ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Day Month Year [KrisYeol, HunHan, LayMin]

    ลำดับตอนที่ #6 : LayMin Chapter 5 Sep.-Oct

    • อัปเดตล่าสุด 23 มิ.ย. 59


    ทันทีที่จางชิงฮวาได้รับรายงานมาว่าจางอี้ชิง ลูกชายคนเดียวของเธอถูกลักพาตัวไปอย่างลึกลับบนถนนสายรองระหว่างทางจากบ้านไปยังโรงพยาบาลที่นายท่านซึ่งเป็นอดีตประมุขแซ่จางกำลังเข้าพักรักษาตัวอยู่ ห้องพักผู้ป่วยบนชั้นพิเศษที่เพียบพร้อมไปด้วยความสะดวกสบายและการดูแลของแพทย์ตลอดจนพยาบาลมือหนึ่งก็ร้อนเป็นไฟลุกพรึบขึ้นมาฉับพลัน 

    “จางอี้ชิงหายตัวไป... เป็นฝีมือของคุณพ่อใช่ไหมคะ” คุณนายจางแผดเสียงทันทีที่เปิดประตูก้าวเข้ามาถึงในห้องคนไข้ได้ 

    “นี่มันอะไรกับครับคุณชิงฮวา ท่านกำลังป่วยอยู่นะครับ” เจิ้งหลี่คนเฝ้าไข้หันมาตำหนิในขณะที่นายใหญ่ตระกูลจางกำลังพยายามจะลุกขึ้นนั่งเขาจึงหันกลับไปช่วยประคองท่านให้มั่นคง 

    ออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะเจิ้งหลี่ ให้ฉันคุยกับลูกสาวของฉันตามลำพัง” 

    “ครับ...” เจิ้งหลี่โค้งคำนับให้เล็กน้อยแล้วก็เดินออกไป พอได้อยู่กันตามลำพังประสาพ่อลูกแล้ว คุณตาผู้น่ารักของอี้ชิงก็เอ่ยถามคุณนายจางผู้เป็นลูกสาวขึ้นด้วยท่าทีที่ สงบและเยือกเย็น 

    “ไหนว่ามาอีกทีซิว่าเกิดอะไรขึ้น” 

    “เกิดอะไรขึ้นนาเหรอคะ... ก็คุณพ่อเองเป็นคนที่สั่งการทุกอย่างอยู่ไม่ใช่เหรอ จะมาถามหนูอีกทำไม ตอนนี้จางอี้ชิงอยู่ที่ไหนคะ หนูจะไปรับเขาด้วยตัวของหนูเองเดี๋ยวนี้” 

    “จางชิงฮวา...”  

    น้ำเสียงของผู้ชราซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าควบคุมกิจการน้อยใหญ่ของตระกูลเอาไว้ด้วยมือเดียวทั้งหมดฟังดูมีอำนาจเสมอเวลาเอาจริงแม้ในยามที่ป่วยไข้อยู่เช่นนี้คุณนายจางที่ว่าทรงอิทธิพลนี่นับว่ายังน้อยเมื่อเทียบกับผู้เป็นบิดาของเธอ “ปล่อยลูกของแกไปเถอะ เจ้าเด็กนั่นน่ะโตพอที่จะมีชีวิตเป็นของตัวเองได้แล้ว” 

    “ยังหรอกค่ะ... อี้ชิงยังหมกมุ่นทำแต่เรื่องไร้สาระที่คุณพ่อคอยแต่จะให้ท้ายสนับสนุนอยู่เลย” 

    “จางชิงฮวา... เด็กนั่นต้องเติบโตในแบบของเขา เหมือนอย่างที่แกก็เติบโตในแบบของแก ฉันเป็นพ่อแกแท้ ยังทำอะไรแกไม่ได้เลยทุกวันนี้ แกคิดว่าฉันจะไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอที่ลูกสาวกลายเป็นคนไม่มีหัวใจไปแล้ว 

    “ไม่มีหัวใจแล้วไอ้ที่ห่วงที่หวงอี้ชิงอยู่ตอนนี้มันไม่ใช่หัวใจเหรอคะ” 

    “มันเป็นความเห็นแก่ตัวของแกนั่นแหละ ชิงฮวา แกมันบ้า... ตั้งแต่ตอนที่พ่อของเด็กนั่นจากไป” 

    “คุณพ่อคะ ได้โปรดอย่าพูดถึงเรื่องนี้” จางชิงฮวากัดฟันแน่นเพื่อระงับความฉุนเฉียว สองพ่อลูกเริ่มทะเลาะกันจนเสียงดังออกไปข้างนอกห้อง เจิ้งหลี่ที่นั่งรออยู่บนโซฟารับแขกด้านนอกห้องนอนได้ยินก็ส่ายหน้าพลางยิ้มน้อยๆ ก่อนจะคลี่หนังสือพิมพ์ออกอ่านเพื่อเบนความสนใจของตัวเอง สองพ่อลูกยังคงทะเลาะกันต่อด้วยเรื่องพ่อของจางอี้ชิงอีกสองสามคำจนกระทั่งทุกอย่างจะลงเอย 

    “สรุป ว่าคุณพ่อจะไม่ยอมบอกหนูใช่ไหมคะ ว่าจางอี้ชิงอยู่ไหน... ก็ได้ค่ะ หนูจะพลิกแผ่นดินตามหาลูกชายคนเดียวของหนูให้พบ แล้วหนูก็จะพาเขากลับมาเป็นคุณหนูจางในโอวาทของแม่ให้ได้ คุณพ่อจะต้องรอดู” 

    ว่าแล้วคุณนายจางก็เดินสะบัดออกจากห้องนอนไปด้วยดวงตาที่แดงช้ำ ครั้นออกมาเห็นเจิ้งหลี่อยู่ที่ห้องนั่งเล่นเธอจึงทำเป็นเชิดหน้าแล้วก็ก้าวฉับๆ ออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เสียเชิง 

    แล้วจึงค่อยแอบไปร้องไห้ที่อื่น... 

     

     

    Day-Month-Year 

     

    จางอี้ชิงตื่นขึ้นมาด้วยความสับสนบนรถตู้ปริศนาที่กำลังแล่นไปบนถนนสายหนึ่งในประเทศจีน ลักษณะแบบนี้เขาคงถูกลักพาตัวมาแน่ๆ และยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้คิดอะไรไปให้มากกว่านั้น 

    “ฟื้นแล้วเหรออี้ชิง... รู้สึกยังไงบ้าง นายมึนหัวอยู่รึเปล่า” น้ำเสียงคุ้นหูนั้นพูดกับเขาเป็นภาษาเกาหลี เมื่อมองเห็นหน้ากันเต็มตาแล้วจางอี้ชิงก็ถึงกับผงะออกในทันทีจนทำให้อีกคนหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด 

    “ไม่ดีใจเหรอ...” 

    “ปละ เปล่า...” 

    “งั้นก็ดีใจ ? 

    “...” 

    “เฮ้อ...” คนตัวเล็กถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงก่อนจะหันไปร้องบอกกับคนขับรถเป็นภาษาอังกฤษว่าให้หาที่จอดรถตรงไหนก็ได้ซักที่หนึ่งก่อน เขากับจางอี้ชิงจำเป็นจะต้องปรับความเข้าใจกัน จากนั้นรถก็แล่นต่อไปอีกนิดหนึ่งจนถึงบริเวณสวนสาธารณะริมแม่น้ำจึงหยุดลง 

    “เอาล่ะ... ฉันมาที่นี่เพื่อมารับนายกลับประเทศเกาหลี กลับไปกับฉันเถอะนะอี้ชิง คุณตาของนายเองก็ต้องการแบบนี้เหมือนกัน นายไม่ต้องเป็นห่วงท่าน เพราะว่านูน่าจะคอยอยู่ดูแลท่านที่นี่แทนนายเอง และต่อไปนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันกับนูน่าก็จะไม่ปิดบังนายอีกต่อไปแล้ว นายเชื่อฉันอีกซักครั้งเถอะนะ ฉันจะไม่โกหกนายอีกแล้ว... 

    สองประโยคสุดท้ายชายหนุ่มร่างเล็กทอดเสียงอย่างวิงวอนจนทำให้จางอี้ชิงต้องคิดหนักอยู่เป็นครู่ และในที่สุดเขาตัดสินใจเอ่ยขึ้นโดยที่ไม่มองหน้าคนฟังว่า 

    นาย... ส่งฉันกลับบ้านแล้วก็กลับเกาหลีไปเถอะมินซอก”  

    “จางอี้ชิง!” คนตัวเล็กเรียกให้เขาหันขึ้นมาสบตาตัวเองก่อนจะถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ทำไม...” 

    “ก็... ถ้าจะให้กลับไปเป็นภาระของนายอีก ฉันขออยู่ที่นี่ดีกว่า” 

    “แล้วเรื่องของนายล่ะ ฝันของนายที่เริ่มไว้ที่นู่น นายจะทิ้งมันได้ลงคออย่างนั้นเหรอ” 

    “แต่มันก็ยังไม่ถึงไหนเลยนะมินซอก...” 

    “ใครบอกล่ะว่าไม่ถึงไหน ตอนนี้เพลงของนายอยู่ในมือของโปรดิวเซอร์แล้ว ชานยอลก็ช่วยนายออกเต็มที่ นายกำลังจะพิสูจน์ตัวเองได้อยู่แล้วนะอี้ชิง อย่าทิ้งโอกาสเลย ฉันขอร้อง...” 

    พอเถอะมินซอก ขอบใจมาก แต่ฉันตั้งใจว่าฉันจะหยุดแล้ว... ฉันต้องกลับมาอยู่ในโลกของความเป็นจริง ไปส่งฉันกลับบ้านเถอะ” ชายหนุ่มชาวจีนเอ่ยแล้วก็หันหลังให้ทำท่าจะเดินกลับไปขึ้นรถทันทีทำเอาคิมมินซอกรู้สึกชาวูบไปทั้งตัว ถ้าหากว่าโลกความจริงของจางอี้ชิงอยู่ที่นี่ แล้วที่เกาหลีล่ะ คืออะไร... 

    ความฝัน 

    แล้วเจ็ดแปดเดือนที่ผ่านมาล่ะ มินซอกเองก็กำลังหลับฝันอยู่เหมือนกันรึเปล่า 

    “อี้ชิง...” ชายหนุ่มร่างเล็กตัดสินใจเรียกขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ดวงตาคมเฉี่ยวของเขาแม้จะเปียกชุ่มไปหมดแต่ก็ยังคงมองเห็นทุกอย่างชัดเจน จางอี้ชิงกำลังหยุดเพื่อที่จะรอฟังในสิ่งที่เขาจะพูดซึ่งยากเย็นเหลือเกินเพราะมันคือความรู้สึก ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบไปเกือบถึงหนึ่งนาทีสุดท้ายคิมมินซอกก็ตัดสินใจเอ่ยถามขึ้นมาอย่างอัดอั้น 

    “แล้วเรื่องของเราล่ะ สำหรับนายมันเป็นเรื่องจริงไหม...” 

    จางอี้ชิงได้ยินถ้อยคำนั้นแล้วก็รู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ ชายหนุ่มชาวจีนกำลังพยายามสะกดกลั้นน้ำในดวงตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมาแต่สุดท้ายมันก็ไหลลงจนได้ 

    “นายจะให้ฉันตอบว่ายังไงในเมื่อฉันเองก็ยังสับสน” 

    “แปลว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง...” 

    “ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นซักหน่อย” คุณหนูจางหันมาเพื่อที่จะอธิบายความรู้สึกสับสนภายในหัวใจของตัวเองแต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรไปมากกว่านั้นร่างเล็กก็พุ่งเข้ามาซบลงบนบ่าและเริ่มร้องไห้เบาๆ เสียก่อน 

    “มินซอก...”  

    ชายหนุ่มชาวจีนเรียกด้วยน้ำเสียงแปลกใจเล็กน้อยก่อนที่ความสับสนทุกอย่างในหัวใจของเขาจะถูกหลอมละลายลงไปจนหมด เหมือนภาพเหตุการณ์ตลอดเจ็ดแปดเดือนที่ผ่านพ้นจะกลับมาปรากฏชัดอยู่ภายใต้เปลือกตา คนตัวเล็กที่ชื่อคิมมินซอกเข้ามาในชีวิตเขาภายใต้ห้วงเวลานี้ ห้วงเวลาที่เต็มไปด้วยบทพิสูจน์สำหรับความฝันและตัวตนของเขา มินซอกคือคนที่ประคับประคองทั้งร่างกายและจิตใจของเขาให้ผ่านพ้นคืนวันอัน ยากเย็นมาได้ด้วยความลำบาก ทั้งๆ ที่มินซอกเองก็เป็นคนที่มีฝัน แต่เขาก็ยังแคร์ความฝันของจางอี้ชิงคนนี้เสมอ แคร์จนบางครั้งแทบจะทำให้ความฝันของตัวเองต้องหลุดลอย แต่สิ่งที่น่าประทับใจกว่านั้นก็คือไม่ว่าอย่างไรก็ตามคนตัวเล็กก็ยังคงซื่อตรงต่อความฝันของตนเองเสมอ แม้จะชักช้าไปบ้างและแม้จะมีจางอี้ชิงเป็นอุปสรรคแต่เขาก็ยังไม่มีทีท่าเลยว่าจะยอมแพ้และยังคงก้าวเดินไปตามฝันของตัวเองอยู่โดยไม่คิดที่จะละทิ้งมัน บางที... นี่อาจจะยังไม่ถึงเวลาที่คิมมินซอกจะต้องเลือกก็ได้ แต่สำหรับจางอี้ชิง... คงจะต้องเลือกเดี๋ยวนี้แล้วล่ะว่าจะกลับไปรักษาความฝัน อยู่เคียงข้างคนตัวเล็กที่ชื่อคิมมินซอก หรือจะยอมเป็นเหมือนกับแม่...  

    คุณนายจางผู้ม่มีหัวใจแล้ว! 

    “ฉันขอโทษ...” ชายหนุ่มเอ่ยพลางยกมือขึ้นรวบตัวคนที่กำลังร้องไห้หนักอยู่กับบ่าของเขาเข้ามาแนบไว้กับอก 

    “อย่าร้องไห้อีกเลยนะมินซอก ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือความฝัน ฉันเลือกนาย! 

     

     

    Day-Month-Year 

     

    ในขณะที่รถตู้กำลังแล่นไปจนใกล้จะถึงสนามบินแล้ว อยู่ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ของใครคนหนึ่งดังขึ้นภายในรถ เมื่อเจ้าของกดรับสายเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็กรอกเสียงใส่ลงไปเป็นภาษาจีนว่า 

    “ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับคุณเจิ้งหลี่...” 

    ชาย หนุ่มคนหนึ่งที่มาเป็นการ์ดให้กับมินซอกหยุดฟังเสียงจากปลายสายครู่หนึ่งก็ตอบกลับไปว่า “ได้ครับ” ก่อนจะส่งโทรศัพท์มือถือให้กับชายหนุ่มร่างเล็กชาวเกาหลีที่มากับคุณหนูซองอึน 

    “คุณเจิ้งหลี่ต้องการพูดกับคุณครับ” ชายหนุ่มคนนั้นเอ่ยขึ้นเป็นภาษาอังกฤษที่สุภาพ แล้วมินซอกก็รับโทรศัพท์มาแนบหู คุณลุงเจิ้งหลี่ผู้อำนวยความสะดวกทุกอย่างในประเทศจีนให้กับเขาเอ่ยขึ้นผ่านสายโทรศัพท์ว่าอย่าพึ่งกลับเกาหลีตอนนี้เป็นอันขาด ที่สนามบินไม่ปลอดภัยอีกแล้วเพราะคุณนายจางเหมือนจะรู้ทันจึงวางคนรอเอาไว้เป็นจำนวนมาก งานนี้คุณนายจางชิงฮวาเธอคงไม่ใช่แค่หวังจะมารับลูกชายคนดีกลับไปเข้าคุกที่บ้านเท่านั้น แต่เธอคงกะจะมาเล่นงานคนที่กล้าลักพาตัวคุณหนูจางออกมาจากอ้อมอกของเธอด้วย ลุงเจิ้งหลี่หารือกับคุณตาแล้วเกรงว่ามินซอกจะเดือดร้อนหนักก็เลยขอให้หลบอยู่ในประเทศจีนอีกซักระยะหนึ่งก่อน แล้วทุกอย่างก็เป็นอันตกลงไปตามนั้น... 

    ก่อนที่เวลาจะหมุนผ่านไปอีกหลายวัน จางอี้ชิงไม่ได้สังเกตเห็นรอยกังวลที่ปรากฏขึ้นวูบหนึ่งในแววตาของคิมมินซอกเลยแม้แต่นิด 

     

     

    Day-Month-Year 

     

    September 

    แล้ววันเวลาในประเทศจีนของคิมมินซอกก็ล่วงผ่านไปเรื่อยๆ ด้วยการหนีและย้ายที่อยู่เป็นว่าเล่นเพราะไม่ว่าจะยังไงคุณนายจางชิงฮวา แม่ของจางอี้ชิงก็ไม่ยอมปล่อยลูกชายคนเดียวของเธอให้ไปสู่อิสระ และการย้ายที่พักในวันนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นครั้งที่สี่แล้วตั้งแต่ชายหนุ่มร่างเล็กชาวเกาหลีตัดสินใจมาที่นี่เพื่อปกป้องความฝัน ชีวิตและจิตใจของคนที่เขารัก ระหว่างทางที่นั่งอยู่ในรถคันหรูมินซอกคิดเรื่อยเปื่อยไปถึงการผจญภัยครั้งแรกในปักกิ่งของเขาแล้วก็เผลอหลับลงจนได้ด้วยความอ่อนเพลีย หวังว่าคราวนี้คงไม่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงปืนหรือเสียงเอะอะโวยวายอะไรซะก่อน  

    ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง มินซอกรู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่คนขับรถเหยียบเบรกสุดแรงหลังจากที่การ์ดซึ่งนั่งข้างคนขับร้องบอกให้หยุดเพราะเขากำลังจะขับรถเลยผ่านคอนโดดีไซน์เรียบหรูแห่งหนึ่งในย่านชานเมือง 

    ถึงแล้วเหรอ...” คนตัวเล็กขยี้ตาเบาๆ อย่างงัวเงียก่อนจะพบว่าศีรษะของตัวเองกำลังพิงอยู่บนบ่าของชายหนุ่มชาวจีนที่ทำให้ใจเต้นแรงตั้งแต่ครั้งแรกๆ ที่เจอจนกระทั่งวันนี้ จังหวะที่คนพึ่งตื่นกำลังเงยหน้าขึ้นมอง จางอี้ชิงก็ก้มลงมาหาด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าคนตัวเล็กจะสะดุ้งตื่นเพราะรถเบรกกะทันหันพอดี และแววตานั้น ก็ยังคงทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของมินซอกขยับแรงได้ไม่เคยเปลี่ยน 

    “เลยทางเข้าไปแล้ว ถอยรถกลับเดี๋ยวนี้เลย”  

    เสียงบอร์ดี้การ์ดวัยฉกรรจ์ร้องบอกคนขับรถดังขึ้น ทำให้คนที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลังทั้งสองได้สติหลังจากที่นิ่งไปเป็นครู่ จางอี้ชิงถอดหูฟังออกแล้วเอ่ยถามขึ้น 

    “นาย... ไม่เป็นอะไรนะ”  

    “อื้ม...”  

    มินซอกพยักหน้ารับก่อนจะค่อยๆ ขยับขึ้นนั่งตัวตรง อี้ชิงมองออกไปนอกตัวรถที่กำลังถอยมาตรงหน้าคอนโด 

    ที่นี่มัน...” 

    “ใช่ครับ ใต้จมูกคุณนายจางนี่แหละ คุณหนูกับคุณมินซอกไม่ต้องกังวลใจ ยังไงเธอก็ไม่สงสัยที่นี่แน่...” 

     

     

    Day-Month-Year 

     

    ทันทีที่ประตูห้องถูกไขกุญแจเปิดออกด้วยมือของบอร์ดี้การ์ด คุณหนูจางก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ก้าวแรกที่ได้เดินเข้าไปในห้อง ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังเดินกลับเข้าไปสู่อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นที่เคยคุ้นในวัยเด็ก แปลกจริง... ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยมาที่นี่ แต่ว่าความรู้สึกนั้น... บางที อาจจะเป็นเพราะเขารู้ดีแก่ใจอยู่แล้วก็ได้ว่าที่นี่คือที่ของใคร! 

    ขอบใจนะ...” จางอี้ชิงเอ่ยขึ้นกับบอร์ดี้การ์ดก่อนที่อีกฝ่ายจะโค้งรับและขอตัว 

    เมื่อประตูห้องปิดลงอีกครั้ง เหลือแต่จางอี้ชิงกับคิมมินซอกยืนเด่นอยู่ตรงกลางห้องพร้อมทั้งสัมภาระที่ติดตัวมาจากที่พักเก่า ในขณะที่จางอี้ชิงกำลังยืนสูดกลิ่นอายของอดีต มินซอกก็ปลดกระเป๋าสะพายหลังใบใหญ่ลงจากบ่าแล้วก็เดินไปสำรวจรอบๆ ห้องเหมือนเช่นที่เคยทำกับทุกที่พร้อมทั้งเอ่ยถาม 

    “ที่นี่คอนโดของแม่นายเหรอ...” 

    “เปล่า... มันเป็นคอนโดของพ่อฉัน” จางอี้ชิงเอ่ยขึ้นขณะที่นัยน์ตากำลังเริ่มชื้นๆ  

    “นายเคยอยู่ที่นี่เหรอ มินซอกหันมาถามทันทีที่สังเกตเห็นท่าทางของชาวหนุ่มชาวจีนแท้ที่ตนเองได้ใกล้ชิดมานานกว่าแปดเดือนด้วยความเอาใจใส่ 

    “อาจจะเคย ตอนที่ฉันยังจำความไม่ได้จางอี้ชิงให้คำตอบพร้อมกับค่อยๆ เดินไปยังพื้นที่ต่างๆ ในห้องชุดแห่งนั้นอย่างเคยคุ้น คิมมินซอกเดินและมองตามสายตาของเขาจนในที่สุดสายตาของคนทั้งคู่ก็ไปหยุดลงตรงที่ห้องกระจกเล็กๆ ห้องหนึ่ง จางอี้ชิงเริ่มสะดุดใจและรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่กำลังดึงดูดเขาให้ตรงเข้าไปค้นหา ที่กระจกของห้องแห่งนั้นติดฟิล์สีทึบจนมองดูมืดไปหมดไม่อาจเห็นภายในได้ชัดเจนจนกระทั่งเดินเข้ามาดูใกล้ 

    “นี่มัน... เหมือนกับห้องนอนของนายที่ร้าน Good friends เลยนี่” 

    “ใช่... ฉันคิดว่าห้องนี้มันคงจะเป็น สตูดิโอของพ่อฉัน...” ชายหนุ่มชาวจีนเอ่ยขึ้นพลางขยับประตูบานเลื่อนเข้าไปข้างในโดยมีคนตัวเล็กเดินตามเข้าไปด้วยติดๆ 

    “นี่มัน...” คิมมินซอกร้องขึ้นอย่างตื่นเต้นกับอะไรบางอย่างในห้องนั้นในขณะที่จางอี้ชิงยิ้มออก เขาเดินเข้าไปหยิบกีต้าร์ของพอที่ถูกจัดวางเอาไว้อย่างสวยงามตรงกลางห้องขึ้นมาลูบคลำด้วยความดีใจที่ได้เห็นมันอีกครั้ง 

    อี้ชิง ดูนี่สิ มินซอกเอ่ยขึ้นพลางหยิบการ์ดใบเล็กๆ ที่เสียบอยู่ตรงแท่นวางกีต้าร์มายื่นให้กับชายหนุ่มชาวจีนที่ยืนอยู่ข้างกาย มันเป็นการ์ดของคุณตาซึ่งเขียนว่า  

    ยินดีต้อนรับกลับบ้าน 

    อี้ชิงหยิบมาอ่านแล้วก็ยิ้มที่มุมปากอย่างมีความสุข คุณตารู้เสมอว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นชีวิตแบะจิตใจของเขา ในขณะที่แม่ก็รู้ แต่กลับไม่เคยให้โอกาสเขาได้เป็นตัวของตัวเองเลยสักครั้ง 

     

     

    Day-Month-Year 

     

    อีกเกือบสองอาทิตย์ที่คิมมินซอกยังอยู่ในประเทศจีน  ีวิตของเขาเริ่มกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้งเมื่อไม่ต้องเปลี่ยนที่อยู่และผจญภัย้วการหลบหนีจากการตามล่าของคุณนายจางอีก นับเป็นความคิดที่ดีทีเดียวที่คุณตาให้เขากับอี้ชิงย้ายมาอยู่ที่นี่ ซึ่งมินซอกเองก็พึ่งจะมารู้เอาตอนหลังเหมือนกันว่าที่แห่งนี้เคยเป็นเรือนหอเก่าของจางชิงฮวากับพ่อของจางอี้ชิงเมื่อนานมาแล้ว 

    ในห้วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุขงบของคนที่เขารัก แม้ว่าลึกๆ แล้วมินซอกจะรู้สึกร้อนใจอยู่บ้างเรื่องความฝันของตัวเองที่ยังไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันเลยสักนิดแต่เขาก็ไม่เคยแสดงออก เขายังคงอยู่ข้างกายของจางอี้ชิงในเวลาที่ชายหนุ่มกำลังเริ่มต้นเขียนเพลงใหม่ น่าแปลกที่ยิ่งได้เห็นจางอี้ชิงเข้าใกล้ความฝันของเขามากขึ้นเท่าไหร่ มินซอกก็ยิ่งรู้สึกห่างไกลกับความฝันของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น 

    ในชั่วขณะที่กำลังเหม่อลอยไปไกลภายนอกระเบียงอยู่ๆ เสียงโทรศัพท์ของมินซอกก็ดังขึ้น ทันทีที่เห็นเป็นชานยอลโทรทางไกลมาจากเกาหลี ก่อนจะรับสายคนตัวเล็กก็ได้หันไปมองจางอี้ชิงที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับ อุปกรณ์ดนตรีในห้องสตูดิโอเล็กๆ ของเขานิดหน่อยก่อนจะค่อยคลี่ยิ้มออกมาบางๆ และเริ่มแนบหน้าเข้ากับเครื่องโทรศัพท์อย่างหวังว่าจะได้ยินข่าวดี 

    "มินซอก... นั่นนายใช่ไหม หายหน้าไปซะนานเชียว คิดจะกลับเกาหลีอยู่รึเปล่าเนี่ย" 

    "ขอโทษทีชานยอล พอดีมีเรื่องยุ่งๆ นิดหน่อย เลยไม่ได้ติดต่อนายเลย" 

    "โอ๊ย ไม่เป็นไร ที่ฉันโทรมาเนี่ยจะบอกว่าพี่คริสโปรดิวเซอร์ที่ทำงานฉันเขาได้ฟังเพลงของจางอี้ชิงแล้วนะ และเขาก็รู้แล้วด้วยว่าฉันน่ะไม่ได้แต่งเพลงนั้น เขาอยากเจอเจ้าของเพลงตัวจริง พวกนายน่ะ จะกลับเกาหลีได้เมื่อไหร่..." 

    "เร็วที่สุด..." มินซอกตอบสั้นๆ ก่อนจะเก็บความดีใจเอาไว้ไม่อยู่รีบตรงไปเคาะกระจกเรียกอี้ชิงให้ออกมาจากโลกของเขาทันที 

    อี้ชิงมองเห็นแล้วก็วางมือจากกีต้าร์ ถอดหูฟังและเดินออกมาจากห้องกระจกด้วยท่าทีประหลาดใจ มีอะไรรึเปล่ามินซอก 

    ชานยอลพึ่งโทรมาหาฉัน ลับเกาหลีกันเถอะอี้ชิง 

     

     

    Day-Month-Year 

     

    ทันทีที่รู้ข่าวว่ามีโปรดิวเซอร์ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ในเกาหลีสนใจเพลงของตัวเองจริงๆ จางอี้ชิงก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น เขารีบเก็บข้าวของสำคัญเตรียมตัวเดินทางกลับไปทำตามฝันของตัวเองอย่างไม่รู้สึกหวดหวั่นเลยสักนิดว่าจะต้องถูกคุณนายจางขัดขวางหรือไล่ล่าเพื่อตามตัวเขากลับบ้านเอาระหว่างทาง เขาวางแผนการเดินทางกลับเกาหลีเอาไว้เป็นอย่างดีแล้วร่วมกับมินซอก และลุงเจิ้งหลี้ คุณตาก็รู้เห็นและสนับสนุนเต็มที่ 

    คราวนี้ตาต้องชนะพนันแม่ของแกแน่ๆ คุณตาเคยพูดเอาไว้ในขณะที่เขาและมินซอกได้แอบเข้าไปเยี่ยมอาการป่วยที่โรงพยาบาลครั้งล่าสุด  

    จนกระทั่งวันสุดท้ายก่อนการเดินทางมาถึงอี้ชิงก็ได้ตัดสินใจพามินซอกไปที่หลุมฝังศพพ่อของเขาในบ่ายของวันนั้นเอง 

    ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบภายใต้เงาไม้ร่มครึ้มในสุสานแห่งใหญ่ในกรุงปักกิ่ง บนเนินดินเตี้ยๆ แห่งหนึ่งคือสถานที่พักผ่อนอย่างสงบชั่วนิรันดร์ของพ่อแท้ๆ ของจางอี้ชิง 

    และในทันทีที่พวกเขามาถึง ชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแท้ๆ ของคนตายก็ได้บรรจงวางดอกไม้ลงที่บริเวณด้านหน้าของป้ายหลุมศพอย่างระมัดระวัง 

    พ่อครับ ความฝันของผมใกล้จะเป็นจริงขึ้นมาแล้วนะครับ ผมจะทำให้พ่อภูมิใจในตัวผม ได้โปรดรักษาความฝันของผม แล้วก็ ายหนุ่มหยุดพูดและหันมามองคิมมินซอกด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสุขก่อนจะฉวยโอกาสเอื้อมไปคว้าเอามือเล็กๆ ข้างกายของเขามากุมไว้แน่น  

    แล้วก็คนที่อยู่ข้างๆ ผมด้วย  

    เขาหันกลับไปยังหลุมศพและพูดต่อด้วยรอยยิ้มสดใส มินซอกหันไปมองเห็นลักยิ้มของเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินๆ จนถึงขนาดนี้แล้วแม้จะไม่มีใครยืนยันว่าพวกเขาเป็นอะไรกันแต่มันก็มีความสุขดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ มินซอกได้แต่คิดอยู่ในใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาจนกระทั่งกลับคอนโด 

    ในขณะที่เวลาก็ยังคงหมุนไปเรื่อยๆ ใกล้เวลาเดินทางมากขึ้นทุกที ตามแผนอี้ชิงกับมินซอกจะต้องนั่งรถไปขึ้นเครื่องที่เมืองอื่นเพื่อป้องกันไม่ให้คนของคุณนายจางที่สนามบินในเมืองหลวงพบเห็น ขณะที่รถแล่นไปอยู่ๆ ็เกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นจนได้ 

    คุณหนูครับ เดี๋ยวผมว่าเราแวะเปลี่ยนรถกันที่สวนน้ำข้างหน้าก่อนดีไหมครับ 

    ทำไม มีอะไรรึเปล่า จางอี้ชิงเอ่ยถามขึ้นพลางหันไปมองหลังรถตามสายตาของการ์ดที่นั่งข้างคนขับทันที รถเจ็ดที่นั่งสีดำคันใหญ่ติดฟิล์มทึบทั้งคันกำลังไล่ตามพวกเขาอยู่ห่าง 

    เข้าใจละ ทำตามแผน…” 

     

     

    Day-Month-Year 

     

    หลังจากที่เลี้ยวเข้าไปในสวนน้ำแห่งหนึ่งได้ไม่นาน จากรถตู้คันเดิมที่เคยช่วงชิงเอาตัวคุณหนูจางมาจากแม่ก็ได้แปรสภาพกลายมาเป็นรถเก๋งคันเล็กๆ วิ่งออกจากสวนน้ำไปอย่างคล่องตัว 

    ในขณะที่กำลังจะออกสู่ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์เพื่อมุ่งหน้าไปยังต่างเมือง ขณะที่ถซึ่งแล่นผ่านไปมาอยู่บนถนนสายนั้นเริ่มบางตา อยู่ดีๆ ถเจ็ดที่นั่งสีดำคันใหญ่ที่ตามมาข้างหลังก็เร่งความเร็วขึ้น 

    ทางโน้นท่าทางจะเอาจริงแล้วล่ะครับ การ์ดที่นั่งข้างคนขับหันมาบอกมินซอกเป็นภาษาอังกฤษ ในขณะที่รถคันข้างหลังเริ่มขับจี้เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ใครคนหนึ่งในรถก็หมุนกระจกที่นั่งข้างคนขับลงและเหมือนโยนอะไรบางอย่างออกมา 

    บ้าจริง... อย่าบอกนะว่าพวกนั้นใช้วิธีเดียวกันกับเราตอนที่ลักพาตัวอี้ชิงมา มินซอกบ่นเป็นภาษาอังกฤษอีกเช่นกันก่อนที่คนขับรถจะหันมาถามเมื่อเห็นควันพวยพุ่งออกจากวัตถุปริศนาชิ้นนั้นมากขึ้นทุกที 

    เอายังไงกันดีครับคุณมินซอก 

    ขับฝ่าไป! ชายหนุ่มชาวเกาหลีออกคำสั่งก่อนที่หนทางข้างหน้าจะเริ่มขาวโพลนไปหมดนท่าไม่ค่อยจะดีเมื่อวัตถุปริศนาที่มีควันถูกโยนออกมาจากรถที่ไล่ตามอีกประมาณสองถึงสามชิ้น 

    ฝ่าไม่ไหวหรอกครับคุณมินซอก ควันจะเริ่มเข้ามาในรถแล้วด้วย คนขับเอ่ยขึ้นในขณะที่ดวงตาคมเฉี่ยวกำลังเบิกโพลงด้วยความตระหนกตกใจ และในห้วงที่ใช้ความคิดอยู่นั้นเอง มินซอกก็เห็นว่าอันตรายเกินไปที่จะให้รถแล่นต่อ 

    งั้นก็หยุดรถก่อน ชายหนุ่มร้องสั่งทว่าไม่ทันเมื่อคนขับรถพลาดไต่ฟุตบาตรขึ้นไปแล้ว ในชั่วขณะทุกคนบนรถกำลังตกใจ ควันจากข้างนอกก็ได้ลอยเข้ามาภายในรถจนทำให้คนขับหมดสติในขณะที่รถยังแล่น 

     

    แล้วคิมมินซอกจำอะไรไม่ได้อีกเลยจนกระทั่งได้ฟื้นขึ้นมาในคฤหาสถ์หลังใหญ่ของคนตระกูลจาง!


    -------------------------------------------------------------


    กลับมาต่อแล้วค่ะ หายไปนานเพราะมัวติดภารกิจทั้งหลายแล้วก็มัวไปแต่งฟิคสงครามโลก ตอนหน้าตอนสุดท้ายของพาร์ทเลย์หมินแล้วนะ จบเลย์หมินก็จะต่อฮุนฮานเลย จะพยายามเร่งค่ะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามากดอ่านและให้กำลังใจนะคะ จะพยายามทำต่อๆ ไปให้ดีที่สุด ^^

    ให้แท็กละกัน #ficdmy

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×