ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ` Purgartory Boulevard สาขา 2

    ลำดับตอนที่ #5 : Highway To Hell (The Beginning) | American Horror Story: Apocalypse (2018)

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.พ. 64


    HIGHWAY TO HELL (THE BEGINNING)
    B
    ASED ON CHARACTERS FROM : American Horror Story: Apocalypse (2018) | Creators - Ryan Murphy, Brad Falchuk
    RE-RELEASE DATE
    : JANUARY 31, 2021

    ---------------------------------------------------------------------------
    -
    เราเพิ่งเอาเรื่องนี้พาร์ทนี้ไปแปลงเป็นฉากในญี่ปุ่นเสร็จเรียบร้อย ก็เลยทำตามที่ตั้งใจไว้คือเอาต้นฉบับดั้งเดิมมาเปลี่ยนชื่อเพิ่มนางเอก แต่พล็อต(ที่สั้นกุด)กับภาษา(ที่ง่อยหน่อย)คงเดิมหมด เราดูAHSแล้วพล็อตก็มาเอง เราคิดเองคนเดียวหมด แรงบันดาลใจงอกเองหมด ไม่ได้ก๊อปใครทั้งนั้นนะจ๊ะสาว :3
    - อบคุณชื่อมอร์ฟิดด์จากคุณ Morfydd Clark นางเอกเรื่อง Saint Maud ที่เราอยากดูมากเหลือเกิน T_T และขอบคุณ Kaylee Bryant หรือโจสี้ที่น่ารักใน Legacies ของเรา เธอเหมาะสมกับการเป็นนางเอกฟิคเรื่องนี้ที่เราตามหามานานมาก เพราะเธอคือแม่มดยังไงล่ะ T_T
    - พราะอะไรงั้นเหรอ เพราะเราได้แปล Legacies ss2 ลงทางฟรีทีวีช่องหนึ่งที่จะฉายสักวันในปีนี้ไงล่ะ 555 ไว้ลงจอเมื่อไหร่รออ่านฟิคเซบาสเชียนนะ คิดพล็อตรอแล้วล่ะ :p
    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    .
    RELEASE DATE : AUGUST 2, 2019

    #legaciesedit from Legacies Ladies#legaciesedit from Legacies Ladies
    #legaciesedit from She's strong, You're strong
    #codyfernedit from ave satanas!
    #Michael Langdon from no need for rules anymore#Michael Langdon from no need for rules anymore

    SONG : Glory Box
    Portishead | Insert Song From American Horror Story: Apocalypse S8 E4
    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    มอร์ฟิดด์ติดอยู่ใน นรก

    ไม่ใช่นรกในใจหรือสถานที่ที่เธอจะเปรียบเปรยว่าเหมือนนรก แต่เป็นนรกแท้จริงตามตัวอักษรที่ผู้คนจะได้มาหลังจากที่ตาย และมันก็หาใช่คำเปรียบเปรยอีกเช่นกัน

    มอร์ฟิดด์ตายด้วยน้ำมือของแม่ เพราะหล่อนว่าเธอเป็นเด็กต้องสาป


    .


    คำสาป--หากจะเรียกแบบนั้น--เริ่มต้นขึ้นในตอนที่มอร์ฟิดด์อายุ ๑๑ ขวบ

    แม่พาเธอไปเยี่ยมยายที่อาศัยอยู่ในชานเมืองต่างรัฐเป็นครั้งแรก ใช้เวลากว่าวันครึ่งจึงมาถึงบ้านไม้กลางทุ่งไร่ขจีโพ้นตาที่เป็นสีส้มในยามอัสดง มอร์ฟิดด์กระโดดลงจากเบาะหลังกระบะบุโรทั่งของพ่อเลี้ยง สูดอากาศบริสุทธิ์ที่หอบกลิ่นหญ้าและดินมาด้วยเข้าไปจนเต็มปอด หาใช่กลิ่นเหม็นเน่าน่าสะอิดสะเอียนอย่างในละแวกบ้านที่เธอต้องหายใจรับมันอยู่ทุกวัน เด็กหญิงยิ้มกว้าง อดไม่ได้ที่จะทึกทักเอาเองว่ายายจะใจดีกว่าแม่ การได้อยู่ท่ามกลางอากาศปลอดโปร่งแบบนี้ สุขภาพจิตก็คงดีตามไปด้วย ไม่เหมือนแม่ที่ต้องรบรากับสภาพแวดล้อมเน่าเฟะสับปะรังเคในเมือง

    มอร์ฟิดด์แบกกระเป๋าใบโตขึ้นหลัง ก้าวฝีเท้าตามแม่ที่ยายกระวีกระวาดออกมาหาอย่างตื่นเต้น หญิงชราผิวบ่มแดด ผมสีดอกเลา แม้จะร่วงโรยไปตามวัยแต่ก็ยังดูกระฉับกระเฉง หากไม่ทันจะได้สวมกอดลูกสาวดี ยายที่บังเอิญหันมาเห็นเด็กหญิงก็เบิกตากว้าง ผงะถอยออกจากร่างลูกสาวของนางโดยไม่รู้ตัว จากนั้นแม่เฒ่าก็กรีดเสียงลั่นพร้อมชี้นิ้วเต้นเร่าใส่เธอ

    แก! อีคนบาป! นังแม่มด! แกมันวิญญาณอัปรีย์ แกจะนำภัยมาสู่เรา! แกต้องถูกเผา!

    ม่เฒ่าร้องแรกแหกกระเชอไม่หยุด จนแม่ต้องรีบกระชากแขนดึงมอร์ฟิดด์เข้าไปในบ้านให้พ้นหน้านาง แม้เด็กหญิงจะดูออกว่าแม่เองก็งงงวยไม่แพ้กัน ทว่าเธอดูไม่ออกว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับหล่อน หญิงชราเชื่อและศรัทธาในพระเจ้าอย่างแรงกล้ามาตั้งแต่หล่อนจำความได้ แต่ก็ไม่วายที่แม่ของเธอจะเปรยไปด้วยว่า

    ก็ควรอยู่หรอก แม่ฉันคงมองเห็นถึงลึกเข้าไปถึงวิญญาณโสมมของแก ฉันก็คิดไว้แล้วว่าเด็กไร้ประโยชน์อย่างแกต้องเป็นลูกปีศาจ”

    “ถ้าหนูเป็นลูกปีศาจ งั้นแม่ก็เป็นปีศาจเหรอ”

    อร์ฟิดด์หาได้มีเจตนายอกย้อน เธอแค่ต้องการยืนยันคำพูดของแม่ให้แน่ใจ เด็กหญิงไม่คิดว่าลูกปีศาจจะกำเนิดมาจากมนุษย์ธรรมดาได้ เช่นนั้นไม่แม่ก็พ่อหรือไม่ก็ทั้งคู่ย่อมต้องเป็นปีศาจ ทว่าหล่อนไม่ได้คิดว่ามอร์ฟิดด์เป็นเด็กช่างสงสัย แต่เป็นเด็กเวรที่บังอาจย้อนศรคำพูดคำจาอย่างอวดดี แม่ปล่อยมือที่จับไว้ออก ก่อนเอามือนั้นตบหน้าเธออย่างแรง แม้จะผอมแต่แรงตบก็มากพอจะทำให้เด็กหญิงที่แบกกระเป๋าหนักล้มลงไปได้ แม่ย้ำซ้ำด้วยฝ่ามืออีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง จนแก้มเนียนใสเป็นรอยปื้นแดงที่ไม่ช้าก็จะกลายเป็นเขียวคล้ำ เลือดไหลซึมจากการตบอย่างไม่ออมแรงและเล็บยาวที่จิกโดนผิวหนัง

    ไอ้เด็กนรก! อีลูกชั่ว! แกมันก็แค่ลูกปีศาจที่อาศัยท้องฉันมาเกิดเท่านั้นแหละ! ฉันไม่น่าทนอุ้มท้องแกมาตั้งเก้าเดือนเลย! ฉันน่าจะฆ่าแกซะตั้งนานแล้ว!


    ในคืนนั้นยายที่ร่างกายแข็งแรงไม่เคยล้มป่วยมาตลอด ๖๖ ปีก็เป็นอันล้มหมอนนอนเสื่อโดยไม่อาจหาสาเหตุได้ แม่กับพ่อเลี้ยงของมอร์ฟิดด์เฝ้าดูนางด้วยความกังวลไม่ต่างอะไรกับเธอ ทว่าเด็กหญิงทำได้เพียงยืนหลบอยู่ในมุมมืดเพราะยายไม่ปรารถนาจะเห็นหน้าเธอ แต่แม่ก็ไม่ยอมให้เธอออกไปอยู่ห้องอื่น หญิงชราที่นอนติดเตียงเอาแต่พร่ำเพ้อ พูดพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ กระทั่งนางหันมาเห็นเด็กหญิงที่ซ่อนร่างอยู่ในเงามืด

    แก! อีนรก! อีอัปมงคล! แกมันแม่มด! แกมันปีศาจ! แกกลับมาเพื่อทำลายพวกเรา! ในที่สุดแกก็มา! เพราะฉันเคยทำร้ายแก! ทำลายครอบครัวแก! แต่ในที่สุดแกก็กลับมา! ฆ่ามัน! รีบฆ่ามัน! เอามันไปเผา! เอาอีแม่มดจัญไรนี้ไปเผา!

    เสียงแหบแห้งของนางร่ายออกมายืดยาว ทั้งสามชีวิตฟังรู้เรื่องทุกคำแต่ไม่เข้าใจความหมายในถ้อยความของนางแม้แต่นิดเดียว แม่ของเธอพยายามจะสอบถามราวเรื่องแต่หญิงเฒ่าก็ไม่มีสติแล้ว นางกลับไปเพ้อพร่ำด้วยภาษาที่ไม่มีใครรู้เรื่องอีกครั้ง ไม่นานเสียงของนางก็หยุดลง บัดนี้ห้องเงียบสงัด มีเพียงเสียงจากไม้ในเตาผิงที่ปะทุแตกเปรี๊ยะเป็นครั้งคราว ยายหันมองเด็กหญิงอีกครั้ง ไฟจากเตาผิงให้ความสว่างแก่บ้านที่ไม่มีไฟฟ้า ต้นไม้ใหญ่ด้านนอกฉายเงาทาบบนผนังห้องผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่ ดูราวกับปีศาจร่ายรำเมื่อมันวูบไหว หญิงชราอาจเห็นมันเป็นเพียงเงาของต้นไม้ใหญ่ หรือไม่ก็เห็นเป็นเงาของปีศาจร้ายที่กรายย่าง ไม่มีวันที่ใครจะได้รู้ ดวงตาสีเทาของนางเบิกโพลงทำให้รอยย่นรอบดวงตาดูน้อยลง แต่ยามนี้นางกลับดูแก่กว่าที่เป็นมาก กล้ามเนื้อบนใบหน้าเหี่ยวย่นกระตุกราวกับหวาดกลัวบางอย่างสุดขีด หญิงชราส่งเสียงลากยาวในลำคอ ก่อนร่างจะกระตุกอย่างแรงหนึ่งครั้ง แน่นิ่งไปตลอดกาล

    ยายของเธอคือรายแรก จากนั้นก็เป็นน้ากับสามีที่มาร่วมงานศพตามด้วยลูกทั้งสามคนของหล่อน ตลอด ๖ ปีนั้น ไม่ว่าใครที่มีสายเลือดเดียวกันหรือเกี่ยวพันในฐานะสามีภรรยากับคนในตระกูลของมอร์ฟิดด์ ทุกคนล้วนต้องจบชีวิตหลังจากได้พบกับเด็กหญิง บ้างก็ไม่เจ็บไม่ปวด บ้างก็อย่างสยดสยอง แต่ไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไร

    ไม่...เหมือนที่ยายของเธอรู้

    แต่ไม่ช้าแม่ของเธอก็ตระหนักว่าแม่เฒ่าพูดถูก


    .


    แม่ส่งมอร์ฟิดด์ไปโรงเรียนประจำสำหรับสตรี โรงเรียนที่อ้างว่าตั้งมั่นถือมั่น ยึดตามบัญญัติคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า ดำเนินการโดยเหล่าแม่ชีชุดดำผู้มีจิตใจมืดดำไม่ต่าง ทุกเช้าถึงบ่าย เด็กสาวจะต้องเรียนรู้เรื่องราวในไบเบิล สวดภาวนาขอหนทางหลุดพ้นกับพระเจ้า หลังจบมื้ออาหารค่ำที่ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารเละๆแฉะๆและเหม็นหืน นางชีก็จะจับเด็กนักเรียน--ที่มีแนวโน้มว่าจะไม่รักดี--ไปไว้ในห้องที่พวกนักเรียนแอบเรียกลับหลังว่า คุก

    มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมโล่งแคบ ฉาบขึ้นจากปูนคุณภาพต่ำ หากไม่นับปูนเปลือยที่ดูเหมือนใบหน้าคนก็ไม่มีการตกแต่งอื่นใด นอกจากหน้าต่างติดเหล็กดัดพอให้ดวงตามองส่องได้ ทว่าเจตนาแท้จริงก็เพื่อให้ลมเย็นจากป่าภายนอกโพยพัดเข้ามา อากาศที่เย็นเยือกอยู่แล้วในห้องสีเทาจะได้หนาวเหน็บยิ่งขึ้นไปอีก เป็นการทรมาน นักโทษ ในชุดนอนผ้าฝ้ายสีขาวเนื้อบางเหมือนกระดาษชำระ กลางห้องมีเก้าอี้เหล็กเย็นเยียบตั้งอยู่ มอร์ฟิดด์จะถูกนำตัวไปมัดติดกับเก้าอี้ด้วยเชือกฟางหนาๆแข็งๆที่บาดผิวหนังจนเจ็บและระคาย

    แม่ชีจะเฆี่ยนตีเธอขณะอ่านบทสวดจากคัมภีร์ไบเบิลไปด้วย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นน้ำมือของซิสเตอร์จู๊ดผู้มีอำนาจที่สุดของสถาบัน นางชีบอกว่าเป็นพิธีกรรมเพื่อขับไล่ปีศาจร้ายในตัวเธอ สิ่งที่มอร์ฟิดด์เล่าเรียนไปในตอนเช้าหาได้มีประโยชน์เมื่อกลางคืนมาเยือน เพราะผู้รับใช้พระเจ้ากลับเป็นผู้ที่ทำร้ายร่างกายเธอไปจนถึงจิตวิญญาณ สิ่งเดียวที่เด็กสาวได้เรียนรู้จนถ่องแท้คือความอดทนเมื่อถูกทารุณ


    บ่ายวันเสาร์นั้นฟ้ามืดครึ้ม หลังจากทิ้งมอร์ฟิดด์ไว้ ๖ เดือนในโรงเรียนประจำโดยไม่เคยโผล่หน้ามาเยี่ยมหา พ่อเลี้ยงกับแม่ก็มาเพื่อคุยบางอย่างกับซิสเตอร์จู๊ด เด็กสาวไม่รู้หรอกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่องอะไรถึงจะแน่ใจว่าไม่มีทางใช่เรื่องรับเธอกลับบ้าน ทว่าแม้บ้านจะไม่เคยใช่วิมาน เธอก็อยากกลับไป การหนีออกจากบ้านยังง่ายกว่าการหนีออกจากโรงเรียนประจำที่มีการคุ้มกันแน่นหนาทุกทางไม่ต่างอะไรกับคุก

    แม่กับพ่อเลี้ยงบอกลาซิสเตอร์จู๊ดหลังออกจากห้องทำงานของนางก่อนเดินลงบันไดมา มอร์ฟิดด์นั่งรอพวกเขาอยู่ที่โต๊ะข้างล่าง ทั้งหมดที่เธอทำมีแค่นั้น ใช่ว่าเธอเป็นคนผลักพ่อเลี้ยงลงมาจากบันไดสูง ๑๓ ขั้นนั้น (มอร์ฟิดด์นับมันทุกวันและมั่นใจว่านับไม่ผิด) จนเลือดไหลออกมาจากหลังศีรษะของเขาและเจิ่งนองไปบนพื้นคอนกรีต เด็กสาวแน่ใจว่าก่อนหน้านั้นได้ยินเสียงเหมือนแตงโมถูกทุบด้วย พ่อเลี้ยงของเธอไม่ได้หมดสติในทันที แม้จะแขนขาบิดเบี้ยวหงิกงอ ลมหายใจขาดห้วง สำลักออกมาเป็นเลือดทะลัก เขาก็ยังดิ้นทุรนทุรายเหมือนปลาถูกทุบหัวได้ แม่แผดเสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นเหมือนผีแบนชี หล่อนกรีดเล็บที่ยาวเหมือนแม่มดมาทางเธอ ปากสีแดงก็กรีดเสียงตะโกนว่า

    “มัน! มันเป็นคนทำ! ปีศาจในตัวมันเป็นคนทำ! อีนี่เป็นเด็กต้องสาป! มันเป็นปีศาจ!

    นางชีชุดดำกรูกันเข้ามาจับตัวเด็กสาวเมื่อซิสเตอร์จู๊ดประกาศกร้าวให้ทำตามเจตนารมณ์ของแม่เธอ และมอร์ฟิดด์แน่ใจว่ามันก็เป็นสิ่งที่นางต้องการ

    “นำตัวนังปีศาจไปชำระ!


    มอร์ฟิดด์--ผู้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไร--ถูกนำตัวไปมัดติดกับเก้าอี้ในคุกทั้งที่ฟ้ายังไม่มืด

    ลอดเวลานั้นเด็กสาวก็ได้แต่กรีดร้องขอความยุติธรรม ไม่! หนูไม่ได้ทำ! หนูไม่ใช่ปีศาจ! ปล่อยหนู! ทุกคนได้ยินแต่หาได้มีผู้ใดรับฟัง นางชีนับสิบคนล้อมตัวเธอไว้ราวกับกำลังทำพิธีกรรมและมอร์ฟิดด์คือเหยื่อที่ถูกนำมาสังเวย ไม่ช้าไม่นานซิสเตอร์จู๊ดก็ปราดเข้ามาในห้อง ก้าวฝ่านางชีคนอื่นมายืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าเธอ กำไม้ไว้ในมือหนึ่ง อีกมือเป็นไบเบิลเล่มหนา ทำเหมือนทุกครั้งที่แล้วมา อ่านไบเบิล เอาไม้ตีเพื่อขับไล่ปีศาจที่สิงร่างเธอ มันจะกระทบผ่านผ้าเนื้อโปร่งบางไปถึงเนื้อหนังข้างใต้นั้น เลือดจะไหลซึมย้อมเสื้อสีขาวเป็นด่างดวง แม้เมื่อซักแล้วก็ยังเหลือคราบสีน้ำตาลจางๆเหมือนกาแฟหกแต่รสชาติขมปร่ากว่ากาแฟมากนัก ในบางคราวนางชีจะทิ้งมอร์ฟิดด์ไว้ในคุกทั้งคืนจนผ้าติดกับแผลที่แห้งกรัง มันจะทำให้เด็กสาวทรมานยามถอดชุดออกในตอนเช้า เธอเจ็บทั้งร่างกายภายนอกและจิตใจภายใน ไม่รู้จะวอนขอความยุติธรรมต่อสิ่งใด พระผู้เป็นเจ้าจะช่วยเธอได้อย่างไรในเมื่อสาวกของพระองค์เป็นผู้ทำร้ายเธอเอง

    ม้จนกระนั้น มอร์ฟิดด์ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะก้าวสู่เส้นทางดำมืด ร้องขอความเมตตาต่อปีศาจหรือซาตานตนใดกระทั่งในโมงยามที่มืดมิดที่สุด

    เธอเพียงต้องการแสงสว่างที่จะนำพาเธอไปสู่หนทางที่ถูกต้อง

    ซิเตอร์จู๊ดระดมฟาดไม้ใส่เด็กสาวไม่หยุดหย่อนจนเกิดรอยเขียวช้ำและเลือดสีแดงทั่วตัว นางไม่อ่านคัมภีร์แล้ว ยามนี้นางแค่พร่ำพูดให้มอร์ฟิดด์สำนึกตน ให้ปีศาจร้ายในตัวเธอสำนึกตน โดยมีเสียงประสานอ่านพระคัมภีร์หมู่ของนางชีที่ฟังเหมือนบทสวดของปีศาจร้ายเป็นดนตรีประกอบ มันฟังแสลงหู น่าหวาดกลัว ทุกบทนั้นต่างบอกเล่าถึงซาตานหรือปีศาจร้ายที่พวกนางโยนบทนี้ให้กับเธอ แต่ไม่ใช่! เธอจะเป็นปีศาจร้ายไปได้ยังไง ถ้าเธอเป็นปีศาจจริง เธอก็คงเผาโรงเรียนนรกแห่งนี้จนเหี้ยนเตียนไม่เหลือแม้เถ้าธุลีไปนานแล้ว

    ต่มันอาจเป็นแสงสว่างที่มอร์ฟิดด์ต้องการ เปลวเพลิงย่อมชำระทุกสิ่งได้

    มอร์ฟิดด์ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออกอีกครั้งจึงพยายามเปิดเปลือกตาที่บวมช้ำจนแทบลืมไม่ขึ้น เธอเห็นแสงวูบวาบในตา มันเป็นแสงสำหรับเธอแต่ไม่ใช่แสงที่เธอต้องการ แม่ของเธอถือคบเพลิงไว้ในมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งคือถังน้ำมัน แม้ตอนนี้เด็กสาวจะแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงหายใจ หากเมื่อได้เห็นอย่างนั้น เธอก็รวบรวมแรงใจออกมาเป็นแรงกายเพื่อจะตะโกนห้ามแม่ให้หยุดทำในสิ่งที่หล่อนกำลังจะทำ

    “อย่านะคะแม่! ไม่นะคะ! หนูไม่ใช่ปีศาจ! แม่ก็รู้! หนูเป็นลูกของแม่!

    แต่ดวงตาสีเข้มของแม่ที่มองตรงมายังเธอนั้นมืดบอด มืดมิดยิ่งกว่ารัตติกาลไหนที่เธอเคยพบเจอ ใบหน้ามีแต่ความเกลียดชัง โกรธเคือง ปราศจากซึ่งความปราณีแม้น้อยนิดที่เคยมีให้เธออีก

    แกทำให้ทุกคนในครอบครัวของฉันต้องตาย! แกมันอัปมงคล! แกคือปีศาจร้ายอย่างที่แม่ของฉันว่า! ฉันน่าจะฆ่าแกไปตั้งนานแล้ว! ไม่น่าปล่อยให้แกอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้เลย!

    หล่อนตะเบ็งด้วยถ้อยประโยคที่เย็นเยียบกว่าห้องเย็นเยือก มันบาดแทงกรีดลึกราวกับถูกหย่อนร่างที่เปลือยเปล่าลงไปในทะเลสาบฤดูหนาวตอนกลางคืน แต่มอร์ฟิดด์รู้ว่าสิ่งที่เธอจะได้รับไม่ใช่ความเย็น แม่ยื่นคบไฟให้นางชีคนหนึ่งก่อนเปิดฝาถังน้ำมันออกแล้วเทราดมันรดตัวเธอ เด็กสาวยังอ้อนวอนร้องขอชีวิตไปด้วยจนสำลักน้ำมันที่ไหลทะลักเข้าปากเข้าจมูก กลิ่นกับรสของมันใกล้เคียงกับความตายที่สุดในชีวิตของเธอ หล่อนราดมันจนหมดถังแล้วโยนไปที่มุมห้อง ตัวของเธอชุ่มโชกหนักอึ้ง น้ำตาผสมไปกับน้ำมันจนไม่มีทางแยกจากกันได้

    “กลับไปยังที่ที่แกมาซะ...นรกน่ะ”

    แม่รับคบไฟคืนจากแม่ชีแล้วจ่อเข้ากับตักของเธอ มันเผากระโปรงจนทะลุไปถึงเนื้อได้พร้อมกันในพริบตานั้น มอร์ฟิดด์แผดเสียงร้องลั่นขณะความตายเปล่งแสงสีส้มอาบไปทั่วห้อง

    มันคือแสงสว่างที่จะนำพาเธอไปสู่นรก

    สิ่งเดียวที่ทำให้มอร์ฟิดด์พึงพอใจได้ในช่วงสุดท้ายก่อนสติจะหลุดลอยไปจากร่างที่กลายเป็นเพียงซากหงิกงอ ก็คือเสียงกรีดร้องของทุกคนขณะที่เปลวไฟลามเลียแลบไปทั่วร่างแม่ของเธอกับซิสเตอร์จู๊ด เหล่านางชีต่างหนีตายกันออกไปเพื่อรักษาชีวิต ไบเบิลที่หลุดจากมือพวกนางกลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี

    คุกแห่งนี้กักขังเธอไม่ได้อีกต่อไป


    .


    แต่มอร์ฟิดด์คิดผิด

    นรกยังมีอยู่แม้เมื่อเธอจะตายไปแล้วและมันคือนรกภูมิที่แท้จริง

    มอร์ฟิดด์จะตื่นขึ้นมาในวันเดิม ยังโรงเรียนประจำนรกแห่งเดิม กับนางชีแห่งความตายพวกนั้น เธอคิดว่าพระเจ้าที่พวกนางรับใช้คงไม่ใช่พระเจ้าองค์เดียวกันกับที่เธอคิด ทุกเช้าเด็กสาวจะถูกบังคับให้ศึกษาพระคัมภีร์ สวดภาวนาขอทางหลุดพ้นที่มอร์ฟิดด์ก็ต้องการมันเหลือเกิน หลังมื้ออาหารเย็นชั้นเลว เธอก็จะถูกจับมัดกับเก้าอี้เหล็กตัวเดิมในห้องเดิม ทุกอย่างก็เหมือนที่เป็นในขณะที่เธอยังมีชีวิต แต่แบบแผนที่แปลกไปก็คือคนที่ท่องบทสวดจากคัมภีร์ไบเบิลเล่มหนาเตอะคือซิสเตอร์จู๊ด ขณะที่คนเฆี่ยนตีเธอจนระบมเจียนตาย--แต่ไม่ยอมให้ตาย --พร้อมคำด่าทอรุนแรงก็คือแม่ของเธอ

    มันคือนรกของเด็กสาว ที่อาจเป็นสวรรค์ของพวกนาง

    ในนรกหลังความตาย มอร์ฟิดด์ไม่ได้ตายด้วยเปลวเพลิงที่ควรจะช่วยชำระจิตวิญญาณ ทว่าต้องทนทุกข์ทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากพิธีขับไล่ปีศาจร้ายในตัว ปีศาจที่ไม่มีจริง เพราะหากมีจริง เขาต้องพาเธอออกไปจากขุมนรกที่เธอต้องเวียนวนพานพบไม่รู้จบตลอดกาลนี้ได้

    บัดนี้จะเป็นซาตานหรือปีศาจ มอร์ฟิดด์ก็รู้ว่าตนยินยอมพร้อมมอบทั้งวิญญาณให้เขา


    นิ่นนานจนมอร์ฟิดด์เลิกนับไปนานแล้ว อาจเป็นคืนที่ร้อย คืนที่พัน หรือคืนที่ล้าน ที่ร่างของเธอบอบช้ำและจิตวิญญาณแทบตายดับเพื่อจะฟื้นขึ้นใหม่อีกครั้ง ทว่าวันนี้เป็นครั้งแรกที่แบบแผนผิดแปลกไป ไม้ของแม่หยุดหวดทันควันที่กลางอากาศไม่ต่างกับบทสวดจากปากซิสเตอร์จู๊ด ก่อนพวกเธอจะได้เห็นร่างของคนที่คว้าจับมือผอมหุ้มกระดูกของแม่ไว้ และเขามาจากไหนไม่มีใครในหมู่พวกเธอรู้ ชายหนุ่มอยู่ในชุดสีดำทั้งตัว ขับเน้นผิวที่ขาว ผมสีทองที่หยิกเป็นลอน และใบหน้าที่งดงามดั่งเทวทูต แม้หลังจากวิญญาณร่วงดิ่งลงมาอยู่ในนรกภูมิแห่งนี้ มอร์ฟิดด์จะเปลี่ยนมาคิดว่าซาตานต่างหากที่ควรมีใบหน้าสลักเสลาถึงเพียงนี้

    เทวทูตของมอร์ฟิดด์--ที่แน่นอนว่าไม่ใช่สำหรับแม่ของเธอและซิสเตอร์จู๊ด ทำให้แม่ต้องแผดเสียงดังลั่นกว่าตอนด่าทอสาปแช่งเธอ เมื่อข้อมือของหล่อนถูกบิดดังกร๊อบจนไม้หลุดไปพร้อมกับมือขวา เลือดพุ่งกระฉูดอาบหน้ามอร์ฟิดด์ ซิสเตอร์จู๊ดกรีดเสียงโวยวายออกมาดังลั่น นางวิ่งลนลานไปนั่งกอดเข่างันงกอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องเหมือนหนูติดจั่นที่ไม่อาจไปไหนได้

    “คนเป็นแม่ไม่ควรทำแบบนี้กับลูกของตัวเอง”

    เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ใบหน้านิ่มนวล แตกต่างจากการกระทำที่เหี้ยมโหดลิบลับ เมื่อถัดมาเขาจะกรีดนิ้วไปบนร่างแม่ของเธอที่ยังทรงตัวอยู่ได้จากการประคองด้วยมือเดียวของเขา นิ้วลากจากคอลงมาถึงท้อง แม่กรีดร้องอย่างทรมานทุกคราวที่นิ้วกรีดลงไปและมอร์ฟิดด์รู้ว่าทำไม เล็บที่สั้นกุดของเขาเป็นเหมือนใบมีดแหลมคมกริบ มันผ่าชุดกระโปรงสีดำไปถึงเนื้อหนังข้างในจนผิวหนังปริแยก เลือดไหลทะลักออกมาจากช่องว่าง และที่ทำให้มอร์ฟิดด์กับซิสเตอร์จู๊ดต้องตะลึงกว่านั้นคือรอยแยกบนผิวหนังกลายเป็นเปลวเพลิง สะเก็ดไฟเริงระบำอยู่บนผิวหนังขาวซีดเหมือนปีศาจเต้นระบำ เขากรีดนิ้วอีกครั้ง ลากจากบ่าซ้ายไปถึงบ่าขวา

    ขาวาดมันเป็นไม้กางเขน

    หวังว่าพระเจ้าจะรับคุณไปอยู่ด้วย”

    ม้น้ำเสียงและรอยยิ้มจะนุ่มนวลแต่เจตนาประชดแดกดันอย่างไม่ปิดบัง เทวทูตปล่อยมือจากหล่อนจนร่างร่วงลงไปพร้อมกับเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงแผดเผาทั่วร่าง หล่อนได้แต่ดิ้นทุรนทุรายอยู่นานแต่ยังไม่อาจตายได้หากเขายังไม่อนุญาต กระทั่งเสียงกรีดร้องแหลมบาดหูที่ราวกับจะไม่มีวันจบสิ้นนั้นเลือนหายไปในที่สุด เมื่อร่างของแม่เธอกลายเป็นเนื้อเกรียมสีดำเหม็นไหม้เหมือนในวาระสุดท้ายของชีวิตเธอ

    เสียงถัดมาที่มอร์ฟิดด์ได้ยินคือเสียงสวดมนตร์ของซิสเตอร์จู๊ด เทวทูตเปลี่ยนความสนใจมาเป็นนางชี เขาก้าวเท้าเข้าไปหานาง แต่มอร์ฟิดด์ไม่อาจมองเห็นภาพต่อจากนั้นได้เพราะถูกมัดติดกับเก้าอี้ที่อยู่กลางห้อง ส่วนซิสเตอร์จู๊ดอยู่ที่หลังห้อง แต่เสียงสวดอ้อนวอนขอให้พระเจ้าเมตตาช่วยให้มารร้ายแพ้พ่ายก็ก้องดังอยู่รอบทิศ มอร์ฟิดด์หวังว่านรกขุมนี้จะลึกสุดหยั่งจนคำวิงวอนไปไม่ถึงเบื้องบน

    คุณว่าพระเจ้าจะรับฟังมั้ย”

    น้ำเสียงนุ่มเอ่ยถามหญิงแก่ผู้เป็นข้ารับใช้พระเจ้า แต่เสียงสวดของซิสเตอร์จู๊ดดังขึ้น รัวขึ้น และฟังไม่เป็นภาษามากขึ้นเพราะมันกลายเป็นเสียงกรีดร้องแทน มอร์ฟิดด์ได้ยินเสียงเหมือนของหนักถูกกระแทกอย่างแรง เมื่อแหงนหน้าขึ้นมองก็เห็นร่างของซิสเตอร์จู๊ดกางแขนกางขาอยู่บนผนัง ศีรษะของนางเกือบชนกับเพดานสูง ร่างของนางเหมือนถูกอูดตรึงไว้ด้วยกาว จากนั้นมอร์ฟิดด์ก็รู้สึกถึงเงาร่างสูงของชายหนุ่มที่มายืนอยู่ข้างเธอ

    “ผมชอบเรื่องที่เยซูถูกตรึงกางเขนนะ”

    นางชีชุดดำไม่ได้สวดมนตร์อีก แต่เริ่มพูดถึงปีศาจ ซาตาน และสิ่งเลวร้ายจากอเวจีที่เทวทูตผู้นี้อาจจะเป็น ก่อนมันจะถูกแทนที่ด้วยเสียงกรีดร้อง เมื่อเหล็กดัดหน้าต่างสองซี่ลอยข้ามหัวมอร์ฟิดด์ไปเสียบกับฝ่ามือเหี่ยวย่นทั้งสองข้าง เลือดสีแดงฉานของนางไหลรินเป็นครั้งแรกในนรกภูมิแห่งนี้ จากนั้นเหล็กอีกซี่หนึ่งที่ถูกบิดงอจนเป็นทรงครึ่งสีเหลี่ยมก็ปักลงบนศีรษะของหล่อนเหมือนเป็นมงกุฏ คราวนี้นางกรีดร้องกับความเจ็บปวดเหลือคณาที่ไม่คาดคิด ของเหลวเหนียวข้นหลั่งรินลงมา ชุดชีสีดำถูกลนด้วยโลหิตร้อนเร่าที่แผดเผาได้ดั่งเพลิงของนาง เลือดสีชาดไหลชโลมเป็นรูปไม้กางเขนขนาดใหญ่ ร่างที่ถูกติดตรึงของซิสเตอร์จู๊ดทำได้เพียงดิ้นเร่า ปากก็ก่นด่าสาปแช่งปีศาจร้ายตรงหน้า หาได้สนใจจะวอนขอความเมตตาจากพระเจ้าอีก เหมือนที่เทวทูตไม่ได้สนใจจะรับฟังคำของนางอีก เขาก้มมองมอร์ฟิดด์ ยิ้มอ่อนโยนให้เธอ และพูดว่า

    “ผมมารับคุณกลับไป”

    เชือกที่บีบรัดมัดเธอถูกคลายออกโดยที่เขาไม่ได้ขยับมือที่เอาไขว้หลังไว้เลย มอร์ฟิดด์ถามเขาเสียงแผ่วเบาอย่างระโหยโรยแรง มันไม่ดังไปกว่าเสียงกรีดร้องของซิสเตอร์จู๊ด ทว่าต่อให้ไม่ได้พูด เธอก็รู้ว่าเขาจะเข้าใจ

    “ไปไหน”

    “ไปมีชีวิต”

    เขาช่วยพยุงร่างโงนเงนซวนเซของมอร์ฟิดด์ที่พยายามจะทรงตัว ประตูห้องหนาหนักถูกเปิดออกทั้งที่ไม่มีใครแตะต้อง อาจด้วยเวทมนตร์ อำนาจมืดดำ พลังเหนือธรรมชาติ ซาตาน ปีศาจร้าย หรืออะไรก็ช่าง เธอไม่สนใจอีกต่อไป เทวทูตหยุดฝีเท้าที่ปรับให้เข้าเป็นจังหวะเดียวกับเธอเมื่อถึงธรณีประตู เงยหน้าบอกซิสเตอร์จู๊ดที่อยู่เบื้องบนว่า

    “พระเจ้าอาจรับคุณไปอยู่ด้วยนะ ซิสเตอร์ หรือไม่ก็อาจเป็น...พ่อของผม”

    มอร์ฟิดด์ไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องของซิสเตอร์จู๊ดอีกหลังจากประตูเหล็กปิดลง เทวทูตชุดดำประคองร่างเธอไปตามทางเดินโดยมีเปลวเพลิงที่ลุกโหมเป็นฉากหลัง เขาจะเผานรกของเธอจนเหี้ยนเหมือนที่เธอเฝ้าปรารถนามาชั่วกัลป์ และทางข้างหน้าก็คือแสงสว่างที่เขาจะนำพาเธอไป

    “ผมไมเคิล แลงดอน”

    เขาแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าที่ห่างจากเธอแค่คืบ นิ้วที่ชุ่มเลือดปาดไปบนใบหน้าที่มีเลือดกรังทั้งของเธอและของแม่เธอ ปาดเข้าไปถึงในปากที่ลิ้นของมอร์ฟิดด์บังเอิญแตะโดน ทว่าเทวทูตผู้มีชื่อสุดแสนธรรมดาสามัญไม่ได้ตื่นตระหนกเหมือนเธอ เขายังค้างมันไว้อย่างนั้น มอร์ฟิดด์คิดว่าเขาพึงพอใจ ขณะที่อีกมือหนึ่งก็ล้วงหยิบบางอย่างในกระเป๋าเสื้อออกมาให้เธอ

    ผมเอาขนมปังมาด้วยนะ กินสิ”

    อนนั้นมอร์ฟิดด์ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าบุตรแห่งซาตานในร่างของเทวทูต แค่พาเธอออกจากขุมนรกใต้ดิน...เพื่อจะพาเธอไปอยู่ที่นรกบนดิน

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    - ตอนดู AHS: Apocalypse มีหลายครั้งมากที่เราอยากแต่งฟิคให้ไมเคิล แลงดอน แต่พอดูจนจบแล้วเรายังไม่แต่งก็คิดว่างั้นคงไม่ได้แต่งแล้วล่ะ 555 จนไปอ่านฟิค AHS (ฟิคคนอื่นไม่ใช่ไมเคิลจ้า) แล้วเราก็คิดว่าอยากแต่งฟิค AHS บ้างจัง จากนั้นทุกอย่างที่อัดอั้นตั้งแต่ตอนดูก็พรั่งพรูออกมา ฮ่าฮ่า เป็นการผสมผสานทั้ง AHS Apocalypse, Murder House, Coven และ Asylum แต่งทั้งทีก็เอาให้คุ้มไปเลยวะ!
    - บทซิสเตอร์จู๊ดเราเอามาจากบทป้า Jessica Lange ในภาค Asylum ส่วนโรงเรียนประจำก็กึ่งจะยืมมาจากโรงพยาบาลบ้าในภาคนี้เหมือนกัน แต่สุดท้ายเราก็ปรับจนออกมาเป็นอย่างนี้ (ที่พอแต่งไปก็รู้สึกเหมือนไอเดียจะไปทางหนังเรื่อง The Nun มากกว่ายังไงไม่รู้ o<-)
    - โม้ได้มั้ย เราแต่ง+เกลาเรื่องนี้จนจบได้ในหนึ่งวัน ไหลลื่นมากด้วย ตอนแรกก็คิดว่าคงไม่ยาว แต่ก็ล่อไปสี่พันกว่าคำแบบชิลล์มากทั้งที่มีแต่ฉากทรมานนางเอกและไมเคิลเพิ่งได้มาออกในหน้าสุดท้าย ผิดวิสัยเรามาก Orz ขออวดว่าเราดูหนัง horror + slasher + สนใจเรื่องchrist มาเยอะมากตั้งแต่เด็ก คงจะไม่บอกว่าเป็นแนวที่ไม่ถนัดเพราะเรามั่นใจว่าถนัด (แต่แต่งดีมั้ยก็อีกเรื่อง 555) แต่เป็นครั้งแรกที่ได้แต่งปลดปล่อยความหายนะออกมาขนาดนี้ รู้สึกโล่งและสนุกมาก ฮ่าฮ่า
    - เป็นแนวที่เราไม่เคยแต่งมาก่อน หนึ่งคือเราไม่เคยแต่งเรื่องไหนแล้วนางเอกรันทดขนาดนี้ (เจ็บตายได้ทรมานที่สุดแล้ว T v T) อีกหนึ่งคือเป็นฟิคที่เน้นศาสนาหนัก (แต่เราต้องขอออกตัวว่าเป็นการเปรียบเปรยที่ตื้นเขินนะ) โดยเฉพาะ หนึ่ง: ฉากซิสเตอร์จู๊ดถูกตรึง เราเทียบกับฉากที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน สอง: คือการที่ไมเคิลให้ลิ้มเลือดกับให้ขนมปัง เราเทียบกับศีลมหาสนิท

    ปล. เรื่องนี้ไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่ศาสนา เราเรียนโรงเรียนคริสต์มาตั้งแต่อนุบาลสองจนจบมัธยมปลาย แม้ในใบเกิดจะไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ แต่เราผูกพันและศรัทธาในศาสนานี้มากกว่าศาสนาอื่นแน่นอนค่ะ :D
    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×