ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Hormones] NonThee/PhuThee : Can you feel the love?

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ ุ6: จริงๆตอนนั้นก็ดีนะ [PHU's PART]

    • อัปเดตล่าสุด 11 ก.ย. 57


    ตอนที่ 6: จริงๆตอนนั้นก็ดีนะ

     

     

     

    มึงพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไงกันธีร์

    หรือมึงลืมเรื่องระหว่างเราไปหมดแล้ว?...........

     

     

     

     

     

     

    ปัง.............

     

    ผมกระแทกปิดประตูห้องของไอ้ธีร์ดังลั่นอย่างขัดใจ อารมณ์โกรธและน้อยใจพุ่งขึ้นเป็นริ้วๆจนทำให้ไม่อยากจะอยู่ในห้องนั้นต่อแม้แต่วินาทีเดียว

     

    ...ให้กูออกไปจากชีวิตมึง...มึงพูดอย่างงี้ออกมาได้ไงวะ...

     

    “โธ่เว้ย...” ผมสบถเบาๆก่อนเดินอย่างหัวเสียลงมาด้านล่างของหอพัก บอกตามตรงว่ายังมึนๆอยู่มากแต่เหตุการณ์เมื่อครู่ก็เล่นเอาซะหายแฮงค์เป็นปลิดทิ้งเลย

     

    ..........ทั้งที่ตลอดมามีแต่มึงเท่านั้นที่ไม่เคยทิ้งกูไปไหนแท้ๆ........

     

     

    ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดมาก่อนว่าสักวันจะต้องได้ยินคำนี้จากธีร์

    เพียงแต่มัวแต่หลงตัวเองว่ามันไม่มีทางจะเกิดขึ้น ถึงจะทำเป็นห่างออกมาแต่ความจริงแล้วผมเองก็เช็คอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ ทั้งเสียงสั่นๆหรือรอยยิ้มที่มันพยามฝืนทำให้ผมสบายใจ ทำให้ผมมั่นใจว่ามันคงยังตัดใจไม่ได้ง่ายๆแน่

    จนกระทั่งมันพูดออกมาจากปากเองว่าทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมแล้วนั่นแหละ ความมั่นใจที่เคยมีถึงได้เริ่มสั่นคลอน

     

     

     

     

    คงเพราะเป็นช่วงใกล้สอบทำให้นักเรียนส่วนใหญ่อ่านหนังสือจนดึกดื่นทำให้บริเวณชั้นล่างในตอนเช้าแทบจะไม่มีนักเรียนอยู่เลยซึ่งนั่นมันก็ดีจะได้ไม่ต้องมาตอบคำถามว่าทำไมวันนี้ถึงมาค้างที่หอพักโรงเรียนเสียได้

     

    การที่ใช้คำว่าแทบจะไม่มีก็หมายความตรงตามตัวอักษรแบบนั้นเลย เพราะสุดท้ายแล้วก็ยังคงมีคนที่ตื่นเสียแต่เช้าแถมยังลงมานั่งดักรอผมอยู่อย่างจงใจ ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่จ้องมองมาที่ผมตั้งแต่ผมเริ่มลงมาจากบันไดทำให้รู้สึกอึดอัด สายตาที่เย็นชามองผมนิ่งๆก่อนจะเอ่ยทัก

     

    “มีเวลาสักสิบนาทีมั๊ยพี่ภู ผมอยากขอคุยด้วยหน่อย”

     

     

     

    มันพาผมเดินออกมาที่ด้านข้างหอพักซึ่งเป็นบริเวณเดียวกับที่จะมีร้านอาหารโต้รุ่งเปิดขาย ก่อนจะหยุดเดินแล้วถอนหายใจเบาๆ “ตรงนี้แหละพี่ ผมขอถามพี่ตรงๆเลยนะ พี่จะเอาไงแน่เรื่องพี่ธีร์กับพี่เต้ย”

     

    ผมชักสีหน้ากลับทันทีที่ได้ยินคำถามที่ละลาบละล้วงของมัน “ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับมึงนี่” ดวงตาที่ไม่เป็นมิตรฉายวาบขึ้นมาทันทีที่ผมพูดจบจนชะงัก

     

    ...ไอ้เด็กนี่อันตรายกว่าที่คิด..

    “หึ....ก็จริงพี่ ไม่เกี่ยวอะไรกับผมหรอก.........แต่ว่า...ถ้าวันนี้คำตอบของพี่ไม่ใช่พี่ธีร์ ผมจะไม่ปล่อยให้พี่ได้เข้าใกล้พี่ธีร์อีกแล้ว” น้ำเสียงของมันดูมั่นอกมั่นใจเสียเหลือเกินทั้งที่ปากก็ยอมรับออกมาเองแท้ๆว่าไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเอง

     

    “คนนอกอย่างมึงจะมาเข้าใจอะไร ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่ามาพูดดีกว่า........... มีเรื่องอยากจะพูดแค่นี้ใช่ป่ะ?” ทั้งที่เป็นการคุยด้วยกันครั้งแรกแต่บทสนทนาที่ไอ้เด็กตรงหน้าเลือกมากลับตรงไปตรงมาและจี้ใจดำอย่าบอกไม่ถูกจนไม่อยากที่จะพูดคุยอะไรด้วยต่อ ไหนใครต่อใครบอกกันว่ามันเป็นเด็กดี ยิ้มแย้มแจ่มใสซื่อๆ แล้วไอ้คนที่ดูจะตรงกันข้ามกับที่พูดมาทั้งหมดนี่เป็นใครกัน?

     

    “เอาเป็นว่าผมรู้มากกว่าที่พี่คิดก็แล้วกัน.........ถ้าพี่แค่หวั่นไหว...ก็ปล่อยมือซะ.......พี่จะให้ความหวังแล้วก็ทำลายมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ไปเพื่ออะไร”

     

    ...หงุดหงิด.. หงุดหงิดเอามากๆ...

     

    “ผมไม่อยากเห็นน้ำตาของพี่ธีร์อีกแล้ว”

     

    แววตาที่เหมือนจะขอร้องนั่นมันอะไรกัน ดูก็รู้ว่ามันไม่ชอบผมเอามากๆแต่กลับมามาขอร้องแบบนี้ ทั้งที่จริงๆสิ่งนี้ควรจะเป็นอย่างสุดท้ายที่คนเราจะทำกับคนที่ไม่ชอบหรือไม่ถูกชะตากันเสียด้วยซ้ำ

     

    ส่วนสาเหตุ...ก็คงจะไม่พ้นคนที่เป็นหัวข้อสนทนาอย่างไอ้ธีร์

     

    “ที่พูดมาตั้งนานนี่จริงๆแล้วก็แค่อยากให้กูไปให้พ้นทาง ใจตรงกันดีนี่ คนนึงมาขอให้ออกไปจากชีวิต อีกคนมาขอให้เลิกยุ่ง” ผมตอกกลับพร้อมเหยียดยิ้มให้กับสีหน้าไม่เข้าใจของมัน “อยากได้มันมากล่ะสิ แต่เสียใจด้วย กูไม่ยอมปล่อยธีร์ไปง่ายๆหรอก”

     

    มันเงียบแล้วจ้องผมที่กำลังยิ้มเยาะอยู่ซักพักนึงก่อนจะพูดประโยคที่ผมแทบอยากจะกระชากคอเสื้อมันมาต่อยซักหมัดถ้าไม่ติดที่ว่ามีคนเดินเข้ามาทักเสียก่อน

     

    “ผมไม่เข้าใจเลย ว่าพี่ธีร์รักคนอย่างพี่เข้าไปได้ยังไง”

     

    ////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

     

    “ตีหน้าบึ้งทำเหี้ยไรแต่เช้าวะไอ้ภู” เสียงเอ่ยทักจากไอ้อาร์ตที่บังเอิญเจอกันที่ข้างหอก่อนจะมาลงเอยที่ร้านอาหารตามสั่งแถวนั้นทำให้ผมต้องรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแม้ว่าจริงๆแล้วจะยังคงหงุดหงิดอยู่ก็ตาม

     

    “เปล่า...” ผมตอบกลับอย่างเซ็งๆพลางเขี่ยน้ำแข็งในแก้วเล่น

     

    “เปล่า?...” มันทำสีหน้าสงสัยทันที “น่าเชื่อตายล่ะมึง....แล้วนั่นปากมึงไปโดนอะไรมาวะ.........หรือเพราะไอ้ธีร์.........นี่มึงต่อยกับไอ้เด็กนั่นแย่งธีร์เลยเหรอวะ” ผมได้แต่เบ้หน้าให้

     

    ....เดาผิดไปหน่อยว่ะ...เพราะคนที่ต่อยกูคือไอ้ธีร์ต่างหาก...

     

    “คิดเองเออเองไปใหญ่แล้วนะมึง ......เมื่อคืนกุเมาเลยล้มกระแทกบันไดต่างหาก”

     

    “อ๋อออ เหรอ” มันยังคงลากเสียงทำสีหน้าไม่เชื่อแต่ก็ไม่ได้ไถ่ถามอะไรเพิ่มเติมตั้งหน้าตั้งตากินข้าวเช้าของมันต่อไปอย่างที่บ่นว่าหิวแล้วก็ลากผมที่ยังไม่มีกะใจจะกินข้าวเช้าเลยสักนิดให้ตามมันเข้ามาในร้านนี่

     

    อันที่จริงแล้วไอ้เรื่องที่ว่าจะไม่เชื่อนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจมากนัก มันผิดปกติตั้งแต่การที่ผมมาอยู่แถวนี้ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าในวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้แล้ว เพราะเป็นที่รู้กันดีว่ากลุ่มว่าผมเป็นคนตื่นสายมาแค่ไหนในวันหยุดจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะตื่นมาเพื่อเตร่อยู่แถวหอพักแถวโรงเรียนซึ่งก็ไกลจากบ้านพอสมควร

     

    แล้วยังไม่รวมรอยช้ำมุมปากที่ยังสดใหม่แบบนี้อีกด้วย

     

    “แล้วนี่มึงจะเอาไงต่อ จะไปติวหนังสือกับพวกกูไหมล่ะ เดี๋ยวนี่ไอ้บอลก็จะมากะว่าจะไปห้องสมุดกัน” มันรวบช้อนเสร็จเรียบร้อยก่อนเงยหน้าถาม “เห็นมึงว่ามึงก็เรียนไม่ค่อยเข้าหัวเหมือนกัน ที่นั่นมีพวกเนิร์ดๆมาทวนหนังสืออยู่เยอะเลยเผื่อติดอะไรจะได้ถามได้ไง........”

     

    ถ้าเป็นปกติผมก็คงตอบรับคำชวนนั้นไปอย่างยินดี หรือไม่ก็บอกปฏิเสธไปอย่างกวนๆว่า โทษทีว่ะพอดีกูมีติวเตอร์ส่วนตัวแล้ว

     

    “กูมีธุระว่ะ มึงไปเหอะ” หลังจากที่ลังเลอยู่พักหนึ่งผมก็ตอบปฏิเสธคำชวนซึ่งก็คงไม่ได้เกินความคาดหมายของมันไปมากสักเท่าไหร่เพราะมันก็แค่พยักรับรู้ ตบบ่าผมเบาๆแล้วเดินไปจ่ายตังค์

     

    “เจอกันวันจันทร์...”

     

    /////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

     

    ที่จริงผมน่าจะคิดได้ตั้งแต่แรก ในเมื่อความใกล้ชิดยังทำให้ผมเปลี่ยนใจไปชอบเต้ยได้เลย แล้วกับตัวผมที่ทำร้ายจิตใจมันครั้งแล้วครั้งเล่าจะเป็นไปได้ยังไงที่มันจะยังรออยู่แต่ที่เดิมไม่ไปไหน

     

    โลกของเราเปลี่ยนไปในทุกวัน ประสาอะไรกับใจคน?

     

     

     

     

    วันจันทร์มาถึงพร้อมกับการแสดงออกที่ยืนยันอย่างชัดเจนว่าไอ้ธีร์มันเอาจริง

     

    “ทำไมมึงมานั่งนี่วะ” ผมเอ่ยทักอย่างแปลกใจเมื่อหนึ่งในแก๊งไฝว้ของไผ่มานั่งเล่นเกมสบายใจเฉิบอยู่บริเวณที่นั่งข้างหน้าของผม

     

    ...ที่นั่งของธีร์...

     

    ...ไม่สิ...เคยเป็นของธีร์ต่างหาก........

     

     

    “ก็ไอ้ธีร์แม่งขอแลกที่กะกู” แจ๊คบอกอย่างไม่ใส่ใจโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสนใจผมด้วยซ้ำ ต่างกับเจ้าของที่เดิมซึ่งผมหันขวับไปสบตาเข้าพอดีแต่ดันหลบตาผมไปสนใจหนังสือชีวะในมือแทน

     

    ...ทำไมมึงต้องทำถึงขนาดนี้ด้วยวะ...

     

    ด้วยความโมโหผมเลยเดินเข้าไปถามมันตรงๆ จะมีใครมองอยู่บ้างหรือจะมีใครเอาไปลือยังไงผมก็ไม่สนแล้ว!!

    “ไอ้ธีร์ มึงย้ายที่ทำไมวะ”

     

    เงียบ....มันไม่พูดตอบอะไรมาสักคำ

     

    “ไอ้ธีร์ กูถามมึงอยู่นะ!!” ผมขึ้นเสียงใส่อย่างหมดความอดทนก่อนจะเขย่าบ่ามันแรงๆให้หันมาสนใจก่อนที่จะถูกปัดมือออกอย่างแรง

     

    ...จากไอ้ไผ่...

     

    “มึงไม่ทำเกินไปหน่อยเหรอวะไอ้ภู ธีร์มันก็แค่อยากย้ายที่นั่ง มึงจะเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรนักหนา?” ใบหน้าขาวตี๋อย่างลูกคนจีนกำลังตีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างแรงเหมือนคนพร้อมจะมีเรื่อง

     

    “ทำไม!! กูเขย่านิดหน่อย มึงต้องเดือดร้อนขนาดนั้นด้วยล่ะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมึงซักหน่อย” ผมมองหน้ามันกลับอย่างหงุดหงิด ก่อนรับฟังเหตุผลของมันที่ยิ่งทำให้อารมณ์ที่เสียอยู่แล้วหนักข้อขึ้นไปใหญ่

     

    “เกี่ยวสิ มึงทำโต๊ะกูสั่น กูกำลังลอกการบ้านมันอยู่เว้ย” มันตอบกลับพร้อมยักคิ้วกวนๆตามสไตล์

     

    ...ต่อจากไอ้เด็กนนก็เป็นไอ้ไผ่เหรอวะ...นี่มึงไปสนิทสนมกับพวกมันตอนไหนถึงมีแต่คนออกโรงอยากปกป้องมึงซะตัวสั่นกันขนาดนี้...

     

    “ไผ่ มึงลอกเสร็จยังวะ ลงไปกินข้าวกันเหอะ” เสียงเรียบๆของธีร์ดังขึ้นขัดบรรยากาศที่เกือบจะถึงจุดเดือดเพราะสงครามสายตาระหว่างผมกับไผ่ได้ทันในชั่ววินาทีก่อนจะหันกลับมามองผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างปกติ “สายแล้วเดี๋ยวมึงต้องไปที่วงโยไม่ใช่หรือไง ......เมื่อวันเสาร์กูว่ากูพูดเคลียร์แล้วนะภู......”

     

    “เออ เสร็จละ” เสียงตอบรับจากไผ่ทำให้ธีร์พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะละความสนใจจากผมแล้วลุกเดินตามไผ่ไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามามอง

     

    “แล้วมึงไม่ไปซ้อมรึไงวะ” แค่แว่บเดียวเท่านั้นที่มันหยุดชะงักก่อนจะหันมาตอบผมด้วยสีหน้านิ่งๆ

     

    “กูลาออกจากวงโยแล้ว”

     

     

     

     

    /////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

     

    เป็นสัปดาห์ที่น่าอึดอัดที่สุดในชีวิต แย่ยิ่งกว่าตอนที่เพิ่งเลิกกับไอ้ธีร์มันใหม่ๆเสียอีก เพราะอย่างน้อยๆตอนนั้นต่อให้มันจะขอห่างสักพักแต่ผมก็ยังเห็นเงาของตัวเองอยู่ในสายตาของมันเสมอ

     

    ไปกลับโรงเรียนกับไอ้นน ตอนอยู่โรงเรียนก็เอาแต่ขลุกอยู่กับแก๊งค์ไอ้ไผ่ แถมดูเหมือนเด็กเกเรอย่างมันก็นึกรักเรียนขึ้นมากระทันหันไม่มีขาดเรียนซักคาบทำให้ผมแทบจะหาโอกาสเข้าไปคุยกับมันไม่ได้เลย

     

    แล้วก็แน่นอนว่ามาจบที่สุดท้ายผมก็เลยต้องมาขอให้เต้ยติวหนังสือให้

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “นี่ภูล้อเต้ยเล่นรึเปล่าเนี่ย” เต้ยทำหน้าเหวออย่างชัดเจนเมื่อผมทำแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ที่เธอเอาให้ทำเพื่อทดสอบว่ายังมีเรื่องไหนที่ไม่เข้าใจบ้างเสร็จแล้วส่งให้เธอดู “นี่ภูไม่เข้าใจอะไรเลยตั้งกะเบสิคเลยเหรอเนี่ย”

     

    “ก็เราบอกเต้ยแล้วไง แต่เต้ยไม่เชื่อเราเอง” ผมส่งยิ้มให้กับเธอที่กำลังมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด “เต้ยไม่ต้องคิดมากนะ ภูเอาแค่ผ่านครึ่งไม่ต้องซ่อมก็พอแล้วแหละ”

     

    “โอเค เราจะพยามนะ” เธอพยามยิ้มตอบอย่างใจเย็นแล้วค่อยๆสอนผมไปทีละขั้นตอนก่อนจะปล่อยให้ผมทำแบบฝึกหัดเอาเอง

     

     

    ........เออ ใช่ มึงต้องดึงตัวประกอบร่วมออกมาแบบนั้นก่อนนั่นแหละถูกแล้ว...

    ...ทีนี้ก็ย้ายข้าง........ใช่...ถูกแล้ว...เข้าใจแล้วดิ...

     

     

    เสียงของไอ้ธีร์ในความทรงจำกลับมาซ้อนทับกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจนอดเปรียบเทียบไม่ได้

     

    “อ้าว เต้ยไม่คอยดูเราทำเหรอ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจเพราะโดยปกติแล้วธีร์เวลาติวให้ผมก็มักจะทำให้แบบนี้ แต่เต้ยกลับมองผมอย่างแปลกๆแล้วหัวเราะ

     

    “นี่ภูเล่นมุขอีกเหรอ เราก็ต้องอ่านต้องทำแบบฝึกหัดในส่วนของเราด้วยดิ จะให้มานั่งดูภูทำแล้วเราจะทำไงล่ะ”

     

    ....แต่ไอ้ธีร์มันทำได้นะเต้ย...

     

    “เอ้อ...ใช่.....เราก็ถามไปงั้นๆแหละ” ผมยิ้มกลบเกลื่อนเพื่อไม่ให้เต้ยรู้สึกไม่สบายใจแต่ก็อดที่จะรู้สึกเปรียบเทียบไม่ได้

     

    ที่จริงเต้ยไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการสอบแบบนี้การสละเวลามาติวให้คนอื่นถึงแม้คนคนนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นแฟนก็เถอะก็เสียสละใช่เล่นอยู่แล้ว เต้ยเองถึงจะเรียนค่อนข้างดีแต่ก็ไม่ได้เก่งเสียจนที่จะไม่จำเป็นต้องอ่านในส่วนของตัวเอง

     

    “....เอ้า นี่เลคเชอร์กู แล้วก็สรุปนะ.....

    ...ไม่เป็นไร กูอ่านมาสำหรับติวมึงหมดแล้ว.....

    ...เฮ้ย....มองสมุดที่กูสอนสิวะภู......”

     

    ทำไมผมถึงไม่เคยเอะใจเลยสักนิดว่าตลอดมามันทำเพื่อผมมากแค่ไหน


































    TALKS: เรียกได้ว่าแทบจะอัพติดๆกันเลยทีเดียวเนาะ เดี๋ยวอาจจะยุ่งๆจนไม่ได้อัพซัก 1-2 สัปดาห์นะคะ ระหว่างที่หยุดไปถ้ามีฟีลลิ่งเขียนวันช็อตสั้นๆก็จะมาอัพเดทแปะลิ้งค์ให้เพิ่มที่ใต้ทอล์คแล้วกันเนาะ

     

    กำลังคิดว่าจะเขียนตั้วมาร์ชเป็นเรื่องยาวต่อจากเรื่องนี้จบทดลองอ่านได้ที่นี่นะคะ >> http://twishort.com/UDvgc

    สำหรับคนที่ยังไม่รู้คือเราเปิดให้คอมเม้นท์ฟิคได้แล้วนะคะ ปิดไว้ตั้งนานเพราะไม่รู้ตัวว่าปิดอยู่ล่ะ แย่จริง //กุมแก้มเขินๆ ถ้ามีข้อติชมเสนอแนะอะไรก็พิมบอกได้เลยนะคะไม่ต้องเกรงใจ หรือใครอยากเควสเรื่องสั้นก็ทิ้งพลอตไว้ได้

     

    เหมือนเดิมสำหรับคนที่อยากคุยแบบรีแอ็คชั่นทันใจก็เจอกันในทวิตเตอร์เนอะ (@yuhankung_2)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×