ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Short Fic] Once Again [Yoona xTaeyeon]

    ลำดับตอนที่ #5 : ONCE AGAIN : 04 ร่องรอยของความจริง

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.พ. 56


    สีดำ = เหตุการณ์ในปัจจุบัน
    สีเทา = เหตุการณ์ในอดีต


    04 ร่องรอยของความจริง





    “แกง่วงก็ไปนอนไปยุนอา มายืนหาวหวอด ๆ อยู่ได้ ทำงานก็อืดอาดอีก เกะกะว่ะ”
    จงฮยอนยกกล่องบรรจุแอปเปิ้ลไปเก็บในโรงโกดัง 
    หลังจากที่ตนและเพื่อน ๆ ได้ช่วยกันคัดเลือกตามที่เจ้าของสวนสอนไว้ 
    ไหล่แข็งแรงกระแทกใส่คนที่ผอมบางกว่าอย่างจงใจ 
    ซ้ำยังเอี้ยวคอกลับมาต่อว่าทั้งที่เดินห่างออกไปแล้วหลายเมตร 


    ยุนอาชักสีหน้าใส่จงฮยอนอย่างไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร 
    แค่ไม่ยอมทำตามที่เขาบอกเท่านั้นเอง นั่นคือวิธีการต่อต้านเงียบ ๆ ในฉบับของยุนอา 

    เหลือบมองไปยังม้านั่งในมุมหนึ่งของโกดัง เห็นแทยอนกำลังนั่งพิงผนังเอาแจ็คเก็ตคลุมหน้าเหมือนกำลังหลับอยู่ 
    นั่นทำให้ยุนอาตัดสินใจง่ายขึ้น จะไม่ยอมนั่งพักแน่ ๆ แต่อาการหวัดกับง่วงนี่มันก็เล่นงานหนักเอาเรื่องอยู่


    ก้าวต่ออย่างเชื่องช้าไปยังกองกล่องแอปเปิ้ลที่แทอุนกำลังลำเลียงเข้ามาวางไว้ให้จงฮยอน 
    อยู่ดี ๆ ก็เกิดอาการคันจมูกยิบ ๆ จนทนไม่ไหว จามใส่เพื่อนตัวสูงที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ไปหนึ่งที


    “ฮัดชิ่ว!!”


    “เฮ่ย! อะไรของแกวะ เดี๋ยวฉันก็ติดหวัดหรอก ไปนอนไป” 
    แทอุนเหล่มองแล้วโบกมือไล่หลังจากวางกล่องแอปเปิ้ลลง 
    ก่อนใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้า


    “ไม่ง่วง จะไล่อะไรนักหนา” เสี้ยงอู้อี้เถียงกลับคอเป็นเอ็น 
    แม้ว่าความจริงจะไม่ผิดจากที่แทอุนพูดนักก็ตาม


    “ไม่อยากนอนอะไร แค่เดินแกก็จะหลับอยู่แล้ว” แทอุนส่ายศีรษะระอาแล้วเดินหนีไปเพื่อตัดรำคาญ


    “ฉันว่าแกไปพักก่อนเถอะ นะ ทางนี้พวกฉันทำเองได้” 
    ฮโยยอนสนับสนุนความคำพูดของแทอุน ยุนอาก็ยังไม่ยอมอ่อนข้อจนกระทั่งมีมือคู่หนึ่งยื่นมาแตะไหล่สองข้าง


    “ไปเถอะยุนอา พักซะ อีกหน่อยก็เสร็จแล้ว จะได้กินข้าวกลางวันกัน” 
    ซอนฮวาเกลี้ยกล่อมอย่างอ่อนโยน ไม่เหมือนคนอื่น ๆ ที่น้ำเสียงกระด้างไม่น่าฟัง 
    จึงทำให้ยุนอาลังเล


    “เชื่อฉันนะ พักเอาแรงตอนบ่ายต้องไปช่วยปลูกชาที่ไร่พี่ซุนกยูอีก” 


    “โอเค ก็ได้” ยุนอาคล้อยตามซอนฮวาอย่างง่ายดาย 
    ยอมให้เพื่อนพาไปที่ม้านั่งตัวเดียวกันกับแทยอน แต่ยุนอานั่งอยู่อีกฝั่งห่างกันเป็นเมตร 


    ไม่แม้แต่จะเหลือบมองคนหลับ หมางเมินเหมือนอีกฝ่ายเป็นอากาศธาตุ 


    ควานมือหาขวดน้ำบนม้านั่งขึ้นมาดื่มดับกระหาย ถอดเสื้อตัวนอกออกคลุมศีรษะ
    ขาเหยียดยาวไปข้างหน้า ยกมือขึ้นกอดอกแล้วเอนพิงกับผนังซีเมนต์อย่างที่แทยอนกำลังทำ 
    เมื่อคืนแทยอนก็คงไม่ค่อยได้นอนเหมือนกันกับยุนอาถึงได้หลับจนไม่รู้เรื่อง 


    บทสนทนาสั้น ๆ ที่คุยกับแดฮุนในสวนแอปเปิ้ลยังวนเวียนรบกวนจิตใจ 
    อยากรู้รายละเอียดมากกว่านั้นแต่ไม่กล้าถาม 


    แต่จะให้ถามแทยอนแทนน่ะเหรอ? ไม่มีทางซะล่ะ


    ครุ่นคิดวุ่นวายอยู่เพียงไม่กี่นาทีก็ผล็อยหลับ ลมหายใจของยุนอาก็ผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอ 
    ต่างกันที่แทยอนรู้สึกตัวตื่นได้สักพักแล้ว นับตั้งแต่ตอนที่ยุนอากับแทอุนทุ่มเถียงกันอยู่ 
    ได้ยินชัดทุกคำพูด เพียงแต่ไม่ได้ขยับตัว ลมหายใจอุ่นถูกผ่อนออกมายืดยาวอย่างหนักใจ


    “ดูพวกมันดิ” ซุนกยูชี้ชวนให้เพื่อนกับน้อง ๆ มองไปทางยุนอากับแทยอน ทุกคนทำหน้าเหนื่อยหน่ายไม่ต่างกัน


    “กูล่ะเบื่อ” ฮโยยอนสบถอย่างระอาก่อนก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ



    .
    .
    .



    แดดยามบ่ายจัดจ้าจนต้องหรี่ตาลงเมื่อมองออกไปในที่ไกล ๆ 
    หมวกปีกกว้างที่สวมกันแดดไม่ได้ช่วยลดความร้อนระอุลงเท่าไหร่ 
    ไร่ชาแบบขั้นบันไดที่เพิ่งเอาต้นอ่อนมาลงปลูกเสร็จสิ้นไปเกินครึ่งแล้ว 
    เหลือก็แต่ส่วนที่แทยอนกับเพื่อน ๆ ยืนอยู่ หลายคนกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่เหนือหลุมปลูก 
    แม้จะเหงื่อไหลจนชุ่มแต่ก็ยังตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันอย่างขะมักเขม้น 
    มีคุยเล่นหยอกล้อกันบ้างตามประสา


    จะเว้นก็แต่ยุนอาที่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาอย่างคนอื่น ปลูกชาเงียบ ๆ อยู่คนเดียว 
    ทั้งที่ตนเองก็กำลังเป็นหวัด ตากแดดแรง ๆ เดี๋ยวก็ล้มป่วยลงไปอีก 
    พวกแทอุนห้ามไว้แล้วก็ดื้อดึงไม่ยอมฟัง ดึงดันทำตามใจตนเองอย่างน่าโมโห 

    ขยันขนาดนี้ให้ปลูกเองคนเดียวทั้งไร่ดีกว่ามั้ง แทยอนแอบค่อนขอดอยู่ในใจ 


    “อากาศร้อนเนอะ” ซุนกยูบ่น เอามืออังหน้าผากเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์อย่างค้อนเคือง 


    “เอาน้ำหน่อยมั้ยซุนกยู” ฮโยยอนเอ่ยถาม ยื่นขวดน้ำที่เริ่มจะหายเย็นไปให้เจ้าของไร่ชา


    “ขอบใจนะ” ซุนกยูฉวยขวดน้ำจากมือเพื่อนสนิทมาดื่มดับกระหาย ก่อนพูดต่อ 
    “เออนี่พวกแก เสร็จจากนี่พ่อฉันบอกจะเลี้ยงใหญ่แหละ เหล้ายาปลาปิ้งไม่อั้น” 


    ประโยคบอกเล่าที่ทำให้คนทั้งหมดเฮลั่นไร่ชาด้วยความยินดี 
    ทำงานหนักมาทั้งวันได้กับข้าวอร่อย ๆ บวกกับสุราอีกสักนิดสักหน่อยคงลืมความเหน็ดเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง


    “สมกับที่ถูกใช้แรงงานมาทั้งวันหน่อย” ซูยองกระเซ้า 
    เหล่มองแทยอนและซุนกยูด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม


    “แก ไม่ต้องมองพี่อย่างนั้น เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะเลี้ยงเอง” 
    แทยอนตัดบทเหมือนรู้เท่าทันความคิดของรุ่นน้องจอมตะกละ

    “มันต้องอย่างนี้สิครับพี่สาวที่รักของผม” 
    จงฮยอนเข้าไปกระแซะแทยอนอย่างกหยอกล้อตามประสาคนคุ้นเคย 
    แต่บางคำในประโยคสร้างความไม่พอใจให้คนที่บังเอิญได้ยินจนเผลอย่นหัวคิ้วเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
    แต่ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากชาต้นอ่อนที่นำมาปลูกต่อในหลุม


    “ไม่ต้องเลยแก เห็นแก่น้ำเมาล่ะสิ” แทยอนเบะปากเหน็บแนม


    “ไม่ใช่ซักหน่อย กองทัพต้องเดินด้วยท้องต่างหาก” 
    จงฮยอนยักคิ้วให้หนึ่งทีก่อนเดินกลับไปประจำที่ของตนอย่างเดิม


    “เงียบไปมั้ยครับคุณ เหนื่อยล่ะสิ พักมั้ย? จะเป็นลมบอกผมได้นะ” 
    แทอุนเดินมาสัพพอกใกล้ ๆ พอให้ยุนอาหงุดหงิดเล่นแล้วเดินโฉบหนีไปเฉย ๆ 


    “ไอ้....” ยุนอาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันทำปากขมุบขมิบไล่หลังเพื่อนตัวโต ด้วยนึกคำต่อว่าไม่ทัน 
    สายตาเผลอเหลือบไปมองร่างเล็ก ๆ ของใครอีกคนอยู่เรื่อย ๆ ด้วยความเคยชิน 


    ก็ดูยิ้มแย้มมีความสุขดี ไม่ได้มารับรู้ว่าใครกำลังจะเป็นจะตายหรอก 



    .
    .




    บ้านของซุนกยูดูจะวุ่นวายกว่าทุกวันเมื่อมีแขกกลุ่มใหญ่มาเยี่ยมเยือน 
    เสียงร้องรำทำเพลงเริ่มขึ้นตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน 
    จนกระทั่งตอนนี้ที่ความมืดเริ่มโรยตัว บรรยากาศโดยรอบมืดสนิท
    ไฟในบ้านก็ถูกเปิดไว้หลายดวงเพื่อให้แสงสว่างและอำนวยความสะดวกแก่เหล่านักดื่ม 
    โดยมีประมุขของบ้านอีเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงขนาดย่อมครั้งนี้ 
    กีตาร์โปร่งกลางเก่ากลางใหม่ตัวหนึ่งถูกแทอุนใช้เคาะแทนกลอง 
    ส่วนอีกตัวที่ดูใหม่กว่าถูกบรรเลงโดยฝีมือของจงฮยอน 


    ม้านั่งหน้าบ้านใต้ต้นไม้ใหญ่มีที่มากพอให้คนนับสิบได้ร่วมสังสรรค์กันอย่างไม่ต้องเบียดเสียด 
    บทเพลงร่วมสมัยอาจไม่เหมาะกับกลุ่มที่มีผู้สูงวัยรวมอยู่ด้วย 
    นักดนตรีจำเป็นจึงเลือกเฉพาะเพลงเก่า ๆ ที่เคยโด่งดังในอดีตมาขึ้นมาขับร้อง
    เพื่อทำให้ทุกคนร่วมสนุกไปด้วยกันได้โดยแบ่งแยกวัย


    เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลากชนิดวางกระจัดกระจายเต็มโต๊ะ 
    ทั้งโซจู เบียร์ และไวน์คูลเลอร์ ส่วนน้ำอัดลมที่ไร้แอลกอฮอล์ก็มีอยู่บ้างแต่ถือเป็นส่วนน้อย 
    ใต้ม้านั่งมีขวดเปล่ากองทับถมกันสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น 


    “แดฮุน แกจำได้มั้ย เพลงที่แกร้องจีบเมียแกสมัยก่อนน่ะ ตอนเจอกันใหม่ ๆ” 
    อี ซุนโฮ ผู้อาวุโสสุดในกลุ่มกล่าวขึ้น มือเหี่ยวย่รยกขึ้นชี้หน้าแดฮุน 
    รุ่นน้องที่เคยคบหากันมาตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น ชายสูงวัยผู้มากด้วยอารมณ์ขันเริ่มพูดเสียงดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว 
    จากระดับแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 


    “จำได้ครับ ไม่ลืมหรอก จำได้แม้กระทั่งตอนที่จินฮีไล่ตะเพิดผมด้วย” 
    แดฮุนหัวเราะร่วน กระดกเหล้าในจอกขึ้นดื่มขณะรำลึกความหลัง 
    เด็กรุ่นลูกที่รายล้อมอยู่ต่างประหลาดใจกับคำบอกเล่าของผู้สูงวัย 
    จะมีก็แต่แทยอนเท่านั้นที่อมยิ้มขบขัน 
    เพราะเรื่องน่าอับอายของบิดาเมื่อครั้งที่พบรักกับมารดาของเธอใหม่ ๆ แทยอนได้ฟังมาไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง 


    อีกคนที่ดูจะสนุกสนานไปกับวีรกรรมในอดีตของแดฮุนก็คือซุนโฮผู้เริ่มเรื่องนั่นเอง


    “ทำไมล่ะครับ แค่ร้องเพลงจีบทำไมถึงถูกไล่กลับมาล่ะ?” 
    จงฮยอนเอามือวางบนกีตาร์ ขมวดคิ้วถามอย่างสงสัยไม่ต่างจากเพื่อนคนอื่น ๆ 


    ซุนโฮระเบิดหัวเราะลั่นจนน้ำหูน้ำตาไหลเหมือนจงฮยอนพูดจี้จุด 
    พลอยทำให้แทยอนและแดฮุนขำตามไปด้วย กว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ก็เกือบนาที


    “ก็แดฮุนมันขี้เมาไง ดึกดื่นค่อนคืนไปตะโกนร้องเพลงโหวกเหวกอยู่หน้าบ้านเค้า 
    ไม่โดนลูกปืนก็ดีเท่าไหร่ ห้ามแล้วมันก็ไม่ยอมฟัง” 
    ซุนโฮซับน้ำตาที่เล็ดออกมาทางหางตาหลังจากเล่าเรื่องน่าขายหน้าของแดฮุนด้วยเสียงอันดัง 
    ก่อนจะระเบิดหัวเราะทิ้งท้ายอีกรอบ ชวนให้คนรุ่นลูกขำตามอย่างอดไม่อยู่ 
    จากนั้นแดฮุนจึงปรบมือขึ้นต้นเพลงรักจังหวะสนุก ๆ ในช่วงกลางยุค 80 
    เพลงที่เขาเคยใช้ร้องจีบมารดาของแทยอน แม้คราวนั้นจะล้มไม่เป็นท่าก็ตาม


    แทยอนอดที่จะเหลือบมองคนที่นั่งชิดกับบิดาของตนไม่ได้ 
    ในใจก็นึกห่วงเมื่อเห็นรอยยิ้มฝืด ๆ บนใบหน้าซีดเซียว 
    คล้ายกับว่ายุนอากำลังอดทนอยู่กับความทรมานบางอย่าง 
    บางครั้งก็นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดยามที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
    อยากเข้าไปถามไถ่อาการอยู่หรอก 
    แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อยุนอาไม่ยอมรับความหวังดีใด ๆ ที่แทยอนหยิบยื่นให้ 
    เธอเองก็ต้องสร้างเกราะป้องกันความรู้สึกของตนเองบ้าง 
    เรื่องอะไรจะเสนอหน้าไปให้คนอื่นทำลายน้ำใจของตนบ่อย ๆ 


    บทเพลงจากอดีตถูกนำมาขับขานผสานกับเรื่องเล่าจากประสบการณ์จริงจากปากของผู้อาวุโส ทำให้วงสนทนายิ่งออกรส 
    สีหน้าของผู้สูงวัยดูอิ่มเอิบราวกับได้ย้อนกลับไปอยู่ในช่วงเวลาเหล่านั้นอีกครั้ง 
    เรื่องตลกขบขัน ตื่นเต้นผจญภัยไปจนถึงเรื่องราวสยองขวัญน่าสะพรึงกลัว 
    กำลังพรั่งพรูออกมาจากประมุขของสองตระกูลเหมือนเปิดสวิตช์ 
    ทั้งที่ประสบพบพานด้วยตนเองและเรื่องที่ฟังมาจากญาติสนิทมิตรสหายอีกต่อหนึ่ง 
    ยิ่งยามที่เหล้าเข้าปากด้วยแล้วอะไรก็ห้ามไม่อยู่


    ลมเอื่อย ๆ ในหน้ามรสุมพัดเอาความเย็นชื้นผ่านมาเป็นครั้งคราว 
    ลำแสงเล็กแลบแปลบปลาบอยู่ลิบ ๆ บนขอบฟ้าทางทิศตะวันตก 
    เสียงฟ้าคำรามแว่วมาจากทิศทางเดียวกันเหมือนยังอยู่อีกไกล 
    แต่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงสายลมคงพัดพาเอาเม็ดฝนสาดซัดมาถึงที่นี่ 
    บรรยากาศในยามค่ำคืนของแถบชานเมืองคงเงียบเหงากว่านี้ 
    หากปราศจากกลุ่มคนที่ร้องรำทำเพลงดังสนั่นจากบ้านของซุนกยู 
    ความสนุกสนานที่เจือกลิ่นอายของความทรงจำลอยอบอวลอยู่รอบกาย 

    กระทั่งคนที่เกิดทีหลังยังรู้สึกอย่างเดียวกัน



    .
    .
    .




    2 ปีก่อน


    แทยอนรับถาดมาจากแม่ครัวในโรงอาหารมาถือไว้แล้วถอยห่างจากหน้าร้าน 
    ยืนชะเง้อคอมองไปรอบ ๆ เหมือนกำลังรอคอยใครสักคน 

    เห็นหน้ากันแทบทุกวันจนกลายเป็นความเคยชินโดยไม่รู้ตัว ต้องคอยมองหาทุกทีที่ห่างสายตา 


    “หาใครวะแทยอน ไม่กินข้าวเรอะ?“ จินกิถือถาดอาหารผ่านมาพอดี 
    เห็นเพื่อนยืนหันรีหันขวางอยู่กลางโรงอาหารจึงสะกิดแล้วชี้ไปยังโต๊ะที่มีเพื่อนของตนนั่งอยู่รายรอบ


    “เปล่า ๆ ไปละ ๆ” ว่าแล้วก็เดินตามหลังชายหนุ่มไป แต่ไม่วายกวาดตาไปทั่วโรงอาหารอีกหน


    “มาเลย นั่งนี่ ๆ” พอเดินมาถึงโต๊ะแทยอนก็ถูกลากไปนั่งข้างจาง อูยอง 
    เพื่อนร่วมคณะที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกันนัก แต่พอรู้จากท่าทีว่าเขากำลังตามจีบเธออยู่ และเป็นมาได้สักระยะแล้ว 


    แทยอนเหลือบมองคนข้าง ๆ ด้วยความเคลือบแคลงสงสัย 
    ก่อนไล่สายตามองเพื่อนสนิทในกลุ่มเพื่อจับพิรุธ 
    เพื่อหาว่าใครเป็นคนชวนอูยองมาทานข้าวกลางวันด้วย 


    “แทยอน หวัดดี นั่งด้วยคนนะ” อูยองเอ่ยทักเพื่อกู้สถานการณ์เมื่อเห็นว่าแทยอนมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ


    แทยอนกระพริบตาปริบ ๆ เมื่อถูกทักทายไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะตอบรับในวินาทีถัดมา 


    “เอ้อ หวัดดี อูยอง เอาสิกินด้วยกัน .. แต่แปลกเนอะไม่ไปกับเพื่อนเหรอวันนี้?” 
    อดไม่ได้ต้องถามออกไปเพราะความอยากรู้ ในใจแอบเคืองอยู่นิดหน่อยที่ยังจับตัวผู้ต้องหาในกลุ่มเพื่อนไม่ได้ 
    แกล้งตีหน้าซื่อได้แนบเนียนเหลือเกินนะแต่ละคน 


    “ไม่ล่ะ เบื่อพวกมัน อยากเปลี่ยนบรรยากาศน่ะ” 
    แทยอนฟังที่อูยองตอบแล้วต้องรีบเบือนหน้าหนี 
    แสร้งทำเป็นสนใจข้าวกลางวันในถาดแทน 
    แม้สายตาที่มองมาไม่ได้หวานหยดจนน่าขนลุก 
    แต่ก็มากพอที่จะทำให้แทยอนรู้สึกกระอักกระอ่วน 

    แต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นร่างคุ้นตาของใครบางคนนั่งอยู่ที่โต๊ะกลางโรงอาหารห่างออกไปไกลพอสมควร


    เห็นแล้วก็อดมองไม่ได้ 
    ยุนอาคงจะหิวมากถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาจ้วงข้าวเข้าปากโดยไม่สนใจเพื่อนที่ส่งเสียงคุยกันจอแจรอบข้าง 
    แทยอนเผลอระบายยิ้มบาง ๆ อย่างนึกเอ็นดู กับข้าวในโรงอาหารอย่างเดิม ๆ เริ่มอร่อยขึ้นมาบ้าง
    ยุนอาเหมือนจะรู้สึกตัวว่าถูกแอบมองอยู่ ใบหน้าใสเงยขึ้นจากถาดอาหารแล้วสบตากับแทยอนเข้าพอดี
    หลบตาไม่ทันก็จำต้องส่งยิ้มไปให้แก้เก้อ ยุนอาชะงักนิดหนึ่งก่อนคลี่ยิ้มหวากว่าส่งกลับมาให้ 
    คนมองหัวใจพองโตจนล้นอก ชนิดที่ไม่ต้องทานข้าวก็อิ่ม


    “แกยิ้มให้ใครวะยุนอา” 
    จงฮยอนเอ่ยถามแล้วมองหน้ายุนอาสลับกับทิศทางที่ดวงตาใสจดจ้องอยู่ 
    แต่กลับไม่พบใครเลยสักคนในบริเวณนั้น


    “ไม่มีอะไรหรอก เพื่อนน่ะ” 
    ยุนอาโกหกคำโตแล้วก้มหน้าทานอาหารกลางวันของตนต่อไป 
    แต่ใบหน้าที่ก้มต่ำยังเจือรอยยิ้มบาง ๆ ด้วยความปลาบปลื้ม 


    “อ้าว นั่นพี่แทยอนกับพี่ฮโยยอนนี่” 
    จงฮยอนท้วงทำให้ยุนอาแทบสำลักที่เพื่อนของตนตาไวเกินจำเป็น 
    ร้อนตัวเพราะคิดไม่ซื่อกับเจ้าของชื่อ
    ทั้งที่รู้ว่าคงไม่มีใครตั้งข้อสังเกต เพราะยุนอาเก็บอาการได้แนบเนียนทุกครั้ง


    “ไหนอะ” ซูยองเอ่ยถาม ชะเง้อคอมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น 


    “นั่นไง”


    “โอ๊ะ.. อยู่กับพี่อูยองซะด้วย ได้ข่าวว่าคนนี้แหละที่ตามจีบพี่แทยอน” 
    ซูยองเจ้ากรมข่าวลือประจำกลุ่มเริ่มกระซิบกระซาบ


    “จริงเหรอ แล้วพี่แทยอนชอบพี่อูยองไหม?” 
    ดูเหมือนซูยองจะได้เพื่อร่วมนินทาอีกคนเมื่อซอนฮวาขยับเข้าใกล้และถามด้วยความสนใจ 
    ยุนอาทำเป็นไม่อยากรู้ไปอย่างนั้นแต่ในใจกลับร้อนรุ่มจนแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้ 
    ผิดจากท่าทีที่แสดงออกอย่างสิ้นเชิง


    “ไม่รู้สิ แต่มานั่งกินข้าวด้วยกันนี่ชักจะยังไง ๆ อยู่นา..” ซูยองตั้งข้อสังเกต 
    ประโยคบาดความรู้สึกนั้นทำให้ข้าวกลางวันของยุนอาฝืดคอขึ้นมาทันที 
    ความอยากอาหารลดลงไปกว่าครึ่ง


    “งี้รุ่นพี่แทยอนก็ขายออกแล้วดิ” 
    แทอุนสัพยอกรุ่นพี่ร่วมชมรมที่นั่งทานข้าวไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่อีกฝั่งของโรงอาหาร


    “ฉันว่าคู่นี้ก็เหมาะกันดีนะ น่าจะได้กันไว ๆ นะ 
    จะได้ไม่ต้องมาฟังไอ้พวกนี้มันนั่งซุบซิบกันเป็นแมงหวี่แมงวันอยู่แถวนี้” 
    จงฮยอนว่ากระทบเพื่อนขาเมาท์
    ขณะตักข้าวเข้าปาก ทำให้คนพูดได้รับแจกค้อนวงใหญ่จากสองสาวผู้เป็นเจ้าทุกข์ 
    แต่คำที่พูดออกไปส่ง ๆ เพราะความรำคาญนั้นกลับสร้างความกังวลให้ยุนอามากเป็นทวีคูณ 


    หากว่าเขาต้องคนคบกันจริง ๆ ล่ะ? 
    คิดแล้วก็ทอดถอนใจอยู่คนเดียวอย่างทดท้อเมื่อนึกถึงสภาพความเป็นจริง 
    เธอไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวแทยอนเลยสักนิด


    หากสองคนนั้นคบกันแล้วยังไงล่ะ? แกจะห้ามเค้าได้เหรอยุนอา?




    .
    .
    .



    “ถ้าใครกลับไม่ไหวก็นอนนี่นะ ในบ้านยังพอจะมีที่ว่างให้พวกแกซุกหัวนอนอยู่” 
    ซุนกยูผ่ากลางวงเหล้าด้วยความคะนองปาก คนพูดคงกำลังตึงได้ที่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ 
    โซจูที่ซื้อมาตุนไว้ตั้งแต่ช่วงกลางหมดไปเกินสองโหล 
    และบางคนในกลุ่มก็คอพับคออ่อนจนแทบฟุบหลับคาโต๊ะ นั่นก็คือซอนฮวากับซูยอง 
    ส่วนผู้อาวุโสดูเหมือนจะคุยกันจนติดลม เสียงเพลงจากกีตาร์ลดความถี่ลงและหันมาสนทนากันมากขึ้น


    “ซุนกยู ฉันว่าพาพวกมันไปนอนเหอะ ดูสิ มันไปโลกอื่นแล้วนั่น” 
    แทยอนมองรุ่นน้องของตนอย่างระอา เห็นภาพแล้วอนาถแทน อีกอย่างเธอก็เกรงใจผู้ใหญ่ด้วย 


    “งั้นมาช่วยกันหน่อย” ซุนกยูผุดลุกขึ้นพรวดพราด 
    ตรงเข้าไปหาซอนฮวาแล้วขอความช่วยเหลือจากเพื่อน 


    “มาผมช่วย” จงฮยอนอาสาหิ้วปีกซอนฮวาอีกข้าง 
    เขาเป็นผู้ชายมีแรงมากกว่าช่วยผ่อนกำลังซุนกยูได้เยอะทีเดียว 
    ร่างของซอนฮวาถูกพาออกไปทั้งที่คนเมายังทำท่าจะคว้าแก้วไม่อยากเลิกรา 
    ส่วนซูยองกำลังถูกแทอุนกล่อมให้ยอมเข้าไปพักในบ้านของซุนกยูด้วยกัน 


    “ไปเหอะ พรุ่งนี้ยังมีอีกนะเว่ย เชื่อฉัน ค่อยกินอีก” 


    “ม่าย.. ไม่ ไม่ไป” ซูยองโบกมือไปมากลางอากาศไม่ยอมท่าเดียวจนแทอุนอ่อนใจ 
    หันไปมองพี่สาวอีกสองคนเพื่อขอความช่วยเหลือ


    “งั้นแกพาพี่ไปเอาของกินในครัวหน่อยสิ ในจานหมดแล้วเห็นมั้ย?” 
    ฮโยยอนล่อหลอก ยกจานเปล่าขึ้นให้ซูยองดู ก่อนขยับเข้าไปกระตุกแขนยาว ๆ เพื่อคะยั้นคะยอ 
    คนเมาเงยหน้าขึ้นมองรุ่นพี่คนสนิท ตาปรือ ๆ จะหลับมิหลับแหล่ ก่อนพยักหน้าหงึกหงัก 
    พยายามดันตัวลุกขึ้นจากโต๊ะด้วยอาการโซซัดโซเซ 
    แทอุนกับฮโยยอนรีบถลาเข้าไปช่วยแล้วพาออกไปจากวงเหล้าอีกคน


    “โล่งอกไปที” แทยอนพึมพำหลังจากนั่งลุ้นแทบแย่ 
    แอบเหลือบมองคนที่ไม่เมาแต่อาการน่าเป็นห่วงพอกัน


    “พอพวกนั้นไปก็เงียบเชียว แทยอน ทำไมวันนี้ไม่ค่อยคุยเลยล่ะ” 
    ซุนโฮตั้งข้อสังเกตกับหลานสาว มือหยาบกร้านตบลงไปบนไหล่เล็กด้วยแรงที่ไม่เบานัก 
    แทยอนถึงกับสะดุ้งนิ่วหน้าน้อย ๆ ด้วยความเจ็บ 
    แต่ผู้สูงวัยคงไม่ทันเห็น เธอรีบปรับสีหน้าส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้แทน


    “เริ่มมึนนิดหน่อยค่ะคุณลุง” 


    “มึนอะไรกัน ไม่ค่อยเห็นดื่มอะไรเลย” ซุนโฮส่ายหน้าช้า ๆ พร้อมหัวเราะร่วนอย่างไม่อยากเชื่อ 
    ยุนอาเหลือบมองสีหน้าแทยอนแว้บเดียวก่อนนั่งจับเจ่ามองไปที่แก้วของตนอย่างเดิม 
    รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนไม่ค่อยสบาย เริ่มปวดหัวนิด ๆ จนต้องยกมือขึ้นเท้าคางเพื่อพยุงศีรษะไว้ 
    แต่ก็ปลีกตัวไปไหนไม่ได้อีกเพราะแดฮุนรั้งตัวไว้ไม่ยอมปล่อย 
    ลำแขนแข็งแรงยกขึ้นมาพาดไหล่ยุนอาอยู่บ่อยครั้ง
    ทำเหมือนเธอเป็นน้องสาวของเขาจริง ๆ ยังไงอย่างงั้น


    “หนูดื่มไม่ค่อยเก่งน่ะค่ะ สู้ซุนกยูมันไม่ได้หรอก”


    “อันนี้ผมเห็นด้วย แทยอนมันไม่ค่อยชอบแอลกอฮอล์ ไม่เหมือนพ่อมัน” 
    พูดแล้วก็ระเบิดหัวเราะลั่นจนดังเข้าไปถึงในบ้าน แทยอนอมยิ้มตาม 
    นานแล้วที่เธอไม่เห็นบิดาดูมีความสุขอย่างวันนี้ 
    และถ้าจำไม่ผิดครั้งสุดท้ายที่เห็นผู้เป็นบิดาดื่มจนเมามายไม่ได้สติก็เมื่อห้าปีก่อน 
    ตอนที่คุณปู่เสียชีวิตลงด้วยโรคชรา แต่หลังจากนั้นก็แค่ดื่มเพื่อเข้าสังคมพอเป็นพิธีเท่านั้น 
    คงเป็นเพราะยุนอามาที่นี่ถึงได้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น เลยถือโอกาสนี้ดื่มฉลองเสียเลย



    “แหงล่ะ ตอนน้องแกตายแกติดเหล้าเลยนี่หว่า 
    เพิ่งมาเลิกเอาตอนคบกับจินฮี ไม่งั้นป่านนี้แทยอนกับจีอุงไม่ได้เกิดหรอก” 


    ยุนอายืดตัวขึ้นเหลือบมองซุนโฮสลับกับแดฮุนอย่างสนใจ รอฟังเรื่องราวที่ตนสงสัยจากผู้อาวุโส


    “พี่ก็พูดเกินไป อายเด็กมัน” แดฮุนส่ายหน้ายิ้ม ๆ 
    ก่อนหยิบโซจูมากระดกดื่มทั้งขวดหลายอึก ยุนอาเห็นแล้วยังต้องเบ้หน้า


    “ยุนอาอยากรู้รึเปล่าว่ายุนฮีตายยังไง?” 
    แดฮุนเอ่ยถามขึ้นไม่ทันตั้งตัวหลังจากวางโซจูขวดเล็กลง เหมือนล่วงรู้ความคิดของยุนอา 


    “ค่ะ” ยุนอาตอบหลังจากหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง 
    ถึงไม่อยากจะไปแตะต้องบาดแผลในใจของแดฮุน 
    แต่ยุนอาก็อยากรู้ความเป็นมาเช่นกัน 
    ในเมื่อเจ้าของเรื่องเสนอทางเลือกมาให้ ยุนอาก็ขอรับเอาไว้


    “รู้ใช่มั้ยว่าปี 1980 เกิดอะไรขึ้นที่นี่” 


    “รู้ค่ะ” ยุนอาพยักหน้ารับ นึกถึงเรื่องราวที่อยู่ในความทรงจำของคนทั้งประเทศ
    ปีที่คนกวางจูรวมพลังต่อต้านเผด็จการทหารกันอย่างแข็งขัน 
    จนเกิดการปะทะกันครั้งใหญ่ของพลเมืองและกองกำลังทหารติดอาวุธ 
    เหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยนองเลือดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของเกาหลีใต้ที่ไม่มีใครกล้าลืม


    แดฮุนหันมาจ้องหน้ายุนอา 
    ลึกลงไปในดวงตาเรียวเล็กที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายทศวรรษยังหลงเหลือความปวดร้าวจากเรื่องราวในอดีต 
    ยุนอาพูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกที่เห็นผ่านนัยน์ตาคู่นั้นทำให้ริมฝีปากของเธอหนักอึ้ง 
    ทำได้แค่รอฟังคำบอกเล่าจากคนสูงวัยกว่าเท่านั้น


    ซุนกยูและเพื่อน ๆ ที่ช่วยกันไปส่งคนเมาเข้านอนก็กลับมาทันประโยคถัดไป 
    เห็นความเงียบผิดปกติในวงเหล้าก็นึกแปลกใจ 
    แต่ซุนโฮและแทยอนให้ส่งสัญญาณให้ทั้งหมดเงียบเสียง


    “วันสุดท้ายก่อนสลายการชุมนุม ....ยุนฮีตายวันนั้น” แดฮุนบีบขวดโซจูแน่นขึ้น 
    “ลุงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายุนฮีอยู่ที่ศาลากลาง ฯ คิดว่าเค้าปลอดภัยแล้ว 
    เพราะลุงเป็นคนขังยุนฮีไว้ในห้องเองกับมือ 
    ครั้งสุดท้ายที่เจอ เราทะเลาะกันแรงมาก 
    ลุงกับแม่ไม่ยอมให้เค้ามาร่วมขบวนประท้วงด้วย แค่ลุงคนเดียวก็เกินพอ” 
    น้ำเสียงของแดฮุนเริ่มสั่นเครือเมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ 

    ภาพเหตุการณ์อันเลวร้ายที่สุดในชีวิตหวนกลับมาในความทรงจำเป็นฉาก ๆ 
    ลำคอตีบตันจนต้องผ่อนลมหายใจออกมาแรง ๆ ก่อนเล่าต่อ


    “แต่สุดท้าย เค้าก็หาทางหนีออกมาจนได้ ....ตอนเค้าตาย ไม่ได้สั่งลาใครสักคน.... 
    พี่ชายกับน้องสาวมาเจอกันอีกทีก็ตอนที่คนหนึ่งกลายเป็นศพไปแล้ว
    ” 
    แดฮุนปิดท้ายด้วยประโยคประชดประชันพร้อมแค่นยิ้มอย่างขมขื่น 
    หันมองยุนอาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ หากแต่ปราศจากหยดน้ำตา 
    บาดแผลกัดกินหัวใจเขาลึกจนเกินเยียวยา 
    ช่วงเวลาแค่สามทศวรรษไม่เพียงพอที่จะทำให้ความเจ็บปวดเหล่านั้นถูกลืมเลือน

    ลมเย็นพัดมาปะทะใบหน้าวูบหนึ่ง.... 

    “ครบรอบวันตายของยุนฮีทุกปี แม่ยังร้องไห้กอดหลุมศพเค้าอยู่เลย” 
    ไม่มีการชดเชยใดที่คุ้มค่ากับการสูญเสียของครอบครัวผู้เคราะห์ร้าย 
    เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการได้จากโลกนี้ไปแล้ว ตลอดกาล



    เหตุการณ์เหล่านั้นผ่านไปนานแล้ว แต่ยังคงบาดแผลฉกรรจ์ยังคงทิ้งร่องรอยไว้ให้ดูต่างหน้า
    แปรเปลี่ยนเป็นฝันร้ายที่ตามมาหลอกหลอนชั่วชีวิต



    “ขอบคุณจริง ๆ นะที่มา” แดฮุนวาดแขนขึ้นโอบไหล่ยุนอาแล้วกระชับแน่น 
    ราวกับจะถ่ายทอดความรู้สึกที่กักเก็บไว้มาที่เธอ ยุนอายังคิดคำพูดไม่ออก 
    พอ ๆ กับบรรดาคนรุ่นลูกที่นั่งฟังอยู่ด้วยกัน ทำได้เพียงฉีกยิ้มกว้างให้แล้วพยักหน้ารับคำเท่านั้น


    แดฮุนกระดกโซจูขวดเดิมอีกครั้งเหมือนต้องการชำระล้างความปวดร้าวในวันวานที่ยังฝังแน่นในใจ 


    “พวกเอ็งเงียบกันทำไม หือ?” ซุนโฮยื่นมือออกไปตบหลังแทอุนที่นั่งอยู่ใกล้มือที่สุด 
    ลดบรรยากาศหม่นหมองให้เบาบางลง โดยมีแดฮุนเป็นลูกคู่


    “นั่นสิ ฟังจบแล้วก็เอากีตาร์มาร้องเพลงสิ จงฮยอน แทอุน” แดฮุนบอก 
    จงฮยอนกับแทอุนปั้นหน้าไม่ถูกในนาทีแรกก่อนหันไปมองหน้าปรึกษากันแล้วทำอย่างที่ผู้สูงวัยบอก


    แทยอนมองใบหน้าที่เริ่มมีด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นอย่างไม่เข้าใจ 
    ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเรื่องราวเหล่านั้นไม่เคยหลุดออกจากปากของผู้เป็นบิดาแม้แต่ครั้งเดียว 
    แม้กระทั่งแทยอนเองก็ได้ฟังเรื่องนี้มาจากมารดาที่ถ่ายทอดให้ฟังอีกต่อหนึ่ง


    วงเหล้ากลับมาครึกครื้นอีกหนพร้อมกับสมาชิกที่เหลืออยู่ 
    ยุนอาหาจังหวะปลีกตัวออกมาเงียบ ๆ เพราะปวดศีรษะจนทนไม่ไหว 
    ซ้ำยังมีอีกหลายเรื่องต้องให้คิด อาศัยโซฟารับแขกในบ้านของซุนกยูแทนเตียงนอน 


    ดนตรีสดจากหน้าบ้านในยามค่ำคืนเสียงเบาลงเรื่อย ๆ เมื่อสติดำดิ่งสู่ความมืดมิด 



    ____________________________
    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×