คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : [BJ] Jamie & Bel Anniversary
Happy Birth Day P’ Auae
BJ FEVER : Jemie & Bel Anniversary
เจมี่ไม่รู้นะว่ารุ่นพี่จะชอบของขวัญแบบไหน......
เมฆาสาวครุ่นคิดในสวนกลางบ่ายวันหนึ่ง .....ปฏิทินที่วางอยู่ด้านข้างมีรอยขีดเขียนตารางงานเต็มไปหมด แต่มันวันๆ หนึ่งที่ถูแต้มด้วยหัวใจสีแดงล้อมรอบ ด้านใต้เขียนด้วยหมึกสีน้ำเงินตัวบรรจง.........
วันแรกที่เราได้เจอกัน (Jemie & Bel Anniversary)
เธอเบ้หน้าพลางนึกในใจ รุ่นพี่บ้านั่นไม่มีวันจำวันนี้ได้หรอก เหอะ! เธอว่าพลางยัดเอกสารลงแฟ้ม ไม่มีวันที่อีตารุ่นพี่บ้าหน้าม่อนั่นจะจำได้หรอกว่าเราพบกันครั้งแรกเมื่อไหร่ แล้วนี่ โอ๊ย! ทำไมต้องใส่ใจด้วยเนี่ย เราพบกันครั้งแรกก็ไม่ได้สวยหรูสักหน่อย เมื่อคิดถึงตรงนี้สมองขอเธอรีภาพเมื่อวานกลับมา เมื่อฟรานมาช่วยเธอเคลียร์เอกสารที่คั่งค้างอยู่นาน แกยังจำวันนั้นได้อยู่อีกหรอ น้ำเสียงถามอย่างเนือยๆ และสายตายังคงจับจ้องอยู่ตรงปฏิทินขนาดพกพา ตอนนั้นเธอไม่น่าตอบไปแบบนั้นเลย....... ใครมันจะจำไม่ได้ล่ะ รุ่นพี่เบลแกล้งฉันซะขนาดนั้น ดีนะที่มีเครดิตการ์ดของบอสไม่งั้นฉันได้คลั่งตายแน่
.......ฟรานจะคิดว่าเราใส่ใจรุนพี่เบลมากเกินไปหรือเปล่า?
ในระหว่างที่คิดมากมโนภาพรีย้อนกลับได้หายไป ภาพตรงหน้ายังคงเป็นกองเอกสารที่ยังคั่งค้างอยู่กองใหญ่ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงไม่ลดไปเลยในเมื่อเธอยังคงนั่งเหม่ออยู่แบบนี้ ......โคล่าเย็นผ่านลำคอไป สีหน้าของเจมี่ยังคงดูเป็นกังวลแลจับจ้องงานที่ยังคงคั่งค้าง หากว่าเธอเคลียร์มันไม่เสร็จเธออาจจะอดไปเที่ยวพักร้อนที่นานๆ ทีจะมีสักครั้งของวาเรียก็ได้
อีกสามวันนะห๊ะคุณน้อง เราจะไปพักร้อนแบบวาเรีย ควอลิตี้กันฮะ รับรองว่าสนุก เสียงสุดกระดี๊กระด๊าล่องลอยเข้ามาหัวเจมี่ และอีกสามวันก็เช่นกัน เป็นวันครบรอบหนึ่งปีที่ได้รู้จักรุ่นพี่เบลมา
“จ้องยังไงมันก็ไม่หายไปหรอก” เสียงที่ฟังคล้ายเสียงคำรามดังขึ้นข้างหลัง เจมี่เบือนหน้าไปมองก่อนจะหันหน้ากลับไปที่กองเอกสารและตอบเสียงเบา
“ถ้ามันหายไปได้ก็ดีสิ”
“เฮ้อ” สคอโล่จ้องมองรุ่นน้องที่แต่ก่อนดูไฟแรงแท้ๆ ตอนนี้กลับหมดไฟราวกับคนแก่วัยโรยรา สีหน้าบึ้งตึ้งค้ายกับคุณย่านั่งมองหลานสาวทำอะไรไม่ถูกใจ “มา เอามานี่ งานนั่นไม่เร็จคนเดียวหรอก เดี๋ยวฉันเอาไปทำช่วย”
เขาหวังเพียวว่าเสียงใสนั้นจะกลับมา
“ไม่ต้อง เดี๋ยวเจมี่ทำเอง” แต่ก็ไม่เป็นดั่งที่เขาคิด สควอโล่ผงะไปนิด เขาไม่เคยเห็นรุ่นน้องสุดร่าเริงคนนี้หมองเป็นหมาหงอยแบบนี้ “ขอโทษนะคะรุ่นพี่ เจมี่อยากอยู่คนเดียว”
เธอเดินจากไป ทิ้งเหลือไว้แต่โต๊ะและเอกสารกองสูง สควอโล่มองตามแผ่นหลงบางนั่นไปจนสุดสายตาจะมองเห็น..... พร้อมกับเบลที่เดินออกมาด้วยท่าทีประหลาดใจ
“เกิดอะไรจึ้นสควอโล่ เจ้าชายเห็น......” สควอโล่ไม่ตอบอะไรเบลที่พยายามจะสรรหาคำมาพูด เขาเหลือบมองปฏิทินอันกระจิ๋วหลิวก่อนจะยกขึ้นในระดับที่คาดว่าเป็นระดับสายของเบล เจ้าชายหน้าเจื๋อนไปอย่างเนได้ชัด เขาถือปฏิทินไว้ในมือและจ้องมองลงไปอีกสามช่องนับจากข่องที่มีรอยขูดขีดมาที่สุด ซึ่งก็คือวันนี้
อีกสามวัน เจ้าชายคิด แค่สามวันเองเหรอ เจ้าชายคิดว่ามันจะช้ากว่านี้ซะอีก
เบลโยนปฏิทินลงบนโต๊ะหินอ่อนที่เต็มไปด้วยเอกสารกองพะเนิน ก่อนจะหยิบเอกสารบางส่วนไป สควอโล่กระตุกยิ้มนิดๆ มองแผ่นหลังของเบลที่เดินลับไป เหมือนว่าคราวนี้คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่เขาคนนี้ซะแล้ว
เจมี่นั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องนอน ภายในใจยังคงคิดคำนึงถึงหลายๆ เรื่องในเวลาเดียวกัน สีหน้าหมองหม่น และภายนอกบรรยากาศภายนอกที่ดูเหมือนจะไม่เป็ใจอีกต่อไปแล้วเพราะเมฆดำทะมึนเริ่มลอยต่ำเยื้องกรายเข้ามาเหนือปราสาทวาเรีย สมองของเจมี่ที่ยังตีค่าอะไรไม่ได้จึงยังทอดมองลงไปยังกระถางดอกไม้ริมหน้าต่าง
รู้สึกตัวอีกทีในห้วงมิติดำมืด และมันเริ่มฉายเป็นภาพเรือนลาง เธอเห็นตัวของเธอกำลังยืนยิ้มอยู่หน้าร้านดอกไม้ใจกลางเมืองที่เธอไม่เคยไป กำลังคุยหัวเราะสนุกสนานกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมสีทองอร่ามของเขาช่าคุ้นเคย ชี้โด่ชี้เด่เป็นหัวเห็ดที่เห็นอยู่ทุกวัน เขาดึงตัวเธอเข้าไปกอดความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านออกมา เธอรู้สึกถึงสัมผัสนุ่มนิ่มและความอบอุ่น น้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนกำลังพูดอยู่เบื้องหน้า ถ้าเธอไม่สบายขึ้นมาแล้วจะเคลียร์งานพวกนั้นเสร็จเหรอ ลำบากเจ้าชายทุกทีสิน่า ภาพนั้นเลือนรางไฟ ฉายให้เห็นอีกภาพ เธอเห็นตัเองยืนอยู่ในห้องครัว กำลังยกจานบางอย่างเดินตรงไปยังห้องอาหาร หน้ายิ้มแย้มสดใส เธอวางมันลงหน้าเบลที่นั่งคอยอยู่ในห้องอาหารพร้อมคนอื่นๆ ตัวของเธอเองพูดอะไรบางอย่าที่เจมี่ไม่ได้ยิน แต่เบลกับยิ้มรับและเธอก็ก้มลงหอมแก้มเบล สีหน้าของทุกคนมีความสุข อาการปวดหัวแนเข้ามา และเธอก็สะดุ้งจื่นขึ้นมา
เสียงสายฝนจากข้างนอกกระทบหน้าต่างกราว ความหนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศกระทบกับส่วนที่อยู่นอกผ้านวมผืนหน้า เตียงนอนและหมอนนุ่มนิ่มในห้องของเธอเอง
เธอเริ่มนึกย้อนไปก่อนที่ธอจะหลับแต่ก็นึกไม่ออก จำได้เพียงว่าเธอนั่งมองเอกสารเมื่อตอนบ่ายอยู่ในสวนข้างปราสาท และอย่างเดียวที่ตอนนี้เธอคิดออก คือ เอกสารสำคัญ!
ป่านนี้มันจะเป็นอย่างไร มันจะเปียกจนหมึกที่พิมพ์เลือนรางไปหรือเปล่า บอสคงจะเอ็ดเธอเอาแน่ๆ เธอนี่มันไม่เอาไหน ทำผิดพลาดซะหมด เธอตำหนิติเตียนตัวเองระหว่างที่ปีนบันไดลงมาเพราะลิฟต์นั้นติดอยู่ที่ชั้นสอง กว่าจะขึ้นมารับเธอได้คงอีกนานโข เมื่อสิ้นสุดบันไดขั้นสุดท้ายเธอแทบจะกระโดดทะยานไปที่ประตูปราสาททันที ......แต่ฝนตกหนักมาจนเธอไม่สามารถออกไปข้างนอกได้
“อะไรวะไอ้สวะ” เสียงของซันซัสดังก้องสู้เสียงฝนข้างนอน เจมี่เกาะประตูปราสาทก้วยความรู้สึกผิด
“บอสค่ะ เจมี่! เอกสารของเจมี่ มันอยู่ข้างนอก........”
“อ๋อ ไอ้กองงานพวกนั้นรึ เจ้าเบลมันเอาไปทำหมดแล้ว มันบอกว่าเธอไม่สบาย.....” มือหนาวางทาบลงบนหน้าผาก สีหน้าไม่บ่งบอกอะไร “ไปบอกให้ลุซซูเรียเอายาให้กินซะ” แล้วสะบัดชายเสื้อคลุมเดินจากไป
เจมี่เดินไปห้องครัวด้วยความงุนงง แม้ว่าเธอจะพอจำได้ว่าเธอสวนกับเบลตอนกลับเข้าไปในปราสาท ....แล้วถ้าสมมติว่า เขาเห็นปฏิทินนั่นแล้วเขาจะคิดยังไง เขาจะคิดยังไงกับเธอ ระหว่างทางไปห้องคัวเจมี่ทบจะเซชนทุกคนที่เจอ และแทบจะเอาหัวโขกเสาทุกครั้งที่เจอเช่นกัน
“อ้าว เจมี่จังมีอะไรห๊ะ” เสียงสดใสของลุซซูเรียทุกรุ่นน้องผู้น่ารักเมื่อเธอมาทรุดลงที่เก้าอี้ภายในห้องครัว หน้าซังกะตายราวกับเพิ่งโดนหักอกมาร้อยครั้ง
“เจมี่มาขอยาลดไข้” เธอบอกอย่างเลื่อนลอย น้ำเสียงดูไม่เหมือนเก่าจนลุซซูเรียตกใจถลาเข้ามาทาบมือกับหน้าก แล้วก็ทำหน้าฉงนและหันไปค้นกล่องยาสีขาว
“ปกติเจมี่ออกจะแข็งแรงจะตาย ไหงมาป่วยอย่างน่ะห๊ะ”
......กำลังจะบอกทางอ้อมหรือเปล่าว่าเจมี่ถึกน่ะ......
เธอนึกในจอย่างฉุนๆ พลางรับยาเม็ดสีขาวดไข้มาจากมือของลุซซูเรียพร้อมน้ำอีกหนึ่งแก้ว เอกรอกยาเข้าไปและดื่มน้ำตามลงไป เมื่อยาลงคอแล้วเธอก็ยิ่งรู้สึกเยนหัมากกว่าเดิมจนลุซซูเรียเสนอให้เธอไปพักอีก
เจมี่เดินตามทาเดินไปยังลิฟต์และกลับขึ้นไปยังชั้นบน แต่เธอม่คิดี่จะไปที่ห้องนอนของตัวเองเลยแม้แต่น้อย เธอเดินเลี้ยวไปฝั่งตรงข้ามและกระชากประตูห้องของพื้นสุดรักออก เผยให้เห็นกบน้อยกลอยใขกำลังน้องกลิ้งอยู่บนเตียง ในมือถือหนังสือการ์ตูนภาพขาวดำ
“อะไรดลใจให้แกมา เจมี่” เจมี่ไม่สนใจคำถามเธอเดินตรงไปที่เตียง ทุดตัวลงนั่งและปรายตามองหนังสือการ์ตูนที่ภาพขาวดำแบทสนทนาโหดๆ เปิดค้างไว้
“แกอายุเท่าไหร่แล้ว” เจมี่ถาม สีหน้าเลื่อนลอย
“เท่าแกอ่ะแหละ ฉันรู้น่าว่ากล่องในห้องนอนแกมีตุ๊กตาบาร์บี้อยู่ในนั้น” ฟรานหยอกเจมี่ เธอไม่ทำอะไรเพียงแค่พยักหน้ารับและตอบรับในลำคอว่ามันเป็นความจริง ทำเอาฟรานหน้าเหวอกับอาการของเพื่อนสาวสุดซ่าของตนที่บัดนี้หมาหงอรับประทานไปแล้ว
“เจมี่! แกเป็นบ้าอะไรของแก” ฟรานตะคอกใส่เต็มเสียง มองหน้าเจมี่ด้วยความงุนงงปนหงุดหงิด เพราะไม่สะใจ เมื่อหยอกเพื่อนสุดจี๊ดคนนี้ไม่สำเร็จ
“เออ ฉันบ้า”
ฟรานทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นทันที อ้าปากหวอแข่งกับปากหมวกกบบนหัว...
“แกเป็นเชี่ยไรฟร้า า า าา าา า”
....ผมมั่นใจว่าเสียงเมื่อตะกี้มันทำให้ปราสาทสั่นสะเทือนและต้นไม้ที่ตั้งอยู่ใกล้หน้าต่างห้องผมโอนเอนไปมา ใจจริงก็สงสารนกน้อยๆ ที่เพิ่งมาทำรังอยู่หรอกนะ มันคงจะบินหนีไปไกลเลย
.....แต่ว่าตอนนี้มีเรื่องที่น่าหนักใจกว่านั้น....
“ฟรานห๊า! แกอะไรขึ้น”
“เจ้ากบ! อย่ารบกวนเวลานอนของเจ้าชายได้มั้ย!”
“ไอ้เด็กใหม่ แกเป็นเหี้ยอะไร”
“ไอ้พวกสวะ! หยุดแหกปากกันซักทีได้มั้ย”
ตบท้ายด้วยเสียงบอสคำรามสยบทุกเสียง ....ส่วนเจมี่น่ะรึ นั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียงของผม ทั้งที่คนอื่นๆ เขาแทบจะเอาสากกะเบือมาฟาดหัวผมให้ได้อยู่แล้ว ...แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณเจ้าหมวกกบที่ใช้ต่างกันน็อกนี่ด้วยละกัน
...ปึก ....ปัง ....โครม ...เคร้ง
เฮ้ย! ผมหันหลังเมินยัยเจมี่แป๊ปเดียว นังนั้นถึงขนาดโยนหมอนไปชนหน้าต่าง ตกกระทบปืนพกอันโปรดที่บอสฝากมาเช็ดลั่น แล้วจากนั้นก็เกิดการประทุษร้ายน้องกล่องเก็บอุปกรณ์สายหมอกที่รุ่นพี่มาม่อนเก็บให้ตกกระทบพื้น โอ้ แม่เจ้า! นั่นแก้วไวน์ใบรักของผมเลย ไม่นะ ไม่ เจมี่ อย่าเอามันไปชนกันแบบนั้น อ๊าก! ไม่นะ อย่าปามานน น น นน !
เพล้ง!
แก้มไวน์สีใสสวยใบโปรดกระทบกับแจกันเซรามิกที่ท่านอาจารย์เอาไว้ถุยน้ำลายเวลาสอนผม และตอนนี้ผมเองก็เอามาใส่ดอกไม้ แต่นั้นไม่ใช่เรื่อง เพราะตอนนี้มันกระทบกับแก้วและหล่นลงพื้น มันได้ดังตุบ แต่ดังเพล้ง แก้วไวน์และแจกันแตกกระจาย เศษแก้วกระเด็กกระดอนไปทั่วทุกสารทิศ ผมเห็นว่ามันบาดขานังเจมี่ด้วย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ถึงมันจะโดนผมก็ไม่ห่วง เพราะมันยังไม่สาสมเท่าที่ควร
“หึๆ ฮ่าๆ วะฮะฮ่าๆๆๆ”
เสียงหัวเราะอันสุดโรคจิตดังมาจากปากของยัยหัวสีชมพูหน้าตาอัปลักษณ์ โอ๊ะ! นังนั่นมันเพื่อนเรานี่หว่า ลืม .....ยัยเจมี่หัวเราะไม่หยุดอย่างสะใจ นังบ้า! แกพังห้องฉันเละหมดแล้ว แกยังมีหน้ามาหัวเราะอีก แบบนี้มันต้องสั่งสอน!
“เจ้าชายบอกแกรอบที่ล้านแล้วนะ ว่าอย่ากวนเจ้าชา... เฮ้ย!”
ก่อนที่ผมจะได้เข้าไปกระทืบนังเจมี่ให้แหลกคาเท้า พอคนดีขี่ม้าขาวก็โผล่หัวทรงผมคล้ายเห็ดสอดแทรกเสือกเข้ามาและจ้องมองนังเจมี่ที่ตอนนี้..... เฮ้ย!
“แกเล่นบ้าอะไรน่ะ เจมี่!”
เศษแก้วไวน์ชิ้นใหญ่อยู่ในมือนังเจมี่ที่ตอนนี้กำลังกำมันสุดแรงหวังให้มันแหลกคามือ แต่ไม่เลย มันบาดลึกเข้าไปในฝ่ามือขาวๆ ที่มีเลือดไหลซิบๆ เต็มไปหมด และมืออีกข้างกำลังยกเศษแก้วอีกอันหนึ่ง และเธอกำลังจะ ....ยัยเจมี่ถึงฉันจะโกรธ และแม้จะสะใจท่เห็นแกเจ็บ แต่ฉันไม่ได้ขอให้แกเอามันขึ้นไปกรีดหน้าตัวเองนะ อย่ากรีด!
ผมหลับตาปี๋ ได้ยินเสียงร้องหลุดออกมา ราวกับเจ็บปวด ยัยนั่นกรีดแล้วเหรอ ม่าย ยย ย ย!
แต่ว่าภาพที่เห็นตอนลืมตา มือข้างหนึ่งของเจมี่เลือดไหลซิบ อีกข้างที่เตรียมจะกรีดหน้าตัวเองหยุด เศษแก้วปักลงที่แขนของ แขนของ แขนของ แขนของ.... รุ่นพี่เบล! ตัวเจมี่สั่นระริก ปล่อยมือจากเศษแก้วที่ปักแขนของรุ่นพี่เบลเฟกอรจอมบ้าบิ่น มั่นใจว่าเห็นนังนั่นนั่งน้ำตาไหล เอาล่ะ ฉากเลิฟซีนหน้าสะอิดสะเอียนเริ่มต้นแล้วสิ
“รุ่นพี่ ....ทำไมรุ่นพี่” เจมี่ถามเสียงระริก น้ำตาไหลพรากๆ เป็นไต่เขา หรือเผาเต่า เต่าเผาอะไรนี่แหะ ผมจำไม่ได้! รุ่นพี่เบลมองด้วยสายตาที่ผมคิดว่าน่าจะอ่อนโยน เพราะริมฝีปากเหยียดยิ้มแบบไม่เคยเห็นมาก่อน
“ใครจะยอมให้เธอตายจนกว่าจะถึง เจมี่แอนด์เบล แอนิเวอร์ซารี่ล่ะ จริงมั้ย”
โอ๊ะโอ ความลับของนังเจมี่แตกกระเจิง วะฮะฮ่าๆๆ ๆ ๆ
“รุ่นพี่รู้ ....รุ่นพี่”
“ทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะ เด็กโง่” เขาพูดเบาๆ พลางเกลี่ยผมหน้าม้าของเจมี่ขึ้นเบาๆ
หน้าของเบลเลื่อนเข้าไปไกลจนเจมี่แทบอยากขยับตัวแต่ร่างกายไม่ยอมทำตามคำสั่ง ยังคงจ้องมองใบหน้าเบลเฟกอรและนอนนิ่งอยู่ในอ้อมแขน เธอหลับตาลงราวกับจะไม่รับรู้อะไร แต่ทั้งสองคงลืมว่ามีคนหนึ่งอยู่ในห้องนี้ด้วย
“อะแฮ่ม!” ฟรานกระแอม “ไม่อยากขัดจังหวะเลิฟซีนหรอกนะ แต่ไอ้เจมี่ แกจะปล่อยให้มือแกเป็นบาดทะยักก่อนรึไง”
“อ่า ...เอ่อใช่!” เมื่อนึกได้ก่อนผลักเบลไปไกลและลุกขึ้นยืน “ปพาฉันไปหาเจ๊ลุซหน่อยดิ เผื่อเจ๊แกจะเอาแก้วนี่ออกให้ได้”
เจมี่ลากแขนฟรานไปหันหน้าเผชิญประตูแต่มีดสามเงินเล่มของเบลเฟกอรก็พุ่งลงไปปักกลางหลังหมวกกบทันที
“แอ็ก”
“เฮ้ย! ฟราน เร็วๆ”
“เจ้ากบ แกไม่รอดแน่!”
“ไปเร็ว เจมี่ เร็วว ว ว ว ว”
เจมี่และฟรานวิ่งถลาออกไปด้านนอก ตรงดิ่งไปที่ลิฟต์โดยเหลียวหลังกลับมามองว่าเบลไม่ได้ตามมา แต่กำลังยืนยิ้มพิงประตูอยู่ เมื่อเข้าไปในลิฟต์ทั้งคู่ระเบิดหัวเราะออกมาด้วยความสนุกสนาน ก่อนจะกดลิฟต์ลงไปที่ห้องทำงานของลูซซูเรีย
ตลอดสามวันต่อมาเจมี่สู้หน้าเบลไม่ติดเลยสักครั้ง จงใจทำเหมือนตื่นสายเพื่อที่จะไม่ได้ร่วมโต๊ะกิน พยายามบอกซันซัสว่าไม่สบายเมื่อมีภารกิจต้องทำร่วมกับเบล และสุดท้าย เธอไม่ยอมพบหน้าใครเลยตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา
รุ่งเช้า ของวันที่ในปฏิทินของเจมี่มีตัวหนังสือเน้นไว้อย่างดี เธอจ้องมองมันที่วางอยู่บนโต๊ะ มือกุมที่หน้าอกและเริ่มถอนหายใจ เมื่อสองวันก่อนเธอขอให้ฟรานช่วยเลือกของสำหรับเบลเฟกอรที่ช็อปปิ้ง มอลล์เมื่อทั้งคู่อาสาจะไปซื้อว็อดก้ามาเพิ่มให้ซันซัส
เธอเหลียวไปมองกล่องใบเล็กท่างอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง มันมีสีแดงพันด้วยริบบิ้นสีม่วง มีความหมายถึงเมฆาและวายุ ของภายในเธอใช้เวลาเลือกถึงสี่ชั่วโมง ซึ่งทำลายสถิติการเลือกซื้อของขวัญของเธอที่แต่ก่อนใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งสำหรับวันเกิดฟราน แต่ตอนนี้เธอแทบจะพลิกช็อปปิ้ง มอลล์หาอันที่ถูกใจ จนตอนนี้เธอคิดว่ามันถูกใจสำหรับเธอที่สุดแล้วเท่าที่จะหาได้ในห้องที่อาจจะเรียกได้ว่ารวมทุกอย่าในอิตาลีแล้ว
ก็อก ก็อก
“เจมี่ห๊า บอสบอกว่าเครื่องจะมารับที่หน้าปราสาทอีกครึ่งชั่วโมงนะห๊ะ รีบด้วย....”
“ค่า” เธอตอบรับลุซซูเรียทันทีที่วางหวีลงกับที่เก็บ คว้าของขวัญยัดลงกระเป๋าหลุยส์ วิคตองส์สีชมพูแปร๊ด ซึ่งเข้ากันกับสีเล็บแดงเชอร์รี่ของเธอ และยังไม่นับรวมชุดไปรเวตที่พร้อมจะไปพักผ่อนเต็มที่
ไม่ถึงสิบห้านาทีเจมี่ลงไปถึงโถงทางเดินด้านล่าง ซันซัสและลุซซูเรียยืนอยู่ บนโซฟาใกล้มีสควอโล่กำลังนั่งทำหน้าเครียด เขาเป็นคนเดียวที่เจมี่คิดว่าแต่งชุดไปรเวตแล้วดูดีที่สุดในสามคนนี้ (แม้เธอจะอยากเข้าข้างพี่ชายของฌะอยังไงก็ไม่ไหว เพราะเขาช่างเลือกชุดไม่เข้ากับใบหน้าเหี้ยมโหดของเขาเลย) แม้ลุซซูเรียจะอยู่ในชุดไปรเวตแบบที่สาวๆ ประเภทสองเขาใส่กัน แต่เจมี่ก็ต้องเอื้อมระอากับตุ้มหูแบบหนีบอันใหญ่เท่าฝาบ้านสีแดงสะท้อนแสงแสบตา
เธอเดินไปทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาข้างสควอโล่ มือกุมใบหน้าด้วยความสิ้นหวัง
“เป็นยังไงบ้าง วันนี้ไม่ใช่เหรอเจมี่แอนด์เบ...” ก่อนที่สควอโล่จะได้พุดจบเจม่รีบเอามือไอ้ทาบปากของสควอโล่ทันที มองซ้าย มองขวาว่าซันซัสหรือลุซซูเรียจะได้ยินหรือเปล่า และสคอโล่กันดึงมือเธออกทันที
“เค็ม” คำแรกที่เขาพูดทำให้เจมี่สังเกตเห็นน้ำลายเยิ้มๆ อยู่ที่ฝ่ามือของเธอ
“อี๊!!!!!” เธอร้องลั่นด้วยความทุเรศทุรัง เสียงร้องของเธอทำให้ซันซัสและลุซซูเรียหันมา พร้อมกับหันไปที่ผู้มาเยือนใหม่อีกสอนคนที่เพิ่งออกมาจากลิฟต์ที่ทำเสียงดังติ๊ง
เจมี่รีบวิ่งไปทางห้องน้ำทันที หวังจะล้างน้ำลายของสควอโล่ออก และหวังจะหลบหน้าเบลอีกด้วย แต่เสียงของซันซัสก็ก้องสะท้อนเข้าหูเธอทำเอาเธอหยุดชะงัก และแนบหลังกับกำแพงหัวมุมซึ่งทำให้ไม่มีใครมองเห็นเธอ แต่กลับได้ยินเสียงชัดเจนราวกบอยู่ตรงหน้า
“ทำไมวะไอ้เบล ยิ้มจนปากจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว”
เจมี่เบิกตากว้าง รุ้สึกว่าก้อนเนื้อที่หน้าอกด้านซ้ายเต้นรัวไม่เป็นจัวหวะอยู่จนทำเอาเสื้อของเธอกระเพื่อมขึ้นลงไปตามจังหวะหอบหายใจ
“อ้อ วันนี้วันดีของเจ้าชายน่ะ ชิชิชิ”
เจมี่เอามือข้างที่ไม่ได้เปยกเยิ้มน้ำลายของสควอโล่ขึ้นแนบอก เธอพยายามหอบหายใจให้เบาที่สุด กันไว้ เผื่อจะมีใครหูดีมาได้ยิน
เจมี่จินตนาการภาพเบลยื่นอยู่ตรงหน้าซันซัสภายในห้องโถ มีสควอโล่ ลุซซูเรีย และฟรานยืนประกอบฉาก จาก็นั้นก็คิดสภาพฟรานที่หัวเราะอย่างมีเลศนัยน์ และสควอโล่กระตุกยิ้มที่มุมปาก ....เจมี่คิดว่ามันเป็นภาพที่ตลกสิ้นดี ถ้าลุซซูเรียจะส่ายหัวเป็นหัวหอมประกอบฉากด้วย
เจมี่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว เลิกแอบฟัง และตัดสินใจไปล้างคราบน้ำลายที่เริ่มแห้งของสควอโล่ และคิดอีกที เธอมีความหวังมากขึ้น หากวันดีของเจมี่และเบลมีความหมายเช่นเดียวกัน
เสียงของเครื่องยนตร์ดังสนั่นมาจากหน้าปราสาท เจมี่เดินออกมาจากห้องน้ำ และชะเง้อคอมองซันซัสและคนอื่นๆ ที่กำลังเดินขึ้นบันไดที่ต่อกับภายในเครื่องบิน ลูกกระจ๊อกหลายคนกำลังแบกกระเป๋าสัมภาระหลายใบ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือกระเป็นเดินทางสีส้มแปร๊ดลายคัลเลอร์ฟูลของเจมี่ด้วย
เมื่อเธอเดินมาถึงโซฟาเพื่อมาหยิบหลุยส์ วิคตองส์สีสด เธอก็เหลือบเห็นเบลกำลังยืนอยู่บนบันไดขั้นสุดท้าย กำลังยืนยิ้มเจ้าเล่ห์ และลมแรงก็พัดให้ผมสีทองของเขาปลิไสวจนเกือบทำให้เห็นดวงตาภายใต้ผมหนานั่น
เจมี่ยืนนิ่งไม่ไหวติง เกร็งตัวอย่างหนักเมื่อเบลไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนตัวออกไปจากทางเข้าเลย เจมี่ขยับตัวเล็ก้อยเมื่อเขาโบกมือให้ และไม่อยากให้ทุกคนรอนาน เธอจึงพยายามก้าวขาที่เกร็งค้างให้เดินไปด้วยความเชื่องช้า และรอคอบความหวังว่าเบจะกินปห้วและเดินกลับเข้าไปด้านใน .....แต่ไม่เลย เขายังคงยืนรอ เอามือป้องหน้าผากและ (เจมี่คิดว่า) กำลังหยีตามองเธออยู่
เจมี่ก้าวขาที่สั่นเทาเพราะอาการเกร็งขึ้นบันดทีละขั้น ทีละขั้น จนกระทั่งเหลืออีกเพียงสามขึ้นจึงจะถึงจุดที่เบลยืนอยู่ เธอพยยามจะขยับขาให้ช้าที่สุดเพื่อที่เบลจะได้เบื่อแล้วเดินกลับเข้าไป .....แต่ก็ไม่เลย เขายังคงก้มคอลงมามองเธอนิ่งไม่ไหวติอยู่ราวกับเป็นรูปปั้น
.....ขาเป็นตะคริว
เจมี่แทบอยากร้องไห้เพราะขาค้างเติ่งระหว่างขั้นบันไดเกิดอาการปวดขึ้นมาจนเธอแทบจะทรุดลงไป เบลที่เห็นเจมี่เซเล็กน้อยก็เริ่มหุบยิ้ม และมองใบหน้าเจ็ปวดของเธอ
เจมี่เอื้อมมือไปที่ขาตัวเอง เธอขบเม้มริมฝีปาก และหยีตาด้วยความเจ็บปวด บันไดที่สั่นกราวๆ เป็นตัวกลางจากเครื่องยนตร์ของเครื่องบินที่กำลังร้อนเตรียมออกอยู่แล้ว เจมี่พยายามเขาบังคับขาตัวเองก้าวไปเพื่อที่อย่างน้อยๆ เธอจะได้ไม่ต้องพบเผชิญหน้ากับเบล และบางที เธออาจได้อะไรสักอยู่จากลุซซูเรียที่ช่วยให้เธอหายปวด
เจมี่ยกขาอีกข้างขึ้นเพื่อจะก้าว .....แต่เธอก้าวพลาด
ขาข้างขวาของเธอหล่นลงไปในร่องบันไดเหล็กที่ขึ้นสนิม มันขูดเอาเท้า ข้อเท้าจนถึงหน้าแข้งให้เป็นรอยถลอก เท้าของเจมี่ห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ ประสาทสัมผัสรับรู้จากทุกทางว่าเธอคงผิดพลาดอะไรสักอย่าง เพราะเธอปวดข้อเท้ามากกว่าปวดตะคริวเสียอีก
เบลที่จ้องมองด้วยความตกตะลึงมองรุ่นน้องทำเกาะราวันด้ไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองห่นลงไปพร้อมขา และต้องยอมรับจริงๆ ว่ามันสูงมากจนตกลงไป อย่างน้อยก็พิการ
อาการกลัวเข้าครอบคลุมจิตใจเจมี่เมื่อเบลยังยืนนิ้งไม่ยอมมาช่วยเธอ เธอไม่สามารถขยับขาได้ และร่างกายของเธอก็ไม่อาจประมลผลได้ว่าขากับข้อเท้าอันไหนเจ็บกว่ากัน ......จนสุดท้ายเบลก็ไม่ยอมมาช่วย น้ำตาเจมี่ไหลพราก คล้ายกับว่าเธอจะกลัวความสูงขึ้นมา
เธอเงยหน้ามองเบลที่อ้าปากหวอมองคราบน้ำตาที่ไหลินออกมาจากดวงตาคู่นั้น
“ช่วยด้วย.......ช่วยเจมี่ที” เธอบอกเสียงขาดเป็นห้วงๆ เสียงแหบแห้ง
เบลไม่ยอมยืนนิ่งอีกรอบ เขาเดินเข้าไปใกล้เจมี่ มองใบน้าที่ซีดเผือดและน้ำตาไหลอาบแก้ม เบลจับแขนเจมี่ข้างหนึ่ง ก่อนจะใช้มืออีกข้างดึงตัวเธอขึ้นมาให้อยู่บนขันบันได เขาไม่รีรอที่จะให้เจมี่ได้บอกขอบคุณ เขาช้าตัวเจมี่ขึ้นมาอุ้มไว้แนบอก
เจมี่รับรู้ถึงสัมผัสอบอุ่นที่อ้อมอก และความเย็นที่คาดว่าเป็นของแอร์บนเครื่องบิน และทุอย่างก็ดำมืด สัมผัสสุดท้ายที่เธอรับรู้คือมือของบางคนกำลังซับน้ำตาให้เธอ และเสียงๆ นั้นที่เธอไม่มั่นใจว่าเป็นความฝันรึเปล่าดังขึ้นก่อนที่เธอจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด
“ฉันรักเธอนะ เจมี่”
Finish. 25/04/2011
++++
[ตบปาก]
"ไหนอ่ะของขวัญของเจ้าชาย" เบลเฟกอรถามเจมี่ที่เพิ่งตืนขึ้นมาจากอาการหมดสติ ตะคริว และข้อเท้าเธอเคล็ด พร้อม
ถลอกด้วย "เอ่อ ...เจ้ากบบอกมาน่ะ" เบลรีบเสริมทันทีเมื่อเจมี่มองด้วยสายตาจับผิด
"ไม่บอก" เธอทำแก้มป๋อง "อยากรู้จริงเหรอ"
"อื้อ บอกหน่อยน้า" เขาอ้อนเป็นเด็กๆ ทำเอาสาวเจ้าหลุดหัวเราะและปล่อยมือที่กอดอกลง
"ก็ได้" เธอว่าพลางมองไปข้างเตียงบนเครื่องสุดหรู กระเป๋าหลุยส์ วิคตองส์ที่หรูไม่แพ้เครื่องบินลำนี้วางอย่าง เธอคว้ามัน
มาและควานหาของที่อยู่ภายใน
เธอหยิบกล่องใบเล็กห่อกระดาษสีแดงและผูกริบบิ้นสีม่วง "มันหมายถึงวายุกับเมฆา" เธออธิบาย ก่อนจะเปิดกล่องออก
โดยที่ไม่ต้องรอให้เบลบอก
ของภายในไม่ใช่อะไร เป็นเพียงแหวนหินที่สวยงามมาก มันทำด้วยหินสีแดงแกมม่วง ฉลุลายดอกกุหลาบ ผีเสื้อ และ
พระจันทร์ มีอักษรสลักสีทองเขียนว่า Jemie & Bel Anniversary
"อย่าคิดที่จะเอาไปปาเล่นนะ" เธอร้องบอกทันทีที่เบลทำท่าจะขว้าง "นั่นหินจับความเจ้าเล่ห์ พกมันไว้นะ เพราะมันจะ
บอกว่าตอนไหนที่รุ่นพี่คิดไม่ดีอยู่ หึๆ" เจมี่หัวเราะในลำคอเมื่อเบลหน้าเจื่อนไป
หินสีแดงแกมม่วงเปลี่ยนเป็นสีเขียวทันทีที่เบลเข้ามาใกล้เจมี่
"อ่ะนั่นแน่" เจมี่ร้อง "คิดจะทำอะไรล่ะคะ รุ่นพี่"
เบลได้แต่เหยียดยิ้ม และตรงเข้าไปไกลเจมี่ บัดนี้ินแปรกลับไปเป็นสีแดงแกมม่วงแล้ว
"เจ้าชายก็มีของขวัญให้เธอเหมือนกัน" เบลบอก ทำให้เจมี่ยิ้มอย่างตื่นตาตื่นใจก่อนจะมุ่งความสนใจไปยังมือที่ล้วงเข้า
ไปในกระเป๋ากางเกง อ้อ! แล้วบอกยังว่าเขาในชุดไปรเตก็ดูดีไม่แพ้สควอโล่ด้วยซ้ำ
เบลเปิดกล่องสีแดงหุ้มกำมะหยี่ใบเล็กออกมา เขาเปิดมันออกพร้อมคุกเข่าให้เจมี่ที่นั่งเหยียดขาอยู่บนเตียง
"เป็นแฟนกันนะ"
"..." เจมี่ยังยิ้มอยู่ ดวงตาบ่งบอกถึงความครุ่นคิด ไม่ถึงสามนาทีเธอก็รู้ใจตัวเอง "เอาดิ"
เบลที่กำลังจะคว้าตัวเธอมากอดต้องหยุดชะงักด้วยเงื่อนไขที่เธอเริ่มตั้ง
"หนึ่ง...รุ่นพี่แตะต้อตัวเจมี่ได้เฉพาะ กอด จูบ หอมแก้ม จับมือ โอบก็ได้ แต่เราจะไม่มีอะไรกันจนกว่าเจมี่จะอายุครบยี่สิบ
ห้า"
"ห๊า!" เบลร้อง "เธอจะรอให้เจ้าชายแก่ตายรึไง"
"อืมม...งั้นจนกว่าเราจะคบกันได้ปีนึง" เจมี่บอก สีหน้าครุ่นคิด "เจมี่ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของเราจบลงเพียงคืนเดียว
เหมือนกับคนอื่นๆ ที่เจมี่เจอมา"
"ได้ ปีนึง ไม่ขาดไม่เกิน"
"สอง...รุ่นพี่ห้ามมีคนอื่นนอกจากเจมี่ ไม่ว่าจะเป็นหญิงเล็ก หญิงใหญ่ ต่อให้เป็นทัดดาวบุษยาก็ไม่! ไม่เอาแบบดอกส้มสี
ทองนะ เจมี่ไม่อยากเจอคนแบบนังเรยา แล้วก็ให้มีกิ๊กไม่เกินสามคน แค่ 'กิ๊ก' เท่านั้น ต้องแนะนำให้เจมี่รู้จัก ห้ามกั๊กเอาไว้"
เจมี่ไม่รอให้เบลตอบเลย "สาม...ห้ามทิ้ง ห้ามทำให้ร้องไห้ คนที่มีสิทธิ์บอกเลิกคือเจมี่คนเดียวเท่านั้น จำไว้ สามข้อนี้
นะ"
เมื่อจบทันทีเลกระตุกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เตียงสวมแหวนเงินมีลายผีเสื้อบินอยู่ตรงจี้ เพชรนับสิบเม็ดฟังอยู่
และนิ้วนางข้างซ้ายของเจมี่ก็ระยิบระยับเมื่อมนสะท้อนกับแสงไฟ
เบลกระตุกยิ้มอีกรอบ คราวนี้แหวนจับแกวเจ้าเล่ห์ที่อยู่ในมือของเบลเปลี่ยนเป็นสีเขียวอีกครั้ง
"รุ่นพี่คิดจะทำอะไ.. อุ๊บ"
ปากของเธอถูกปิดแล้วเจ้าหญิง ด้วยริมฝีปากของเจ้าชาย
"ขอโทษนะคร้าบ ถ้าจะจูบกันกรุณาปิดม่านกั้นห้องด้วย ภาพมันบัดสีบัดเถลิง"
ดูเหมือนทั้งสองจะลืมไปว่าคนอื่นๆ กำลังจ้องมองอยู่ แต่ช่างประไร จูบอีกสักสามสี่รอบซันซัสก็ไม่มาเอาตัวเจ้าชายไปเฉื
อดหรอกจริงมั้ย
ปล. อันตบปากนั้นเป็นส่วนเสริมนะคะ xD อย่าซีเรียสกับชื่อมันนะคะ ขำๆ ค่ะ แฮปปี้เบิร์ะเดย์พี่แอ้นะคะ คราวก่อนดาวทำให้ฟรานกลายเป็นโถระบายอารมณ์ของเจมี่ มาตอนนี้เลยให้ฟราแก้แค้น เป็นก.ข.ค. ทั้งเรื่อง จะจบแล้วก็ยังโผล่ 55555 (ดูเหมื่อว่ากรุฟิสั้นดาวจะเต็มไปด้วยบีเจพี่แอ้ 5555)
ขอให้บีเจพี่แอ้ รุ่งเรืองๆ สาธุ
ความคิดเห็น