คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : EP.5 ที่แท้ก็ก็แค่พี่-น้อง
ร้านเบเกอรี่ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าของสาวหล่อร่างสูงดูคุ้นๆตาเขาอยู่บ้างแต่เขาก็จำไม่ได้ว่าคุ้นตาจากที่ไหน
จะว่าไปแล้วจากตรงนี้ไปถึงมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ห่างกันมากนัก
แต่เนื่องด้วยย่านนี้เป็นย่านธุรกิจเขาจึงไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องมาแถวนี้
แต่ก็อีกนั่นแหละ...เขาไปคุ้นตาร้านเบเกอรี่ร้านนี้มาจากที่ไหนกัน
“คุณแม่ขา สวัสดีค่ะ...” เสียงหวานทำให้สาวหล่อหยุดความคิดที่กำลังตบตีกันอยู่ภายใต้สมองอันชาญฉลาดของเขาแล้วหันไปสนใจสิ่งที่เธอพูดกับเจ้าของร้านสาว
‘คุณแม่’ อย่างนั้นเหรอ
“พี่เมี่ยง” เสียงหวานหันมาเรียกเขา
เมี่ยงเดินตามเสียงเรียกไปหยุดอยู่เบื้องหน้าผู้เป็นมารดาของรุ่นน้องสาว
ก่อนที่รุ่นน้องหน้าหวานจะพูดต่อ “นี่คุณแม่ของกี้เองค่ะ”
สิ้นเสียงรุ่นน้องหน้าหวาน
สาวหล่อก็รีบยกมือขึ้นมาไหว้หญิงอาวุโสกว่าอย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะ” เขากล่าวสั้นๆ
“สวัสดีจ๊ะ” คุณแม่ของคุ้กกี้รับไหว้ ก่อนจะหันไปคุยกับลูกสาว “แล้วนี่พี่ฟ่อนไม่กลับมาพร้อมกันเหรอลูก”
“วันนี้พี่ฟ่อนมีประชุมกรรมการชมรมถ่ายภาพค่าคุณแม่
คงกลับตอนค่ำๆโน่นล่ะค่ะ” เสียงเล็กตอบกลับอย่างออดอ้อน
ก่อนจะพูดต่อ “นี่พี่เมี่ยงก็เป็นเพื่อนพี่ฟ่อนนะคะ
แล้วก็เป็นพี่รหัสน้องกี้ด้วย”
การสนทนาระหว่างสองแม่ลูกเมี่ยงได้ยินทุกประโยคเพราะเขาเองยังยืนอยู่ข้างๆคุ้กกี้
มันหมายความว่ายังไงกันแน่...ชิฟฟ่อนเพื่อนของเขาอยู่ที่นี่
หรือเป็นเพราะว่าชิฟฟ่อนมาส่งคุ้กกี้ทุกวันจึงทำให้ชิฟฟ่อนสนิทกับคุณแม่ของรุ่นน้องสาว
ถ้าเปิดตัวกันขนาดนี้แล้วทำไมรุ่นน้องสาวถึงยังทำเหมือนกับให้ความหวังเขาอย่างนั้น
ตั้งแต่ก้าวแรกที่เขาย่างเข้าร้านเบเกอรี่ร้านนี้ก็มีแต่เรื่องให้เขาต้องคิด นี่มันเป็นเรื่องอะไรกันแน่...
“เป็นเพื่อนฟ่อนเหมือนกันเหรอลูก
ไม่เห็นเจ้าฟ่อนพามาทานขนมที่ร้านเลย”
คุณแม่ของรุ่นน้องหันมาพูดกับเขา
“อ่อ..ฮะ..อืม..ค่ะ
หนูเป็นเพื่อนกับฟ่อนตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วค่ะ”
ด้วยเพราะว่ายังตั้งตัวไม่ติด มึนงง และอะไรๆมากมายจึงทำให้สาวหล่อผู้มาดมั่นดูต่างไปจากทุกที
“พูดตามสบายเถอะจ้า
แม่ชินกับเจ้าฟ่อนแล้วล่ะ รายนั้นนะทั้งคับ ทั้งฮะ อะไรให้ปวดหัวไปหมด” เจ้าของร้านเบเกอรี่พูดอย่างอารมณ์ดี
เธอรับได้กับทุกสิ่งที่ลูกเป็นขอแค่เป็นคนดีก็พอ
“คุณแม่ขา
ถ้าอย่างนั้นน้องกี้ขอขึ้นไปเปลี่ยนชุดก่อนนะเจ้าคะ”
คุ้กกี้หอมแก้มมารดาฟอดใหญ่ก่อนจะเดินขึ้นบันไดแต่ก่อนที่เธอจะก้าวเท้าเธอก็หันกลับมาหารุ่นพี่สาวหล่อเพื่อบอกว่า
“ตามสบายนะคะพี่เมี่ยง เดี๋ยวกี้มาค่ะ”
ร่างบางเจ้าของประโยคเมื่อครู่จะรู้บ้างหรือเปล่า...การทำหน้าตาแบบนั้นมันทำให้รุ่นพี่มาดนิ่งอย่างเมี่ยงหัวใจละลาย
“เมี่ยงไปนั่งรอน้องที่โซฟาก็ได้ลูก
เดี๋ยวน้าเอาเค้กไปให้...เอ เมี่ยงชอบเค้กอะไรล่ะลูก”
“อ้อ..เอ่อ...อะไรก็ได้ค่ะ” สาวหล่อที่มัวแต่มองคนตัวเล็กเดินขึ้นชั้นบนของบ้านตอบกลับไปตะกุกตะกัก
“ได้จ๊ะ เดี๋ยวน้าเอาไปให้นะ
ไปนั่งตามสบายเถอะลูก” พูดจบเจ้าของร้านเบเกอรี่ก็หมุนตัวกลับไปทำอะไรๆที่เธอทำค้างเอาไว้
ส่วนผู้มาเยือนก็เดินไปนั่งอยู่ตรงโซฟาทรงโมเดิลสีครีมตรงหน้าเคาน์เตอร์
แม้ว่าในมือหนาของสาวหล่อจะมีหนังสือแต่งบ้านชื่อดังอยู่
ดวงตาคู่คมจะมองมายังหนังสือแต่งบ้านเล่มนั้นแต่จิตใจของเขากลับไม่ได้สนใจอยู่กับสิ่งที่อยู่ในมือหรือสิ่งที่ตามองอยู่เลยแม้แต่นิด
‘ตกลงว่าฟ่อนกับน้องคุ้กกี้เป็นอะไรกันแน่’
นั่นคือสิ่งที่เขาคิดมันวนไปวนมา
เมี่ยงเริ่มลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่วันแรกที่เขาได้เจอเพื่อนรักอยู่กับรุ่นน้องที่ชื่อคุ้กกี้
เพื่อนรักของเขาไม่เคยพูดออกมาอย่างชัดเจนว่าเขากับคนหน้าหวานเป็นอะไรกัน
แต่เพราะความสนิทสนมของทั้งคู่ทำให้เขาคิดอะไรๆไปเองอย่างนั้นเหรอ
แต่ถ้าไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วทำไมเพื่อนรักของเขาจะต้องหวงรุ่นน้องหน้าหวานยิ่งกว่าอะไร
ทำไมคนทั้งสองต้องไปเรียนและกลับบ้านพร้อมกัน ทั้งที่บ้านก็ยังรับรู้อีกด้วย
‘ปึก...เพล้ง....’ เสียงของจานขนมเค้กหล่นลงพื้นเมื่อมือหนาของสาวหล่อที่มัวแต่นั่งใจลอยปัดไปโดนทั้งยังทำให้ชาเขียวเย็นๆหกใส่ตัวเองเสียอีก...ดังนั้นร่างสูงจึงเปียกชุ่มไปด้วยน้ำเขียวๆของชาเขียวเย็นๆของโปรดของตัวเอง
“ขอโทษครับ ขอโทษครับ...” ร่างสูงพูดอะไรไม่ได้มากนักเมื่อเขาเป็นคนที่ผิดเสียเอง
ดันนั่งใจลอยคิดไรไปเรื่อยเปื่อย
ส่วนมือนั้นก็ไม่ยอมอยู่สุขไปปัดโน่นปัดนี่ซะหล่นแตกหมด
“ไม่เป็นไรค่ะพี่เมี่ยง...อุ้ยพี่เมี่ยงเลอะหมดเลย” กลายเป็นเสียงหวานๆของรุ่นน้องแทนน้าสาวเจ้าของร้านเบเกอรี่
คุ้กกี้นั่นเองคือคนที่เอาขนมเค้กและชาเขียวมาให้เขา
“เอ่อ...ขอโทษนะครับกี้
พอดีพี่นั่งคิดไรเยอะแยะไปหมดเลยไม่รู้ว่ากี้...”
ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้น
“คุ้กกี้พาพี่เมี่ยงไปล้างตัวสิคะ”
“ค่ะคุณแม่” เสียงหวานตอบกลับไป ทั้งยังเดินนำให้คนตัวเปียกชาเขียวเดินตาม
“เดี๋ยวหนูเอาเสื้อผ้าพี่ฟ่อนให้พี่เมี่ยงเปลี่ยนไปก่อนก็ได้นะลูก
ถ้ารายนั้นกลับมาแม่จะบอกเค้าเอง”
น้าสาวเจ้าของร้านพูดต่อเมื่อลูกสาวคนสวยเดินนำหน้าคนตัวเปียกมาหยุดอยู่ตรงเคาน์เตอร์
“เอ่อ..ไม่เป็นไรฮะคุณน้า
ไม่ได้เลอะอะไรมากอีกอย่างก็เป็นความผิดเมี่ยงเองด้วย”
“เอาน่าๆ
เจ้าฟ่อนไม่หวงเสื้อผ้าหรอก เปลี่ยนไปเถอะกว่าจะกลับมีหวังมดเดินตามเป็นแถวแน่ๆ” น้าสาวเจ้าของร้านแซวร่างสูงอย่างอารมณ์ดี
ทำเอาคนโดนแซวถึงกับหน้าแดงที่มาครั้งแรกก็มาสร้างวีรกรรมเปิ่นๆเสียแล้ว
“ห้องพี่ฟ่อนอยู่ชั้นสามค่ะพี่เมี่ยง
เดี๋ยวกี้พาไปนะคะ” ความงงทวีคูณขึ้นมาในหัวที่ตอนนี้ทั้งงง
ทั้งอาย
บานประตูที่ด้านหน้ามีป้ายผ้าทีมฟุตบอลทีมโปรดของเพื่อนรักติดอยู่ถูกเปิดออกโดยมือเรียวๆของคนที่พาขึ้นมา
ภายในห้องตกแต่งเอาไว้ด้วยโทนสีเรียบๆเฟอร์นิเจอร์ถูกจัดวางไว้อย่างเหมาะสมจะมีก็แต่เสื้อผ้า
ข้าวของเครื่องใช้เท่านั้นที่วางอยู่ระเกะระกะบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าของห้องเป็นคนนิสัยอย่างไร
“ห้องน้ำอยู่ด้านโน้นค่ะ
พี่เมี่ยงไปอาบน้ำก่อนเดี๋ยวกี้หาชุดไว้ให้...นะคะ”
“ครับ ขอบคุณนะ”
พูดจบแค่นั้นร่างสูงก็เดินหายวับเข้าไปในห้องน้ำตามที่รุ่นน้องสาวหน้าหวานบอก
น้ำเย็นๆจากฝักบัวที่ไหลรดรินผิวกายของสาวหล่อไม่สามารถทำให้คนใจร้อนใจเย็นลงได้
หากเขามองไม่ผิดภายในห้องมีรูปถ่ายอยู่เต็มไปหมดและแต่ละรูปก็มักจะมีเจ้าของห้องและคุ้กกี้รวมอยู่ในนั้นด้วย
ในเมื่อใจมันร้อนเสียจนแทบจะทนไม่ไหวเมี่ยงจึงรีบชำระล้างร่างกายเพื่อที่จะออกมาดูภาพถ่ายทั้งหมดชัดๆสักที
หวังว่าตอนนี้คนที่นำทางมาคงจะออกจากห้องไปแล้ว
เพราะไม่อย่างนั้นคงต้องได้เห็นอะไรๆของเขาแน่ๆ
เป็นจริงอย่างที่คิดเมื่อร่างสูงออกจากห้องน้ำมาก็พบว่าตอนนี้ภายในห้องไม่หลงเหลือใครเอาไว้สักคน
มีเพียงเสียงเพลงที่เปิดดังอยู่ด้านนอกที่เขาเห็นเป็นมุมนั่งเล่นน่ารักๆ
เมี่ยงรีบจัดแจงแต่งตัวอย่างรวดเร็วและตรงไปยังภาพถ่ายใบใหญ่ที่ถูกใส่กรอบเอาไว้อย่างสวยงามบนผนังห้องสีเรียบ
คนในภาพมีอยู่ด้วยกันสามคน คือ ชิฟฟ่อน คุณน้าเจ้าของร้าน และคุ้กกี้
ดูท่าทางแล้วภาพนี้น่าถ่ายมาได้หลายปีแล้วเพราะคนตัวเล็กที่สุดของภาพยังอยู่ในเครื่องแบบมัธยม
“ตกลงมันยังไงกันวะเนี่ย
เอ...รึว่าไอ้ฟ่อนจะเป็นพี่ของกี้ แล้วทำไมมันไม่ยอมบอกเราตรงๆวะ” ร่างสูงจะพูดกับใครไปไม่ได้นอกจากพูดกับตัวเอง
“หรือว่า...ไอ้ฟ่อนกับน้องกี้จะคบกันมานานแล้ว
ตั้งแต่ตอนน้องกี้ยังเรียน มอปลายอยู่ โอ้ยๆๆ คิดไม่ออกวุ้ย”
‘ก๊อกๆ’
เสียงของใครบางคนเคาะประตูห้อง
“พี่เมี่ยงเรียบร้อยแล้วเหรอคะ” เสียงหวานๆถูกส่งมาจากหน้าประตู
“อ่ะ...คะ..ครับ” ทำไมต้องมาเป็นคนพูดความจริงเอาเวลาอย่างนี้ก็ไม่รู้สิน่า
เมี่ยงเอ้ยเมี่ยง
“รูปนั้นถ่ายตอนพี่ฟ่อนเข้าเรียน
มหา’ลัยน่ะค่ะ ตอนนั้นกี้ยังอยู่ มอห้า อยู่เลย” คนที่เพิ่งเข้ามาเริ่มบรรยายเกี่ยวกับภาพถ่ายที่ร่างสูงยืนดูอยู่
“อ้อ”
เมี่ยงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปยังอีกภาพ “แล้วนี่รูปใครเหรอครับ”
ด้วยความอยากรู้เมี่ยงจึงหยิบเอารูปเด็กผู้หญิงคนหนึ่งน่าตาจิ้มลิ้มน่ารักที่ข้างๆมีเด็กอีกคนที่ดูโตกว่ายืนอยู่
“นั่นก็กี้กับพี่เมี่ยงนี่แหละค่ะ”
สิ้นเสียงร่างสูงถึงกับฉีกยิ้มเมื่อได้รู้เสียทีว่าอะไรมันคืออะไร
‘ไอ้เพื่อนตัวแสบทำให้กูคิดเอง เออเองอยู่ได้’
สาวหล่อยืนฟังรุ่นน้องหน้าหวานเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยที่เธอกับพี่สาวยังเด็กให้รุ่นพี่ฟัง
นี่ถ้าไม่ได้ชาเขียวเย็นๆแก้วนั้นหกใส่จนตัวเปียกชุ่มล่ะก็...ต้องหักห้ามใจตัวเองจนเป็นบ้าแน่ๆเมี่ยงเอ้ย
“กี้ไม่ต้องบอกไอ้ฟ่อนมันนะ
เรื่องที่กี้เล่าเรื่องตอนเด็กๆของมันให้พี่ฟังน่ะ”
ร่างสูงหันไปบอกคนตัวเล็กกว่า ตอนนี้เขามีแผนการแก้เผ็ดคนพี่ที่มาทำให้เขาเข้าใจอะไรผิดๆมาเสียนาน
“ทำไมคะ”
“เดี๋ยวมันอาย” เมี่ยงตอบสั้นๆก่อนจะเดินนำหน้าออกจากห้องนอนของเพื่อนรัก
คราวนี้ล่ะแกได้กระอักเลือดแน่ชิฟฟ่อน
“นี่ก็เย็นมากแล้ว
ยังไงเมี่ยงขอตัวกลับเลยนะฮะคุณแม่”
ร่างสูงเปลี่ยนสรรพนามให้กับเจ้าของร้านเบเกอรี่ทันที
จะทำไมล่ะในเมื่อตอนนี้เขาก็รู้อะไรๆแล้ว...แล้วทำไมเขาจะไม่เดินหน้าจีบลูกสาวของคุณแม่เจ้าของร้านเบเกอรี่ล่ะ
แม้ว่าคนฟังจะนิ่วหน้าเพราะงงๆกับอาการแปลกๆของสาวหล่อแต่เธอก็พยักหน้ารับ
“ขับรถกลับดีๆล่ะลูก”
“ฮะ สวัสดีฮะ” เมี่ยงพูดกับคุณแม่ของเพื่อนก่อนจะหันไปสบตากับรุ่นน้องสาวหน้าหวานที่ตอนนี้เขาไม่ต้องปิดกั้นความรู้สึกที่มีต่อเธออีกต่อไปแล้ว
“พี่กลับก่อนนะ”
“เสื้อผ้าพี่เมี่ยง
เดี๋ยวกี้ซักแล้วเอาไปให้ที่ มอ.นะคะ”
“จ๊ะ แล้วเจอกันที่คณะพรุ่งนี้นะครับ” แม้ว่าคำตอบของคนตัวสูงจะทำให้คุ้กกี้งงๆเล็กน้อยแต่ก็ชุ่มชื่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
- - - - -
ร่างสูงขับเคลื่อนเจ้าสองล้อคู่ชีพออกไปไกลแล้วและมีรถยนต์คันคุ้นตาเคลื่อนมาจอดแทนที่
เจ้าของรถยนต์คันนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือพี่สาวที่เธอเห็นมาตั้งแต่เธอจำความได้
“เมื่อกี้ไอ้เมี่ยงนี่
มันมาทำไรอ่ะ” คนพี่ซักเสียงเขียว
นี่ถ้าพามาบ้านก็ไม่รู้จะมีอะไรยังไงอีก
หรือว่าการที่เขาทำให้เพื่อนรักเข้าใจผิดยังไม่พอที่จะทำให้เพื่อนรักมายุ่งกับน้องสาวของเขา
“มากินเค้ก
แล้วก็กินชาเขียวด้วย”
คุ้กกี้ตอบกลับอย่างอารมณ์ดีม้วนอายอย่างกับเขินอะไรสักอย่าง
ก่อนจะเดินเข้าไปภายในร้าน ปล่อยให้พี่สาวยืนมองพฤติกรรมแปลกๆของน้องสาวที่เขาไม่เคยเห็น
ก่อนที่จะเดินตามเข้าไปติดๆ
“กี้ขึ้นไปซักเสื้อของพี่เมี่ยงก่อนนะคะแม่”
สิ้นเสียงหวานๆก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาราวกับว่าตกใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
“เสื้อไอ้เมี่ยงมาอยู่นี่ได้ไงยัยกี้” แล้วก็ต้องเป็นคุณนายเจ้าของร้านเบเกอรี่ที่ต้องตอบคำถามของลูกสาวคนโต
เพราะคนถูกถามได้เดินตัวลอยขึ้นไปด้านบนเรียบร้อยแล้ว
“เมี่ยงเค้ามาส่งน้องคุ้กกี้
แม่ก็เลยให้เมี่ยงชิมเค้กกับชาเขียวฝีมือแม่ แต่ไม่ได้กินกลับเอาไปอาบซะอย่างนั้น”
“แล้วให้ไอ้เมี่ยงไปอาบน้ำที่ห้องใคร
เอาเสื้อผ้าใครใส่กลับ แล้ว...” ลูกสาวคนโตทำท่าจะซักยาว
ผู้เป็นแม่เลยตบที่โซฟาเป็นสัญญาณบอกให้เขามานั่งข้างๆ
“ก็ให้ใส่เสื้อชิฟฟ่อนกลับแหละลูก
ส่วนอาบน้ำก็ต้องให้ไปอาบห้องชิฟฟ่อนสิ ให้ไปอาบห้องน้องได้ยังไง
เพื่อนเราถ้าเปรียบไปแล้วก็เหมือนผู้ชายนั่นแหละ”
“โถ่แม่อ๊ะ
จะทำไรทำไมไม่บอกฟ่อนบ้างล่ะฮะ” จะให้ว่าคนเป็นแม่ก็ไม่ได้
สาวหล่อจึงทำได้แค่โอดครวญ ไม่รู้ว่าเจ้าเพื่อนรักนั่นรู้อะไรๆไปหมดแล้วหรือยัง
ที่ชั้นสองของร้านเบเกอรี่ภายในห้องสี่เหลี่ยมโทนสีชมพูอ่อนที่มีคุ้กกี้เป็นเจ้าของห้อง
ร่างบางที่ถือเสื้อเชิ๊ตสีขาวของรุ่นพี่เอาไว้ในมือดวงตากลมโตมองเสื้อในมือนั่นราวกับว่าเสื้อนั้นคือคนร่างสูงที่เข้ามาทำให้หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะทุกครั้งที่เข้าใกล้
กลิ่นน้ำหอมจางๆที่เสื้อยิ่งทำให้เธอมองเห็นภาพของรุ่นพี่ได้ชัดเจนมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นซ้าย
ขวา หน้า หลัง มุมไหนเธอก็จำภาพเขาได้เป็นอย่างดี
‘ก๊อกๆ’
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้ร่างบางต้องดึงสติที่หลุดลอยตามเจ้าของเสื้อเชิ๊ตสีขาวในมือให้กลับเข้าร่าง
ก่อนที่จะส่งเสียงออกไป “ใครค้า”
“พี่เอง เข้าไปได้มั้ย” เสียงทุ้มของพี่สาวใจเป็นชายของเธอตอบกลับมา ถึงไม่บอกเธอก็รู้อยู่แล้ว
“ค่า”
เธอตอบสั้นๆก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเสื้อเชิ๊ตของเพื่อนรักของพี่ยังอยู่ในมือ
เธอจึงวางมันลงอย่างเบามือ ก่อนจะหันไปสนใจคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาภายในห้อง
“เราเป็นคนชวนไอ้เมี่ยงมาบ้านเหรอ” มาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรเอาแต่จะถามน้องให้ได้เรื่อง
“ก็พี่ฟรอยด์บอกว่าวันนี้พี่เมี่ยงเกิดอารมณ์อยากกินเค้กขึ้นมา
เค้าก็เห็นว่าบ้านเราก็มีเค้ก...ก็เลยชวนพี่เมี่ยงมา ตัวมีไรหรอ”
“แล้วมันทำท่าเหมือนสงสัยอะไรบ้างป๊ะ” เข้าเรื่องทันที
“ไม่มีนี่
เพราะว่ายังไม่กินไรเลยชาก็หกรดตัวพี่เมี่ยง ตัวเปียกหมด แม่ก็เลยบอกให้เค้าพาพี่เมี่ยงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องตัวอ่ะ
ตัวหวงเสื้อป่ะล๊า” คนน้องถามกลับอย่างอารมณ์ดี
เพราะเธอรู้ดีว่าพี่สาวของเธอไม่เคยหวงของถ้าเป็นคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นญาติพี่น้องหรือแม้แต่เพื่อน
“อื้ม ก็ไม่มีไรหรอก ....แต่
ไอ้เมี่ยงมันไม่ถามอะไรตัวแปลกๆเลยเหรอ” เสียงอ่อนลงมาอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่มี”
เธอปด...ปดพี่สาวตัวเอง
แต่เธอคิดว่ามันก็น่าจะดีกว่ารับปากรุ่นพี่ที่ชื่อเมี่ยงเอาไว้แล้วแต่ไม่ยอมทำตามสัญญา
“งั้นก็ไม่มีไรและ
เค้าไปอาบน้ำก่อนนะ เหนี๊ยว เหนียวตัว”
คนอารมณ์ดีเพราะคิดว่าความจริงยังไม่ถูกเปิดเผยเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่รู้ว่าชะตากรรมของตัวเองนับจากวันพรุ่งนี้มันจะเป็นอย่างไร
“พี่ฟ่อนนี่ก็แปลกคน” เจ้าของห้องถึงกับต้องพูดคนเดียวเมื่อพี่สาวเดินออกจากห้องไปเรียบร้อย
ก่อนจะหยิบเอาเสื้อเชิ๊ตตัวนั้นขึ้นมาถือไว้ในมืออีกครั้ง
แต่แล้วสายตาเธอก็เหลือบเป็นอะไรบางอย่างในกระเป๋าเสื้อ....เธอหยิบมันออกมาแล้วคลี่มันออก
ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กๆสีน้ำเงินเข้มที่ปลายผ้าสองด้านถูกปักเอาไว้ด้วยด้ายสีขาวว่า ‘Cookie’
ส่วนที่เหลืออีกสองด้านปักว่า ‘meang’
ยิ้มกว้างของคนที่นั่งกำผ้าเช็ดหน้าสีเข้มเอาไว้แน่นผุดขึ้นพร้อมๆกับใบหน้าสีแดงเรื่อ
คุ้กกี้ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมานั่งเขิน ใบหน้าร้อนวูบวาบ
เพราะการกระทำของรุ่นพี่สาวหล่อที่เธอมักจะใจสั่นเมื่ออยู่ใกล้
ตั้งแต่จำความได้แม้ว่าเธอเองจะเคยมีสาวหล่อหรือหนุ่มๆหน้าตาดีมาจีบแต่เธอก็ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน
ความรู้สึกที่ได้อยู่ใกล้ก็สุขใจ
แค่ได้สัมผัสแค่เพียงแตะมือก็เหมือนกับมีไฟฟ้าวิ่งเข้าสู่ร่างกาย
ความรู้สึกวูบวาบเหมือนกับร่างกายไร้น้ำหนักเมื่อได้รับรู้ว่าตัวเองมีความสำคัญถึงกับที่เจ้าของผ้าเช็ดหน้าเอาชื่อของเธอไปปักเอาไว้ทั้งยังเอาใส่ไว้ที่กระเป๋าเสื้อด้านซ้าย...ที่เดียวกับหัวใจ
หรือว่านี่....ที่เขาเรียกกันว่าความรัก
‘วิ้ง วิ้ง วิ้ง....’
เสียงเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กที่คุ้กกี้เอามันเก็บไว้ในกระเป๋าถือส่งเสียงร้องให้เจ้าของรับรู้ว่ามีใครบางคนส่งข้อความมาถึง
เธอเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาดูแต่ในมืออีกมือก็ยังถือผ้าเช็ดหน้าสีเข้มเอาไว้ราวกับกลัวว่ามันจะหายไปไหน
ข้อความ mms
เป็นรูปตัวกระต่ายหูสีชมพูที่กำลังถูตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำแล้วมีคำพูดลอยขึ้นมาว่า ‘จานอนรึยาง ถ้ายังมาช่วยถูหลังหน่อย อ่ะล้อเล่น...ยังไงคืนนี้ก็ฝันดีนะจ๊ะ’ ทำเอาคนที่ยังเขินไม่หายอุณหภูมิในร่างกายเพิ่มมากขึ้น จากใบหน้าหวานๆที่ว่าแดงแล้วตอนนี้ยิ่งแดงยิ่งกว่า...และยิ่งกว่านั้นเมื่อเลื่อนลงมาอ่านข้อความข้างล่าง
“พรุ่งนี้เจอกันที่หน้าคณะนะคับ
เสื้อพี่ยังไม่ต้องซักก็ได้...เผื่อจะได้มีข้ออ้างไปหากี้ที่บ้าน ฝันดีคับ”
แค่ได้เห็นข้อความมือไม้คนตัวเล็กก็หมดเรี่ยวแรงขึ้นมากระทันหันทำเอาเจ้าโทรศัพท์เครื่องจิ๋วล่วงลงไปนอนแอ้งแม้งบนที่นอนนุ่มๆ
ดีนะที่มีที่นอนรองรับเอาไว้ไม่อย่างนั้นมีแต่พัง...พัง...พัง
“พี่เมี่ยงบ้า”
คุ้กกี้พูดกับผ้าเช็ดหน้าสีเข้มไม่เพียงเท่านั้นเธอยังแลบลิ้นใส่มันอย่างกับว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเป็นตัวแทนของใครบางคน
- - - - -
“สงสัยเธอสะกดใจช้าน ด้วยคำ
คำว่าไอเลิฟยู โอ้ยย” กระเทยลัลล๊าที่เดินฮัมเพลงมาแต่ไกลร้องเสียงหลงเพราะโดยเพื่อนทอมอย่างเมี่ยงที่วิ่งตามมาบีบก้นเข้าอย่างจัง
“นังท๊อมมมม” ฟรอยด์พูดได้แค่นั้น
เพราะตอนนี้มือหนาของสาวหล่อปิดปากเพื่อนกระเทยเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย
“ชัทอัพ
นิ่งๆแล้วฟังพี่นะจ๊ะน้องฟรอยด์” “น้องกี้กับไอ้ฟ่อนเป็นพี่น้องกัน
ไม่ได้เป็นแฟนอย่างที่มันพยายามทำให้พวกเราเข้าใจ”
สาวหล่อพูดทั้งยังแสงดอาการภูมิอกภูมิใจกับสิ่งที่ได้รับรู้มา
ก่อนจะเอามือที่ปิดปากเพื่อนสาวออก
“ก็ดีแล้วนี่ยะ แกจะได้ตะลุยจีบน้องเค้าได้อย่างเต็มที่
ไม่ต้องมานั่งทำหน้าเหมือนคนไม่...ขะ…รอด้วยนังท๊อมมมมมม”
ไม่ทันได้พูดอะไรต่อเพราะต้องวิ่งตามคนอารมณ์ดีที่พูดจบก็เดินไปโดยไม่รอฟังอะไร
“ตอนนี้มันแค้น...แค้นอย่างเดียว
แต่ยังหาทางแก้แค้นไอ้ฟ่อนไม่ออก กระเทยน้อยหอยสังข์ช่วยพี่ทอมสุดหล่อคิดหน่อยดิ” หยุดเดินแล้วหันมาทำหน้าตาเว้าวอนเพื่อนชายใจหญิง
แถมด้วยการเสนอของสมนาคุณ
“ถ้าแกช่วยชั้น...เอาอะไรดี...ยาคุมสักโหลมั้ย...นมจะได้โตๆ”
“อิ๊บ้า...ถ้าจะให้ไอ้นั่นน่ะไม่ต้อง
ชั้นซื้อเองได้ แกต้องเอาคอร์สสปาหน้ามาบรรณาการชั้น”
คนเป็นต่อพูดทั้งยังเชิดหน้ากอดอกมาดมั่นว่า จะได้คอร์สสปาหน้าจากสาวหล่อร่างสูง
“โห
ถ้าจะเอาขนาดนั้น...แกต้องทำให้ชั้นกับน้องกี้เป็นแฟนกันให้ได้ด้วยเถอะ จะเอาของใหญ่ก็ต้องลงทุน
นังกระเทย”
“ด้ายยย
ชั้นทำให้แกมีเวลาใกล้ชิดกับน้องเค้าได้ แต่เรื่องทำคะแนนแกต้องทำเองนะจ๊ะ
มิอย่างนั้นแกก็จะมองไม่เห็นค่า ถ้าแกได้มาง่ายๆ”
“โอ...งั้นว่ามาเลย” สาวหล่อรับคำทั้งยังทำหน้าตาชั่วร้าย
“อีกสองเดือนจะมีการแข่งขันกีฬามหา’ลัยใช่มะ แล้วชั้นก็เป็นคนคุมทีมเชียร์
ชั้นจะเอาน้องกี้มาเป็นเชียร์ลีดเดอร์”
แค่ได้รู้ความคิดของฟรอยด์ร่างสูงถึงกับส่ายหน้า
ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเปล่า...เพราะถ้าทำแบบนั้นคนก็ต้องรู้จักรุ่นน้องหน้าหวาน...หวานใจของเขาและก็ต้องมีคนมาจีบคุ้กกี้เยอะแน่ๆ
“ไม่เอาอ่ะ
ไม่มีวิธีอื่นรึไงวะ”
“ไม่มี
เพราะถ้าไม่หากิจกรรมให้น้องกี้ทำ น้องกี้ก็ต้องติดกับนังทอมฟ่อนเป็นปาท่องโก๋อยู่แบบนี้
แกจะไปพรากพี่พรากน้องเค้ามายังไงล่ะ
คิดบ้างอะไรบ้าง...เป็นทอมหน้าตาดีนิดนึงแล้วยังโง่อีก” พูดจบก็หันไปเห็นหน้ากังวลของสาวหล่อ
ฟรอยด์จึงพูดต่อ “ถ้าแกแน่จริง
ไม่ว่าใครจะเข้ามาน้องกี้ก็จะไม่สนใจใครหรอก”
“เออ ก็ได้วะ
เนี่ยชั้นนัดน้องกี้เอาไว้หน้าคณะ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเข้ามารึยังดิ”
“มาแล้วมั้ง
เดี๋ยวชั้นไปด้วยเลย จะได้บอกน้องกี้เลย...เผลอๆได้เจอนังทอมฟ่อนด้วย”
คนทั้งสองเดินมาเรื่อยๆตามเส้นทางระหว่างที่จอดรถจนกระทั่งมาหยุดอยู่บริเวณหน้าคณะศิลปกรรมซึ่งเป็นคณะของทั้งสอง
แม้ว่าจะเรียนคณะเดียวกันแต่ทั้งคู่ก็อยู่กันคนละเอก
เมี่ยงเรียนออกแบบนิเทศน์ศิลป์ ส่วนฟรอยด์จะเป็นออกแบบแฟชั่นและสิ่งทอ
แต่ตอนเทอมแรกๆทั้งคู่ได้เจอกัน
และเพราะว่าเวลาเจอกันได้คุยกันมันคลิก...ก็เลยทำให้ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ตอนนั้น
“มาโน่นแล้ว” เสียงดัดพูดทั้งยังบุ้ยปากไปทางคนสองคนที่กำลังเดินตรงมาทางที่เขาทั้งสองคนอยู่
“เห็นมั้ยบอกแล้ว
ว่าไอ้ฟ่อนมันต้องมาส่งถึงบันไดคณะนี่แหละ”
เสียงห้าวพูดจบคนทั้งสองที่เพิ่งมาถึงก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า
“กี้บอกว่าเสื้อมึงไม่แห้งไอ้เมี่ยง
วันนี้ก็เลยยังไม่ได้เอามาให้...” ชิฟฟ่อนพูดขึ้นทันทีที่เดินมาหยุดตรงหน้าเพื่อนทั้งสอง
“เออ
กูก็ว่าแล้วว่ามันต้องไม่แห้ง มึงมีเรียนกี่โมงเนี่ย” แกล้งถามเป็นอย่างนั้นแต่จะว่าไปแล้วรู้ไว้ก็ไม่เสียหายอะไร
“มึงอ่ะ” ถามกลับแบบไม่มีใครยอมใคร
“เนี่ยแหละ
มีเรียนตอนนี้...ช่ายเปล่าเพื่อนฟรอยด์” สาวหล่อหันไปหากองกำลังสมทบ
ฟรอยด์ได้แต่พยักหน้า
“เป็นอะไรวะฟรอยด์ เงียบๆ
ผิดปกติ”
คนที่สังเกตุเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้
และ...มันก็เข้าแผนกระเทยร่างเล็กเสียด้วย
“ชั้นเครียด...เครียดๆ
เครียดจนสมองน้อยๆนี่จะระเบิด”
“พี่ฟรอยด์เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” คนขี้สงสารถามขึ้นก่อนที่พี่ของเธอจะอ้าปากพูด
“พี่จัดชุดเชียร์ไม่ได้
รับสมัครแล้วคนก็ไม่ครบ ไม่รู้เด็กปีหนึ่งรุ่นนี้เป็นอะไรไปหมด
จะให้ใช้รุ่นเก่าๆมันก็อะไหล่ไม่ค่อยจะดี ยิ่งแก่ยิ่งไขข้อเสื่อม
ขาดอีกแค่คนเดียวเอ๊งน้องกี้ ดู๊ ดูสิ ถึงจะไม่เป็นมาเลยนะพี่ก็จะสอนๆ หัดๆให้
แต่เฮ้อออ” ฟรอยด์ทำหน้าเครียดจัด
อีกคนที่รับมุขเพื่อนทันก็ได้เอามือมาแตะที่บ่าเชิงให้กำลังใจ
“ค่อยๆหาไปแก”
“น้องกี้.....” ฟรอยด์กำลังจะพูดต่อแต่ว่าคุ้กกี้กลับพูดขึ้นมาก่อน
“ตอน ม.ปลาย กี้เคยเป็นเชียร์
แต่กี้ไม่รู้ว่าจะทำให้ทีมพี่ฟรอยด์เสียหรือเปล่า
แต่ถ้าพี่ฟรอยด์ต้องการคนจริงๆกี้ก็ช่วยได้นะคะ”
คนสวยใจดีมีน้ำใจเสนอ
“อะไรกันยัยกี้ พี่...” ทำท่าทางเหมือนกำลังจะดุน้องสาว
แต่พอนึกขึ้นได้ก็ต้องเงียบเพราะไม่งั้นอาการของคนเป็นพี่ต้องออกมากเกินจนคนทั้งสองจับได้แน่
“เมื่อก่อนกี้ก็เคยเป็นพี่ฟ่อน
ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”
หันไปบอกพี่สาวก่อนจะหันมาพูดกับฟรอยด์ต่อ “จะลองดูก่อนก็ได้นะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ
เอาน้องกี้นี่แหละ คนกันเอ๊ง กันเอง ยังไงวันนี้ตอนเย็นเจอกันที่ยิม มหา’ลัยนะคะ”
เอื้อมมือไปจับมือรุ่นน้องหลวมๆก่อนจะหันไปแว๊ดใส่เพื่อน “นังทอมทั้งสอง
ตอนนี้ชั้นสบายใจแล้ว...และก็จะขึ้นไปเรียนแล้วด้วย นังเมี่ยงตามมาเรียนมา มะ”
“พี่ไปเรียนแล้วนะครับ” สาวหล่อรุ่นพี่บอกกับน้องรหัสก่อนจะหันไปหาเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด “ไปแล้วนะมึง...มึงก็ไปเรียนได้แล้วเดี๋ยวเช็คชื่อไม่ได้ทันน้า
คณะมึงก็ไกล๊ ไกล”
“เออ มันก็เรื่องของกู” อารมณ์เสียยังไม่หายที่อยู่ๆน้องก็โดนแย่งตัวไปทางโน้น
ช่วงเวลาที่น้องสาวต้องซ้อมเชียร์ก็ดันเป็นช่วงเดียวกับที่เขาต้องอยู่ชมรมเสียด้วย
“น้องกี้มีเรียนกี่โมงครับ” ก่อนจะไปรุ่นพี่ยังไม่วายหันมาถามน้องรหัสอารมณ์ดี
ก็ที่จริงเขาเองรู้อยู่แล้วว่าวันนี้รุ่นน้องหน้าหวานมีเรียนกี่โมงนี่นา
“ไม่ต้องมาถามอ่ะ
มึงอ่ะขึ้นไปได้แล้วเดี๋ยวนังกระเทยมันก็อาละวาดอีกหรอกที่สามิ๊ ยังมิตามไป”
ร่างสูงจำเป็นต้องทำเป็นเดินขึ้นตึกไปทั้งที่ความเป็นจริงก็คือ...เขาหลบอยู่บันไดนั่นแหละ
จะยอมปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉยๆได้ยังไง เมี่ยงรู้มาว่าวันนี้เขากับคุ้กกี้มีเรียนเวลาเดียวกันซึ่งนั่นมันก็ยังไม่ใช่ตอนนี้
มีเวลาให้เขาทำคะแนนอีกเกือบสองชั่วโมง
เมื่อเห็นคนหวงน้องเดินแยกไปอีกทางแล้วเมี่ยงจึงเดินออกมาจากที่ซ่อนตัว
“อ้าวพี่เมี่ยง
แล้วไม่ขึ้นเรียนหรอคะ”
รุ่นน้องหน้าหวานที่นั่งหันมาทางเขาพอดีถามขึ้นทันทีที่เห็นว่าพี่รหัสเดินลงมาจากตึก
“พี่จำผิดน่ะ
วันนี้มีแต่นังฟรอยด์ที่มีเรียน ส่วนของพี่กว่าจะมีก็อีกตั้งเกือบสองชั่วโมงแน่ะ” ทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่วางแผนเอาไว้ทุกอย่างแล้ว
“เหมือนกี้เลย
ที่จริงวันนี้กี้ก็บอกพี่ฟ่อนแล้วว่ากี้มาเองได้ แต่ว่า...”
“หิวมั้ย” ไม่รอให้คนหน้าหวานพูดจบ เมี่ยงชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
ทั้งที่ความจริงเขาไม่เคยทานอาหารตอนเช้ามานานมากแล้ว
และตอนนี้เขาก็ไม่ได้หิว....แต่เป็นเพราะการนั่งเฉยๆคุยกันมันทำให้เขาประหม่าเกินกว่าที่จะอยู่นิ่งๆได้
การที่ได้ทำอะไรในเวลานี้น่าจะดีกว่า
“นิดหน่อยค่ะ”
“งั้นเราไปหาอะไรทานกัน....กี้อยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ”
ภาพของสาวหล่อที่เดินเคียงข้างรุ่นน้องสาวหน้าหวานดูแล้วมันช่างเป็นภาพที่มีความอบอุ่นละมุนไปด้วยไออุ่นของความรักที่ก่อตัวขึ้นอย่างจางๆ ความรักที่ก่อตัวขึ้นจากความใกล้ชิดและเสียงหัวใจที่ร้องเรียกซึ่งกันละกัน ความหวานที่ได้ลิ้มรสแม้เพียงนิดก็เหมือนกับว่ายิ่งใหญ่จนหาสิ่งใดมาเทียบไม่ได้
ความคิดเห็น