คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : LayMin Chapter 5 Sep.-Oct
ทันทีที่จางชิงฮวาได้รับรายงานมาว่าจางอี้ชิง ลูกชายคนเดียวของเธอถูกลักพาตัวไปอย่างลึกลับบนถนนสายรองระหว่างทางจากบ้านไปยังโรงพยาบาลที่นายท่านซึ่งเป็นอดีตประมุขแซ่จางกำลังเข้าพักรักษาตัวอยู่ ห้องพักผู้ป่วยบนชั้นพิเศษที่เพียบพร้อมไปด้วยความสะดวกสบายและการดูแลของแพทย์ตลอดจนพยาบาลมือหนึ่งก็ร้อนเป็นไฟลุกพรึบขึ้นมาฉับพลัน
“จางอี้ชิงหายตัวไป... เป็นฝีมือของคุณพ่อใช่ไหมคะ” คุณนายจางแผดเสียงทันทีที่เปิดประตูก้าวเข้ามาถึงในห้องคนไข้ได้
“นี่มันอะไรกับครับคุณชิงฮวา ท่านกำลังป่วยอยู่นะครับ” เจิ้งหลี่คนเฝ้าไข้หันมาตำหนิในขณะที่นายใหญ่ตระกูลจางกำลังพยายามจะลุกขึ้นนั่งเขาจึงหันกลับไปช่วยประคองท่านให้มั่นคง
“ออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะเจิ้งหลี่ ให้ฉันคุยกับลูกสาวของฉันตามลำพัง”
“ครับ...” เจิ้งหลี่โค้งคำนับให้เล็กน้อยแล้วก็เดินออกไป พอได้อยู่กันตามลำพังประสาพ่อลูกแล้ว คุณตาผู้น่ารักของอี้ชิงก็เอ่ยถามคุณนายจางผู้เป็นลูกสาวขึ้นด้วยท่าทีที่ สงบและเยือกเย็น
“ไหนว่ามาอีกทีซิว่าเกิดอะไรขึ้น”
“เกิดอะไรขึ้นนาเหรอคะ... ก็คุณพ่อเองเป็นคนที่สั่งการทุกอย่างอยู่ไม่ใช่เหรอ จะมาถามหนูอีกทำไม ตอนนี้จางอี้ชิงอยู่ที่ไหนคะ หนูจะไปรับเขาด้วยตัวของหนูเองเดี๋ยวนี้”
“จางชิงฮวา...”
น้ำเสียงของผู้ชราซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าควบคุมกิจการน้อยใหญ่ของตระกูลเอาไว้ด้วยมือเดียวทั้งหมดฟังดูมีอำนาจเสมอเวลาเอาจริงแม้ในยามที่ป่วยไข้อยู่เช่นนี้คุณนายจางที่ว่าทรงอิทธิพลนี่นับว่ายังน้อยเมื่อเทียบกับผู้เป็นบิดาของเธอ “ปล่อยลูกของแกไปเถอะ เจ้าเด็กนั่นน่ะโตพอที่จะมีชีวิตเป็นของตัวเองได้แล้ว”
“ยังหรอกค่ะ... อี้ชิงยังหมกมุ่นทำแต่เรื่องไร้สาระที่คุณพ่อคอยแต่จะให้ท้ายสนับสนุนอยู่เลย”
“จางชิงฮวา... เด็กนั่นต้องเติบโตในแบบของเขา เหมือนอย่างที่แกก็เติบโตในแบบของแก ฉันเป็นพ่อแกแท้ๆ ยังทำอะไรแกไม่ได้เลยทุกวันนี้ แกคิดว่าฉันจะไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอที่ลูกสาวกลายเป็นคนไม่มีหัวใจไปแล้ว”
“ไม่มีหัวใจแล้วไอ้ที่ห่วงที่หวงอี้ชิงอยู่ตอนนี้มันไม่ใช่หัวใจเหรอคะ”
“มันเป็นความเห็นแก่ตัวของแกนั่นแหละ ชิงฮวา แกมันบ้า... ตั้งแต่ตอนที่พ่อของเด็กนั่นจากไป”
“คุณพ่อคะ ได้โปรดอย่าพูดถึงเรื่องนี้” จางชิงฮวากัดฟันแน่นเพื่อระงับความฉุนเฉียว สองพ่อลูกเริ่มทะเลาะกันจนเสียงดังออกไปข้างนอกห้อง เจิ้งหลี่ที่นั่งรออยู่บนโซฟารับแขกด้านนอกห้องนอนได้ยินก็ส่ายหน้าพลางยิ้มน้อยๆ ก่อนจะคลี่หนังสือพิมพ์ออกอ่านเพื่อเบนความสนใจของตัวเอง สองพ่อลูกยังคงทะเลาะกันต่อด้วยเรื่องพ่อของจางอี้ชิงอีกสองสามคำจนกระทั่งทุกอย่างจะลงเอย
“สรุป ว่าคุณพ่อจะไม่ยอมบอกหนูใช่ไหมคะ ว่าจางอี้ชิงอยู่ไหน... ก็ได้ค่ะ หนูจะพลิกแผ่นดินตามหาลูกชายคนเดียวของหนูให้พบ แล้วหนูก็จะพาเขากลับมาเป็นคุณหนูจางในโอวาทของแม่ให้ได้ คุณพ่อจะต้องรอดู”
ว่าแล้วคุณนายจางก็เดินสะบัดออกจากห้องนอนไปด้วยดวงตาที่แดงช้ำ ครั้นออกมาเห็นเจิ้งหลี่อยู่ที่ห้องนั่งเล่นเธอจึงทำเป็นเชิดหน้าแล้วก็ก้าวฉับๆ ออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เสียเชิง
แล้วจึงค่อยแอบไปร้องไห้ที่อื่น...
Day-Month-Year
จางอี้ชิงตื่นขึ้นมาด้วยความสับสนบนรถตู้ปริศนาที่กำลังแล่นไปบนถนนสายหนึ่งในประเทศจีน ลักษณะแบบนี้เขาคงถูกลักพาตัวมาแน่ๆ และยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้คิดอะไรไปให้มากกว่านั้น
“ฟื้นแล้วเหรออี้ชิง... รู้สึกยังไงบ้าง นายมึนหัวอยู่รึเปล่า” น้ำเสียงคุ้นหูนั้นพูดกับเขาเป็นภาษาเกาหลี เมื่อมองเห็นหน้ากันเต็มตาแล้วจางอี้ชิงก็ถึงกับผงะออกในทันทีจนทำให้อีกคนหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ดีใจเหรอ...”
“ปละ เปล่า...”
“งั้นก็ดีใจ ?”
“...”
“เฮ้อ...” คนตัวเล็กถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงก่อนจะหันไปร้องบอกกับคนขับรถเป็นภาษาอังกฤษว่าให้หาที่จอดรถตรงไหนก็ได้ซักที่หนึ่งก่อน เขากับจางอี้ชิงจำเป็นจะต้องปรับความเข้าใจกัน จากนั้นรถก็แล่นต่อไปอีกนิดหนึ่งจนถึงบริเวณสวนสาธารณะริมแม่น้ำจึงหยุดลง
“เอาล่ะ... ฉันมาที่นี่เพื่อมารับนายกลับประเทศเกาหลี กลับไปกับฉันเถอะนะอี้ชิง คุณตาของนายเองก็ต้องการแบบนี้เหมือนกัน นายไม่ต้องเป็นห่วงท่าน เพราะว่านูน่าจะคอยอยู่ดูแลท่านที่นี่แทนนายเอง และต่อไปนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันกับนูน่าก็จะไม่ปิดบังนายอีกต่อไปแล้ว นายเชื่อฉันอีกซักครั้งเถอะนะ ฉันจะไม่โกหกนายอีกแล้ว...”
สองประโยคสุดท้ายชายหนุ่มร่างเล็กทอดเสียงอย่างวิงวอนจนทำให้จางอี้ชิงต้องคิดหนักอยู่เป็นครู่ และในที่สุดเขาตัดสินใจเอ่ยขึ้นโดยที่ไม่มองหน้าคนฟังว่า
“นาย... ส่งฉันกลับบ้านแล้วก็กลับเกาหลีไปเถอะมินซอก”
“จางอี้ชิง!” คนตัวเล็กเรียกให้เขาหันขึ้นมาสบตาตัวเองก่อนจะถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ทำไม...”
“ก็... ถ้าจะให้กลับไปเป็นภาระของนายอีก ฉันขออยู่ที่นี่ดีกว่า”
“แล้วเรื่องของนายล่ะ ฝันของนายที่เริ่มไว้ที่นู่น นายจะทิ้งมันได้ลงคออย่างนั้นเหรอ”
“แต่มันก็ยังไม่ถึงไหนเลยนะมินซอก...”
“ใครบอกล่ะว่าไม่ถึงไหน ตอนนี้เพลงของนายอยู่ในมือของโปรดิวเซอร์แล้ว ชานยอลก็ช่วยนายออกเต็มที่ นายกำลังจะพิสูจน์ตัวเองได้อยู่แล้วนะอี้ชิง อย่าทิ้งโอกาสเลย ฉันขอร้อง...”
“พอเถอะมินซอก ขอบใจมาก แต่ฉันตั้งใจว่าฉันจะหยุดแล้ว... ฉันต้องกลับมาอยู่ในโลกของความเป็นจริง ไปส่งฉันกลับบ้านเถอะ” ชายหนุ่มชาวจีนเอ่ยแล้วก็หันหลังให้ทำท่าจะเดินกลับไปขึ้นรถทันทีทำเอาคิมมินซอกรู้สึกชาวูบไปทั้งตัว ถ้าหากว่าโลกความจริงของจางอี้ชิงอยู่ที่นี่ แล้วที่เกาหลีล่ะ คืออะไร...
ความฝัน ?
แล้วเจ็ดแปดเดือนที่ผ่านมาล่ะ มินซอกเองก็กำลังหลับฝันอยู่เหมือนกันรึเปล่า
“อี้ชิง...” ชายหนุ่มร่างเล็กตัดสินใจเรียกขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ดวงตาคมเฉี่ยวของเขาแม้จะเปียกชุ่มไปหมดแต่ก็ยังคงมองเห็นทุกอย่างชัดเจน จางอี้ชิงกำลังหยุดเพื่อที่จะรอฟังในสิ่งที่เขาจะพูดซึ่งยากเย็นเหลือเกินเพราะมันคือความรู้สึก ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบไปเกือบถึงหนึ่งนาทีสุดท้ายคิมมินซอกก็ตัดสินใจเอ่ยถามขึ้นมาอย่างอัดอั้น
“แล้วเรื่องของเราล่ะ สำหรับนายมันเป็นเรื่องจริงไหม...”
จางอี้ชิงได้ยินถ้อยคำนั้นแล้วก็รู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ ชายหนุ่มชาวจีนกำลังพยายามสะกดกลั้นน้ำในดวงตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมาแต่สุดท้ายมันก็ไหลลงจนได้
“นายจะให้ฉันตอบว่ายังไงในเมื่อฉันเองก็ยังสับสน”
“แปลว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง...”
“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นซักหน่อย” คุณหนูจางหันมาเพื่อที่จะอธิบายความรู้สึกสับสนภายในหัวใจของตัวเองแต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรไปมากกว่านั้นร่างเล็กก็พุ่งเข้ามาซบลงบนบ่าและเริ่มร้องไห้เบาๆ เสียก่อน
“มินซอก...”
ชายหนุ่มชาวจีนเรียกด้วยน้ำเสียงแปลกใจเล็กน้อยก่อนที่ความสับสนทุกอย่างในหัวใจของเขาจะถูกหลอมละลายลงไปจนหมด เหมือนภาพเหตุการณ์ตลอดเจ็ดแปดเดือนที่ผ่านพ้นจะกลับมาปรากฏชัดอยู่ภายใต้เปลือกตา คนตัวเล็กที่ชื่อคิมมินซอกเข้ามาในชีวิตเขาภายใต้ห้วงเวลานี้ ห้วงเวลาที่เต็มไปด้วยบทพิสูจน์สำหรับความฝันและตัวตนของเขา มินซอกคือคนที่ประคับประคองทั้งร่างกายและจิตใจของเขาให้ผ่านพ้นคืนวันอัน ยากเย็นมาได้ด้วยความลำบาก ทั้งๆ ที่มินซอกเองก็เป็นคนที่มีฝัน แต่เขาก็ยังแคร์ความฝันของจางอี้ชิงคนนี้เสมอ แคร์จนบางครั้งแทบจะทำให้ความฝันของตัวเองต้องหลุดลอย แต่สิ่งที่น่าประทับใจกว่านั้นก็คือไม่ว่าอย่างไรก็ตามคนตัวเล็กก็ยังคงซื่อตรงต่อความฝันของตนเองเสมอ แม้จะชักช้าไปบ้างและแม้จะมีจางอี้ชิงเป็นอุปสรรคแต่เขาก็ยังไม่มีทีท่าเลยว่าจะยอมแพ้และยังคงก้าวเดินไปตามฝันของตัวเองอยู่โดยไม่คิดที่จะละทิ้งมัน บางที... นี่อาจจะยังไม่ถึงเวลาที่คิมมินซอกจะต้องเลือกก็ได้ แต่สำหรับจางอี้ชิง... คงจะต้องเลือกเดี๋ยวนี้แล้วล่ะว่าจะกลับไปรักษาความฝัน อยู่เคียงข้างคนตัวเล็กที่ชื่อคิมมินซอก หรือจะยอมเป็นเหมือนกับแม่...
คุณนายจางผู้ไม่มีหัวใจแล้ว!
“ฉันขอโทษ...” ชายหนุ่มเอ่ยพลางยกมือขึ้นรวบตัวคนที่กำลังร้องไห้หนักอยู่กับบ่าของเขาเข้ามาแนบไว้กับอก
“อย่าร้องไห้อีกเลยนะมินซอก ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือความฝัน ฉันเลือกนาย!”
Day-Month-Year
ในขณะที่รถตู้กำลังแล่นไปจนใกล้จะถึงสนามบินแล้ว อยู่ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ของใครคนหนึ่งดังขึ้นภายในรถ เมื่อเจ้าของกดรับสายเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็กรอกเสียงใส่ลงไปเป็นภาษาจีนว่า
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับคุณเจิ้งหลี่...”
ชาย หนุ่มคนหนึ่งที่มาเป็นการ์ดให้กับมินซอกหยุดฟังเสียงจากปลายสายครู่หนึ่งก็ตอบกลับไปว่า “ได้ครับ” ก่อนจะส่งโทรศัพท์มือถือให้กับชายหนุ่มร่างเล็กชาวเกาหลีที่มากับคุณหนูซองอึน
“คุณเจิ้งหลี่ต้องการพูดกับคุณครับ” ชายหนุ่มคนนั้นเอ่ยขึ้นเป็นภาษาอังกฤษที่สุภาพ แล้วมินซอกก็รับโทรศัพท์มาแนบหู คุณลุงเจิ้งหลี่ผู้อำนวยความสะดวกทุกอย่างในประเทศจีนให้กับเขาเอ่ยขึ้นผ่านสายโทรศัพท์ว่าอย่าพึ่งกลับเกาหลีตอนนี้เป็นอันขาด ที่สนามบินไม่ปลอดภัยอีกแล้วเพราะคุณนายจางเหมือนจะรู้ทันจึงวางคนรอเอาไว้เป็นจำนวนมาก งานนี้คุณนายจางชิงฮวาเธอคงไม่ใช่แค่หวังจะมารับลูกชายคนดีกลับไปเข้าคุกที่บ้านเท่านั้น แต่เธอคงกะจะมาเล่นงานคนที่กล้าลักพาตัวคุณหนูจางออกมาจากอ้อมอกของเธอด้วย ลุงเจิ้งหลี่หารือกับคุณตาแล้วเกรงว่ามินซอกจะเดือดร้อนหนักก็เลยขอให้หลบอยู่ในประเทศจีนอีกซักระยะหนึ่งก่อน แล้วทุกอย่างก็เป็นอันตกลงไปตามนั้น...
ก่อนที่เวลาจะหมุนผ่านไปอีกหลายวัน จางอี้ชิงไม่ได้สังเกตเห็นรอยกังวลที่ปรากฏขึ้นวูบหนึ่งในแววตาของคิมมินซอกเลยแม้แต่นิด
Day-Month-Year
September
แล้ววันเวลาในประเทศจีนของคิมมินซอกก็ล่วงผ่านไปเรื่อยๆ ด้วยการหนีและย้ายที่อยู่เป็นว่าเล่นเพราะไม่ว่าจะยังไงคุณนายจางชิงฮวา แม่ของจางอี้ชิงก็ไม่ยอมปล่อยลูกชายคนเดียวของเธอให้ไปสู่อิสระ และการย้ายที่พักในวันนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นครั้งที่สี่แล้วตั้งแต่ชายหนุ่มร่างเล็กชาวเกาหลีตัดสินใจมาที่นี่เพื่อปกป้องความฝัน ชีวิตและจิตใจของคนที่เขารัก ระหว่างทางที่นั่งอยู่ในรถคันหรูมินซอกคิดเรื่อยเปื่อยไปถึงการผจญภัยครั้งแรกในปักกิ่งของเขาแล้วก็เผลอหลับลงจนได้ด้วยความอ่อนเพลีย หวังว่าคราวนี้คงไม่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงปืนหรือเสียงเอะอะโวยวายอะไรซะก่อน
ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง มินซอกรู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่คนขับรถเหยียบเบรกสุดแรงหลังจากที่การ์ดซึ่งนั่งข้างคนขับร้องบอกให้หยุดเพราะเขากำลังจะขับรถเลยผ่านคอนโดดีไซน์เรียบหรูแห่งหนึ่งในย่านชานเมือง
“ถึงแล้วเหรอ...” คนตัวเล็กขยี้ตาเบาๆ อย่างงัวเงียก่อนจะพบว่าศีรษะของตัวเองกำลังพิงอยู่บนบ่าของชายหนุ่มชาวจีนที่ทำให้ใจเต้นแรงตั้งแต่ครั้งแรกๆ ที่เจอจนกระทั่งวันนี้ จังหวะที่คนพึ่งตื่นกำลังเงยหน้าขึ้นมอง จางอี้ชิงก็ก้มลงมาหาด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าคนตัวเล็กจะสะดุ้งตื่นเพราะรถเบรกกะทันหันพอดี และแววตานั้น ก็ยังคงทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของมินซอกขยับแรงได้ไม่เคยเปลี่ยน
“เลยทางเข้าไปแล้ว ถอยรถกลับเดี๋ยวนี้เลย”
เสียงบอร์ดี้การ์ดวัยฉกรรจ์ร้องบอกคนขับรถดังขึ้น ทำให้คนที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลังทั้งสองได้สติหลังจากที่นิ่งไปเป็นครู่ จางอี้ชิงถอดหูฟังออกแล้วเอ่ยถามขึ้น
“นาย... ไม่เป็นอะไรนะ”
“อื้ม...”
มินซอกพยักหน้ารับก่อนจะค่อยๆ ขยับขึ้นนั่งตัวตรง อี้ชิงมองออกไปนอกตัวรถที่กำลังถอยมาตรงหน้าคอนโด
“ที่นี่มัน...”
“ใช่ครับ ใต้จมูกคุณนายจางนี่แหละ คุณหนูกับคุณมินซอกไม่ต้องกังวลใจ ยังไงเธอก็ไม่สงสัยที่นี่แน่...”
Day-Month-Year
ทันทีที่ประตูห้องถูกไขกุญแจเปิดออกด้วยมือของบอร์ดี้การ์ด คุณหนูจางก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ก้าวแรกที่ได้เดินเข้าไปในห้อง ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังเดินกลับเข้าไปสู่อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นที่เคยคุ้นในวัยเด็ก แปลกจริง... ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยมาที่นี่ แต่ว่าความรู้สึกนั้น... บางที อาจจะเป็นเพราะเขารู้ดีแก่ใจอยู่แล้วก็ได้ว่าที่นี่คือที่ของใคร!
“ขอบใจนะ...” จางอี้ชิงเอ่ยขึ้นกับบอร์ดี้การ์ดก่อนที่อีกฝ่ายจะโค้งรับและขอตัว
เมื่อประตูห้องปิดลงอีกครั้ง เหลือแต่จางอี้ชิงกับคิมมินซอกยืนเด่นอยู่ตรงกลางห้องพร้อมทั้งสัมภาระที่ติดตัวมาจากที่พักเก่า ในขณะที่จางอี้ชิงกำลังยืนสูดกลิ่นอายของอดีต มินซอกก็ปลดกระเป๋าสะพายหลังใบใหญ่ลงจากบ่าแล้วก็เดินไปสำรวจรอบๆ ห้องเหมือนเช่นที่เคยทำกับทุกที่พร้อมทั้งเอ่ยถาม
“ที่นี่คอนโดของแม่นายเหรอ...”
“เปล่า... มันเป็นคอนโดของพ่อฉัน” จางอี้ชิงเอ่ยขึ้นขณะที่นัยน์ตากำลังเริ่มชื้นๆ
“นายเคยอยู่ที่นี่เหรอ” มินซอกหันมาถามทันทีที่สังเกตเห็นท่าทางของชาวหนุ่มชาวจีนแท้ที่ตนเองได้ใกล้ชิดมานานกว่าแปดเดือนด้วยความเอาใจใส่
“อาจจะเคย ตอนที่ฉันยังจำความไม่ได้” จางอี้ชิงให้คำตอบพร้อมกับค่อยๆ เดินไปยังพื้นที่ต่างๆ ในห้องชุดแห่งนั้นอย่างเคยคุ้น คิมมินซอกเดินและมองตามสายตาของเขาจนในที่สุดสายตาของคนทั้งคู่ก็ไปหยุดลงตรงที่ห้องกระจกเล็กๆ ห้องหนึ่ง จางอี้ชิงเริ่มสะดุดใจและรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่กำลังดึงดูดเขาให้ตรงเข้าไปค้นหา ที่กระจกของห้องแห่งนั้นติดฟิล์มสีทึบจนมองดูมืดไปหมดไม่อาจเห็นภายในได้ชัดเจนจนกระทั่งเดินเข้ามาดูใกล้ๆ
“นี่มัน... เหมือนกับห้องนอนของนายที่ร้าน Good friends เลยนี่”
“ใช่... ฉันคิดว่าห้องนี้มันคงจะเป็น สตูดิโอของพ่อฉัน...” ชายหนุ่มชาวจีนเอ่ยขึ้นพลางขยับประตูบานเลื่อนเข้าไปข้างในโดยมีคนตัวเล็กเดินตามเข้าไปด้วยติดๆ
“นี่มัน...” คิมมินซอกร้องขึ้นอย่างตื่นเต้นกับอะไรบางอย่างในห้องนั้นในขณะที่จางอี้ชิงยิ้มออก เขาเดินเข้าไปหยิบกีต้าร์ของพ่อที่ถูกจัดวางเอาไว้อย่างสวยงามตรงกลางห้องขึ้นมาลูบคลำด้วยความดีใจที่ได้เห็นมันอีกครั้ง
“อี้ชิง… ดูนี่สิ” มินซอกเอ่ยขึ้นพลางหยิบการ์ดใบเล็กๆ ที่เสียบอยู่ตรงแท่นวางกีต้าร์มายื่นให้กับชายหนุ่มชาวจีนที่ยืนอยู่ข้างกาย มันเป็นการ์ดของคุณตาซึ่งเขียนว่า
ยินดีต้อนรับกลับบ้าน…
อี้ชิงหยิบมาอ่านแล้วก็ยิ้มที่มุมปากอย่างมีความสุข คุณตารู้เสมอว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นชีวิตแบะจิตใจของเขา ในขณะที่แม่ก็รู้… แต่กลับไม่เคยให้โอกาสเขาได้เป็นตัวของตัวเองเลยสักครั้ง
Day-Month-Year
อีกเกือบสองอาทิตย์ที่คิมมินซอกยังอยู่ในประเทศจีน ชีวิตของเขาเริ่มกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้งเมื่อไม่ต้องเปลี่ยนที่อยู่และผจญภัยด้วยการหลบหนีจากการตามล่าของคุณนายจางอีก นับเป็นความคิดที่ดีทีเดียวที่คุณตาให้เขากับอี้ชิงย้ายมาอยู่ที่นี่ ซึ่งมินซอกเองก็พึ่งจะมารู้เอาตอนหลังเหมือนกันว่าที่แห่งนี้เคยเป็นเรือนหอเก่าของจางชิงฮวากับพ่อของจางอี้ชิงเมื่อนานมาแล้ว
ในห้วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุขสงบของคนที่เขารัก แม้ว่าลึกๆ แล้วมินซอกจะรู้สึกร้อนใจอยู่บ้างเรื่องความฝันของตัวเองที่ยังไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันเลยสักนิดแต่เขาก็ไม่เคยแสดงออก เขายังคงอยู่ข้างกายของจางอี้ชิงในเวลาที่ชายหนุ่มกำลังเริ่มต้นเขียนเพลงใหม่ น่าแปลกที่ยิ่งได้เห็นจางอี้ชิงเข้าใกล้ความฝันของเขามากขึ้นเท่าไหร่ มินซอกก็ยิ่งรู้สึกห่างไกลกับความฝันของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
ในชั่วขณะที่กำลังเหม่อลอยไปไกลภายนอกระเบียงอยู่ๆ เสียงโทรศัพท์ของมินซอกก็ดังขึ้น ทันทีที่เห็นเป็นชานยอลโทรทางไกลมาจากเกาหลี ก่อนจะรับสายคนตัวเล็กก็ได้หันไปมองจางอี้ชิงที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับ อุปกรณ์ดนตรีในห้องสตูดิโอเล็กๆ ของเขานิดหน่อยก่อนจะค่อยคลี่ยิ้มออกมาบางๆ และเริ่มแนบหน้าเข้ากับเครื่องโทรศัพท์อย่างหวังว่าจะได้ยินข่าวดี
"มินซอก... นั่นนายใช่ไหม หายหน้าไปซะนานเชียว คิดจะกลับเกาหลีอยู่รึเปล่าเนี่ย"
"ขอโทษทีชานยอล พอดีมีเรื่องยุ่งๆ นิดหน่อย เลยไม่ได้ติดต่อนายเลย"
"โอ๊ย ไม่เป็นไร ที่ฉันโทรมาเนี่ยจะบอกว่าพี่คริสโปรดิวเซอร์ที่ทำงานฉันเขาได้ฟังเพลงของจางอี้ชิงแล้วนะ และเขาก็รู้แล้วด้วยว่าฉันน่ะไม่ได้แต่งเพลงนั้น เขาอยากเจอเจ้าของเพลงตัวจริง พวกนายน่ะ จะกลับเกาหลีได้เมื่อไหร่..."
"เร็วที่สุด..." มินซอกตอบสั้นๆ ก่อนจะเก็บความดีใจเอาไว้ไม่อยู่รีบตรงไปเคาะกระจกเรียกอี้ชิงให้ออกมาจากโลกของเขาทันที
อี้ชิงมองเห็นแล้วก็วางมือจากกีต้าร์ ถอดหูฟังและเดินออกมาจากห้องกระจกด้วยท่าทีประหลาดใจ “มีอะไรรึเปล่ามินซอก”
“ชานยอลพึ่งโทรมาหาฉัน กลับเกาหลีกันเถอะอี้ชิง…”
Day-Month-Year
ทันทีที่รู้ข่าวว่ามีโปรดิวเซอร์ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ในเกาหลีสนใจเพลงของตัวเองจริงๆ จางอี้ชิงก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น เขารีบเก็บข้าวของสำคัญเตรียมตัวเดินทางกลับไปทำตามฝันของตัวเองอย่างไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลยสักนิดว่าจะต้องถูกคุณนายจางขัดขวางหรือไล่ล่าเพื่อตามตัวเขากลับบ้านเอาระหว่างทาง เขาวางแผนการเดินทางกลับเกาหลีเอาไว้เป็นอย่างดีแล้วร่วมกับมินซอก และลุงเจิ้งหลี้ คุณตาก็รู้เห็นและสนับสนุนเต็มที่
“คราวนี้ตาต้องชนะพนันแม่ของแกแน่ๆ” คุณตาเคยพูดเอาไว้ในขณะที่เขาและมินซอกได้แอบเข้าไปเยี่ยมอาการป่วยที่โรงพยาบาลครั้งล่าสุด
จนกระทั่งวันสุดท้ายก่อนการเดินทางมาถึงอี้ชิงก็ได้ตัดสินใจพามินซอกไปที่หลุมฝังศพพ่อของเขาในบ่ายของวันนั้นเอง
ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบภายใต้เงาไม้ร่มครึ้มในสุสานแห่งใหญ่ในกรุงปักกิ่ง บนเนินดินเตี้ยๆ แห่งหนึ่งคือสถานที่พักผ่อนอย่างสงบชั่วนิรันดร์ของพ่อแท้ๆ ของจางอี้ชิง
และในทันทีที่พวกเขามาถึง ชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแท้ๆ ของคนตายก็ได้บรรจงวางดอกไม้ลงที่บริเวณด้านหน้าของป้ายหลุมศพอย่างระมัดระวัง
“พ่อครับ… ความฝันของผมใกล้จะเป็นจริงขึ้นมาแล้วนะครับ ผมจะทำให้พ่อภูมิใจในตัวผม ได้โปรดรักษาความฝันของผม แล้วก็…” ชายหนุ่มหยุดพูดและหันมามองคิมมินซอกด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสุขก่อนจะฉวยโอกาสเอื้อมไปคว้าเอามือเล็กๆ ข้างกายของเขามากุมไว้แน่น
“แล้วก็คนที่อยู่ข้างๆ ผมด้วย”
เขาหันกลับไปยังหลุมศพและพูดต่อด้วยรอยยิ้มสดใส มินซอกหันไปมองเห็นลักยิ้มของเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินๆ จนถึงขนาดนี้แล้วแม้จะไม่มีใครยืนยันว่าพวกเขาเป็นอะไรกันแต่มันก็มีความสุขดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ มินซอกได้แต่คิดอยู่ในใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาจนกระทั่งกลับคอนโด
ในขณะที่เวลาก็ยังคงหมุนไปเรื่อยๆ ใกล้เวลาเดินทางมากขึ้นทุกที ตามแผนอี้ชิงกับมินซอกจะต้องนั่งรถไปขึ้นเครื่องที่เมืองอื่นเพื่อป้องกันไม่ให้คนของคุณนายจางที่สนามบินในเมืองหลวงพบเห็น ขณะที่รถแล่นไปอยู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นจนได้
“คุณหนูครับ เดี๋ยวผมว่าเราแวะเปลี่ยนรถกันที่สวนน้ำข้างหน้าก่อนดีไหมครับ”
“ทำไม… มีอะไรรึเปล่า” จางอี้ชิงเอ่ยถามขึ้นพลางหันไปมองหลังรถตามสายตาของการ์ดที่นั่งข้างคนขับทันที รถเจ็ดที่นั่งสีดำคันใหญ่ติดฟิล์มทึบทั้งคันกำลังไล่ตามพวกเขาอยู่ห่างๆ
“เข้าใจละ ทำตามแผน…”
Day-Month-Year
หลังจากที่เลี้ยวเข้าไปในสวนน้ำแห่งหนึ่งได้ไม่นาน จากรถตู้คันเดิมที่เคยช่วงชิงเอาตัวคุณหนูจางมาจากแม่ก็ได้แปรสภาพกลายมาเป็นรถเก๋งคันเล็กๆ วิ่งออกจากสวนน้ำไปอย่างคล่องตัว
ในขณะที่กำลังจะออกสู่ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์เพื่อมุ่งหน้าไปยังต่างเมือง ขณะที่รถซึ่งแล่นผ่านไปมาอยู่บนถนนสายนั้นเริ่มบางตา อยู่ดีๆ รถเจ็ดที่นั่งสีดำคันใหญ่ที่ตามมาข้างหลังก็เร่งความเร็วขึ้น
“ทางโน้นท่าทางจะเอาจริงแล้วล่ะครับ” การ์ดที่นั่งข้างคนขับหันมาบอกมินซอกเป็นภาษาอังกฤษ ในขณะที่รถคันข้างหลังเริ่มขับจี้เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ใครคนหนึ่งในรถก็หมุนกระจกที่นั่งข้างคนขับลงและเหมือนโยนอะไรบางอย่างออกมา
“บ้าจริง... อย่าบอกนะว่าพวกนั้นใช้วิธีเดียวกันกับเราตอนที่ลักพาตัวอี้ชิงมา” มินซอกบ่นเป็นภาษาอังกฤษอีกเช่นกันก่อนที่คนขับรถจะหันมาถามเมื่อเห็นควันพวยพุ่งออกจากวัตถุปริศนาชิ้นนั้นมากขึ้นทุกที
“เอายังไงกันดีครับคุณมินซอก”
“ขับฝ่าไป!” ชายหนุ่มชาวเกาหลีออกคำสั่งก่อนที่หนทางข้างหน้าจะเริ่มขาวโพลนไปหมดจนท่าไม่ค่อยจะดีเมื่อวัตถุปริศนาที่มีควันถูกโยนออกมาจากรถที่ไล่ตามอีกประมาณสองถึงสามชิ้น
“ฝ่าไม่ไหวหรอกครับคุณมินซอก” ควันจะเริ่มเข้ามาในรถแล้วด้วย” คนขับเอ่ยขึ้นในขณะที่ดวงตาคมเฉี่ยวกำลังเบิกโพลงด้วยความตระหนกตกใจ และในห้วงที่ใช้ความคิดอยู่นั้นเอง มินซอกก็เห็นว่าอันตรายเกินไปที่จะให้รถแล่นต่อ
“งั้นก็หยุดรถก่อน” ชายหนุ่มร้องสั่งทว่าไม่ทันเมื่อคนขับรถพลาดไต่ฟุตบาตรขึ้นไปแล้ว ในชั่วขณะทุกคนบนรถกำลังตกใจ ควันจากข้างนอกก็ได้ลอยเข้ามาภายในรถจนทำให้คนขับหมดสติในขณะที่รถยังแล่น
…
แล้วคิมมินซอกจำอะไรไม่ได้อีกเลยจนกระทั่งได้ฟื้นขึ้นมาในคฤหาสถ์หลังใหญ่ของคนตระกูลจาง!
-------------------------------------------------------------
กลับมาต่อแล้วค่ะ หายไปนานเพราะมัวติดภารกิจทั้งหลายแล้วก็มัวไปแต่งฟิคสงครามโลก ตอนหน้าตอนสุดท้ายของพาร์ทเลย์หมินแล้วนะ จบเลย์หมินก็จะต่อฮุนฮานเลย จะพยายามเร่งค่ะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามากดอ่านและให้กำลังใจนะคะ จะพยายามทำต่อๆ ไปให้ดีที่สุด ^^
ให้แท็กละกัน #ficdmy
ความคิดเห็น