นิ้วเรียวจิ้มแก้มของเด็กชายเบาๆ"เธอนี่น้า มีคนเคยบอกฉันไว้ว่าพวกผู้ใหญ่ที่ทำดีมากๆกับเรา
น่ะ..บางทีอาจหวังผลอะไรสักอย่างอยู่ก็ได้ ถ้าเจอผู้ใหญ่แบบนี้ต้องระวังตัวไว้ดีๆ"
"องค์สุลต่านจะหวังสิ่งใดจากเด็กอย่างพวกเรากันเล่า"เขาขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
"ถ้าสุลต่านปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้ล่ะ ทะเลทรายแบบนี้จะมีโอกาสที่น้ำพุ่งขึ้นมาเอง
สักแค่ไหน แล้วมันก็เกิดขึ้นตอนที่เราพักที่นั่นด้วย ถ้าเกิดว่าสุลต่านรู้ว่าฉันเป็นคนทำล่ะ"
แพทริเซียพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนขึ้นเรื่อยๆ ร่องรอยความเครียดปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม หัวใจเต้น
แรงเสียจนเด็กชายตาบอดได้ยินชัดเจน
"สงบใจก่อนเถิดแพทริเซีย เราว่าองค์สุลต่านคงจะมิได้กระทำเรื่องเลวร้ายกับผู้ใช้เวทมนต์เช่นเจ้า
แน่นอน"เขากอดเธอไว้แนบแน่น นั่นคือวิธีปลอบเพียงอย่างเดียวที่เด็กชายวัยหกขวบนึกออก มัน
ทำให้เขารู้สึกสบายใจเมื่อได้รับการปลอบเช่นนี้ หวังเพียงแต่ว่าเธอจะสบายใจขึ้นเช่นกัน
"เธอน่ะไม่รู้อะไรหรอก"เสียงที่หลุดลอดออกมาแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบแต่กลับเจือไปด้วยความ
รู้สึกอัดอั้นจนน่าอึดอัด
"หากเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจโปรดบอกแก่เราเถิด...อย่าเก็บเอาไว้คนเดียวเลย"อัศมิตาเอื้อมมือออก
ไปแล้วลูบหัวเธอเบาๆ รู้สึกได้ถึงความนุ่มของเรือนผมยาวนั้น
"ถ้าถึงเวลา..."เสียงเล็กเอ่ยอย่างผ่อนคลายลง แพทริเซียรู้ว่าเธอหลุดพูดอะไรหลายอย่างที่ไม่
สมควรให้คนตรงหน้ารู้และควรจะควบคุมอารมณ์ให้ดีกว่านี้ โชคยังดีที่คนตรงหน้ายังไม่ถามเซ้าซี้
อะไรต่อ ไม่งั้นต้องแย่แน่ๆ
สาวน้อยรีบหาเรื่องเบี่ยงประเด็นโดยการอาสาจูงเพื่อนตาบอดให้เดินสำรวจรอบห้องที่กว้างใหญ่
พอๆกับห้องบนเรือบ้านของเธอรวมกันประมาณสามสี่ห้อง ฝั่งตรงกันข้ามกับประตูห้องมีผ้าม่านสี
น้ำตาลเข้มปักดิ้นทองซึ่งดูสวยงามรับกันดีกับหน้าต่างบานใหญ่จนสามารถเห็นวิวของทั้งเมืองได้
เตียงนอนสี่เสาที่ดูน่านอนมีขนาดใหญ่มาก ด้านบนเต็มไปด้วยผ้าห่มและหมอนใหญ่น้อยนับสิบใบ
ส่วนอื่นในห้องตกแต่งด้วยสไตล์อาหรับแท้ๆอย่างหรูหราด้วยโทนสีน้ำตาลทอง ซึ่งสีทองส่วนใหญ่
มาจากทองคำแท้ๆที่ถูกแปรสภาพเป็นของตกแต่งและของใช้ภายในห้อง
เมื่อจูงเดินสำรวจทั่วห้องแล้วสาวน้อยก็จูงอัศมิตาไปนั่งที่ปลายเตียง ก่อนเธอจะกระโดดลงไปนอน
แผ่หลาด้านบนเตียง ทำให้สปริงเตียงเด้งจนเด็กชายตาบอดสะดุ้งโหยงและหันมาถามด้วยท่าทีตื่น
กลัวจนแทนจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
"แพทริเซีย เหตุใดเมื่อเจ้าล้มตัวลงนอนแล้วเตียงจึงเด้งขึ้นมางั้นหรือ"
เด็กหญิงกลั้นหัวเราะจนใบหน้าบิดเบี้ยวก่อนจะเอ่ยตะกุกตะกัก"ม..ไม่ใช่เตียงเด้ง..ขึ้นมานะ..กลไก
มันน่ะ..ถ้าฉันจำไม่ผิด..อยู่ตรงส่วน..ฟูกนอนต่างหาก"มือเล็กขยี้ผมของเด็กชายด้วยรู้สึกเอ็นดู
แปลกๆ เนื่องจากถึงแม้จะมีอายุรุ่นราวราวเดียวกันแต่เขากลับอ่อนต่อโลกกว่าเธอมากนัก
"ก..ก็เรามิเคยมีความเข้าใจในเรื่องนี้มาก่อนเลยสักนิดเดียว"เด็กชายซ่อนใบหน้าที่เป็นสีแดงเพราะ
ความอายไว้หลังฝ่ามือน้อยๆทั้งสองข้าง
แพทริเซียยิ้มน้อยๆให้ถึงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่อาจมองเห็นก็ตาม"ฉันว่านะ ทั้งพระราชวังแล้วก็ห้องพักนี่
มันชักจะหรูเกินไปแล้วสิ ฉันพอจะเดาสาเหตุที่ชาวบ้านไม่มีจะกินได้แล้วล่ะ"เธอเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
"หรูหราเกินไปงั้นหรือ เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้นกันเล่า ช่วยอธิบายให้เราฟังได้หรือไม่"
"ก่อนอื่น เธอรู้จักทองคำแล้วก็มูลค่าของมันไหมล่ะ"แพทริเซียเอ่ยถามด้วยท่าทีเป็นงานเป็นการขึ้น
เล็กน้อย
"ทองคำคือแร่..สีเหลือง ใช้ทำเครื่องประดับและเครื่องใช้สำหรับชนชั้นสูงหรือพวกเศรษฐีเนื่องจาก
มีมูลค่าสูงมาก เราเข้าใจถูกหรือไม่"อัศมิตามีน้ำเสียงไม่ค่อยแน่ใจนักตอนพูดถึงสี เนื่องจากไม่เคย
มองเห็น เพียงแค่ได้ยินมาจากปากของผู้ใหญ่เท่านั้น
"ถูกต้อง มันแพงมาก แต่ในห้องนี้มีของที่ตกแต่งด้วยทองเต็มไปหมด เงินที่เอามาซื้อคงไม่น้อย
เลยใช่หรือเปล่าล่ะ"
เด็กชายนิ่งคิดไปชั่วครู่หนึ่ง"เราคิดว่าคงจะเป็นอย่างที่เจ้าพูด แล้วเหตุใดองค์สุลต่านจึงนำทรัพย์
มาใช้อย่างเสียเปล่าแทนที่จะนำไปช่วยเหลือชาวบ้านงั้นหรือ"
"คนรวยๆส่วนใหญ่ไม่ว่าจะพ่อค้า กษัตริย์ หรือขุนนางมักจะยึดความสบายของตัวเองเป็นหลักอยู่
แล้วล่ะ ถ้าที่ไหนผู้ปกครองดีก็อาจจะแบ่งมาช่วยเยอะหน่อย แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีสิทธิจะ
เรียกร้องความช่วยเหลืออะไรอยู่แล้วด้วย"แพทริเซียตอบอย่างเหม่อลอยเหมือนนึกถึงอะไรบาง
อย่างอยู่
ขณะนั้นเอง อัศมิตาได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินมาตามทางเดินจึงล้มตัวลงนอนข้างแพทริเซีย
แล้วกระซิบอย่างแผ่วเบา
"เสียงฝีเท้า..กำลังตรงมาทางนี้ เราทั้งสองควรหยุดการสนทนาไว้เพียงเท่านี้ก่อนเถิด"
"ได้เลย แต่ฉันขอล่ะ เธออย่าเอาเรื่องที่เราคุยกันเมื่อกี้ไปบอกใครเด็ดขาดนะ"เด็กหญิงกระซิบ
ตอบ ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมเสียงของหญิงสาว
"ข้าเป็นช่างตัดเสื้อที่องค์สุลต่านสั่งให้มาวัดตัวและตัดชุดให้พวกท่าน ขอเข้าไปหน่อยจะได้หรือไม่
เจ้าคะ"
"ได้เลยค่ะ รอเดี๋ยวนะคะ"เด็กหญิงผุดลุกขึ้นไปเปิดประตูบานใหญ่หน้าห้อง คนที่ยืนรออยู่เป็นหญิง
สาววัยยี่สิบกลางๆ เครื่องแต่งตัวดูน่าจะราคาแพงพอสมควร เธอหอบกระเป๋าพะรุงพะรังเต็มสอง
มือ แพทริเซียชะงักไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม"เอ่อ ท่าทางจะหนักนะคะ ให้ฉันช่วยดีกว่าไหม"
"หน้าที่ของท่านคือดูแลองค์ชายอัศมิตามิใช่หรือไงกัน ไม่จำเป็นต้องมาถือกระเป๋าให้ข้าหรอก
เจ้าค่ะ ข้าถือเองได้"
"ค่ะ"สาวน้อยรับด้วยน้ำเสียงอึ้งนิดๆแล้วหลบออกมาให้หญิงสาวเข้ามาได้สะดวก
อะไรเนี่ย อุตส่าห์หวังดีอยากจะช่วยแท้ๆ ไม่อยากให้ฉันถือก็บอกกันดีๆได้นี่ ทำไมต้องมาแขวะกันด้วยนะ...
แพทริเซียนึกบ่นในใจอย่างหงุดหงิดเล็กน้อยที่ถูกพูดจาไม่ดีใส่ตั้งแต่เช้า หญิงสาวคนนั้นวาง
กระเป๋าลงกลางห้องแล้วเดินไปหาเด็กชายที่นั่งอยู่บนเตียง
"องค์ชายเจ้าคะ"เขาสะดุ้งเฮือกเนื่องจากได้ยินที่เธอพูดกับเพื่อนของเขาหมดแล้ว อัศมิตาค่อยๆลุก
เดินไปทางต้นเสียงอย่างระมัดระวังพลางคิดวิตกในใจว่าตนจะโดนผู้หญิงคนนี้ใช้คำพูดจิกกัด
อย่างไรบ้าง แต่พอเขาเดินไปถึงกลางห้องเธอกลับวางมือบนไหล่เขาแล้วเอ่ยอย่างสุภาพ
"โปรดถอดเสื้อออกด้วยเจ้าค่ะ หม่อมฉันจะได้ทำการวัดตัวของท่านได้" เขานิ่งอึ้งอยู่สักพักก่อนที่
จะพยายามลงมือถอดเสื้อออกอย่างรวดเร็วที่สุดเพราะกลัวถูกหญิงสาวพูดจากระทบกระเทียบใส่
เมื่อช่างตัดเสื้อสาวเห็นเรือนร่างท่อนบนของอัศมิตาซึ่งดูผอมและไม่ค่อยมีเนื้อหนังราวกับอดอยาก
มานาน เธอจึงเดินตรงเข้าไปหาแพทริเซียด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
"เหตุใดท่านจึงปล่อยให้องค์ชายต้องอดอยากจนมีรูปร่างเช่นนี้..ในขณะที่รูปร่างท่านดูจะอยู่ดีกินดี
กว่าองค์ชายเสียอีกล่ะเจ้าคะ"หญิงสาวเอ่ยคำตำหนิติเตียนขึ้นอย่างเย็นชา
"แต่ว่า--"อัศมิตาทนไม่ไหวที่เพื่อนของตนโดนตำหนิในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงจึงพยายามแก้ตัว
แทน แต่ก็ถูกขัดขึ้นเสียก่อน
"ข้าต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งเพคะองค์ชาย..ที่มาพบท่านช้าเกินไปจนท่านต้องมีสภาพร่างกายเช่น
นี้"เด็กหญิงพยายามทำน้ำเสียงรู้สึกผิดเพื่อไม่ให้มีพิรุธ
"ดีมากเลยที่ท่านทำผิดแล้วรู้จักขอโทษนะเจ้าคะ"ช่างตัดเสื้อยิ้มอย่างพึงพอใจโดยไม่ได้สังเกต
ว่า'องค์ชาย'กำลังขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเอาเสียเลย
เธอหยิบสายวัดตัวออกมาวัดรอบแผ่นอกของอัศมิตา เด็กชายตาบอดรู้สึกถึงวัตถุบางอย่างที่กำลัง
พันอยู่รอบแผ่นอกจึงเผลอพลั้งปากถามออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
"วัตถุที่มีลักษณะเป็นเส้นซึ่งอยู่ตรงบริเวณอกของเราคือสิ่งใดงั้นหรือ"
ช่างตัดเสื้อสาวขมวดคิ้วด้วยงุนงง"องค์ชายทรงไม่รู้จักสายวัดตัวงั้นหรือเจ้าคะ"
แพทริเซียสะดุ้งโหยงที่เขาเผลอหลุดปากถามเรื่องนี้ออกไป ถ้าเกิดช่างตัดเสื้อคนนี้จับพิรุธได้
แล้วไปแจ้งกับสุลต่านคงมีหวังได้หัวขาดทั้งคู่อย่างแน่นอน
"เพราะว่าองค์ชายทรงต้องหลบหนีจากศัตรูมาตลอดเลยต้องปลอมตัวอยู่บ่อยๆ เลยทำให้ไม่มีเวลา
ได้ตัดชุดดีๆเท่าไหร่ค่ะ"แพทริเซียรีบแก้ตัวอย่างรวดเร็วพลางลุ้นระทึกว่าหญิงสาวจะเชื่อที่เธอพูด
หรือไม่
ช่างตัดเสื้อสาวไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่มองหน้าเธอด้วยสายตาตำหนิแล้วหันไปวัดตัวอัศมิตาต่อ
จนเสร็จ แล้วจึงวัดตัวเธอด้วยท่าทางไม่สุภาพเท่าใดนักก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไป
ทันทีที่อัศมิตาได้เสียงฝีเท้าของช่างตัดเสื้อสาวหายลับไปจากระยะที่สามารถได้ยินการพูดคุย
ของทั้งสองได้แล้ว เขาก็หันมาทางแพทริเซียแล้วพูดสิ่งที่กำลังอัดอั้นตันใจมาตลอดตั้งแต่ที่หญิง
สาวนางนั้นเข้ามาในห้อง
"เรามิชอบวิธีที่นางพูดกับเจ้าเอาเสียเลย ในน้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
เฉกเช่นกับที่เราเคยถูกกระทำเมื่อครั้งอยู่อินเดีย"
"ฉันเองก็ไม่ชอบ แต่ว่าเรายังจำเป็นต้องเล่นละครต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นน่ะสิ"สาวน้อยถอนหายใจ
"เล่นละครที่เจ้าว่าหมายความว่าอย่างไรกัน เราทั้งสองมิได้แสดงมหรสพอะไรให้นางได้รับชมมิใช่
หรือ"
ใบหน้าที่พูดบึ้งของเด็กหญิงพลันยิ้มออกมาด้วยนึกขำในความใสซื่อของเด็กชายตรงหน้า
"เล่นละครน่ะเป็นสำนวนที่หมายถึงการแสดงบทบาทหรืออารมณ์เป็นอีกอย่างที่เราไม่ได้รู้สึกหรือ
อยู่ในบทบาทนั้นจริงน่ะ"
"เหตุใดจึงต้องเล่นละครกับนาง..ทั้งที่เจ้าเองก็มิได้ชื่นชอบสิ่งที่นางกระทำเสียหน่อย"ถามไปตาม
ประสาเด็กน้อยที่ยังไม่รู้จักโลก
"สักวันนึงเธอจะเข้าใจว่าโลกใบนี้มันไม่ได้สวยงามนักหรอกนะ..."นัยน์ตาสีอเมทิสต์ฉายแววดูเจ็บ
ปวด"บางทีคนเราก็ต้องโกหกเพื่อเอาตัวรอดเหมือนกัน"
เธอรีบพูดต่อ"ฉันไม่ได้สนับสนุนการโกหกนะ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ การโกหกน่ะเอาไว้ใช้เวลา
จำเป็นก็พอแล้ว"
"โล่งอกไปที เรานึกว่าเจ้าสนับสนุนการทำสิ่งไม่ดีเสียอีก"อัศมิตาหันหน้าไปตามเสียงใสนั้นแล้ว
แย้มยิ้มอย่างจริงใจ แต่ทว่าคำพูดของเขาทำให้เธอรู้สึกผิดบาปแปลกๆจึงเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา
"ว่าแต่ไปอาบน้ำกันดีไหม ที่นี่ร้อนมากเลย ฉันรู้สึกอย่างกับว่าน้ำในตัวระเหยไปหมดเลยล่ะ"
"อียิปต์นั้นมิได้มีอุณหภูมิสูงกว่าอินเดียมากนัก เราจึงไม่ร้อนเสียเท่าไหร่"เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะ
ถามต่อ
"แล้วโรมาเนียบ้านเกิดของเจ้านั้นเป็นอย่างไรเล่า เจ้ายังมิได้เล่าให้เราฟังแม้แต่คราเดียวเลย"เอ่ย
ด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ
"โรมาเนียน่ะ..เป็นที่ๆสวยมากเลย อากาศก็ดี ไม่ร้อนเหมือนอินเดียด้วย"เสียงเล็กเอ่ยพึมพำต่อ
อย่างแผ่วเบา
"แต่ไม่ว่าจะเป็นที่ๆงดงามแค่ไหน ความงามจะสูญไปเพราะใจคน"
ถ้อยคำเหล่านี้มีความหมายอย่างไรกัน... แพทริเซีย เจ้าประสบเหตุการณ์แบบไหนมากันแน่
อัศมิตาทำหน้าครุ่นคิดถึงถ้อยคำเมื่อครู่ของเด็กหญิง
"เจ้าช่วยบอกความหมายของถ้อยคำที่เจ้ากล่าวได้หรือไม่ ปิดบังสิ่งใดแก่เราหรืออย่างไร"เขาควาน
หามือของสาวน้อยแล้วจับไว้
สีหน้าของเด็กชายพลันดูจริงจังขึ้นมา เขาไม่อยากให้แพทริเซียเก็บเรื่องทุกข์ใจไว้เพียงคนเดียว
เธอเป็น'เพื่อน'ของเขา เป็นคนช่วยดึงเขาออกมาจากความทุกข์ มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยที่เธอ
ต้องแบกรับความทุกข์เอาไว้
ร่างเล็กสะดุ้ง ถอยหลังไปสองสามก้าว"ฉันจะเล่าทุกอย่างให้เธอฟัง..ถ้าถึงเวลาที่เธอต้องเลือกทาง
เดินชีวิตของตัวเอง"ตอบอย่างหนักแน่น น้ำเสียงที่เด็กชายตาบอดได้ยินนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจ
แม้เจือไปด้วยความเศร้าเหลือแสน
"สัญญากับเราได้หรือไม่"เขายื่นนิ้วก้อยของมืออีกข้างออกมา เนื่องด้วยเคยได้ยินจากเด็กคนอื่นที่
พูดเรื่องการเกี่ยวก้อยสัญญา
"ด้วยชีวิตเลยล่ะ"เธอเกี่ยวนิ้วก้อยของตนเข้ากับนิ้วก้อยของเด็กชายเป็นเครื่องยืนยันคำสัญญา
"เอาล่ะ สัญญากันแล้วก็ไปอาบน้ำกันเถอะ"แพทริเซียวิ่งกึ่งจูงกึ่งลากเด็กชายไปยังห้องอาบน้ำ
อย่างรวดเร็วจนเด็กชายต้องปรับจังหวะฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อให้ก้าวทันเด็กหญิงซึ่งตัวใหญ่กว่า
"แพทริเซีย ช้าลงหน่อยได้หรือไม่ เราตามฝีเท้าเจ้าไม่ทันเลย"พูดพร้อมเสียงหอบฮักๆ
"ตอนวิ่งหนีโจรเธอยังวิ่งเร็วได้เลยนี่"เด็กหญิงทำน้ำเสียงหยอกเย้าพร้อมทั้งยักคิ้วให้แม้ว่าเด็กชาย
จะมองไม่เห็น
"ในตอนนั้นเราเตรียมใจไว้แล้วว่าเราจำเป็นต้องวิ่ง.."เด็กชายมีสีหน้าหม่นลง เขาเริ่มคิดว่าตนเอง
เป็นภาระที่ทำให้เธอไม่สามารถวิ่งเล่นได้ตามใจต้องการ อดีตของเขาเริ่มผุดขึ้นมาในหัว
"โอ๋ๆ ไม่เอานะ อย่าร้องไห้สิ ฉันขอโทษนะ ฉันขอโทษ"เด็กน้อยเริ่มใจเสีย น้ำเสียงของเธอแสดง
ความรู้สึกผิดออกมาอย่างชัดเจน
"เจ้าไม่ต้องขอโทษหรอก เราต่างหากที่เป็นภาระของเจ้า"
คงจะเป็นจริงดังที่เด็กเกเรพวกนั้นว่า เขานั้นไม่มีค่า...แม้เพียงน้อยนิด
"ฉันเองก็ลืมนึกถึงความรู้สึกของเธอไปหน่อย เอาเป็นว่าฉันจะเดินให้ช้าลงแล้วกันนะ"เธอลด
ความเร็วของฝีเท้าลงให้เด็กชายเดินตามมาทันจนไปถึงห้องอาบน้ำซึ่งอยู่มุมห้องนอนแล้วปิดประตู
ลวดลายหรูหรานั้นลง
ห้องอาบน้ำนี้กว้างประมาณหนึ่งในสี่ของขนาดห้องนอน แต่ว่ามันก็ยังใหญ่กว่าห้องนอนเล็กๆอัน
แสนอบอุ่นบนเรือบ้านของแพทริเซียอยู่ดี
"ห้องอาบน้ำนี้ช่างกว้างขวางเหลือเกิน"อัศมิตาอุทานออกมาเบาๆ
"เธอรู้ได้ยังไงว่ามันกว้าง ทั้งๆที่เธอมองไม่เห็นนี่นา"ดวงตากลมโตคู่สวยจับจ้องเด็กชายตาบอด
ด้วยความประหลาดใจ
"เราฟังจากเสียงฝีเท้าที่ดังสะท้อนก้องออกมา"เด็กชายยิ้มอย่างภาคภูมิใจพลางใช้มืออีกข้างที่ไม่
ได้จับมือของแพทริเซียคลำผนังห้องเพื่อสำรวจ
"ถอดเสื้อผ้ารอฉันอยู่ตรงนี้นะ ฉันขอตัวไปเปิดน้ำก่อน"มือเล็กปล่อยมือของเด็กชายแล้วเดินไปเปิด
น้ำในอ่างที่ดูราวกับสระน้ำขนาดย่อม อ่างนี้มีขอบต่ำแทบเสมอพื้นโดยรอบ แต่มีพื้นที่ลึกลงไปด้าน
ล่าง
อัศมิตาถอดเสื้อผ้าออกอย่างระมัดระวังแล้วรวบรวมมาถือไว้"เราควรทำเช่นไรกับเสื้อผ้าเหล่านี้"
เขาหันไปถามแพทริเซียซึ่งเปิดน้ำเรียบร้อยและกำลังเดินเข้ามา
"พาดไว้ตรงราวแขวนบนหัวเธอนั่นแหละ"เสียงเล็กของเธอเอ่ยอย่างลืมตัว ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ในอีก
สองวินาทีถัดมาว่าเขามองไม่เห็น
"เอามานี่สิ เดี๋ยวฉันแขวนให้" เขาส่งเสื้อผ้าทั้งหมดให้แพทริเซีย ทว่าราวแขวนนั้นกลับสูงกว่าที่
เธอคิด
"ฮึบ...ฮึบ"เด็กหญิงกระโดดหย็องแหย็ง พยายามจะเอาเสื้อผ้าขึ้นไปพาดให้ได้
"เราคิดว่าเจ้าควรขี่หลังเราขึ้นไปจะได้เอื้อมถึงนะ แพทริเซีย"เขาเสนอตัวด้วยสงสารเพื่อนที่
พยายามกระโดดอยู่หลายครั้ง
"ไม่ได้หรอก เธอน่ะตัวเล็กมากเลยนะ ขืนถ้าฉันขี่หลังเธอขึ้นไปกระดูกเธอคงหักแน่ๆ"ตอบด้วย
ความตกใจ แต่ก็รู้สึกดีที่เด็กชายพยายามเสนอตัวเข้าช่วย พลันสายตาเหลือบไปเห็นเก้าอี้ไม้สี
น้ำตาลตัวเล็กตรงบริเวณมุมห้อง
"ทำไมถึงไม่วางเก้าอี้ไว้ใกล้ๆกันนะ"เสียงเล็กบ่นอุบอิบขณะยกเก้าอี้ไม้มาเป็นฐานเหยียบขึ้นไป
พาดเสื้อผ้าของเด็กชาย จากนั้นแพทริเซียก็เปลื้องเสื้อผ้าของตนออก แล้วนำไปแขวนบนราวเช่น
เดียวกัน
"มาเถอะ น้ำเต็มแล้วล่ะ"จับมือที่เล็กกว่าไว้แน่น ค่อยๆจูงเขาอย่างระมัดระวัง แต่ทว่าเด็กชายกลับ
เร่งฝีเท้าขึ้นจนแทบจะนำหน้าเธออยู่แล้ว แววตาสีม่วงจ้องมองเขาอย่างประหลาดใจยิ่งนัก
"เธอนี่มันแปลกคนดีนะ ทีตอนอาบครั้งแรกยังไม่ยอมฉันสุดชีวิตเลยนี่"น้ำเสียงเจือความเสียดสีด้วย
ขบขันที่ท่าทีของอัศมิตาต่อการอาบน้ำเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้
"การอาบน้ำมิใช่สิ่งเลวร้ายดังคำที่เราถูกปลูกฝังมา เรารู้สึกว่าการอาบน้ำเป็นสิ่งที่ทำให้ผ่อนคลาย
และรู้สึกสดชื่น บางที..สิ่งที่เราเคยได้รับรู้จากที่อินเดียอาจไม่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด"เสียงของเขา
ปิดท้ายด้วยความไม่มั่นใจ
"ดีมาก เด็กน้อย พัฒนาไปอีกขั้นแล้วสินะ เวลาเธอจะเชื่ออะไรก็ต้องได้รู้ด้วยตัวเองก่อน อย่าเชื่อ
ตามคำคนอื่นไปซะทุกอย่างนะจ๊ะ"แพทริเซียแกล้งทำเสียงภูมิฐานฟังดูตลกจนอัศมิตาหัวเราะคิก
"น้ำเสียงของเจ้ามิได้ฟังดูมีอายุมากกว่าเราเสียเท่าไร แต่ไฉนเจ้าจึงเรียกเราว่าเด็กน้อยกัน"เขา
พองแก้ม นี่ตัวเขาดูเป็นเด็กขนาดนั้นเลยหรือในสายตาเพื่อนของตน
ทว่าด้วยความที่ทั้งสองมัวแต่คุยกันอย่างไม่ทันระวัง เท้าข้างหนึ่งของอัศมิตาก้าวพรวดเข้าไป
เลยขอบอ่างทำให้ตัวเขาเซถลาลงไปในอ่างโดยที่แพทริเซียคว้าไว้ไม่ทัน เด็กชายตาบอด
ตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ พยายามเอาชีวิตรอดขึ้นมา
"ใจเย็นๆก่อนสิ ก่อนอื่นเธอต้องหยุดทำท่าทางเหมือนลูกหมาตกน้ำแบบนั้นได้แล้ว"เสียงของเธอดู
ตกใจแต่ยังคุมสติไว้ได้อยู่
"จะให้เราทำเช่นไรกัน หากเราหยุดเสียอาจจมน้ำได้"เขายังไม่หายจากอาการลนลานเพราะความ
ตกใจ
"เลิกคิดไปเองเถอะน่า! ถ้าเธอยืนตรงๆน้ำก็สูงพอกับซี่โครงเธอนั่นแหละ"เด็กหญิงเสียงดังขึ้น
เพราะหวังจะให้เขาได้สติเสียที
"อ้าว..เป็นเช่นนั้นเองหรือ"เสียงของเขาแผ่วลงด้วยความอายจัด รู้สึกถึงเลือดที่สูบฉีดขึ้นมาบน
ใบหน้าของตน เขาค่อยๆปล่อยตัวเองให้ลงมาในท่ายืนตรง ระดับน้ำเป็นไปตามที่เด็กหญิงพูดจริงๆ
ด้วย
แพทริเซียลงมายืนข้างเขาอย่างระมัดระวัง"เธอคงจะตกใจกับน้ำเพราะไม่ได้ลงมาดีๆใช่ไหมล่ะ"มือ
ของเธอแตะไหล่เขา
เด็กชายที่ก้มหน้างุดๆพยักหน้าหนึ่งที
"ถึงจะพูดไปก็คงไม่มีประโยชน์ มานี่สิ"แพทริเซียเดินนำเขามาที่ตะกร้าที่อยู่อีกมุมหนึ่งของของอ่าง
"ตรงนี้มีสบู่ให้เลือกเยอะแยะเลย"เสียงใสของเธอหัวเราะขึ้นอย่างอารมณ์ดี
"ใช้หลักเกณฑ์ใดในการเลือกสบู่ ขอให้เจ้าช่วยสอนเราบ้าง"ตอบด้วยยังไม่รู้ความแตกต่างของสบู่
มากมายนัก
"แต่ละคนจะมีหลักการเลือกต่างกันไปนะ สำหรับฉัน ก้อนไหนหอมก็เอาก้อนนั้นแหละ"เธอพูด
ติดตลก
"มาช่วยกันเลือกหน่อยสิ"ยังไม่ทันขาดคำ เธอยื่นสบู่มาจ่อใต้จมูกอัศมิตาไปเรื่อยๆ ในที่สุดเด็กชาย
ก็เลือกสบู่ก้อนหนึ่งที่มีกลิ่นหอมสดใสราวดอกไม้ออกมาจากสบู่นับสิบๆก้อน
เด็กหญิงข้างกายถูตัวและสระผมให้เขาดังเช่นตอนนั้น เขารู้สึกชื่นชอบสัมผัสอันอ่อนโยนนี้เป็นอัน
มาก
อยากจะอยู่เช่นนี้ตลอดไป...
"เสร็จแล้ว ระหว่างรอฉันอาบ เธอจะเล่นน้ำไปพลางๆก่อนก็ได้"แม้ไม่เห็นหน้า แต่จากน้ำเสียงของ
แพทริเซียทำให้คาดเดาได้ว่ากำลังแย้มยิ้มอยู่
เขาพยักหน้าแล้วหันไปดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนานจนกระทั่งเธออาบเสร็จ เด็กหญิงจูงเขาขึ้นจาก
ขอบสระ ทั้งสองไม่ได้พูดสิ่งใดกันอีกระหว่างแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่เตรียมมาและเดินออกจากห้องน้ำ
ไป
จนกระทั่งเด็กชายทิ้งตัวลงบนเตียงนอนหนานุ่มแสนสบาย
"แพทริเซีย เรารู้ว่าสิ่งที่เรากำลังจะพูดอาจฟังดูเลื่อนลอย แต่โปรดฟังเราได้หรือไม่"
"เอาสิ ว่ามาเลย"เด็กหญิงนั่งลงข้างๆเขา พร้อมตั้งใจฟังเต็มที่
"เรารู้สึก..ราวกับความทรงจำอันเลือนลางเมื่อครั้งเยาว์วัยว่าเคยได้รับการดูแลที่ดีกว่าสิ่งที่จัณฑาล
ควรได้รับมาก่อน ทว่าเราไม่แน่ใจ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง หรือเป็นเพียงความเพ้อฝันก็มิอาจรู้ได้.."
น้ำเสียงสั่นเครือไปด้วยความสับสน อัศมิตาซบหน้าลงกับฝ่ามือน้อยๆสองข้าง
"นี่เธอ--"ทันใดนั้น มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นการขัดจังหวะ เด็กหญิงลุกไปเปิดประตูอย่างหัวเสีย
เล็กน้อย ทว่าคนที่ยืนอยู่หน้าบานประตูกลับไม่ใช่คนที่เธอคิด
"อ้าว พี่โดวนีย่า"เธออุทานออกมาเบาๆ
"ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกท่านจะได้รับประทานอาหารเช้าแล้ว โปรดตามข้ามาค่ะ"เธอทำความเคารพ
ให้เด็กหญิง
แพทริเซียเดินกลับไปที่เตียงแล้วจับมืออัศมิตาออกมาด้วยใจระทึก
เอาแล้วไงล่ะคราวนี้ ได้มีความแตกแน่ๆเลย....
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น