คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ ุ6: จริงๆตอนนั้นก็ดีนะ [PHU's PART]
ตอนที่ 6: จริงๆตอนนั้นก็ดีนะ
มึงพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไงกันธีร์
หรือมึงลืมเรื่องระหว่างเราไปหมดแล้ว?...........
ปัง.............
ผมกระแทกปิดประตูห้องของไอ้ธีร์ดังลั่นอย่างขัดใจ อารมณ์โกรธและน้อยใจพุ่งขึ้นเป็นริ้วๆจนทำให้ไม่อยากจะอยู่ในห้องนั้นต่อแม้แต่วินาทีเดียว
...ให้กูออกไปจากชีวิตมึง...มึงพูดอย่างงี้ออกมาได้ไงวะ...
“โธ่เว้ย...” ผมสบถเบาๆก่อนเดินอย่างหัวเสียลงมาด้านล่างของหอพัก บอกตามตรงว่ายังมึนๆอยู่มากแต่เหตุการณ์เมื่อครู่ก็เล่นเอาซะหายแฮงค์เป็นปลิดทิ้งเลย
..........ทั้งที่ตลอดมามีแต่มึงเท่านั้นที่ไม่เคยทิ้งกูไปไหนแท้ๆ........
ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดมาก่อนว่าสักวันจะต้องได้ยินคำนี้จากธีร์
เพียงแต่มัวแต่หลงตัวเองว่ามันไม่มีทางจะเกิดขึ้น ถึงจะทำเป็นห่างออกมาแต่ความจริงแล้วผมเองก็เช็คอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ ทั้งเสียงสั่นๆหรือรอยยิ้มที่มันพยามฝืนทำให้ผมสบายใจ ทำให้ผมมั่นใจว่ามันคงยังตัดใจไม่ได้ง่ายๆแน่
จนกระทั่งมันพูดออกมาจากปากเองว่าทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมแล้วนั่นแหละ ความมั่นใจที่เคยมีถึงได้เริ่มสั่นคลอน
คงเพราะเป็นช่วงใกล้สอบทำให้นักเรียนส่วนใหญ่อ่านหนังสือจนดึกดื่นทำให้บริเวณชั้นล่างในตอนเช้าแทบจะไม่มีนักเรียนอยู่เลยซึ่งนั่นมันก็ดีจะได้ไม่ต้องมาตอบคำถามว่าทำไมวันนี้ถึงมาค้างที่หอพักโรงเรียนเสียได้
การที่ใช้คำว่าแทบจะไม่มีก็หมายความตรงตามตัวอักษรแบบนั้นเลย เพราะสุดท้ายแล้วก็ยังคงมีคนที่ตื่นเสียแต่เช้าแถมยังลงมานั่งดักรอผมอยู่อย่างจงใจ ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่จ้องมองมาที่ผมตั้งแต่ผมเริ่มลงมาจากบันไดทำให้รู้สึกอึดอัด สายตาที่เย็นชามองผมนิ่งๆก่อนจะเอ่ยทัก
“มีเวลาสักสิบนาทีมั๊ยพี่ภู ผมอยากขอคุยด้วยหน่อย”
มันพาผมเดินออกมาที่ด้านข้างหอพักซึ่งเป็นบริเวณเดียวกับที่จะมีร้านอาหารโต้รุ่งเปิดขาย ก่อนจะหยุดเดินแล้วถอนหายใจเบาๆ “ตรงนี้แหละพี่ ผมขอถามพี่ตรงๆเลยนะ พี่จะเอาไงแน่เรื่องพี่ธีร์กับพี่เต้ย”
ผมชักสีหน้ากลับทันทีที่ได้ยินคำถามที่ละลาบละล้วงของมัน “ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับมึงนี่” ดวงตาที่ไม่เป็นมิตรฉายวาบขึ้นมาทันทีที่ผมพูดจบจนชะงัก
...ไอ้เด็กนี่อันตรายกว่าที่คิด..
“หึ....ก็จริงพี่ ไม่เกี่ยวอะไรกับผมหรอก.........แต่ว่า...ถ้าวันนี้คำตอบของพี่ไม่ใช่พี่ธีร์ ผมจะไม่ปล่อยให้พี่ได้เข้าใกล้พี่ธีร์อีกแล้ว” น้ำเสียงของมันดูมั่นอกมั่นใจเสียเหลือเกินทั้งที่ปากก็ยอมรับออกมาเองแท้ๆว่าไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเอง
“คนนอกอย่างมึงจะมาเข้าใจอะไร ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่ามาพูดดีกว่า........... มีเรื่องอยากจะพูดแค่นี้ใช่ป่ะ?” ทั้งที่เป็นการคุยด้วยกันครั้งแรกแต่บทสนทนาที่ไอ้เด็กตรงหน้าเลือกมากลับตรงไปตรงมาและจี้ใจดำอย่าบอกไม่ถูกจนไม่อยากที่จะพูดคุยอะไรด้วยต่อ ไหนใครต่อใครบอกกันว่ามันเป็นเด็กดี ยิ้มแย้มแจ่มใสซื่อๆ แล้วไอ้คนที่ดูจะตรงกันข้ามกับที่พูดมาทั้งหมดนี่เป็นใครกัน?
“เอาเป็นว่าผมรู้มากกว่าที่พี่คิดก็แล้วกัน.........ถ้าพี่แค่หวั่นไหว...ก็ปล่อยมือซะ.......พี่จะให้ความหวังแล้วก็ทำลายมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ไปเพื่ออะไร”
...หงุดหงิด.. หงุดหงิดเอามากๆ...
“ผมไม่อยากเห็นน้ำตาของพี่ธีร์อีกแล้ว”
แววตาที่เหมือนจะขอร้องนั่นมันอะไรกัน ดูก็รู้ว่ามันไม่ชอบผมเอามากๆแต่กลับมามาขอร้องแบบนี้ ทั้งที่จริงๆสิ่งนี้ควรจะเป็นอย่างสุดท้ายที่คนเราจะทำกับคนที่ไม่ชอบหรือไม่ถูกชะตากันเสียด้วยซ้ำ
ส่วนสาเหตุ...ก็คงจะไม่พ้นคนที่เป็นหัวข้อสนทนาอย่างไอ้ธีร์
“ที่พูดมาตั้งนานนี่จริงๆแล้วก็แค่อยากให้กูไปให้พ้นทาง ใจตรงกันดีนี่ คนนึงมาขอให้ออกไปจากชีวิต อีกคนมาขอให้เลิกยุ่ง” ผมตอกกลับพร้อมเหยียดยิ้มให้กับสีหน้าไม่เข้าใจของมัน “อยากได้มันมากล่ะสิ แต่เสียใจด้วย กูไม่ยอมปล่อยธีร์ไปง่ายๆหรอก”
มันเงียบแล้วจ้องผมที่กำลังยิ้มเยาะอยู่ซักพักนึงก่อนจะพูดประโยคที่ผมแทบอยากจะกระชากคอเสื้อมันมาต่อยซักหมัดถ้าไม่ติดที่ว่ามีคนเดินเข้ามาทักเสียก่อน
“ผมไม่เข้าใจเลย ว่าพี่ธีร์รักคนอย่างพี่เข้าไปได้ยังไง”
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
“ตีหน้าบึ้งทำเหี้ยไรแต่เช้าวะไอ้ภู” เสียงเอ่ยทักจากไอ้อาร์ตที่บังเอิญเจอกันที่ข้างหอก่อนจะมาลงเอยที่ร้านอาหารตามสั่งแถวนั้นทำให้ผมต้องรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแม้ว่าจริงๆแล้วจะยังคงหงุดหงิดอยู่ก็ตาม
“เปล่า...” ผมตอบกลับอย่างเซ็งๆพลางเขี่ยน้ำแข็งในแก้วเล่น
“เปล่า?...” มันทำสีหน้าสงสัยทันที “น่าเชื่อตายล่ะมึง....แล้วนั่นปากมึงไปโดนอะไรมาวะ.........หรือเพราะไอ้ธีร์.........นี่มึงต่อยกับไอ้เด็กนั่นแย่งธีร์เลยเหรอวะ” ผมได้แต่เบ้หน้าให้
....เดาผิดไปหน่อยว่ะ...เพราะคนที่ต่อยกูคือไอ้ธีร์ต่างหาก...
“คิดเองเออเองไปใหญ่แล้วนะมึง ......เมื่อคืนกุเมาเลยล้มกระแทกบันไดต่างหาก”
“อ๋อออ เหรอ” มันยังคงลากเสียงทำสีหน้าไม่เชื่อแต่ก็ไม่ได้ไถ่ถามอะไรเพิ่มเติมตั้งหน้าตั้งตากินข้าวเช้าของมันต่อไปอย่างที่บ่นว่าหิวแล้วก็ลากผมที่ยังไม่มีกะใจจะกินข้าวเช้าเลยสักนิดให้ตามมันเข้ามาในร้านนี่
อันที่จริงแล้วไอ้เรื่องที่ว่าจะไม่เชื่อนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจมากนัก มันผิดปกติตั้งแต่การที่ผมมาอยู่แถวนี้ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าในวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้แล้ว เพราะเป็นที่รู้กันดีว่ากลุ่มว่าผมเป็นคนตื่นสายมาแค่ไหนในวันหยุดจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะตื่นมาเพื่อเตร่อยู่แถวหอพักแถวโรงเรียนซึ่งก็ไกลจากบ้านพอสมควร
แล้วยังไม่รวมรอยช้ำมุมปากที่ยังสดใหม่แบบนี้อีกด้วย
“แล้วนี่มึงจะเอาไงต่อ จะไปติวหนังสือกับพวกกูไหมล่ะ เดี๋ยวนี่ไอ้บอลก็จะมากะว่าจะไปห้องสมุดกัน” มันรวบช้อนเสร็จเรียบร้อยก่อนเงยหน้าถาม “เห็นมึงว่ามึงก็เรียนไม่ค่อยเข้าหัวเหมือนกัน ที่นั่นมีพวกเนิร์ดๆมาทวนหนังสืออยู่เยอะเลยเผื่อติดอะไรจะได้ถามได้ไง........”
ถ้าเป็นปกติผมก็คงตอบรับคำชวนนั้นไปอย่างยินดี หรือไม่ก็บอกปฏิเสธไปอย่างกวนๆว่า ‘โทษทีว่ะพอดีกูมีติวเตอร์ส่วนตัวแล้ว’
“กูมีธุระว่ะ มึงไปเหอะ” หลังจากที่ลังเลอยู่พักหนึ่งผมก็ตอบปฏิเสธคำชวนซึ่งก็คงไม่ได้เกินความคาดหมายของมันไปมากสักเท่าไหร่เพราะมันก็แค่พยักรับรู้ ตบบ่าผมเบาๆแล้วเดินไปจ่ายตังค์
“เจอกันวันจันทร์...”
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ที่จริงผมน่าจะคิดได้ตั้งแต่แรก ในเมื่อความใกล้ชิดยังทำให้ผมเปลี่ยนใจไปชอบเต้ยได้เลย แล้วกับตัวผมที่ทำร้ายจิตใจมันครั้งแล้วครั้งเล่าจะเป็นไปได้ยังไงที่มันจะยังรออยู่แต่ที่เดิมไม่ไปไหน
โลกของเราเปลี่ยนไปในทุกวัน ประสาอะไรกับใจคน?
วันจันทร์มาถึงพร้อมกับการแสดงออกที่ยืนยันอย่างชัดเจนว่าไอ้ธีร์มันเอาจริง
“ทำไมมึงมานั่งนี่วะ” ผมเอ่ยทักอย่างแปลกใจเมื่อหนึ่งในแก๊งไฝว้ของไผ่มานั่งเล่นเกมสบายใจเฉิบอยู่บริเวณที่นั่งข้างหน้าของผม
...ที่นั่งของธีร์...
...ไม่สิ...เคยเป็นของธีร์ต่างหาก........
“ก็ไอ้ธีร์แม่งขอแลกที่กะกู” แจ๊คบอกอย่างไม่ใส่ใจโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสนใจผมด้วยซ้ำ ต่างกับเจ้าของที่เดิมซึ่งผมหันขวับไปสบตาเข้าพอดีแต่ดันหลบตาผมไปสนใจหนังสือชีวะในมือแทน
...ทำไมมึงต้องทำถึงขนาดนี้ด้วยวะ...
ด้วยความโมโหผมเลยเดินเข้าไปถามมันตรงๆ จะมีใครมองอยู่บ้างหรือจะมีใครเอาไปลือยังไงผมก็ไม่สนแล้ว!!
“ไอ้ธีร์ มึงย้ายที่ทำไมวะ”
เงียบ....มันไม่พูดตอบอะไรมาสักคำ
“ไอ้ธีร์ กูถามมึงอยู่นะ!!” ผมขึ้นเสียงใส่อย่างหมดความอดทนก่อนจะเขย่าบ่ามันแรงๆให้หันมาสนใจก่อนที่จะถูกปัดมือออกอย่างแรง
...จากไอ้ไผ่...
“มึงไม่ทำเกินไปหน่อยเหรอวะไอ้ภู ธีร์มันก็แค่อยากย้ายที่นั่ง มึงจะเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรนักหนา?” ใบหน้าขาวตี๋อย่างลูกคนจีนกำลังตีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างแรงเหมือนคนพร้อมจะมีเรื่อง
“ทำไม!! กูเขย่านิดหน่อย มึงต้องเดือดร้อนขนาดนั้นด้วยล่ะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมึงซักหน่อย” ผมมองหน้ามันกลับอย่างหงุดหงิด ก่อนรับฟังเหตุผลของมันที่ยิ่งทำให้อารมณ์ที่เสียอยู่แล้วหนักข้อขึ้นไปใหญ่
“เกี่ยวสิ มึงทำโต๊ะกูสั่น กูกำลังลอกการบ้านมันอยู่เว้ย” มันตอบกลับพร้อมยักคิ้วกวนๆตามสไตล์
...ต่อจากไอ้เด็กนนก็เป็นไอ้ไผ่เหรอวะ...นี่มึงไปสนิทสนมกับพวกมันตอนไหนถึงมีแต่คนออกโรงอยากปกป้องมึงซะตัวสั่นกันขนาดนี้...
“ไผ่ มึงลอกเสร็จยังวะ ลงไปกินข้าวกันเหอะ” เสียงเรียบๆของธีร์ดังขึ้นขัดบรรยากาศที่เกือบจะถึงจุดเดือดเพราะสงครามสายตาระหว่างผมกับไผ่ได้ทันในชั่ววินาทีก่อนจะหันกลับมามองผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างปกติ “สายแล้วเดี๋ยวมึงต้องไปที่วงโยไม่ใช่หรือไง ......เมื่อวันเสาร์กูว่ากูพูดเคลียร์แล้วนะภู......”
“เออ เสร็จละ” เสียงตอบรับจากไผ่ทำให้ธีร์พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะละความสนใจจากผมแล้วลุกเดินตามไผ่ไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามามอง
“แล้วมึงไม่ไปซ้อมรึไงวะ” แค่แว่บเดียวเท่านั้นที่มันหยุดชะงักก่อนจะหันมาตอบผมด้วยสีหน้านิ่งๆ
“กูลาออกจากวงโยแล้ว”
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เป็นสัปดาห์ที่น่าอึดอัดที่สุดในชีวิต แย่ยิ่งกว่าตอนที่เพิ่งเลิกกับไอ้ธีร์มันใหม่ๆเสียอีก เพราะอย่างน้อยๆตอนนั้นต่อให้มันจะขอห่างสักพักแต่ผมก็ยังเห็นเงาของตัวเองอยู่ในสายตาของมันเสมอ
ไปกลับโรงเรียนกับไอ้นน ตอนอยู่โรงเรียนก็เอาแต่ขลุกอยู่กับแก๊งค์ไอ้ไผ่ แถมดูเหมือนเด็กเกเรอย่างมันก็นึกรักเรียนขึ้นมากระทันหันไม่มีขาดเรียนซักคาบทำให้ผมแทบจะหาโอกาสเข้าไปคุยกับมันไม่ได้เลย
แล้วก็แน่นอนว่ามาจบที่สุดท้ายผมก็เลยต้องมาขอให้เต้ยติวหนังสือให้
“นี่ภูล้อเต้ยเล่นรึเปล่าเนี่ย” เต้ยทำหน้าเหวออย่างชัดเจนเมื่อผมทำแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ที่เธอเอาให้ทำเพื่อทดสอบว่ายังมีเรื่องไหนที่ไม่เข้าใจบ้างเสร็จแล้วส่งให้เธอดู “นี่ภูไม่เข้าใจอะไรเลยตั้งกะเบสิคเลยเหรอเนี่ย”
“ก็เราบอกเต้ยแล้วไง แต่เต้ยไม่เชื่อเราเอง” ผมส่งยิ้มให้กับเธอที่กำลังมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด “เต้ยไม่ต้องคิดมากนะ ภูเอาแค่ผ่านครึ่งไม่ต้องซ่อมก็พอแล้วแหละ”
“โอเค เราจะพยามนะ” เธอพยามยิ้มตอบอย่างใจเย็นแล้วค่อยๆสอนผมไปทีละขั้นตอนก่อนจะปล่อยให้ผมทำแบบฝึกหัดเอาเอง
........เออ ใช่ มึงต้องดึงตัวประกอบร่วมออกมาแบบนั้นก่อนนั่นแหละถูกแล้ว...
...ทีนี้ก็ย้ายข้าง........ใช่...ถูกแล้ว...เข้าใจแล้วดิ...
เสียงของไอ้ธีร์ในความทรงจำกลับมาซ้อนทับกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจนอดเปรียบเทียบไม่ได้
“อ้าว เต้ยไม่คอยดูเราทำเหรอ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจเพราะโดยปกติแล้วธีร์เวลาติวให้ผมก็มักจะทำให้แบบนี้ แต่เต้ยกลับมองผมอย่างแปลกๆแล้วหัวเราะ
“นี่ภูเล่นมุขอีกเหรอ เราก็ต้องอ่านต้องทำแบบฝึกหัดในส่วนของเราด้วยดิ จะให้มานั่งดูภูทำแล้วเราจะทำไงล่ะ”
....แต่ไอ้ธีร์มันทำได้นะเต้ย...
“เอ้อ...ใช่.....เราก็ถามไปงั้นๆแหละ” ผมยิ้มกลบเกลื่อนเพื่อไม่ให้เต้ยรู้สึกไม่สบายใจแต่ก็อดที่จะรู้สึกเปรียบเทียบไม่ได้
ที่จริงเต้ยไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการสอบแบบนี้การสละเวลามาติวให้คนอื่นถึงแม้คนคนนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นแฟนก็เถอะก็เสียสละใช่เล่นอยู่แล้ว เต้ยเองถึงจะเรียนค่อนข้างดีแต่ก็ไม่ได้เก่งเสียจนที่จะไม่จำเป็นต้องอ่านในส่วนของตัวเอง
“....เอ้า นี่เลคเชอร์กู แล้วก็สรุปนะ.....
...ไม่เป็นไร กูอ่านมาสำหรับติวมึงหมดแล้ว.....
...เฮ้ย....มองสมุดที่กูสอนสิวะภู......”
ทำไมผมถึงไม่เคยเอะใจเลยสักนิดว่าตลอดมามันทำเพื่อผมมากแค่ไหน
TALKS: เรียกได้ว่าแทบจะอัพติดๆกันเลยทีเดียวเนาะ เดี๋ยวอาจจะยุ่งๆจนไม่ได้อัพซัก 1-2 สัปดาห์นะคะ ระหว่างที่หยุดไปถ้ามีฟีลลิ่งเขียนวันช็อตสั้นๆก็จะมาอัพเดทแปะลิ้งค์ให้เพิ่มที่ใต้ทอล์คแล้วกันเนาะ
กำลังคิดว่าจะเขียนตั้วมาร์ชเป็นเรื่องยาวต่อจากเรื่องนี้จบทดลองอ่านได้ที่นี่นะคะ >> http://twishort.com/UDvgc
สำหรับคนที่ยังไม่รู้คือเราเปิดให้คอมเม้นท์ฟิคได้แล้วนะคะ ปิดไว้ตั้งนานเพราะไม่รู้ตัวว่าปิดอยู่ล่ะ แย่จริง //กุมแก้มเขินๆ ถ้ามีข้อติชมเสนอแนะอะไรก็พิมบอกได้เลยนะคะไม่ต้องเกรงใจ หรือใครอยากเควสเรื่องสั้นก็ทิ้งพลอตไว้ได้
เหมือนเดิมสำหรับคนที่อยากคุยแบบรีแอ็คชั่นทันใจก็เจอกันในทวิตเตอร์เนอะ (@yuhankung_2)
ความคิดเห็น