คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 5 Rule 5: สะสมเงินเดือนเอาไว้ พอแก่ตัวไปจะได้ไม่ลำบาก
มันน่าจะมีคำอื่นนอกจากคำว่า ‘ไกล’ ในการบรรยายระยะทางไปยังลานลงทัณฑ์ที่ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ หนำซ้ำข้ายังต้องจำใจควักเงินจ่ายค่าเช่ารถม้าเพื่อที่จะพาข้าเข้าไปยังลานลงทัณฑ์ได้โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
ถึงข้าจะสามารถกลับตำหนักเทพอัศวินแล้วให้รถม้าของที่นั่นไปส่งได้ แต่เวลาออกคำสั่งกับคนรถ ข้าจะต้องกลับมายิ้มสว่างไสวพร้อมทั้งแสดงท่าทางสง่างามไร้ที่ติของเทพอัศวินครีอุสอีก
ตอนนี้ข้าอยู่ในสภาพที่ล้าจนฉีกยิ้มไม่ออก แถมยังต้องตัดใจเอาเงินสะสมสำหรับใช้หลังเกษียณอายุออกมาจ่ายค่าเช่ารถม้า แต่คิดอีกที ถ้าข้าเกิดตายขึ้นมา เงินที่เก็บมาอย่างยากลำบากก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี
ข้ายืนเลือกรถม้าที่น่าจะพาข้าไปถึงลานลงทัณฑ์ได้โดยที่รถไม่หลุดออกเป็นชิ้นๆ และเลือกคนขับรถม้าแก่ๆ หนังเหนียวๆ ที่แม้แต่ยักษ์กินคนยังเมินหน้าหนี
พอเลือกเสร็จข้าก็กระโดดขึ้นรถ ถึงด้านในจะมีกลิ่นเหมือนตะกร้าใส่ไข่เน่า แต่ด้วยความที่ข้าเหนื่อยสุดๆ ก็เลยหามุมที่นั่งแล้วสบายที่สุดนั่ง จากนั้นสติก็เริ่มหายไปทีละน้อยๆ แถมรถม้ายังโคลงไปเคลงมา ข้าเลยรู้สึกสบายเหมือนทารกที่นอนอยู่ในเปลไกว...
ปัง!
ข้าสะดุ้งตื่นพร้อมรอยปูดเป็นก้อนบนหัว
เพราะรถม้าหยุดกะทันหันจนหัวของข้ากระแทกกับตัวรถ แต่ดูสิ ตัวรถถึงกับพังเพราะแรงกระแทกจากหัวของข้า
ข้าชักอยากจะแอบเอาเงินให้ผู้ดูแลลานลงทัณฑ์สักก้อน แล้วทำให้เจ้าแก่นี่กลายเป็นศพที่ไม่ได้ตายเพราะถูกลงทัณฑ์
“ขออภัยขอรับ! ข้างหน้ามีอัศวินผ่านมาข้าเลยต้องหยุดรถแบบนี้!” คนขับตะโกนใส่ตัวรถม้า แต่ฟังจากน้ำเสียงเหมือนจะไม่ได้รู้สึกผิดอย่างที่พูดเลย
อัศวินงั้นเหรอ ข้าคลำหัวที่ปูดนูน
จริงๆ แล้วระหว่างเทพอัศวินและอัศวินนั้นไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ พวกเราทั้งสองต่างก็มือถืออาวุธ ขี่ม้า สวมชุดเกราะเหมือนกัน เวลามีสงครามก็ต้องออกรบเป็นแนวหน้าซึ่งจะต้องตายเป็นพวกแรกเหมือนกัน...เฮอะ! จะต้องกลายเป็นเป้าโจมตีของฝ่ายตรงข้าม ต้องสละชีพเพื่อปกป้องคนอื่น แล้วก็ต้องแบกรับหน้าที่ของอัศวินไปจนตาย!
เพียงแต่ว่าฝ่ายแรกรับใช้เทพเจ้า ส่วนฝ่ายหลังเป็นอัศวินรับใช้ขุนนาง และเป็นเพราะเทพอัศวินรับใช้เทพเจ้า แต่ละคนจึงมีพลังวิเศษแตกต่างกันออกไป โดยเทพอัศวินอย่างพวกเรามี ‘พลังรักษาตัวเอง’ เป็นพื้นฐาน สามารถฟื้นคืนพลังวิเศษได้อย่างรวดเร็ว
อย่างที่เมื่อวานนี้ข้าเลือดไหลเต็มไปหมด พอมาวันนี้ข้าก็ออกวิ่งเล่นได้แล้ว ซึ่งไม่ใช่ความสามารถที่อัศวินทั่วไปจะมี กับพวกนั้นบางทีแค่กระอักเลือดก็อาจจะลงไปนอนตายเลยก็ได้
แม้อัศวินรับใช้เหล่านี้จะไม่มีพลังเทพ แต่เจ้านายของพวกเขากลับให้เงินเดือนมากกว่าข้าตั้งสองสามเท่า ข้าเกลียดพวกมัน!
เหล่าอัศวินชั้นสูงพอถึงวันเกษียณ เงินเดือนที่สะสมมาสามารถเอามาใช้จ่ายจนกว่าจะตายได้สบายๆ
แต่สำหรับเทพอัศวินคนหนึ่ง...แม้จะเป็นถึงผู้นำของเทพอัศวินทั้งสิบสององค์ แต่ถ้าถือศักดิ์ศรีมากซะจนไม่ยอมรับเงินจากภายนอกก็จะต้องประหยัดกินประหยัดใช้ ไม่อย่างนั้นพอถึงวันเกษียณอาจจะเพิ่งรู้ว่าตัวเองไม่มีเงินซื้อข้าวกินเลยสักเหรียญ พออายุห้าสิบหกสิบปีแล้วยังไม่ไปเข้าเฝ้าองค์มหาเทพก็ต้องแก่งแย่งภารกิจจากพวกเด็กหนุ่มเพื่อจะได้มีเงินไว้เลี้ยงชีพ
(เบาๆ หน่อย) อย่างอาจารย์ข้า เทพอัศวินครีอุสผู้แข็งแกร่งที่สุดตอนนี้ได้กลายเป็นบุคคลอันตรายไปซะแล้ว เพราะท่านเที่ยวแย่งภารกิจกับคนหนุ่มๆ แถมใช้วิธีป่าเถื่อนจัดการกับพวกโจรและสัตว์ประหลาด...เอ่อ เพื่อผดุงความยุติธรรม
สรุปคือก่อนที่ท่านอาจารย์จะออกจากตำหนักเทพอัศวินอันศักดิ์สิทธิ์ ท่านได้กำชับกับข้าไว้ว่า ‘ลูกเอ๋ย หากเจ้าไม่อยากไปเป็นนักบวชหลังจากเกษียณ...คนที่ฝีมือการใช้ดาบอย่างเจ้า...จงเก็บออมเงินเอาไว้ให้ดี เมื่อถึงเวลาเกษียณจะได้ไม่ลำบาก’
พอคิดถึงตรงนี้ข้าชักจะรู้สึกเสียดายเงินที่จ่ายเป็นค่าเช่ารถม้า จริงๆ ข้าน่าจะเดินเอามากกว่า ด้วยความสามารถของเทพอัศวินครีอุส ข้าคิดว่าข้าน่าจะปลอดภัยจนไปถึงที่หมาย
ในขณะที่ข้ากำลังเกิดความเสียดายสุดๆ อยู่นั้นเอง ด้านนอกก็มีเสียงทะเลาะเอะอะ เสียงกีบเท้าม้า เสียงชุดเกราะกระทบกัน ผสมปนเปจนแยกแยะไม่ออก
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ข้าชะโงกหน้าออกไปถามด้วยความอยากรู้
พอข้ายื่นหน้าออกมา คนขับรถม้าก็กระโดดลงจากที่นั่งแล้ววิ่งหนีเตลิดไปเร็วกว่าเหาะซะอีก ไม่นานก็กลายเป็นเหมือนเศษฝุ่นเล็กๆ ที่อยู่ไกลลิบ
ตาแก่บ้า! อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีกนะ! ไม่งั้นข้าจะจับตัวเจ้าส่งให้เทพอัศวินเทอร์มิส โทษฐานที่เจ้ากล้าละทิ้งเทพอัศวินครีอุส!
ข้า ‘สวด’ ให้ตาแก่นั่นไปเข้าเฝ้าองค์มหาเทพโดยเร็ววัน แต่พอหันหน้าไปดูก็รู้สาเหตุที่คนขับรถม้าหนีไป ที่ด้านหน้ารถม้ามีอัศวินตัวใหญ่ๆ ขี่ม้าตัวโตๆ อยู่สามคน ซึ่งภาพนั้นไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ดีเลยสักนิด
“กลับไป!”
อัศวินทั้งสามมองตามตาแก่ที่หนีไป แต่คนตัวใหญ่ซึ่งดูเหมือนจะผ่านมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำกลับคืนสติแล้วหันมาเห็นข้าที่ชะโงกหน้าดูพวกมัน มันจึงตะคอกใส่ข้า
ข้าขมวดคิ้วแน่น ข้าเป็นถึงประมุขของเหล่าเทพอัศวินทั้งสิบสององค์ ตั้งแต่เกิดมามีแค่อาจารย์
เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถกลับไปเรียกเทพอัศวินเทอร์มิสมาจัดการตัดคอพวกเจ้าให้กลายเป็นหัวหมูได้!
นี่! อย่ามาหาว่าข้าไม่มีฝีมือนะ! พวกเจ้าลองปล่อยให้เลือดไหลอาบถนนดู หลังจากนั้นดูซิว่าพวกเจ้าจะทำอะไรได้อีกนอกจากนอนแบะอยู่บนเตียง!
ถึงข้าจะเคยบอกว่าฝีมือดาบของข้ามันห่วย...เอ่อ...‘ไม่ค่อยดี’ นัก แต่นั่นเป็นมาตรฐานของเทพอัศวินทั้งสิบสององค์และอาจารย์ของข้า แต่ถ้าเทียบกับเหล่าอัศวินธรรมดาๆ ฝีมือดาบของข้าสามารถเทียบ...เทียบได้...ได้เกณฑ์มาตรฐานพอดี!
อย่าลืมสิว่าข้าก็เป็นเทพอัศวินคนหนึ่ง เงินเดือนที่เสียให้ข้าต้องไม่เปล่าประโยชน์ เมื่อรวบรวมพลังเทพทั้งหลายที่ข้ามีเข้าด้วยกัน ความสามารถของข้าก็จะเทียบได้กับอัศวินชั้นสูง!
ยิ่งเมื่อบวกกับพลังรักษาตัวเองของเทพอัศวิน ทีนี้ข้าก็จะมีพลังมากกว่าอัศวินชั้นสูงซะอีก!
แต่ขอย้ำอีกสักครั้งเถอะ เพราะเมื่อวานนี้ข้าเสียเลือดไปมาก อย่าว่าแต่เอาชนะอัศวินชั้นสูงเลย แค่ตอนนี้จะชักดาบก็กินแรงแทบเป็นลมอยู่แล้ว
เพราะเหตุนี้ข้าจึงได้แต่ลูบจมูกแล้วดึงหมวกคลุมให้ปิดหน้ามากขึ้น จากนั้นก็กระโดดจากตัวรถม้าย้ายไปนั่งอยู่ตรงที่คนขับ พยายามดึงบังเหียนบังคับม้าให้มันหันหัวกลับแบบไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่
เหมือนกับที่พวกเจ้าคิดนั่นแหละ! ดูท่าทางอัศวินทั้งสามคนคงไม่อยากจะมีเรื่องอีก พอเห็นข้ายอมหันหลังกลับ พวกมันก็กระโดดขึ้นม้าแล้วควบไปยังเส้นทางตรงกันข้ามโดยไม่สนใจข้าอีก
ข้าแอบหันหลังกลับไปดู พวกมันกำลังมุ่งหน้าไปยังลานลงทัณฑ์
ข้ารอจนพวกมันห่างออกไปพอสมควรแล้วจึงดึงบังเหียนให้ม้าชะลอฝีเท้า ส่วนข้าก็กระโดดลงจากหลังม้าแล้วเข้าไปหลบในป่าข้างทาง ขอแค่ไม่เดินบนถนนใหญ่ อัศวินพวกนั้นก็จะไม่มีทางเห็นข้าอย่างแน่นอน
ข้าชักสงสัยอัศวินพวกนั้นที่อยู่ๆ ก็เข้ามาขวางเอาไว้เสียแล้ว ข้าได้กลิ่นเน่าๆ จากแผนชั่วของพวกมัน ถ้าเกิดแผนชั่วที่ว่าเกี่ยวข้องกับคดีอัศวินแห่งความตายที่ข้ากำลังสืบอยู่ก็ดีน่ะสิ แต่ถ้าไม่เกี่ยวข้องก็ค่อยให้เทอร์มิสมาตรวจสอบอีกที สรุปคือลองเข้าไปสืบก่อนแล้วค่อยว่ากัน
และเพราะกลัวว่าจะเกิดข้อผิดพลาดจนทำให้เสียโอกาสที่จะเปิดโปงแผนชั่วของพวกมัน ข้าก็เลยเลิกปลอมตัวหดหัวเป็นเต่า แต่ใช้วิธีวิ่งลัดเลาะและสังเกตสิ่งรอบด้านในป่าแทน ถึงวิธีนี้อาจจะทำให้พรุ่งนี้ข้าอาการทรุดหนักลงไปอีก แต่ข้าก็มีพลังรักษาตัวเองที่หากบอกว่าฝีมือของข้าเป็นที่สอง ในโลกนี้คงไม่มีใครเป็นที่หนึ่งอีกแล้ว
ไม่ว่าจะบาดเจ็บขนาดไหน ถ้าได้นอนพักผ่อนสักหนึ่งวันเต็มๆ วันต่อมาข้าก็จะลุกจากเตียงได้ทันที และถ้าให้ข้านอนพักสักสามวันเต็มๆ ถึงข้าจะบาดเจ็บสาหัสขนาดที่ลำไส้ออกมากองอยู่ข้างนอก หัวใจใกล้จะหยุดเต้น ปอดไม่ทำงาน ข้าก็ยังจะสามารถลุกขึ้นมากินข้าวเช้าและพอกตัวได้
แต่การที่สามารถรักษาตัวเองให้หายได้เร็วก็มีข้อเสียเหมือนกัน ตั้งแต่ตาแก่พระสังฆราชรู้เรื่องนี้เข้า ช่วงเวลาลาป่วยของข้ามักสั้นกว่าคนอื่น
ข้าสาปแช่งพระสังฆราชไปสักพัก กำแพงดินของลานลงทัณฑ์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าข้า สถานที่แห่งนี้เป็นลานรูปวงกลมที่มีกำแพงดินเตี้ยๆ ล้อมรอบ ตรงกลางลานกว้างมียกพื้นไม้ที่สร้างขึ้นหยาบๆ สามแห่งสำหรับการลงทัณฑ์ แต่ละแห่งมีเชือกที่ผูกเป็นปมห้อยไว้ เส้นที่ต่ำที่สุดถูกผูกเป็นปมง่ายๆ...ง่ายๆ แต่ถึงตาย
ลานลงทัณฑ์แห่งนี้เป็นลานลงทัณฑ์เก่าแก่ซึ่งมีสภาพทรุดโทรมที่สุด พวกนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ทั้งหลายหรือนักโทษที่มียศศักดิ์หน่อยๆ จะไม่ถูกส่งมาที่นี่ นักโทษที่ถูกส่งมามักจะเป็นพวกโจรชั้นต่ำ ไม่ก็คนที่ไม่มีใครสนใจว่าจะตายหรืออยู่เท่านั้น
แต่เมืองลีฟบัดเป็นเมืองหลวงของแคว้นวอลเลซ แล้วยังเป็นศูนย์กลางของลัทธิเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง ดังนั้นจึงมีเชื้อพระวงศ์และอัศวินมากมายนัดพบปะสังสรรค์กันตลอดถนน พอถึงถนนเส้นถัดไปก็จะเจอกับเทพอัศวินที่มีพลังวิเศษแข็งแกร่งเหนือใคร เดินไปอีกถนนหนึ่งก็อาจจะเจอกับนักบวชกำลังสวดมนต์ภาวนากันอยู่
ที่น่ากลัวที่สุดคือการตรวจลาดตระเวนที่ไม่เป็นเวลาของเทพอัศวินเทอร์มิส สิบปีมานี้เขาจับคนร้ายได้ประมาณหนึ่งพันห้าสิบหกคน
แล้วพวกเจ้าคิดว่ายังจะมีใครกล้าลักเล็กขโมยน้อยอีกหรือ!
และเพราะเมืองนี้พวกโจรชั้นต่ำได้สูญพันธุ์ไปหมด ลานลงทัณฑ์แห่งนี้ก็เลยเกือบจะร้างเหมือนกัน
แต่ที่ร้างๆ ไร้ผู้คนแบบนี้แหละที่มักจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น รวมถึงการนำศพที่ไม่ใช่นักโทษมาโยนใส่ไว้ด้วย และในเมื่อที่นี่มีร่างไร้วิญญาณอยู่ย่อมแสดงว่าจะต้องมีนักโทษ ดูท่าเมืองหลวงจะไม่ได้สงบสุขเหมือนที่อารามเทพแห่งแสงสว่างกับตำหนักเทพอัศวินอันศักดิ์สิทธิ์คิดกันซะแล้ว
ข้าหัวเราะหึๆ รอให้ข้าเอาเรื่องนี้ไปบอกเทอร์มิสก่อนเถอะ ใบหน้าขี้เก๊กเคร่งเครียดของเขาคงจะยิ่งเครียดขึ้นไปอีก เครียดจนสามารถพลิกแผ่นดินจัดการพวกเหล่าร้ายให้สิ้นซาก
ที่ลานกว้างนั้นไม่มีแม้แต่เงาคน ม้าสามตัวถูกผูกไว้ด้านข้าง ท่าทางอัศวินทั้งสามคงจะมาถึงที่นี่ก่อนแล้ว
แม้ที่ลานลงทัณฑ์จะไม่มีใคร แต่กระท่อมเก่าๆ จะพังไม่พังแหล่ที่อยู่ด้านข้างกลับจุดไฟสว่างไสวจนเห็นเงาของคนผ่านทางหน้าต่าง
ข้าท่องคาถาให้ตัวเองสองบท คาถาลำแสงป้องกันและเพิ่มพลังการโจมตี กับคาถาปีกแห่งเทพเพิ่มความว่องไว จากนั้นก็หลบมุมเพื่อไม่ให้คนที่อยู่ในกระท่อมมองเห็นแล้วคอยเงี่ยหูฟัง
“...แล้วศพนั่นล่ะ” เสียงดุดันลอยมาจากในกระท่อม
“มีหลายศพนะขอรับ ท่าน...หมายถึงศพไหนหรือขอรับ” คราวนี้เป็นเสียงแหบๆ ของคนแก่ เบาจนข้าต้องเงี่ยหูฟังมากขึ้น ถึงอย่างนั้นก็ยังจับความได้ไม่ครบอยู่ดี
ข้ามาหลบที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หลังกระท่อม ที่ไม่เข้าไปแอบฟังอีกก็เพราะด้านในมีอัศวินถึงสามคน และสภาพข้าตอนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ขนาดคาถาสองบทยังไม่ค่อยจะมั่นคง ขืนเข้าไปแอบฟังต่ออาจจะถูกพวกมันรู้เข้า
“...ศพตาสีน้ำเงิน” เสียงของอัศวินคนนั้นบอกได้ว่าท่าทางมันจะอารมณ์ไม่ค่อยดี
เสียงแผ่วๆ ของชายแก่ฟังดูเหมือนเขาใกล้จะร้องไห้อยู่แล้ว “ท่านขอรับ! ข้าไม่เลิกเปลือกตาของศพดูหรอกขอรับ!”
“สีทอง ไม่สิ ผมสีออกน้ำตาลมากกว่า อายุประมาณยี่สิบสามปี หน้าตาดีๆ หน่อย”
ข้าขมวดคิ้วแน่น ลักษณะที่บรรยายมาทำให้ข้าสะกิดใจถึงอะไรบางอย่าง ทำไมนะ
ตาสีน้ำเงิน ผมสีน้ำตาลทอง อายุยี่สิบสามปี...อายุเท่าข้าเลย การต้องตายตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนี้อาจจะเป็นเรื่องคับแค้นใจของอัศวินแห่งความตายก็ได้นะ
“ฝังไปแล้ว...”
“บังอาจโกหกข้างั้นเหรอ!”
ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องกับเสียงลงไม้ลงมือดังวุ่นวาย สักพักชายแก่ก็พูดขึ้นอย่างอ่อนแรง “...ขายไปเมื่อสองวันก่อนแล้วขอรับ”
“ขายให้ใคร”
“ให้ผู้ชายคนหนึ่งที่พาเด็กผู้หญิงมาด้วย”
ทันใดนั้นข้าก็ตาสว่าง เทพเจ้าแห่งแสงสว่างทรงคุ้มครอง! ในที่สุดก็ช่วยให้ข้าสืบหาความจริงพบ เจ้าอัศวินสามคนนี้เกี่ยวข้องกับอัศวินแห่งความตายจริงๆ ด้วย
ผู้ชายที่พาเด็กผู้หญิงมาด้วย...ก็คือคนตัวเล็กกับคนตัวใหญ่ จะต้องเป็นพิ้งกี้กับ ‘คนงาน’ ของหล่อน อมนุษย์ที่หล่อนสะกดมาเพื่อให้ทำความสะอาดบ้านอย่างแน่นอน
“ผู้ชายคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง” ท่าทางอัศวินใกล้จะระเบิดเต็มที
เฮอะ! เจ้าถามผิดแล้ว ต้องถามว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเป็นยังไงต่างหาก พวกโง่!
“เขาดึงผ้าคลุมลงมาต่ำมาก...ข้าก็เลยไม่รู้...”
“ไอ้แก่โง่เอ๊ย”
“เก็บมันซะ ไม่งั้นมันจะเปิดเผยฐานะของพวกเรา”
“ไว้ชีวิตข้าด้วย!” เสียงแหบๆ ของชายแก่ดังกรีดขึ้นมาทันที
ข้าจะทำยังไงดี เทพอัศวินครีอุสไม่ควรยืนดูคนถูกฆ่าปิดปากอยู่เฉยๆ โดยไม่ช่วยเหลือไม่ใช่หรือ
แต่สภาพของข้าในตอนนี้ ถ้าพุ่งเข้าไปช่วยอาจจะถูกฆ่าปิดปากแทนก็ได้
แล้วข้าควรทำยังไงดี...
“พอเถอะ อย่าตีข้าอีกเลย” เสียงสะอึกสะอื้นลอยออกมา แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจ เพราะเสียงเตะต่อยยังดังไม่หยุด
พวกโง่เอ๊ย! ข้าอุตส่าห์ยืนคิดอยู่ตั้งนาน ทำไมถึงไม่ลงมือฆ่าสักที แค่ดาบเดียวฟันฉับลงไปก็จบ ทำไมต้องใช้วิธีเตะต่อยด้วย!
หรือว่าที่คนร้ายมันพยายามยืดเวลาก็เพื่อให้มีพลเมืองที่ทำตัวเป็นวีรบุรุษเข้าไปช่วย
ซึ่งคนที่จะต้องทำตัวเป็นวีรบุรุษก็คือข้า!
พอข้าสำรวจพบว่าคาถายังมีผล ข้าก็แอบมองเข้าไปทางหน้าต่าง อัศวินสองคนกำลังทำร้ายชายแก่ อัศวินอีกคนที่เหลือนั่งมองนิ่งๆ อยู่ด้านข้าง นายคนนี้น่าจะเป็นหัวหน้าเมื่อคิดตามหลัก ‘หัวหน้าออกคำสั่ง แต่ไม่ต้องลงมือทำ’
ข้าร่ายเวทเบาๆ ถึงข้าจะเป็นเทพอัศวิน แต่กลับเชี่ยวชาญในศาสตร์ของนักบวช แล้วยังมีพรสวรรค์ของนักเวทอีกด้วย สรุปคือข้าเป็นอะไรก็ทำได้ดีกว่าการเป็นเทพอัศวินทั้งนั้น ฮือๆ!
ท่านอาจารย์เคยทอดถอนใจอยู่บ่อยๆ ‘ทำไมแค่เจ้าเผลอไปเห็นนักเวทกำลังร่ายเวทหยุดนิ่ง เจ้ากลับสามารถเลียนแบบจนร่ายเวทนั้นออกมาได้ ส่วนข้าพยายามสอนการใช้ดาบขั้นพื้นฐานให้กับเจ้า แต่เจ้าดูมายี่สิบกว่ารอบกลับทำตามไม่ได้สักที’
และเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาประเภทมีคนพูดว่าข้าไม่เหมาะสมกับการเป็นเทพอัศวินอะไรเทือกนี้ ข้าจึงไม่ใช้เวทให้ใครเห็น แต่คราวนี้สถานการณ์ไม่เหมือนกัน และข้าก็ไม่อยากเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตัวเองด้วย
“จงหยุดนิ่ง!”
ข้าร่ายเวทหยุดนิ่งใส่อัศวินที่เป็นหัวหน้าพร้อมกับกระโจนพังหน้าต่างเข้าไป จากนั้นก็กระโดดถีบเข้าที่คอของมันจนลงไปนอนฟุบ ใช่ว่าข้าอยากจะโม้ แต่มันท่าทางจะประหลาดใจกับบทจอมยุทธ์ของข้า...เฮ้อ! ไม่พูดแล้ว อัศวินอีกสองคนชักดาบพุ่งเข้าใส่ข้าแล้ว
ในช่วงที่ข้าถีบอัศวินที่เป็นหัวหน้า ข้าก็ถือโอกาสคว้าดาบของมันมาด้วย ข้าไม่อยากจะเปิดเผยฐานะของตัวเองโดยการต่อสู้ด้วยแสงสว่างวิบวับของดาบเทพครีอุส เพราะถ้าทำอย่างนั้นคงมีแต่คนตาบอดเท่านั้นถึงไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร
ข้าเบี่ยงตัวหลบการโจมตีของอัศวินอีกสองคนพร้อมกับร่ายเวทอีกครั้ง พอตวัดมือซ้ายร่ายเวทธารน้ำมัน พื้นตรงหน้าก็ลื่นเหมือนเอาน้ำมันไปราด ทำให้อัศวินคนหนึ่งลื่นล้มไป ข้าไม่รอช้ารีบเข้าไปกระทืบซ้ำอีกครั้งจนอีกฝ่ายขาหัก
จริงๆ อัศวินที่ขาหักคนนั้นอันตรายไม่น้อยเลย เนื่องจากการรองรับน้ำหนักของชุดเกราะที่สวมใส่ต้องใช้พละกำลังและการทรงตัวของร่างกายที่ดีเยี่ยม ดังนั้นพอหักขามันเสีย มันก็ไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นยืน
“นักดาบจอมเวท!” อัศวินคนหนึ่งตะโกนขึ้น สีหน้าเปลี่ยนไป
นักดาบจอมเวทงั้นเหรอ ให้ตายเถอะ! ข้าขอร้องเลย ข้าเป็นแค่เทพอัศวินที่เผลอไปเรียนเวทมนตร์ขั้นพื้นฐานมาเท่านั้นเอง ไม่ใช่พวกไม่รู้จะเป็นอะไรกันแน่ที่เรียนทั้งเวทมนตร์เรียนทั้งดาบหรอกนะ
แต่การที่ข้าสามารถเอาชนะอัศวินพวกนี้ได้สบายๆ มันทำให้ข้ารู้สึกภูมิใจยังไงชอบกล สงสัยเจ้าสามคนนี้คงไม่ใช่อัศวินชั้นสูง ข้าถึงสามารถรับมือได้โดยง่าย
อัศวินที่เข้าใจผิดว่าข้าเป็นนักดาบจอมเวทดูท่าจะหวาดกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้ข้า
ข้าพอจะเข้าใจความรู้สึกของมัน เพราะนักดาบจอมเวทเป็นอาชีพที่ทั้งแข็งแกร่งสุดๆ และอ่อนแอสุดๆ แต่เมื่อกี้นี้ข้าสามารถก้าวเข้าไปสู่จุดที่แข็งแกร่งที่สุดของเหล่านักดาบจอมเวท สามารถล้มอัศวินหนึ่งคนได้ในพริบตา ในความคิดของพวกมันจึงน่าจะเข้าใจว่าข้าเป็นนักดาบจอมเวทที่อยู่ในข่ายแข็งแกร่งสุดๆ
ทันใดนั้นข้าก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างวาบขึ้นที่ด้านหลัง พอหันกลับไปดูก็เห็นอัศวินที่ถูกข้าเตะคว่ำไปเมื่อกี้ค่อยๆ ลุกขึ้นมาด้วยใบหน้าโกรธจัดพร้อมจะระเบิดทุกเมื่อ ที่แย่กว่านั้นคือพลังที่แผ่ออกมาจากร่างของมันคือม่านพลังซึ่งจะมีแต่อัศวินชั้นสูงเท่านั้นถึงจะมีพลังนี้ได้
“ไอ้หัวขโมยลอบกัด!” อัศวินคนนั้นตะคอกจนหน้าแดงด้วยความโกรธ เพราะพอมันจะชักดาบขึ้นมาสู้กับข้าก็พบว่าดาบของมันถูกข้าขโมยมาแล้ว
เจ้าหมอนี่เป็นอัศวินชั้นสูง มิน่าล่ะถึงสวมชุดเกราะที่มีน้ำหนักเบา ต่างกับอัศวินอีกสองคนที่สวมชุดเกราะเหล็กหนัก
‘ม่านพลัง’ คือพลังที่ล้อมรอบตัวซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าชุดเกราะ ไม่เพียงแต่สามารถป้องกันการโจมตีได้ ยังสามารถสะท้อนพลังโจมตีกลับไปยังคู่ต่อสู้ซึ่งชุดเกราะธรรมดาไม่สามารถทำได้ ที่สำคัญก็คือมันไม่มีน้ำหนักเหมือนกับชุดเกราะ ทำให้ไม่เสียความว่องไว จึงเรียกได้ว่าพลังนี้เป็นทั้งเครื่องป้องกันและอาวุธที่ใช้โจมตีในหนึ่งเดียว!
แต่พลังนี้ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็สามารถฝึกกันได้ และเมื่อไหร่ที่อัศวินธรรมดาสามารถฝึกพลังนี้สำเร็จก็สามารถยื่นเรื่องขอเลื่อนขั้นเป็นอัศวินชั้นสูงได้ทันที
คิดถึงตอนที่ท่านอาจารย์ให้ข้าฝึกม่านพลัง ท่านพยายามอย่างหนักและใช้ทุกวิธีที่คิดได้มาสาธิตการใช้ม่านพลังไม่ต่ำกว่าวันละยี่สิบรอบเพื่อให้ข้าฝึกตาม...แต่สุดท้ายข้าก็ไม่สามารถปล่อยม่านพลังได้สักที ทว่าตอนที่เดินผ่านอารามแห่งแสงสว่างและกำลังจดจำนักบวชหญิงสวยๆ อยู่ ข้ากลับเหลือบไปเห็นนักบวชชั้นสูงกำลังใช้พลังลำแสงแห่งเทพ จึงจำเอากลับมาฝึกจนทำได้ พอท่านอาจารย์รู้เข้าก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
กระทั่งหลังจากที่ข้าแตะมือกับอาจารย์และกลายเป็นเทพอัศวินครีอุสแล้ว ข้าก็สามารถปล่อยม่านพลังออกมาได้ในภารกิจหนึ่งที่ข้าเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด
แต่ยังไงๆ ข้าก็ใช้พลังลำแสงแห่งเทพแทนการใช้ม่านพลังอยู่ดี เพราะว่าข้าแค่กระดิกนิ้วก็สามารถเสกลำแสงแห่งเทพได้แล้ว ในขณะที่พอใช้ม่านพลัง ทุกๆ สามครั้งจะต้องมีการแพ้ครั้งหนึ่ง แล้วม่านพลังของข้าก็อ่อนหัดซะจนน่าสมเพช ใช้สามครั้งก็ถูกตีแตกทั้งสามครั้งนั่นแหละ ดังนั้นข้าจึงไม่กล้าเอาชีวิตน้อยๆ ของตัวเองไปแลกกับม่านพลังที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้
ข้าแอบเหลือบมองม่านพลังของอัศวินคนนั้น มันทั้งแน่นหนาและแข็งแกร่ง ไม่น่าสมเพชเหมือนม่านพลังของข้า จะทำลายม่านพลังของมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“เวทธารน้ำมัน!” ข้าร่ายเวทอีกครั้ง
แต่อัศวินชั้นสูงคนนี้สวมชุดเกราะที่มีน้ำหนักเบา เมื่อรวมกับน้ำหนักตัวก็ยังไม่พอที่จะทำให้มันล้มลงไปคลานสี่ขาได้ แต่ท่าทางคาถานี้จะทำให้มันโกรธ มันจึงคำรามด่าข้าว่า “เจ้าไพร่สามานย์!” แล้วคว้าโต๊ะที่อยู่ใกล้มือที่สุดเขวี้ยงใส่ข้า
มันคงคิดว่าข้าจะยืดอกต้านรับการโจมตี ชักดาบออกมาฟันโต๊ะตัวนั้นแหลกคามือ จากนั้นก็เปิดฉากการต่อสู้อันน่าตื่นตาตื่นใจระหว่าง อัศวิน vs นักดาบจอมเวท
แต่...ข้าหลบ! แถมยังร่าย ‘เวทหมอกอัคคี’ ซึ่งจะทำให้เกิดหมอกควันหนาๆ ขึ้นโดยรอบจนศัตรูมองไม่เห็น
จากนั้นข้าก็คว้าตัวตาแก่ที่ถูกซ้อมจนสะบักสะบอมกระโดดออกทางหน้าต่าง อึดใจเดียวก็มาถึงม้าทั้งสามตัวที่อยู่ด้านข้างลานกว้าง ข้าฟันดาบฉับเดียวปมที่ผูกไว้ก็ขาดออกจากกัน ใช้ดาบทิ่มเข้าไปที่ก้นของม้าทั้งสองตัวจนมันร้องและหนีเตลิดไป จากนั้นก็กระโดดขึ้นหลังม้าอีกตัวพร้อมตาแก่และดึงสายบังเหียนสุดแรง
ตอนนี้เองที่ดาบเล่มหนึ่งพุ่งมาด้วยความเร็วและความแรงสูงตรงมาที่ข้า
ถ้าหลบดาบเล่มนี้ข้าจะต้องตกม้าแน่ แล้วถ้าตกลงไปก็คงถูกอัศวินที่อยู่ด้านหลังตามทัน ซึ่งเรื่องมันคงจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้
เนื่องจากสภาพข้าตอนนี้ แม้แต่พลังลำแสงแห่งเทพยังมีอานุภาพเหมือนแค่แผ่นกระดาษหุ้มตัวเท่านั้น ไม่สามารถต้านแรงโจมตีของใครได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝ่ายตรงข้ามเป็นอัศวินชั้นสูงด้วยแล้ว
เพราะฉะนั้นก็ได้แต่ปล่อยให้ดาบเล่มนั้นพุ่งเข้าใส่ตัวข้า!
พลังลำแสงแห่งเทพบวกกับพลังแห่งเทพเจ้าแห่งแสงสว่างน่าจะพอเอาอยู่
ฉึก!
ดาบเล่มนั้นทะลุผ่านพลังกระดาษทั้งสองชั้นของข้าเข้ามา โชคดีที่ข้าเบี่ยงตัวหลบทัน ดาบเล่มนั้นจึงไม่ทะลุผ่านหัวใจ แค่เฉี่ยวหัวไหล่ด้านขวาจนเลือดไหลออกมาเป็นทาง
ที่โชคดีกว่านั้นคือดาบไม่ได้ทำร้ายม้าเลยสักนิด ดังนั้นมันจึงสามารถควบไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว ทิ้งพวกอัศวินเอาไว้ด้านหลัง
ข้ารีบใช้พลังรักษาตัวเองรักษาบาดแผลพร้อมกับคิดไปด้วยว่าอัศวินคนนี้แข็งแกร่งอย่างร้ายกาจ ถึงแม้ว่าข้าจะฟื้นคืนพลังกลับมาได้เหมือนเดิมก็ไม่สามารถประมาทเจ้านี่ได้ การโจมตีครั้งแรกที่มันแพ้เป็นเพราะมันยังไม่ทันได้ตั้งตัว แถมข้ายังใช้พลังเวทเข้าช่วยอีก
อัศวินที่แข็งแกร่ง แถมเวลาที่มันด่าข้าว่าเจ้าไพร่สามานย์ดูแล้วไม่น่าจะเป็นอัศวินธรรมดาทั่วไป ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นชนชั้นสูงระดับแถวหน้าก็ได้ ท่าทางถึงได้ดูมีราศีขนาดนี้
ลองคิดอีกที...อัศวินชั้นสูงที่เป็นชนชั้นสูงจะมาที่ลานลงทัณฑ์ซึ่งมีแต่ศพทำไม ไม่ค่อยจะมีเหตุผลเท่าไหร่เลย
นอกจากว่าจะเป็นคำสั่งของเจ้านาย ถ้าอย่างนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง...เฮ้อ!
ข้าคิดจนหัวหมุนก็สะบัดหัวแล้วก้มหน้า แผลที่ข้าสมานไปเมื่อกี้นี้เปิดออกจนเลือดไหลอีกแล้ว ก็น่าอยู่หรอก ข้าเล่นควบม้าปุเลงๆ แผลที่เพิ่งปิดไปใหม่ๆ ย่อมต้องปริออกเป็นธรรมดา
ต้องรีบกลับไปที่ตำหนักเทพอัศวินอันศักดิ์สิทธิ์ถึงจะรักษาบาดแผลให้หายดีได้ ข้าฉีกหมวกของเสื้อคลุมออกมาพันที่หัวไหล่ จากนั้นก็ควบม้าเต็มกำลังกลับเข้าเมืองหลวง
ข้าปล่อยตาแก่ลงก่อนที่จะเข้าประตูเมือง จากนั้นก็ร่ายเวทรักษาแผลให้กับเขาก่อนที่จะกำชับตาแก่ว่า “ถ้ายังรักชีวิตอยู่ก็จงหนีไปจากที่นี่ซะ หนีไปให้ไกลที่สุด ได้ยินไหม”
พอข้ารักษาบาดแผลให้เสร็จตาแก่ก็ดูจะดีขึ้นมาก เขาพยักหน้าแล้วรีบหนีหัวซุกหัวซุนจากไป
ข้าเองก็กระโดดลงจากหลังม้า ม้าตัวนี้เป็นของเจ้าอัศวินคนนั้น ข้าจึงไม่กล้าพามันกลับตำหนักด้วย เพราะถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดเผย มันจะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน แถมเลือดยังเลอะเป็นแถบ ถ้าขี่ม้าเข้าไปอาจจะเด่นจนถูกพวกทหารยามหรือแม้กระทั่งเหล่าเทพอัศวินพวกเดียวกันจับตามองก็ได้
ข้าใช้มือปิดบาดแผลเอาไว้แล้วเดินเข้าไปในเมืองช้าๆ ทหารยามที่ประตูเมืองมองข้าอย่างไม่ไว้วางใจ แต่ก็ไม่ได้เข้ามาขัดขวางไม่ให้ข้าเข้าเมือง อาจจะเห็นสภาพของข้าแล้วคิดว่าไม่เข้ามายุ่งด้วยดีกว่า อีกอย่างในเมืองหลวงก็มีทหารยามและเทพอัศวินเต็มไปหมด ถ้าเกิดกล้าทำให้เรื่องวุ่นวายขึ้นมา ข้าเองนั่นแหละที่จะเดือดร้อนหนัก
ข้าเสียเลือดจนอ่อนแรงมากเกินกว่าจะเดินหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนเต่าอีกแล้ว
ถึงข้าจะไม่ได้ก่อเรื่อง แต่ก็มีทหารยามกลุ่มหนึ่งคอยจับตาดูข้าไว้ ลำพังเสื้อคลุมที่เปื้อนเลือดกว่าครึ่งนี้ก็น่ากลัวพออยู่แล้ว พวกเขาอาจกลัวว่าข้าจะก่อความไม่สงบหรือเป็นลมล้มพับตายอยู่ข้างทางก็เป็นได้
ทหารยามสองสามนายที่อยู่ด้านหน้าประชิดตัวเข้ามาทุกทีๆ ข้าจึงเดินตรงไปยังข้างทางที่มีเทพอัศวินสามคนจากตำหนักเทพอัศวินอันศักดิ์สิทธิ์กำลังพูดคุยกันอยู่
ข้าเดินเข้าไปใกล้ทั้งสาม จากนั้นก็ยื่นมือออกไปหาเทพอัศวินคนหนึ่ง การกระทำนี้ทำให้ทหารยามและเทพอัศวินอีกสองคนที่เห็นข้าตื่นตัว พวกเขาดึงเทพอัศวินคนนั้นหลบ
ตอนแรกข้าคิดจะสะกิดไหล่เทพอัศวินคนนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าทำไม่ได้แล้ว
“ขออำนวยพรแห่งองค์มหาเทพแด่พวกเจ้า พี่น้องของข้า” ข้าพยายามพูดเสียงสูง ทว่าพอพูดออกมาเสียงกลับไม่กังวานใสเหมือนที่ข้าคิด มันฟังดูอ่อนแรงยังไงก็ไม่รู้
“ท่านเป็นใครกัน” เทพอัศวินเหล่านั้นมองข้าด้วยความสงสัย ยิ่งเห็นเลือดท่วมตัวข้าแบบนี้ยิ่งรู้สึกระแวง
ข้าค่อยๆ ดึงผ้าคลุมออกให้พวกเขาได้เห็นใบหน้าพลางยิ้ม “จำได้หรือยัง”
พอทั้งสามเห็นใบหน้าข้าก็ตะลึงจนตาโต คนที่อายุน้อยที่สุดในนั้นถึงขนาดติดอ่าง “ท่าน...ท่านคือ...”
“ชู่ว!” ข้าแตะนิ้วชี้ไว้ที่ริมฝีปาก ขยิบตาเป็นสัญญาณ และไม่ลืมที่จะยิ้มละไม...ถึงข้าจะอยากเป็นลมไปซะตรงนี้ แต่ยังไงข้าก็ต้องรักษาภาพพจน์ของเทพอัศวินครีอุส!
เทพอัศวินทั้งสามคนนั้นทำอะไรไม่ถูก ตอนแรกพอรู้ว่าข้าคือเทพอัศวินครีอุสก็จะพากันทำความเคารพ แต่พอเห็นท่าทางข้าไม่ต้องการเปิดเผยฐานะที่แท้จริงก็เลยไม่กล้า พอสายตาเลื่อนมาบนร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของข้า สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป แล้วไม่รู้ทำไมจากนั้นพวกเขาก็หน้าซีดไปตามๆ กัน
“ข้าต้องการการคุ้มกัน พวกเจ้ายินดีสละเวลาไปส่งข้าที่ตำหนักเทพหรือไม่”
ข้าตัดทอนคำพูดลงไปเยอะ พวกคำขยายความมากเรื่องประเภทด้วยพระเมตตาของเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง หรือพี่น้องเทพอัศวินผู้เป็นที่รัก เพราะตอนนี้ข้าอยากจะกลับไปนอนที่ตำหนักเทพอัศวินอันศักดิ์สิทธิ์ให้เร็วที่สุด
“อีกอย่าง ดูเหมือนว่าทหารยามจะเข้าใจข้าผิด รบกวนพวกเจ้าช่วยข้าอธิบายให้พวกเขาเข้าใจสักหน่อย แต่ห้ามเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของข้าเป็นอันขาด”
ทั้งสามพยักหน้าตื่นๆ เทพอัศวินคนหนึ่งแยกตัวไปคุยกับทหารยาม ถึงจะไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน แต่ทหารยามพวกนั้นก็พยักหน้าหงึกหงักแล้วจากไป
เทพอัศวินที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มถามตื่นๆ ว่า “ท่าน...ท่านจะดูบาดแผลก่อนไหมขอรับ ข้ามีพลังรักษาตัวเองนิดหน่อย...อ้า!” พูดไปได้แค่ครึ่งเดียวก็เหมือนเขาจะคิดอะไรได้เลยหยุดพูดไปซะอย่างนั้น
ข้าตอบยิ้มๆ ว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ลำบากเจ้าแล้ว”
พอข้าพูดออกมา เทพอัศวินทั้งสามคนก็จ้องข้าแบบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ข้าพอจะเข้าใจความรู้สึกของพวกเขานะ เพราะข้าเป็นเทพอัศวินครีอุสที่มีชื่อเสียงด้านพลังวิเศษ แต่กลับต้องให้คนอื่นช่วยรักษาบาดแผลให้ มันออกจะเหลือเชื่อเกินไปหน่อย
หากเทพอัศวินทั้งสามก็รู้ดีว่าไม่ควรพูดมาก จากนั้นเทพอัศวินที่ถามข้าเมื่อกี้นี้ก็ใช้พลังรักษาบาดแผลให้ข้าอย่างเงอะๆ งะๆ พอเสร็จทั้งสามก็คุ้มกันข้าพาไปส่งที่ตำหนักเทพอัศวินอันศักดิ์สิทธิ์
เพราะได้สามคนนี้พามาส่ง ข้าจึงมาถึงตำหนักเทพอัศวินอันศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว ข้าร่ายคำขอบคุณจบก็เดินขึ้นบันไดของตำหนักไปเพียงลำพัง
“ครี...ท่านไม่เป็นไรนะขอรับ” เทพอัศวินที่อายุน้อยที่สุดร้องถามอย่างเป็นห่วง
ข้ารู้สึกวูบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พอตั้งตัวได้ก็หันกลับไปยิ้มสว่างไสวให้พวกเขา “ไม่เป็นไร ขออย่าได้เป็นกังวล”
แต่ไม่รู้ทำไม เทพอัศวินทั้งสามคนกลับดูตื่นตระหนกกว่าเดิมซะอีก
พอมาถึงหน้าประตูตำหนักข้าก็ดึงผ้าคลุมลง เทพอัศวินที่เป็นเวรหน้าประตูทำความเคารพ ข้าเดินผ่านเข้าประตู มุ่งไปยังเส้นทางที่ตรงสู่ห้องนอน ใกล้จะถึงแล้ว เตียงนุ่มๆ ของข้า...
“ครีอุส!”
ข้าจำใจหยุดเดินเมื่อได้ยินเสียงเรียก แต่ยังไม่ทันได้หันไปมองก็ถูกใครบางคนลากให้เดินไปอีกทางหนึ่ง ตอนนี้ข้าไม่มีแรงแม้แต่จะพูด เลยได้แต่ปล่อยให้เขาลากข้าไปเรื่อยๆ
“เจ้าไปทำอะไรมา ทำไมเลือดเต็มตัวแบบนี้ เลือดของศัตรูใช่ไหม เจ้าจัดการพวกมันจนฟันร่วงเต็มพื้นเลยหรือเปล่า ฮ่าๆ!”
คนที่กำลังลากข้าเดินลิ่วๆ อยู่เป็นชายหนุ่มที่มีเส้นผมสีแดงเพลิง รูปร่างสูงใหญ่ เสียงดังกึกก้อง ชอบพูดขวานผ่าซาก พละกำลังมหาศาลจนคิดไม่ถึง
นี่คือหนึ่งในเทพอัศวินทั้งสิบสององค์ เทพอัศวินเฮฟเฟตัส ตัวแทนแห่งอัคคี เป็นคนใจร้อนเหมือนไฟ บางครั้งก็ร้อนจนระเบิด เขาเป็นหัวหน้าเทพอัศวินซึ่งสังกัดฝ่ายเฮมิชเหมือนกับข้า เทมเพส และเคเรส
ให้ข้าเดินเองเถอะ...เฮฟเฟตัส! ข้าอยากจะร้องไห้ ตอนนี้ข้าแทบจะเป็นลมอยู่แล้ว!
“ใช่แล้ว ข้าลืมบอกเจ้าไปเลยว่ามาหาเจ้าทำไม”
เฮฟเฟตัสเอาแต่ลากข้าตรงไปข้างหน้าโดยไม่คิดจะหันมามองข้าเลยด้วยซ้ำ ข้าเห็นพวกเทพอัศวินที่เดินผ่านต่างพากันมองข้าแบบตกตะลึง จนเอกสารในมือ แก้วน้ำ แม้กระทั่งดาบคู่กายพากันหล่นไปกองกับพื้น สภาพข้าตอนนี้คงจะน่ากลัวมาก...อ่อนแอจนน่ากลัว
ถ้ายังเป็นแบบนี้ข้าคงจะรักษาภาพพจน์ของเทพอัศวินครีอุสต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ข้าใช้พละกำลังเสี้ยวสุดท้ายดึงผ้าคลุมหน้าขึ้น
“ตอนนี้ไอซอทล้มไปแล้ว ดาบของอัศวินแห่งความตายมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เห็นว่าเป็นดาบอะไรตายๆ ก็ไม่รู้ ถ้าถูกฟันเข้า พลังปลิดวิญญาณจะเข้าสู่ร่างกาย ร้ายแรงขนาดที่ตาแก่พระสังฆราชนั่นยังทำได้แค่สกัดพลังของมันเอาไว้ บอกว่ามีแต่เจ้าเท่านั้นที่สามารถทำลายพลังอะไรนั่นของมันได้”
พลังปลิดวิญญาณงั้นเหรอ มิน่าล่ะ! คนที่สามารถฟื้นคืนพลังได้อย่างรวดเร็วอย่างข้าถึงอ่อนแอนัก น่ากลัวว่าดาบเล่มนั้นจะมีพลังมหาศาล ดังนั้นข้าจึงต้องรับผิดชอบสืบหาความจริงในเรื่องนี้ โชคร้ายคือดาบนั่นยังอยู่ในมือของอัศวินแห่งความตาย และที่โชคร้ายยิ่งกว่าก็คือข้าถูกสงสัยว่าเป็นฆาตกรจนทำให้อัศวินแห่งความตายถือกำเนิดขึ้น
เฮฟเฟตัสลากข้ามาถึงฝั่งที่อยู่ของกลุ่มโคลด์บลัด พอมาถึงหน้าห้องของไอซอท เฮฟเฟตัสก็ยกเท้าขึ้นถีบประตูทีเดียวเปิด จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังว่า “ข้าหาครีอุสเจอแล้ว! ทีนี้ต้องทำยังไงถึงจะช่วยเจ้าหนุ่มแข็งทื่อนั่นได้!”
ไอซอทไม่ได้อาการสาหัสเหมือนที่ข้าคิด ถึงเขาจะนอนอยู่บนเตียง แต่สติก็ครบถ้วนสมบูรณ์ดีทุกอย่าง แถมในมือยังถือหนังสืออยู่เล่มหนึ่งด้วย ด้านข้างมีนักบวชที่กำลังปรึกษาเรื่องวิธีการเยียวยาบาดแผลอยู่
เทอร์มิสนั่งแก้เอกสารอยู่ข้างๆ ไอซอท เขาคงจะมาดูแลไอซอท และก็ไม่ลืมจัดการงานเอกสารด้วย
นักบวชชั้นสูงที่อยู่ด้านข้างพูดด้วยความดีใจว่า “เพียงแค่ได้หยาดโลหิตที่ได้รับคำอำนวยพรจากองค์มหาเทพของหัวหน้าเทพอัศวินครีอุสมาหยดลงบนบาดแผลของหัวหน้าเทพอัศวินไอซอท ผสานกับพลังเทพบริสุทธิ์ของพวกเรา ก็จะสามารถขับไล่พลังปลิดวิญญาณออกไปได้หมดสิ้น แล้วให้ท่านเทพอัศวินไอซอทนอนพักอีกสักสองสามวันก็จะหาย”
ถ้าอย่างนั้นให้ข้าไปพักสักสองสามวันก่อนได้ไหม ข้าว่าดูยังไงๆ สภาพของข้าตอนนี้หนักกว่าไอซอทเป็นไหนๆ
โอ๊ย! อยู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บที่ข้อมือ จากนั้นเลือดก็ไหลออกมาเป็นสาย
“งั้นก็ง่ายล่ะ อีกอย่างครีอุสน่ะเหมือนแมลงวันที่ตีไม่ตาย แค่เลือดหยดสองหยดไม่ทำให้เขาเป็นอะไรหรอก” เฮฟเฟตัสใช้มือหนึ่งจับไหล่ข้า อีกมือจับมือข้าส่ายไปส่ายมาบนหัวของไอซอท ทันทีที่ร่างของเขามีแต่เลือดของข้า สีหน้าเขาก็ดูเย็นชายิ่งกว่าเดิม
นักบวชเห็นอย่างนั้นก็รีบพากันร่ายคาถาพลังเทพบริสุทธิ์ เพียงแต่พลังทั้งหมดร่ายให้กับไอซอทที่นอนอยู่บนเตียงคนเดียว...นี่ๆ! ทุกคนลืมไปหมดแล้วใช่ไหมว่าเมื่อวานนี้ข้าก็ถูกฟันเหมือนกัน แถมบาดแผลยังสาหัสกว่าไอซอทตั้งหลายเท่า ทำไมไม่แบ่งพลังเวทให้ข้าบ้างเล่า!
ข้าเห็นพลังเทพบริสุทธิ์แล้วอยากจะร้องไห้ ถึงข้าจะร้องออกมาจริงๆ หากเสียงที่หลุดจากปากกลับเป็นแค่เสียงลมเหมือนคนใบ้
“หัวหน้าเทพอัศวินครีอุส เจ้า...” เทอร์มิสเริ่มรู้สึกว่าข้าผิดปกติจึงรีบเงยหน้าขึ้นมา เขาได้แต่มองด้วยความลังเลแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ข้าเข้าใจเทอร์มิส เพราะเราทั้งสองคนคือเทพอัศวินครีอุสและเทพอัศวินเทอร์มิสที่ไม่มีวันเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ไม่ว่าในเวลาส่วนตัวเราจะเป็นยังไง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่านักบวชกับเฮฟเฟตัส การแสดงความเป็นห่วงเห็นจะไม่เหมาะสม อีกอย่างคนที่มีพลังฟื้นตัวรวดเร็วเหมือนแมลงวันอย่างข้าก็คงไม่มีใครเชื่อหรอกว่าข้าจะตายลงจริงๆ
ช่วงเวลาที่นักบวชช่วยกันร่ายคาถาพลังเทพบริสุทธิ์ให้กับไอซอท สติของข้าก็เริ่มหลุดลอยมากขึ้นทุกทีๆ ขอร้องล่ะ! ใครก็ได้ช่วยหันมาดูหน่อย ข้ากำลังจะไปเข้าเฝ้าองค์มหาเทพอยู่แล้ว!
วินาทีสุดท้ายก่อนที่ข้าจะหมดสติไป หางตาของข้ามองเห็นเทอร์มิสดึงมือของเฮฟเฟตัสออกแล้วเข้ามาพยุงข้า พอเปิดผ้าคลุมออกเห็นหน้าข้าเท่านั้นเขาก็สูดลมหายใจเฮือกแล้วหันไปโวยวายดังลั่นใส่พวกนักบวช แต่จะโวยวายว่าอะไรบ้างนั้นข้าฟังไม่รู้เรื่องแล้ว
ฮือๆ ขนาดไอซอทที่นอนอยู่บนเตียงยังเด้งตัวลุกขึ้นมา ใบหน้าเย็นชาเหมือนน้ำแข็งของเจ้าหมอนี่ก็สามารถทำหน้าตื่นตกใจได้เหมือนกัน ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ส่วนเฮฟเฟตัสที่ปกติชอบเอ็ดตะโรโหวกเหวกก็ถึงกับเงียบเป็นเป่าสาก
ไม่สนแล้ว!
จะเป็นหรือจะตายข้าไม่สนแล้ว! ตอนนี้ข้าแค่อยากหลับตา...นอนเท่านั้น
ฮ้า! สบายจริงๆ ราตรีสวัสดิ์ทุกคน
ความคิดเห็น