ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : RELOADED! IV
โกโดม อำมหิตไม่เงียบ RELOADED IV
*************************************************************************
“กลับมาทำอะไรอีกล่ะ” ทหารยาม ครี้ด ธันเดอร์ร้องถาม
“พาเด็กมาเที่ยว” คำตอบเรียกสายตาสุดเย็นเยียบจากเด็กน้อยที่อยู่ข้างๆ
“ถ้ากลัวก็เกาะแม่ไว้แน่นๆนะเจ้าหนู ฮ่าๆๆ”
คาโลทนฟังไม่ไหว รีบเดินลงบันไดไปอย่างไม่รอช้า เฟรินจึงรีบวิ่งตามไป
“ไปก่อนนะโว้ย ชักช้าเดี๋ยวเด็กมันงอน ฮ่าๆๆๆ”
คำเย้าทำให้คนเดินนำหน้าชะงักกึก หันมาจ้องคนตามหลังด้วยสายตาวาววับ จนคนตามหลังมาเบรกตัวเองแทบไม่ทัน
“อะไรเหรอ” เจ้าหญิงปากหมาตีหน้าซื่อถาม
“ถ้านายล้อฉันอีก อย่าหาว่าฉันไม่เตือน” พูดแล้วก็สะบัดหน้าเดินลงบันไดต่อ
“โอ้ว”
ยิ่งโดนดุก็ยิ่งรู้สึกดี หน้าตาน่ารักนี่ทำอะไรก็ไม่ผิด เฟรินอดไม่ได้ที่จะคว้าหมับเอาร่างเล็กป้อมมากอดไว้ในอ้อมแขน แล้วเอาแก้มถูกับแก้มนิ่มๆของเด็กชาย
“ปล่อยเฟริน” เจ้าชายน้อยดิ้นขลุกขลัก หน้าขาวๆเริ่มแดงขึ้นๆจนเห็นได้ชัดแม้จะมีเพียงแสงสว่างจากคบไฟ
“ไม่เอา ไม่ปล่อย” คนถูก็ยังถูต่อ
“เฟริน ถ้านายไม่ปล่อยฉันจะ...”
“จะอะไรหือ”
เด็กชายเงียบไปอย่างนึกไม่ออกว่าจะทำอะไร
ไม่ใช่ไม่ชอบ ความจริงก็...รู้สึกดี นิดหน่อย
เมื่อเห็นเด็กชายนิ่งคิดก้มหน้างุด หน้าแดงไปถึงคอ เจ้าหญิงก็ขโมยหอมแก้มอีกฟอดหนึ่ง
แฟนเธอนี่ จะทำซะอย่าง
“กลับร่างเดิมเมื่อไหร่ ฉันจะเอาคืน” คาโลพึมพำเมื่อหล่อนยอมปล่อยเขา หวังให้เจ้าหล่อนรู้จักร้อนๆหนาวๆซะบ้าง แต่สาวคนรักของเขาก็ไม่ยี่หระสักเท่าไหร่
“ไม่ได้ ทำแบบนี้ได้แต่เด็กเท่านั้น ผู้ใหญ่ไม่มีสิทธิ์ ถ้านายทำฉันจะฟ้องพ่อ”
“นายคิดว่าฉันกลัวจ้าวปีศาจเอวิเดสนักหรือ”
“เปล่า พ่อนาย”
คาโลไม่ตอบ ทั้งคู่จึงเดินเงียบๆลงบันไดไป แต่คนซุ่มซ่ามก็ยังเป็นคนซุ่มซ่าม สะดุดอากาศล้มลงมาทับร่างเล็กที่อยู่ข้างหน้า
เขาพยายามรับร่างเธอด้วยความเคยชิน แต่แรงของเด็กแปดขวบเอาไม่อยู่ ทั้งคู่จึงกลิ้งลงบันไดไปอย่างแรง
เฟรินรู้สึกว่าสะดุดอะไรบางอย่างที่ตีนบันไดแต่ก็ไม่ทันมอง สองร่างกลิ้งเลยไปจนตกลงไปในคูน้ำเย็นเฉียบดังตูม
ทั้งคู่รีบตะกายขึ้นมาจากน้ำก่อนจะแข็งตาย เมื่อขึ้นมาได้ เฟรินก็รีบเดินไปดูสิ่งที่กองอยู่ตรงหน้า
เฮ่ย บ้าน่า เอาแล้วไง
เกราะสีดำเก่าคร่ำนอนนิ่งอยู่บนพื้น แต่ถ้าหล่อนตาไม่ฝาด หล่อนเห็นมันขยับน้อยๆ
เฟรินรีบหันหลังกลับเตรียมเผ่น แต่เมื่อสังเกตดีๆ ก็เพิ่งจะเห็นว่าพื้นที่แคบๆตรงชานบันไดถูกล้อมรอบด้วยคูน้ำ คาโลกำลังตะกายขึ้นจากน้ำด้วยแขนสั้นๆ เฟรินจึงหันหลังจะรีบไปช่วยฉุด
แต่ชายเสื้อที่เปียกชุ่มของหล่อนถูกรั้งไว้ เฟรินกลั้นใจหันไปมอง แล้วก็ต้องร้องกรี๊ดลั่น ตกใจแทบสิ้นสติ
มือที่จับชายเสื้อหล่อนไว้คือมือที่อยู่ภายใต้เกราะดำ เฟรินพยายามสะบัดออก แต่มือนั้นทั้งแข็งทั้งเหนียว จะจับก็ไม่กล้า เฟรินจึงยกเท้าถีบร่างนั้นจนกระเด็นไปกระแทกขั้นบันไดดังแคร้ง เสื้อคลุมตัวหนาของหล่อนหลุดติดมือมันมาด้วย
“คาโลนายอย่าขึ้นมา ไอ้นี่มันปีศาจเกราะดำ มันจะจับฉัน”
สิ้นเสียงหล่อน ร่างนั้นก็ลุกพรวดแล้วเดินลากขามาทางหล่อนอีกครั้ง เฟรินรีบคว้าร่างเจ้าชายที่เกือบจะขึ้นมาได้แล้วให้ลงน้ำไปอีกรอบ แล้วว่ายหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เฟริน ฉันว่ายเองได้” เจ้าชายน้อยที่สำลักน้ำค่อกแค่กเพราะถูกหล่อนกระชากลงน้ำแบบไม่ทันตั้งตัวเอ่ยสั่ง
“ขาสั้นเงียบไปเลย” พูดแล้วก็ไม่สนใจคำตอบ คว้าร่างเล็กป้อมดำผ่านประตูน้ำแคบๆตรงหน้าไป
ทันทีที่ผ่านช่องหินออกมา หล่อนก็รู้สึกตัวว่าตกลงสู่ชั้นที่ต่ำกว่าดังตูม คูน้ำเบื้องล่างกว้างกว่า และน้ำไหลเชี่ยวกว่าด้านบนหลายเท่า
หลังจากพยายามว่ายเข้าฝั่งอยู่พักใหญ่ หญิงสาวก็พบว่ากระแสน้ำแรงเกินจะต้าน หล่อนได้แต่กอดคาโลไว้แน่น แล้วพยายามประคองใบหน้าของทั้งสองไว้เหนือน้ำ
หล่อนตกลงมาชั้นแล้วชั้นเล่า ไหลวนเวียนไปเรื่อยๆ ยิ่งลึก คุกใต้ดินก็ยิ่งมืดสนิท แรงพยุงกายเริ่มหมด กระแสน้ำเย็นเฉียบจนชาไปทั้งร่าง แขนทั้งสองข้างเริ่มหมดความรู้สึก
ธิดาแห่งความมืดคนดังต้องมาตายอืดแบบนี้เหรอนี่
“เฟริน”
เธอได้ยินเสียงเรียกชื่อแว่วๆ ในที่สุดเธอก็หมดแรง ปล่อยกายให้จมไปกับกระแสน้ำ
“แค่กๆ”
หล่อนสะดุ้งกายขึ้นมาแล้วสำลักน้ำเป็นการใหญ่ เมื่อเห็นหญิงสาวฟื้นขึ้นมา ร่างเล็กก็คว้าตัวหล่อนเข้ามากอดแน่น
หญิงสาวมองไปรอบๆ ที่นี่ไม่มืดเท่าที่อื่น อาจจะเพราะพวกมอสเรืองแสงที่ขึ้นอยู่โดยรอบ หล่อนกำลังนอนอยู่บนพื้นหินที่เย็นเฉียบ ข้างๆบ่อนี้ใหญ่ที่มองไม่เห็นอีกฟาก อีกด้านหนึ่งเป็นทางเดินที่ดูคล้ายช่องหิน
“คาโล เราอยู่ที่ไหน”
เมื่อหล่อนเอ่ยถาม เจ้าชายเด็กน้อยก็ผละออก แล้วกวาดสายตาตามหล่อน
“ชั้นล่างสุดของคุกใต้ดิน”
“เหรอ อืม...”
“นายกระโดดลงน้ำทำไม” เมื่อหายเป็นห่วง คนช่างดุก็เริ่มซัก
“หา เอ่อ...เออใช่” เฟรินสะดุ้งลุดพรวด “ตรงบันไดที่เราสะดุด ฉันเห็นนักรบเกราะดำ”
“นายตาฝาด” คาโลตอบโดยไม่เสียเวลาคิด “นายสะดุดขาตัวเองลงมาทับฉันต่างหาก”
“ตาฝาดที่ไหนเล่า ก็เสื้อฉัน...”
หล่อนชี้มือเข้าหาตัวแล้วมองตาม คำพูดที่คิดจะเอ่ยต่อก็หยุดไปเสียดื้อๆ
เฮ้ย
เสื้อเชิ้ตสีขาวเนื้อดีเปียกน้ำจนใสแจ๋ว แนบร่างไปทุกส่วนสัดจนคนมองไม่ต้องเสียเวลาจินตนาการ
หญิงสาวอ้าปากจะร้องโวยวาย แต่เสื้ออีกตัวก็ถูกยื่นมาให้ตรงหน้าเสียก่อน
เจ้าของเสื้อที่กำลังมองเมินไปทางอื่นหน้าแดงไปถึงใบหู ทำให้หล่อนเริ่มรู้สึกขำมากกว่าอาย เฟรินรับเสื้อมาคลุมร่างไว้แล้วหัวเราะคิก
“หันมาได้แล้ว”
เด็กชายเบือนหน้ามาช้าๆซึ่งหญิงสาวตีความว่ากล้าๆกลัวๆ
“ขอบใจนะ”
เจ้าชายแห่งคาโนวาลพยักหน้านิดๆอย่างไม่ใส่ใจ แล้วขยับร่างเข้ามาใกล้
“เฟริน ถอนอาคมซะ”
“ได้” หญิงสาวตอบอย่างว่าง่าย
หล่อนส่งมือทั้งสองข้างให้เขา แล้วหลับตาลง รู้สึกได้ถึงมือเย็นๆและหน้าผากเย็นๆ
ทั้งเขาและเธอกำลังหนาวจนสั่น
หญิงสาวเบียดร่างเข้าไปใกล้ขึ้น มือที่จับไว้หลวมๆค่อยๆสอดประสานแนบแน่น ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดที่แก้ม หน้าผากที่สัมผัสกันขยับเล็กน้อย เพื่อให้ริมฝีปากที่สั่นระริกของทั้งคู่ได้หยอกเย้าเคล้าเคลีย
อยากจูบจัง หมอนี่ก็คงเหมือนกัน
กระแสอุ่นๆเริ่มถ่ายเท แสงสีทองสว่างวาบ แล้วร่างเล็กก็ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น...
กลายเป็นหมีกริซลีย์ขนสีเงินที่สูงกว่าสองเมตร
เฟรินปากอ้าตาค้าง ขยับกายออกห่างอย่างไม่คิดชีวิต ขณะที่หมีคาโลเริ่มสำรวจตัวเอง แล้วนิ่ง
“อะ...”
พูดไม่ทันเป็นคำ เสียงดังตูมจากบ่อน้ำก็ทำให้ทั้งคนทั้งหมีหันไปมอง
ปีศาจเกราะดำโผล่พรวดขึ้นมาจากน้ำแล้วว่ายน้ำคร้องแคร้งตรงมาทางที่ทั้งสองนั่งอยู่
“หนีเร็ว”
เฟรินลุกหนีอย่างไม่คิดชีวิต หมีสีเงินก็วิ่งตามหล่อน ทั้งคู่วิ่งเข้าไปในช่องทางเบื้องหน้าที่มีอยู่มากมายนัก
คาโลรู้อยู่แก่ใจว่าทั้งเขาและเธอกำลังเข้าไปในเขาวงกต แต่เขาก็ได้เห็นกับตาแล้วว่าปีศาจเกราะดำนั้นมีจริงอย่างที่เฟรินว่า
วิ่งไปก็คิดไป เรื่องเอาชีวิตรอดนั้นสำคัญที่สุดก็จริง...
มองดูอุ้งมือของตัวเองแล้วก็ปวดหัวหนึบ
ร่างกายของเขาเล่า นี่มันอะไรกัน หรือว่านี่คือการถอนอาคมแบบติดๆขัดๆที่เจ้าคนแคระเขากวางนั่นหมายถึง เฟรินเองก็ดูเหมือนจะวิ่งหนีทั้งเขาทั้งไอ้ปีศาจนั่น
“หยุดวิ่งได้แล้ว”
เขาบอกหล่อน แต่ร่างตรงหน้ากลับไม่ยอมหยุดวิ่ง ทำให้เขาต้องคว้าเอวบางไว้ด้วยแขนที่มีขนปุกปุย
เฟรินหันกลับมามองเขาอย่างหวาดๆ แล้วก็หัวเราะคิกออกมา
“หึๆ หมีใส่เสื้อ หึๆ”
ร่างเล็กถูกทิ้งโครมลงบนพื้นหินจนต้องร้องโอย เมื่อเจ้าหล่อนตั้งหลักได้ หมียักษ์ก็ย่อกายลงเอาหน้าผากชนกับหล่อนทันที
“ลองใหม่”
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยขนทำให้หล่อนจักจี้ แต่ก็ยอมส่งมือให้คุณหมีแต่โดยดี แม้จะเกรงๆเขี้ยวขาววาววับที่อยู่ใกล้ไปหน่อยก็เถอะ แสงสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง แล้วร่างตรงหน้าก็ค่อยๆเล็กลง
เฟรินลืมตาทีละข้าง แล้วก็ต้องเอามือแปะหน้าผาก
กรรมเวร
ร่างตรงหน้ายังไม่ใกล้เคียงกับคำว่าคน เมื่อร่างนั้นเล็กเสียจนเธอต้องก้มลงมอง เสื้อผ้ากองอยู่บนพื้น ขนสีเงินละเอียดเป็นมัน และหางยาวที่สะบัดไปมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ให้อุ้มไหม”
แมวจอมหยิ่งสะบัดหน้าพรืด
นี่เขาจะต้องเป็นของเล่นให้เธออีกกี่ร่างถึงจะพอ
“อีกรอบ”
เสียงลากครืดคราดดังมาให้ได้ยินอีกครั้ง เขาและเธอจึงต้องรีบวิ่งต่อ คราวนี้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาจนมั่นใจว่าไกลพอ ทั้งคนทั้งแมวจึงนั่งลงหอบแฮ่กบนพื้น
“ถอนอาคมเร็ว”
หญิงสาวอุ้มแมวสีเงินไว้บนตัก แอบลูบขนเกาคางหากำไรไปหลายที จนแมวหนุ่มขนตั้งชันอย่างโมโห คิดจะข่วนหน้าแฟนสาวด้วยสัญชาตญาณ เฟรินจึงยอมจับอุ้งเท้านุ่มนิ่มของเขาไว้ แล้วแนบหน้าผากเข้ากับหน้าเล็กๆของเจ้าชายแมว
แสงสีทองสว่างวาบ ร่างเล็กๆสั่นไปทั้งร่าง พร้อมๆกับเสียงลากครืดคราดที่ดังให้ได้ยินอีก
“อะไรกันนักหนาวะ”
เฟรินสบถพร้อมๆกับรู้สึกว่าร่างในอ้อมแขนค่อยๆหนักขึ้นเรื่อยๆจนหยุด
“บ้าชิบ” เป็นคำเดียวที่หล่อนพูดเมื่อเห็นร่างของเจ้าชายตรงหน้าได้ชัด
“ร่างสัตว์ไม่เสถียร ฉันรู้สึกได้”
“แล้ว..."
“ถ้าเดาไม่ผิด ร่างที่ถูกต้องจะต้องเป็นร่างเด็ก”
“ทำไม”
“ส่วนผสมอื่นๆไม่ค่อยสำคัญเท่าน้ำตา...อะไรนั่นที่เป็นกระสายยา ฉันต้องกลับเป็นเด็กให้ได้ก่อน ถึงจะกลับเป็นผู้ใหญ่ได้”
“ไม่ใช่ว่าเป็นเด็กไปตลอดกาลเหมือนตอนฉันกลายเป็นหมานะ”
“ก็อาจเป็นได้”
“บ้าน่า”
“ลุกเร็ว มันมาอีกแล้ว”
เฟรินอุ้มร่างนุ่มที่เคลื่อนไหวเร็วไม่ได้ลุกวิ่งอีกรอบ
“เราคงจะวิ่งวนไม่ไกลจากที่เดิมแน่ มันถึงตามมาทัน”
“ก็นี่มันเขาวงกต”
“สู้มันได้ไหมเนี่ย”
“ปีศาจเกราะดำเป็นจิตอาฆาต ฆ่าไม่ตาย ต้องใช้อาคมสลายมัน”
“ก็ใช้สิ คุณโคอาล่าปีศาจแห่งคาโนวาล”
คาโลมองตัวเอง แล้วก็มองหน้าหล่อน
“มือแบบนี้ ฉันใช้คทาไม่ได้ ต้องลองเปลี่ยนร่างดูอีกครั้ง”
“งั้นลองเลย ฉันวิ่งไม่ไหวแล้ว”
กำแพงหินเก่าแก่สกปรกราวกับสร้างมาเป็นร้อยปีรายล้อมอยู่ทุกด้าน กลิ่นเหม็นอับชื้นโชยมากระแทกจมูก เสียงอะไรบางอย่างที่หนักและเชื่องช้าลากครืดคราดไปตามพื้นดังตามหลังใกล้เข้ามาทุกขณะจิต
ไม่มีแรงจะก้าวต่อแม้เพียงก้าวเดียว
หัวขโมยสาวหลับตาลงอย่างช้าๆ ร่างบางทรุดลงนั่งพิงกำแพงเย็นเยียบ พลางยิ้มเย้ยหยันชะตาชีวิตต้องสาปของตน
เธอช่างเป็นคนบาปหนานัก เรื่องซวยๆพรรค์นี้ถึงเข้ามาในชีวิตอยู่เรื่อย
สงสารก็แต่เจ้าหมอนี่ เธอต้องพามันมาลำบากด้วยทุกทีๆ แม้มันจะชอบว่าโน่นบ่นนี่ แต่มันก็ไม่เคยปล่อยให้เธอเผชิญอันตรายเพียงลำพัง
“ขอโทษนะ ฉันพานายมาซวยอีกแล้ว”
มือของเธอถูกบีบเบาๆโดยมือนุ่มๆของคนข้างกาย
เพื่อบอกให้รู้ว่ายังมีชีวิต...ยังมีเขาอยู่เคียงข้าง
“นิสัยแบบนี้ของนาย ไม่ได้อยู่เหนือการคาดการณ์ของฉัน” เสียงนั้นแผ่วพร่า บ่งบอกว่าเจ้าตัวก็เหนื่อยหนักไม่แพ้เธอ
แม้คำพูดจะฟังน่าหงุดหงิด แต่กลับทำให้อุ่นใจอย่างประหลาด
“ไอ้บ้า เวลาแบบนี้ยังมาทำพูดจาวางมาดอยู่ได้” เจ้าหญิงหัวขโมยพูดกลั้วหัวเราะ
ว่าแล้วก็ให้นึกเสียใจไม่หาย
ไม่ควรเลย ไม่ควรเลย ถ้าตอนนั้นไม่ใจร้อน เรื่องในวันนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น
เฟรินตัวสั่นเทาด้วยความหนาว ดวงตาสีน้ำตาลคู่โตเหลือบไปมองเจ้าชายคนรักในร่างโคอาล่าตัวนุ่มฟูแล้วก็เกิดอารมณ์ไร้ยางอายขึ้นมาตงิดๆ
“ขอกอดหน่อยได้ไหม”
ร่างนั้นเบือนหน้ามามองเธอช้าๆตามวิสัยสัตว์ที่กินใบยูคาลิปตัสเป็นอาหาร(ใบยูคาลิปตัสมีสารอาหารน้อยมาก โคอาล่าจึงมีความเฉื่อยสูงเพื่อประหยัดพลังงาน) ดวงตาสีฟ้ากลมโตหรี่ลงนิดๆ มือที่อ่อนนุ่มแต่มีเล็บยาวเฟื้อย(สำหรับเกาะต้นไม้) ค่อยๆเอื้อมมาสัมผัสแก้มอันเย็นเยียบของเธอ แล้วเคลื่อนตัวอย่างช้าๆขึ้นมาบนตักนุ่ม
เฟรินโอบอุ้มร่างนั้นขึ้นมากอดแนบแน่น พลางแนบดวงหน้าลงกับใบหูใหญ่นุ่มที่ปกคลุมด้วยขนสีเงินละเอียดฟู
“อุ่นจังเลยคาโล” เจ้าหล่อนครางเบาๆ
หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่าง ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่นและนุ่มนวลที่สุด (แน่ล่ะ ก็โคอาล่านี่)
เฟรินมีความสุขอยู่ไม่ได้นาน เมื่อร่างในอ้อมแขนจัดการสัมผัสที่จุดชีพจรทั้งสาม
คราวนี้จะเป็นตัวอะไรอีกล่ะ
เธอรีบวางร่างนั้นลงที่พื้นด้วยกลัวจะกลายเป็นสัตว์ใหญ่ที่เกินจะรับไหว แสงสีทองส่องประกายจ้าอีกครั้ง และเมื่อหล่อนลืมตาขึ้นมาก็ต้องพบกับร่างที่ทำให้ตื่นตะลึง
ดวงตาสีฟ้ากลมโตปูดโปน ร่างทั้งร่างปกคลุมด้วยเกล็ดสีเงินวาวระยับ
เหมือนสิ่งที่ว่ายอยู่ในอควาเรียมใหญ่ในเดมอส
ให้ตายสิ ปลาทอง
ยิ่งแปลงร่างเท่าไหร่ก็ยิ่งเล็กลงทุกทีๆ
เมื่อดวงตาสีน้ำตาลพิจารณาร่างที่เห็นชัดๆ เจ้าหล่อนก็เริ่มจะเอะใจ
คาโลดิ้นกระแด่วๆด้วยอาการหายใจไม่ออก เฟรินเบิกตากว้างรีบประคองเจ้าชายปลาทองไว้ในอุ้งมือแล้วออกวิ่งอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
น้ำ น้ำอยู่ไหน
ปลาทองคาโลที่หายใจด้วยเหงือกเริ่มหอบหายใจพะงาบๆ เฟรินก็เริ่มใจเสียขึ้นเรื่อยๆ
“อดทนหน่อยนะ ฉันจะหาน้ำให้แกเดี๋ยวนี้”
ตอนตกลงมา ใช่แล้ว บ่อน้ำนั่น
เฟรินรีบวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม โดยไม่สนใจว่าจะต้องเจอกับไอ้ปีศาจเฮงซวยตัวนั้นอีกครั้ง
พรสวรรค์ในการจดจำเส้นทางถูกเค้นมาใช้อย่างสุดแรงเกิด สมองรวบรวมความคิดอย่างรวดเร็วแล้วรีบวิ่งไปตามเส้นทางที่คิดว่าใกล้จุดที่ตกลงมามากที่สุด
ตอนนี้อดีตหัวขโมยลืมความเหน็ดเหนื่อย ความหนาว และความเจ็บปวดไปสิ้น ในสมองมีแต่ความปลอดภัยของบุรุษในอุ้งมือ
สวรรค์เข้าข้างเธอ ประกายระยิบระยับของแอ่งน้ำอยู่ตรงหน้าทำให้เธอขยับยิ้มด้วยความยินดี ก่อนจะก้มมองร่างเล็กในมือแล้วก็ใจหายวาบ
ปลาทองคาโลนิ่งสนิทไปแล้ว
*************************************************************************
“กลับมาทำอะไรอีกล่ะ” ทหารยาม ครี้ด ธันเดอร์ร้องถาม
“พาเด็กมาเที่ยว” คำตอบเรียกสายตาสุดเย็นเยียบจากเด็กน้อยที่อยู่ข้างๆ
“ถ้ากลัวก็เกาะแม่ไว้แน่นๆนะเจ้าหนู ฮ่าๆๆ”
คาโลทนฟังไม่ไหว รีบเดินลงบันไดไปอย่างไม่รอช้า เฟรินจึงรีบวิ่งตามไป
“ไปก่อนนะโว้ย ชักช้าเดี๋ยวเด็กมันงอน ฮ่าๆๆๆ”
คำเย้าทำให้คนเดินนำหน้าชะงักกึก หันมาจ้องคนตามหลังด้วยสายตาวาววับ จนคนตามหลังมาเบรกตัวเองแทบไม่ทัน
“อะไรเหรอ” เจ้าหญิงปากหมาตีหน้าซื่อถาม
“ถ้านายล้อฉันอีก อย่าหาว่าฉันไม่เตือน” พูดแล้วก็สะบัดหน้าเดินลงบันไดต่อ
“โอ้ว”
ยิ่งโดนดุก็ยิ่งรู้สึกดี หน้าตาน่ารักนี่ทำอะไรก็ไม่ผิด เฟรินอดไม่ได้ที่จะคว้าหมับเอาร่างเล็กป้อมมากอดไว้ในอ้อมแขน แล้วเอาแก้มถูกับแก้มนิ่มๆของเด็กชาย
“ปล่อยเฟริน” เจ้าชายน้อยดิ้นขลุกขลัก หน้าขาวๆเริ่มแดงขึ้นๆจนเห็นได้ชัดแม้จะมีเพียงแสงสว่างจากคบไฟ
“ไม่เอา ไม่ปล่อย” คนถูก็ยังถูต่อ
“เฟริน ถ้านายไม่ปล่อยฉันจะ...”
“จะอะไรหือ”
เด็กชายเงียบไปอย่างนึกไม่ออกว่าจะทำอะไร
ไม่ใช่ไม่ชอบ ความจริงก็...รู้สึกดี นิดหน่อย
เมื่อเห็นเด็กชายนิ่งคิดก้มหน้างุด หน้าแดงไปถึงคอ เจ้าหญิงก็ขโมยหอมแก้มอีกฟอดหนึ่ง
แฟนเธอนี่ จะทำซะอย่าง
“กลับร่างเดิมเมื่อไหร่ ฉันจะเอาคืน” คาโลพึมพำเมื่อหล่อนยอมปล่อยเขา หวังให้เจ้าหล่อนรู้จักร้อนๆหนาวๆซะบ้าง แต่สาวคนรักของเขาก็ไม่ยี่หระสักเท่าไหร่
“ไม่ได้ ทำแบบนี้ได้แต่เด็กเท่านั้น ผู้ใหญ่ไม่มีสิทธิ์ ถ้านายทำฉันจะฟ้องพ่อ”
“นายคิดว่าฉันกลัวจ้าวปีศาจเอวิเดสนักหรือ”
“เปล่า พ่อนาย”
คาโลไม่ตอบ ทั้งคู่จึงเดินเงียบๆลงบันไดไป แต่คนซุ่มซ่ามก็ยังเป็นคนซุ่มซ่าม สะดุดอากาศล้มลงมาทับร่างเล็กที่อยู่ข้างหน้า
เขาพยายามรับร่างเธอด้วยความเคยชิน แต่แรงของเด็กแปดขวบเอาไม่อยู่ ทั้งคู่จึงกลิ้งลงบันไดไปอย่างแรง
เฟรินรู้สึกว่าสะดุดอะไรบางอย่างที่ตีนบันไดแต่ก็ไม่ทันมอง สองร่างกลิ้งเลยไปจนตกลงไปในคูน้ำเย็นเฉียบดังตูม
ทั้งคู่รีบตะกายขึ้นมาจากน้ำก่อนจะแข็งตาย เมื่อขึ้นมาได้ เฟรินก็รีบเดินไปดูสิ่งที่กองอยู่ตรงหน้า
เฮ่ย บ้าน่า เอาแล้วไง
เกราะสีดำเก่าคร่ำนอนนิ่งอยู่บนพื้น แต่ถ้าหล่อนตาไม่ฝาด หล่อนเห็นมันขยับน้อยๆ
เฟรินรีบหันหลังกลับเตรียมเผ่น แต่เมื่อสังเกตดีๆ ก็เพิ่งจะเห็นว่าพื้นที่แคบๆตรงชานบันไดถูกล้อมรอบด้วยคูน้ำ คาโลกำลังตะกายขึ้นจากน้ำด้วยแขนสั้นๆ เฟรินจึงหันหลังจะรีบไปช่วยฉุด
แต่ชายเสื้อที่เปียกชุ่มของหล่อนถูกรั้งไว้ เฟรินกลั้นใจหันไปมอง แล้วก็ต้องร้องกรี๊ดลั่น ตกใจแทบสิ้นสติ
มือที่จับชายเสื้อหล่อนไว้คือมือที่อยู่ภายใต้เกราะดำ เฟรินพยายามสะบัดออก แต่มือนั้นทั้งแข็งทั้งเหนียว จะจับก็ไม่กล้า เฟรินจึงยกเท้าถีบร่างนั้นจนกระเด็นไปกระแทกขั้นบันไดดังแคร้ง เสื้อคลุมตัวหนาของหล่อนหลุดติดมือมันมาด้วย
“คาโลนายอย่าขึ้นมา ไอ้นี่มันปีศาจเกราะดำ มันจะจับฉัน”
สิ้นเสียงหล่อน ร่างนั้นก็ลุกพรวดแล้วเดินลากขามาทางหล่อนอีกครั้ง เฟรินรีบคว้าร่างเจ้าชายที่เกือบจะขึ้นมาได้แล้วให้ลงน้ำไปอีกรอบ แล้วว่ายหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เฟริน ฉันว่ายเองได้” เจ้าชายน้อยที่สำลักน้ำค่อกแค่กเพราะถูกหล่อนกระชากลงน้ำแบบไม่ทันตั้งตัวเอ่ยสั่ง
“ขาสั้นเงียบไปเลย” พูดแล้วก็ไม่สนใจคำตอบ คว้าร่างเล็กป้อมดำผ่านประตูน้ำแคบๆตรงหน้าไป
ทันทีที่ผ่านช่องหินออกมา หล่อนก็รู้สึกตัวว่าตกลงสู่ชั้นที่ต่ำกว่าดังตูม คูน้ำเบื้องล่างกว้างกว่า และน้ำไหลเชี่ยวกว่าด้านบนหลายเท่า
หลังจากพยายามว่ายเข้าฝั่งอยู่พักใหญ่ หญิงสาวก็พบว่ากระแสน้ำแรงเกินจะต้าน หล่อนได้แต่กอดคาโลไว้แน่น แล้วพยายามประคองใบหน้าของทั้งสองไว้เหนือน้ำ
หล่อนตกลงมาชั้นแล้วชั้นเล่า ไหลวนเวียนไปเรื่อยๆ ยิ่งลึก คุกใต้ดินก็ยิ่งมืดสนิท แรงพยุงกายเริ่มหมด กระแสน้ำเย็นเฉียบจนชาไปทั้งร่าง แขนทั้งสองข้างเริ่มหมดความรู้สึก
ธิดาแห่งความมืดคนดังต้องมาตายอืดแบบนี้เหรอนี่
“เฟริน”
เธอได้ยินเสียงเรียกชื่อแว่วๆ ในที่สุดเธอก็หมดแรง ปล่อยกายให้จมไปกับกระแสน้ำ
“แค่กๆ”
หล่อนสะดุ้งกายขึ้นมาแล้วสำลักน้ำเป็นการใหญ่ เมื่อเห็นหญิงสาวฟื้นขึ้นมา ร่างเล็กก็คว้าตัวหล่อนเข้ามากอดแน่น
หญิงสาวมองไปรอบๆ ที่นี่ไม่มืดเท่าที่อื่น อาจจะเพราะพวกมอสเรืองแสงที่ขึ้นอยู่โดยรอบ หล่อนกำลังนอนอยู่บนพื้นหินที่เย็นเฉียบ ข้างๆบ่อนี้ใหญ่ที่มองไม่เห็นอีกฟาก อีกด้านหนึ่งเป็นทางเดินที่ดูคล้ายช่องหิน
“คาโล เราอยู่ที่ไหน”
เมื่อหล่อนเอ่ยถาม เจ้าชายเด็กน้อยก็ผละออก แล้วกวาดสายตาตามหล่อน
“ชั้นล่างสุดของคุกใต้ดิน”
“เหรอ อืม...”
“นายกระโดดลงน้ำทำไม” เมื่อหายเป็นห่วง คนช่างดุก็เริ่มซัก
“หา เอ่อ...เออใช่” เฟรินสะดุ้งลุดพรวด “ตรงบันไดที่เราสะดุด ฉันเห็นนักรบเกราะดำ”
“นายตาฝาด” คาโลตอบโดยไม่เสียเวลาคิด “นายสะดุดขาตัวเองลงมาทับฉันต่างหาก”
“ตาฝาดที่ไหนเล่า ก็เสื้อฉัน...”
หล่อนชี้มือเข้าหาตัวแล้วมองตาม คำพูดที่คิดจะเอ่ยต่อก็หยุดไปเสียดื้อๆ
เฮ้ย
เสื้อเชิ้ตสีขาวเนื้อดีเปียกน้ำจนใสแจ๋ว แนบร่างไปทุกส่วนสัดจนคนมองไม่ต้องเสียเวลาจินตนาการ
หญิงสาวอ้าปากจะร้องโวยวาย แต่เสื้ออีกตัวก็ถูกยื่นมาให้ตรงหน้าเสียก่อน
เจ้าของเสื้อที่กำลังมองเมินไปทางอื่นหน้าแดงไปถึงใบหู ทำให้หล่อนเริ่มรู้สึกขำมากกว่าอาย เฟรินรับเสื้อมาคลุมร่างไว้แล้วหัวเราะคิก
“หันมาได้แล้ว”
เด็กชายเบือนหน้ามาช้าๆซึ่งหญิงสาวตีความว่ากล้าๆกลัวๆ
“ขอบใจนะ”
เจ้าชายแห่งคาโนวาลพยักหน้านิดๆอย่างไม่ใส่ใจ แล้วขยับร่างเข้ามาใกล้
“เฟริน ถอนอาคมซะ”
“ได้” หญิงสาวตอบอย่างว่าง่าย
หล่อนส่งมือทั้งสองข้างให้เขา แล้วหลับตาลง รู้สึกได้ถึงมือเย็นๆและหน้าผากเย็นๆ
ทั้งเขาและเธอกำลังหนาวจนสั่น
หญิงสาวเบียดร่างเข้าไปใกล้ขึ้น มือที่จับไว้หลวมๆค่อยๆสอดประสานแนบแน่น ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดที่แก้ม หน้าผากที่สัมผัสกันขยับเล็กน้อย เพื่อให้ริมฝีปากที่สั่นระริกของทั้งคู่ได้หยอกเย้าเคล้าเคลีย
อยากจูบจัง หมอนี่ก็คงเหมือนกัน
กระแสอุ่นๆเริ่มถ่ายเท แสงสีทองสว่างวาบ แล้วร่างเล็กก็ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น...
กลายเป็นหมีกริซลีย์ขนสีเงินที่สูงกว่าสองเมตร
เฟรินปากอ้าตาค้าง ขยับกายออกห่างอย่างไม่คิดชีวิต ขณะที่หมีคาโลเริ่มสำรวจตัวเอง แล้วนิ่ง
“อะ...”
พูดไม่ทันเป็นคำ เสียงดังตูมจากบ่อน้ำก็ทำให้ทั้งคนทั้งหมีหันไปมอง
ปีศาจเกราะดำโผล่พรวดขึ้นมาจากน้ำแล้วว่ายน้ำคร้องแคร้งตรงมาทางที่ทั้งสองนั่งอยู่
“หนีเร็ว”
เฟรินลุกหนีอย่างไม่คิดชีวิต หมีสีเงินก็วิ่งตามหล่อน ทั้งคู่วิ่งเข้าไปในช่องทางเบื้องหน้าที่มีอยู่มากมายนัก
คาโลรู้อยู่แก่ใจว่าทั้งเขาและเธอกำลังเข้าไปในเขาวงกต แต่เขาก็ได้เห็นกับตาแล้วว่าปีศาจเกราะดำนั้นมีจริงอย่างที่เฟรินว่า
วิ่งไปก็คิดไป เรื่องเอาชีวิตรอดนั้นสำคัญที่สุดก็จริง...
มองดูอุ้งมือของตัวเองแล้วก็ปวดหัวหนึบ
ร่างกายของเขาเล่า นี่มันอะไรกัน หรือว่านี่คือการถอนอาคมแบบติดๆขัดๆที่เจ้าคนแคระเขากวางนั่นหมายถึง เฟรินเองก็ดูเหมือนจะวิ่งหนีทั้งเขาทั้งไอ้ปีศาจนั่น
“หยุดวิ่งได้แล้ว”
เขาบอกหล่อน แต่ร่างตรงหน้ากลับไม่ยอมหยุดวิ่ง ทำให้เขาต้องคว้าเอวบางไว้ด้วยแขนที่มีขนปุกปุย
เฟรินหันกลับมามองเขาอย่างหวาดๆ แล้วก็หัวเราะคิกออกมา
“หึๆ หมีใส่เสื้อ หึๆ”
ร่างเล็กถูกทิ้งโครมลงบนพื้นหินจนต้องร้องโอย เมื่อเจ้าหล่อนตั้งหลักได้ หมียักษ์ก็ย่อกายลงเอาหน้าผากชนกับหล่อนทันที
“ลองใหม่”
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยขนทำให้หล่อนจักจี้ แต่ก็ยอมส่งมือให้คุณหมีแต่โดยดี แม้จะเกรงๆเขี้ยวขาววาววับที่อยู่ใกล้ไปหน่อยก็เถอะ แสงสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง แล้วร่างตรงหน้าก็ค่อยๆเล็กลง
เฟรินลืมตาทีละข้าง แล้วก็ต้องเอามือแปะหน้าผาก
กรรมเวร
ร่างตรงหน้ายังไม่ใกล้เคียงกับคำว่าคน เมื่อร่างนั้นเล็กเสียจนเธอต้องก้มลงมอง เสื้อผ้ากองอยู่บนพื้น ขนสีเงินละเอียดเป็นมัน และหางยาวที่สะบัดไปมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ให้อุ้มไหม”
แมวจอมหยิ่งสะบัดหน้าพรืด
นี่เขาจะต้องเป็นของเล่นให้เธออีกกี่ร่างถึงจะพอ
“อีกรอบ”
เสียงลากครืดคราดดังมาให้ได้ยินอีกครั้ง เขาและเธอจึงต้องรีบวิ่งต่อ คราวนี้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาจนมั่นใจว่าไกลพอ ทั้งคนทั้งแมวจึงนั่งลงหอบแฮ่กบนพื้น
“ถอนอาคมเร็ว”
หญิงสาวอุ้มแมวสีเงินไว้บนตัก แอบลูบขนเกาคางหากำไรไปหลายที จนแมวหนุ่มขนตั้งชันอย่างโมโห คิดจะข่วนหน้าแฟนสาวด้วยสัญชาตญาณ เฟรินจึงยอมจับอุ้งเท้านุ่มนิ่มของเขาไว้ แล้วแนบหน้าผากเข้ากับหน้าเล็กๆของเจ้าชายแมว
แสงสีทองสว่างวาบ ร่างเล็กๆสั่นไปทั้งร่าง พร้อมๆกับเสียงลากครืดคราดที่ดังให้ได้ยินอีก
“อะไรกันนักหนาวะ”
เฟรินสบถพร้อมๆกับรู้สึกว่าร่างในอ้อมแขนค่อยๆหนักขึ้นเรื่อยๆจนหยุด
“บ้าชิบ” เป็นคำเดียวที่หล่อนพูดเมื่อเห็นร่างของเจ้าชายตรงหน้าได้ชัด
“ร่างสัตว์ไม่เสถียร ฉันรู้สึกได้”
“แล้ว..."
“ถ้าเดาไม่ผิด ร่างที่ถูกต้องจะต้องเป็นร่างเด็ก”
“ทำไม”
“ส่วนผสมอื่นๆไม่ค่อยสำคัญเท่าน้ำตา...อะไรนั่นที่เป็นกระสายยา ฉันต้องกลับเป็นเด็กให้ได้ก่อน ถึงจะกลับเป็นผู้ใหญ่ได้”
“ไม่ใช่ว่าเป็นเด็กไปตลอดกาลเหมือนตอนฉันกลายเป็นหมานะ”
“ก็อาจเป็นได้”
“บ้าน่า”
“ลุกเร็ว มันมาอีกแล้ว”
เฟรินอุ้มร่างนุ่มที่เคลื่อนไหวเร็วไม่ได้ลุกวิ่งอีกรอบ
“เราคงจะวิ่งวนไม่ไกลจากที่เดิมแน่ มันถึงตามมาทัน”
“ก็นี่มันเขาวงกต”
“สู้มันได้ไหมเนี่ย”
“ปีศาจเกราะดำเป็นจิตอาฆาต ฆ่าไม่ตาย ต้องใช้อาคมสลายมัน”
“ก็ใช้สิ คุณโคอาล่าปีศาจแห่งคาโนวาล”
คาโลมองตัวเอง แล้วก็มองหน้าหล่อน
“มือแบบนี้ ฉันใช้คทาไม่ได้ ต้องลองเปลี่ยนร่างดูอีกครั้ง”
“งั้นลองเลย ฉันวิ่งไม่ไหวแล้ว”
กำแพงหินเก่าแก่สกปรกราวกับสร้างมาเป็นร้อยปีรายล้อมอยู่ทุกด้าน กลิ่นเหม็นอับชื้นโชยมากระแทกจมูก เสียงอะไรบางอย่างที่หนักและเชื่องช้าลากครืดคราดไปตามพื้นดังตามหลังใกล้เข้ามาทุกขณะจิต
ไม่มีแรงจะก้าวต่อแม้เพียงก้าวเดียว
หัวขโมยสาวหลับตาลงอย่างช้าๆ ร่างบางทรุดลงนั่งพิงกำแพงเย็นเยียบ พลางยิ้มเย้ยหยันชะตาชีวิตต้องสาปของตน
เธอช่างเป็นคนบาปหนานัก เรื่องซวยๆพรรค์นี้ถึงเข้ามาในชีวิตอยู่เรื่อย
สงสารก็แต่เจ้าหมอนี่ เธอต้องพามันมาลำบากด้วยทุกทีๆ แม้มันจะชอบว่าโน่นบ่นนี่ แต่มันก็ไม่เคยปล่อยให้เธอเผชิญอันตรายเพียงลำพัง
“ขอโทษนะ ฉันพานายมาซวยอีกแล้ว”
มือของเธอถูกบีบเบาๆโดยมือนุ่มๆของคนข้างกาย
เพื่อบอกให้รู้ว่ายังมีชีวิต...ยังมีเขาอยู่เคียงข้าง
“นิสัยแบบนี้ของนาย ไม่ได้อยู่เหนือการคาดการณ์ของฉัน” เสียงนั้นแผ่วพร่า บ่งบอกว่าเจ้าตัวก็เหนื่อยหนักไม่แพ้เธอ
แม้คำพูดจะฟังน่าหงุดหงิด แต่กลับทำให้อุ่นใจอย่างประหลาด
“ไอ้บ้า เวลาแบบนี้ยังมาทำพูดจาวางมาดอยู่ได้” เจ้าหญิงหัวขโมยพูดกลั้วหัวเราะ
ว่าแล้วก็ให้นึกเสียใจไม่หาย
ไม่ควรเลย ไม่ควรเลย ถ้าตอนนั้นไม่ใจร้อน เรื่องในวันนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น
เฟรินตัวสั่นเทาด้วยความหนาว ดวงตาสีน้ำตาลคู่โตเหลือบไปมองเจ้าชายคนรักในร่างโคอาล่าตัวนุ่มฟูแล้วก็เกิดอารมณ์ไร้ยางอายขึ้นมาตงิดๆ
“ขอกอดหน่อยได้ไหม”
ร่างนั้นเบือนหน้ามามองเธอช้าๆตามวิสัยสัตว์ที่กินใบยูคาลิปตัสเป็นอาหาร(ใบยูคาลิปตัสมีสารอาหารน้อยมาก โคอาล่าจึงมีความเฉื่อยสูงเพื่อประหยัดพลังงาน) ดวงตาสีฟ้ากลมโตหรี่ลงนิดๆ มือที่อ่อนนุ่มแต่มีเล็บยาวเฟื้อย(สำหรับเกาะต้นไม้) ค่อยๆเอื้อมมาสัมผัสแก้มอันเย็นเยียบของเธอ แล้วเคลื่อนตัวอย่างช้าๆขึ้นมาบนตักนุ่ม
เฟรินโอบอุ้มร่างนั้นขึ้นมากอดแนบแน่น พลางแนบดวงหน้าลงกับใบหูใหญ่นุ่มที่ปกคลุมด้วยขนสีเงินละเอียดฟู
“อุ่นจังเลยคาโล” เจ้าหล่อนครางเบาๆ
หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่าง ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่นและนุ่มนวลที่สุด (แน่ล่ะ ก็โคอาล่านี่)
เฟรินมีความสุขอยู่ไม่ได้นาน เมื่อร่างในอ้อมแขนจัดการสัมผัสที่จุดชีพจรทั้งสาม
คราวนี้จะเป็นตัวอะไรอีกล่ะ
เธอรีบวางร่างนั้นลงที่พื้นด้วยกลัวจะกลายเป็นสัตว์ใหญ่ที่เกินจะรับไหว แสงสีทองส่องประกายจ้าอีกครั้ง และเมื่อหล่อนลืมตาขึ้นมาก็ต้องพบกับร่างที่ทำให้ตื่นตะลึง
ดวงตาสีฟ้ากลมโตปูดโปน ร่างทั้งร่างปกคลุมด้วยเกล็ดสีเงินวาวระยับ
เหมือนสิ่งที่ว่ายอยู่ในอควาเรียมใหญ่ในเดมอส
ให้ตายสิ ปลาทอง
ยิ่งแปลงร่างเท่าไหร่ก็ยิ่งเล็กลงทุกทีๆ
เมื่อดวงตาสีน้ำตาลพิจารณาร่างที่เห็นชัดๆ เจ้าหล่อนก็เริ่มจะเอะใจ
คาโลดิ้นกระแด่วๆด้วยอาการหายใจไม่ออก เฟรินเบิกตากว้างรีบประคองเจ้าชายปลาทองไว้ในอุ้งมือแล้วออกวิ่งอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
น้ำ น้ำอยู่ไหน
ปลาทองคาโลที่หายใจด้วยเหงือกเริ่มหอบหายใจพะงาบๆ เฟรินก็เริ่มใจเสียขึ้นเรื่อยๆ
“อดทนหน่อยนะ ฉันจะหาน้ำให้แกเดี๋ยวนี้”
ตอนตกลงมา ใช่แล้ว บ่อน้ำนั่น
เฟรินรีบวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม โดยไม่สนใจว่าจะต้องเจอกับไอ้ปีศาจเฮงซวยตัวนั้นอีกครั้ง
พรสวรรค์ในการจดจำเส้นทางถูกเค้นมาใช้อย่างสุดแรงเกิด สมองรวบรวมความคิดอย่างรวดเร็วแล้วรีบวิ่งไปตามเส้นทางที่คิดว่าใกล้จุดที่ตกลงมามากที่สุด
ตอนนี้อดีตหัวขโมยลืมความเหน็ดเหนื่อย ความหนาว และความเจ็บปวดไปสิ้น ในสมองมีแต่ความปลอดภัยของบุรุษในอุ้งมือ
สวรรค์เข้าข้างเธอ ประกายระยิบระยับของแอ่งน้ำอยู่ตรงหน้าทำให้เธอขยับยิ้มด้วยความยินดี ก่อนจะก้มมองร่างเล็กในมือแล้วก็ใจหายวาบ
ปลาทองคาโลนิ่งสนิทไปแล้ว
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น