ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Your mandate

    ลำดับตอนที่ #5 : ข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ทั่วไป แม่มด2

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ย. 54


    ความหวาดผวาของชาวยุโรป สาเหตุหนึ่งมาจากกรณีของจอมโหด "จิลล์ เดอ เคร" ซึ่งเป็นขุนนางฝรั่งเศสผู้เคยร่วมรบกับ "โจน ออฟ อาร์ค" มาแล้ว หลังการสงคราม จิลล์ สิ้นเนื้อประดาตัว และต้องการที่จะกลับมาร่ำรวยใหม่โดยอาศัย "มนตร์ดำ" ซึ่งในการนี้จำเป็นจะต้องใช้โลหิตของผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา เขาออกปฏิบัติการ"ฆ่า"เด็ก เอาโลหิตไม่น้อยกว่า 50 ราย แต่แล้วก็ถูกจับได้ และโดนประหารด้วยการ "เผาทั้งเป็น"นั่นเป็นตัวอย่างหนึ่งของพ่อมดหมอผี แต่ผู้ถูกกล่าวหาส่วนใหญ่แล้วมิได้เป็นอาชญากรแต่อย่างใด พวกเขาเป็นเพียงผู้สูงอายุที่สับสนและทำอะไรตามประสาคนแก่ หลงๆลืมๆ และเพี้ยนไปจากชาวบ้านเท่านั้น แต่พวกเขาก็ต้องตกเป็นแพะรับบาปในกรณีที่เกิดข้าวยากหมากแพง หรือมีใครที่เสียชีวิตโดยหาสาเหตุมิได้

                       เมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นพ่อมดแม่มดนั้น ก็หมายถึงต้องถูกทรมานและตายนั่นเอง ทางการท้องถิ่นจะเป็นผู้สอบสวนและลงโทษ การประหารครั้งใหญ่เกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 13 เหยื่อที่ถูกกล่าวหานั้นมิใช่ใครอื่น หากเป็นเหล่าอัศวินผู้พิทักษ์ศาสนา (Knight Templar) ผู้กลับมาจากสงครามครูเสด พร้อมด้วยทรัพย์สินที่ยึดมาได้มากมาย กษัตริย์ฟิลิปส์ที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ทรงริษยาในความมั่งคั่งร่ำรวยของเหล่าอัศวิน และคิดจะฮุบเอามาไว้เป็นของพระองค์ภายหลังการสอบสวน อัศวิน 54 คน พร้อมกับหัวหน้าถูกพิพากษา "เผาทั้งเป็น"

                       หลังจากนั้นใน ค.ศ. 1459 ก็มีการไต่สวนในข้อหาพ่อมดหมอผีครั้งใหญ่อีก และผู้เคราะห์ร้ายจำนวนมากก็โดนเผาทั้งเป็น ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านนับพันคน

                       การปราบปรามแม่มดได้พัฒานาสุดขีดใน ค.ศ. 1484 เมื่อสันตะปาปา "บุล" ทรงออกกำหมายลงโทฯผู้ที่ออกนอกรีตและฝักใฝ่ไสยศาสตร์ โดยมีพระคาทอลิก 2 องค์ นาม "ไฮน์ริช เครเมอร์" กับ "เจคอบ สเปรงเกอร์" ได้ช่วยกันออกหนังสือ "คู่มือล่าแม่มด (Malleus Maleficarum)" ยาว 200,000 คำ รวบรวมกำและวิธีการต่างๆในการจับกุม ทรมาน และประหารเหล่าแม่มดทั้งหลาย ซึ่งนานาประเทศในยุโรปได้ยึดเอาหนังสือเล่มนี้ประดุจคัมภีร์ในการกำจัดแม่มดเป็นเวลายาวนานกว่า 200 ปี

                       การล่าแม่มดมักเริ่มต้นด้วยการทดสอบง่ายๆ คือ จับตัวผู้ถูกสงสัยโยนลงน้ำ ถ้าหากเป็นแม่มดก็จะลอยขึ้นมา แต่ผู้บริสุทธิ์จะจม (บางทีก็จมน้ำตายไปเลย) และผู้ที่ลอยก็จะโดนนำตัวไปสอบสวนต่อไปการสอบสวนจะคล้ายๆกัน เมื่อถูกนำตัวขึ้นศาล ผู้ต้องสงสัยจะถูกซักถามเกี่ยวกับเวทมนตร์ที่ตนใช้ ความสัมพันธ์ที่มีกับซาตาน และกิจกรรมพิธีต่างๆ คณะศักดิ์สิทธิ์จะบีบบังคับให้สารภาพและบอกชื่อผู้กระทำผิด ถ้าหากผู้ต้องสงสัยปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ผู้สอบสวนก็จะแก้ผ้าผู้ต้องสงสัยออก แล้วโกนขนหมดทั้งตัวเพื่อค้นหาดู "เครื่องหมายปิศาจ" ที่ปรากฏอยู่บนตัว บางครั้งหัวนมที่สามหรือตุ่มไตต่างๆก็อาจถูกระบุว่าเป็นเครื่องหมายแม่มดได้ (ใช้สำหรับให้ทารกซาตานดูดนม) เครื่องหมายแม่มดนี้บางครั้งหลบซ่อนอยู่ใต้ผิวหนังมองไม่เห็น จึ้งต้องใช้อุปกรณ์แหลมคมเจาะหรือกรีดออกจึงจะพบ
    หลังจากพบเครื่องหมายแม่มดแล้ว ก็จะบังคับให้สารภาพอีกครั้ง ถ้าปฏิเสธก็ต้องทำการทรมาน เริ่มด้วยการตอกเล็บ ตามด้วยบีบขมับ เข้าเครื่องยืดแขนขา ถ้าหากยังปากแข็งก็เอาไปบีบอัดขา เอาเหล็กแดงๆจิ้มตามตัว สุดท้ายก็คือวิธี "แสตปตาโด" เอาร่างเปลือยของผู้สงสัยขึ้นแขวนโยงกับรอก และถ่วงน้ำหนักที่เท้า ดึงห้อยแขวนไว้จนกว่าจะยอมสารภาพ ซึ่งนั่นก็คือยอมถูกประหารนั่นเองปี ค.ศ. 1594 ที่เมืองคาลวินิสต์. สกอตแลนด์ "นางเอลิสัน บาลโฟร์" ถูกทรมานด้วยการเอาเหล็กรัดบีบแขนนาน 48 ชั่วโมง ในขณะเดียวกัน สามีวัย 80 กว่าของนางถูกแท่งศิลาหนัก 700 ปอนด์วางทับ ลูกชายถูกไม้เหลี่ยมตีหน้าแข้ง 57 ที จนกระดูกเละ แม้กระทั่งลูกสาวตัวน้อยวัย 7 ขวบ ก็ยังถูกตอกเล็บการถูกทรมานขนาดหนักเช่นนี้ น้อยรายนักที่จะทนได้ ต้องร้องสารภาพทุกราย

                       ยิ่งคิดค้นเครื่องประหารที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเท่าใด จำนวนผู้ตากก็มากขึ้นเท่านั้น เช่นบริเวณมณฑลเทรเวส (ปัจจุบันคือไทรเออร์) ในเยอรมนี ในช่วงเวลา 6 ปี มีผู้หญิงถึง 368 คน จาก 22 หมู่บ้าน ถูกประหารด้วยข้อหาเป็นแม่มด ต้นศตวรรษที่ 17 ท่านบิชอพแห่งเวอร์ซเบิร์ก ทางใต้ของเยอรมันนี ได้เผา "แม่มด" ทั้งเป็นกว่า 900 ราย มีทั้งชายและหญิง รวมทั้งเด็ก 7 ขวบ ซึ่งมาจากทุกฐานะ

                       กระทั่งล่วงเข้าศตวรรษที่ 17 ไปแล้ว ผู้คนเริ่มมีเหตุผลมากขึ้น โดยเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศแรกที่ประกาศยุติการประหารแม่มดใน ค.ศ. 1610 แต่กว่าจะยุติได้หมดทุกประเทศก็เกือบถึงปลายศตวรรษ และยุคแห่งความแตกตื่นกลัวแม่มดก็จบลงแต่เพียงเท่านี้...

                       (จำนวนผู้บริสุทธิ์ที่ถูกสังหารด้วยข้อหาแม่มดมีจำนวนมหาศาล เฉพาะในเยอรมนีมีไม่น้อยกว่า 100,000 คน ฝรั่งเศสกับสกอต์แลนด์รวมแล้วราว 10,000 คน อังกฤษประมาณกว่า 1,000 คน เมื่อประเมิณทุกประเทศ เชื่อกันว่าไม่น้อยกว่า 200,000 คน)
    ในยุคนี้เองมีความเชื่อว่า แมว เป็นสัตว์เลี้ยงของแม่มด  หากใครเลี้ยงแมวก็จะถูกจับไปเผาทั้งเป็น ทั้งคนเลี้ยงและแมว (น่าสงสารแมวจริงๆเพราะความเชื่อผิดๆ)
    ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เกิดกาฬโรคระบาดครั้งใหญ่ พาหะนำโรคก็คือหนู  ในตอนนั้นไม่มีแมวเหลือทีจะคอยกำจัดหนูให้อีกแล้ว
    (สืบเนื่องจากการฆ่าแมวเป็นจำนวนมาก)
    การระบาดของกาฬโรคในยุโรปยุคกลาง


    ใน ระหว่าง พ.ศ. 1891 - 1893 (รัชสมัยพระเจ้าลือไทย แห่งอาณาจักรสุโขทัย) ได้เกิดเหตุการณ์กาฬโรคระบาดอย่างรุนแรงในยุโรป จนประชากรล้มตายไปประมาณ 25% การไม่รู้สาเหตุทำให้ผู้คนไม่มีวิธีป้องกัน และแพทย์ไม่มีวิธีรักษา ดังนั้น ทุกคนในสมัยนั้นจึงมีชีวิตอยู่ภายใต้เงามัจจุราชตลอดเวลา
           
           จน กระทั่งปี 2437 แพทย์จึงรู้ว่ากาฬโรคเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ Baicllus pestis และคนที่เป็นโรคนี้ออกอาการได้ 3 รูปแบบ คือ กาฬโรคปอด (peneumonic) กาฬโรคต่อมน้ำเหลือง (bubonic) และกาฬโรคเลือด (septicemic) ซึ่งกาฬโรคทั้ง 3 ชนิดนี้ สามารถทำให้คนที่เป็นตายได้ภายใน 5 - 6 วัน หลังจากที่ถูกหมัดจากหนูกัด ทำให้มีไข้สูง รู้สึกเจ็บตามตัวและอ่อนเพลีย หลังจากนั้นตัวจะมีตุ่มเป็นจ้ำดำ ต่อมน้ำเหลืองบวม ใต้ท้องน้อย ต้นขา และรักแร้จะบวม การมีตุ่มดำ ก่อนเสียชีวิตเล็กน้อย ผู้คนจึงเรียกการตายด้วยโรคนี้ว่า Black Death แพทย์ยังได้พบอีกว่า การแพร่เกิดจากการไอ จาม และการระบาดมักอุบัติในที่ที่แออัด หรือที่ที่สาธารณสุขไม่ดี
           
           ในการศึกษาประวัติการระบาด ของโรคนี้ นักประวัติศาสตร์ได้พบว่า อาณาจักรโรมันได้เคยประสบเหตุการณ์กาฬโรคระบาดตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 11 แล้วได้สงบไป จนกระทั่งอีก 900 ปีต่อมา เมื่อเหล่าทหารในสงคราม Crusade เดินทางกลับจากตะวันออกกลาง กาฬโรคก็ได้ระบาดอีก โดยเฉพาะในปี 1991 นั้น มีผู้คนล้มป่วยมากมายในอิตาลี สเปน ฝรั่งเศส อังกฤษ สแกนดิเนเวีย และยุโรปตอนกลาง การระบาดมักเริ่มในเมืองที่มีประชากรหนาแน่น ในยามหน้าร้อน ซึ่งเป็นเวลาที่หนูในเมืองมีเกลื่อนกลาด แต่เมื่อถึงหน้าหนาว ความรุนแรงของโรคก็ลดลง และเริ่มระบาดใหม่อีกในฤดูใบไม้ผลิต่อมา
           
           ในปี 2208 (รัชสมัยพระนารายณ์มหาราช) สถิติการเสียชีวิตของคนอังกฤษในลอนดอนเท่ากับ 10% (50,000 คน) คนอิตาลีที่เมือง Florence ตาย 45,000 คน คนเยอรมันที่เมือง Hamburg ล้มตายเพราะกาฬโรค 60% คนฝรั่งเศสที่เมือง Marseilles ตาย 40,000 คน
           
           เมื่อผู้คนล้มตายกันมากมาย และมดหมอช่วยอะไรไม่ได้เลย อีกทั้งมาตรการป้องกันโรคที่บ้านเมืองกำหนดให้ทุกคนปฏิบัติ ก็ป้องกันอะไรไม่ได้ ดังนั้น ชาวเมืองจึงพากันคิดว่ากาฬโรคเป็นโรคที่พระเจ้าส่งลงมาฆ่าคนที่ทำบาป หลายคนคิดว่าคนยิวลอบเอายาพิษใส่ในบ่อน้ำ ทำให้คนที่ดื่มน้ำจากบ่อล้มตาย บางคนไปโบสถ์เพื่อสวดขอให้พระแม่มาเรียคุ้มครอง บ้างก็ไปพบนักบุญ Sebastian และ นักบุญ Roch เพื่อไถ่บาป บางคนใช้วิธีเปลื้องบาปโดยโบยตีตนด้วยแส้จนเลือดอาบ แต่ถึงจะใช้วิธีใด กาฬโรคก็ยังระบาด และผู้คนก็ยังล้มตายต่อไป ดังนั้น วิธีเอาตัวรอดวิธีต่อไปคือหนี โดยใช้รถม้า เกวียน รถเข็น หรือเรือหนีออกนอกเมืองทันทีที่รู้ว่ากาฬโรคระบาด บรรดาคนที่มีฐานะดี เช่น กษัตริย์ นักบวช พ่อค้า ทนาย ครู อาจารย์ ทหาร และแม้แต่แพทย์เองก็หนี ทิ้งคนจนที่ไม่มีปัจจัยป้องกันตัวเองเผชิญมัจจุราชตามลำพัง ส่วนคนรวยเมื่อหนีไปแล้วก็ไปพำนักในบ้านนอกเมือง โดยปิดประตูบ้านไม่รับแขกใดๆ เพราะเชื่อว่าคนที่มาเยือนคือยมบาลที่มาเรียกตัว
           
           ดัง ในปี 2106 ที่กาฬโรคระบาดในลอนดอน สมเด็จพระราชินี Elizabeth ที่หนึ่ง ทรงเสด็จหนีกาฬโรคไปประทับที่พระราชวัง Windsor นอกเมือง และพระองค์ทรงบัญชาให้ฆ่าทุกคนที่หนีมาจาก London เพื่อจะมาพักพิงในพระราชวังของนาง ส่วนรัฐบาลก็ได้กำหนดมาตรการสกัดการระบาด โดยส่งทหารไปล้อมเมืองที่มีการระบาดไม่ให้ใครเข้า-ออก และให้คนในเมืองปิดประตูบ้านของตนไม่ให้ใครไปไหนมาไหน ถ้าไม่จำเป็น สำหรับคนที่ป่วยก็ให้กักตัวอยู่ในบ้านของตน และตามจัตุรัสในเมืองมีการติดตั้งตะแลงแกงขู่ฆ่าคนที่ขัดขืนหรือไม่เชื่อคำ สั่ง
           

    สรุป  สำหรับวิธีการรักษากาฬโรคในสมัยนั้น แพทย์ใช้ทากดูดเลือดที่เชื่อว่าเป็นเลือดเสีย แพทย์บางคนรักษาไข้โดยการปล่อยเลือดให้ไหลออกจากร่างกาย ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยคนไข้แล้ว ยังทำให้คนไข้ตายเร็วด้วย และแพทย์บางคนให้คนไข้สูบบุหรี่ เพราะเชื่อว่าไอร้อนจากควันบุหรี่รักษากาฬโรคได้ ในปี 2111 ศัลยแพทย์ Ambroise Pare แห่งฝรั่งเศสได้บันทึกว่า เวลาสมาชิกของครอบครัวคนหนึ่งคนใดล้มป่วยด้วยกาฬโรค สถาบันครอบครัวจะล่มสลายทันที สามีจะทิ้งภรรยาที่เป็น ลูกจะทิ้งพ่อแม่ที่เป็น และพ่อแม่ก็จะทิ้งลูกที่เป็นกาฬโรคเช่นกัน ทำให้คนที่ถูกทอดทิ้งกลัวจนเสียสติ และฆ่าตัวตายกลางถนนในเวลาต่อมา ดังภาพ La Peste ที่ Raphael วาด ซึ่งขณะนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Uffizi ในเมือง Florence
    ยุคล่าแม่มดเป็นยุคมืด ของผู้ที่อ้างตัวว่าทำเพื่อพระเจ้า  แต่แท้ที่จริงแล้ว ทำไปเพราะ ความโลภอยากได้ของคนอื่น ความหลงในอำนาจกลัวจะสูญเสียมันไป ความโกรธความเกลียดจึงใส่ร้ายผู้อื่น โดยอ้างว่าทำไปเพื่อพระเจ้า ทั้งๆที่พระเจ้าไม่เคยบอกให้ฆ่าผู้คนเพื่อพระองค์
    พระเจ้ามีแต่สอนให้รักผู้อื่น ทำตัวเป็นผู้ให้ มอบความรักแด่สัตว์โลกทั้งมวล ไม่ว่าศาสนาใดก็ตามที
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×