ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ REBORN︱ KHR ] Au revoir #All27

    ลำดับตอนที่ #5 : 04︱Bluebonnet [100%]

    • อัปเดตล่าสุด 21 ต.ค. 64



     

     Bluebonnet

    ; deep memory

     

    [TW : Blood / Death   R-15  ] 

    [คำเตือน : เนื้อหาในตอนนี้มีการบรรยายถึง เลือด และความตาย ]

    *ยังไม่ได้ตรวจ/แก้ไขคำผิด*

     


     

     

    ความฝัน

     

    สำหรับรีบอร์นอาจเรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์หายากที่นาน ๆ จะเกิดขึ้นจนแทบจะนับครั้งได้ในช่วงชีวิตของเขาตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบัน

     

    มีคนเคยกล่าวไว้ว่าความฝันคือจิตใต้สำนึกที่ถูกปรุงแต่งและแต่งแต้มโดยประสบการณ์อันน่าประทับใจและไม่ประทับใจที่ซึ่งได้รับมาก่อนที่หัวจะตกถึงหมอนและจมดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทรา  ราวกับว่าเป็นละครเวทีขนาดเล็กที่ถูกจัดขึ้นในช่วงเวลาค่ำคืนเป็นรอบพิเศษสำหรับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น


     

    ก่อนที่ม่านพื้นใหญ่จะปิดเลื่อนลงเป็นอันจบการแสดงประจวบพอดีกับวันใหม่ที่จะมาเยื่อนเมื่อแสงอาทิตย์แทรกตัวมาจากเส้นขอบฟ้า

     

              การแสดงของความฝันจะยิ่งอลังการณ์มากขึ้นตามจิตนาการของผู้คิด

     

              แต่เขาไม่ใช่นักช่างฝัน ไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากนักว่าเป็นพวกไร้จิตนาการ เพียงแต่เขาแค่ไม่ชอบเอาตัวเองไปอยู่ในโลกที่มันไม่มีวันเป็นจริง

     

    บางทีนี้อาจเป็นเหตุผลที่เขาไม่เคยฝันเลยซักครั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ก็เป็นไปได้

     

              แต่อะไรที่ไม่เคยเกิดก็ใช่ว่าจะไม่มีวันเกิด

     

              เพดานห้องสี่เหลี่ยมสีเบสที่พอลืมตาตื่นจะเจอเป็นสิ่งแรกในทุก ๆ เช้า ตอนนี้กลับกลายเป็นเพดานกว้างสูง โค้งมนไปตามแนวโครงสร้างของตัวสถานที่แห่งนี้ ภาพจิตกรรมจากเรื่องราวในตำนานกรีกโรมัน เหล่าเทพและเทพีองค์ต่าง ๆ ถูกวาดลงไปบนเพดานนั้น ดูสมจริงเกินกว่าที่จะเป็นเพียงภาพวาดอันซี่งไม่อาจจับต้อง ยิ่งมองลึกเข้าไปยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าได้ใกล้กับพวกเทพีเหล่านั้นมากขึ้น

     

              เขาคงไม่มีทางได้เห็นอะไรแบบนี้ในบ้านซาวาดะแน่ แล้วยิ่งเป็นในห้องพักของตัวเองแล้วด้วยนั้นยิ่งไม่มีเป็นไปได้อย่างแน่นอน

     

              เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีเลยว่าตอนนี้รีบอร์นนั้นไม่ได้กำลังอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง

     

              ‘ว่าแต่ที่ไหนกัน...’

     

              โถงทางเดินทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ชวนให้เผลอคิดไปว่ามันอาจจะทอดยาวแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดสิ้นสุด หน้าต่างบานใหญ่ที่ประดับเรียงรายเป็นแถวกับวิธีการตกแต่งแบบตะวันตกนั้นให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับสถาปัตยกรรมแบบบาโรกในนครวาติกันราวกับว่ากำลังเดินอยู่ในที่แห่งนั้นจริง ๆ

     

              ปกติความฝันจะถูกร่างภาพโดยมีเค้าโครงจากสิ่งที่เคยเห็นหรือพบเจอ แต่เขาไม่เห็นจะจำได้เลยว่าเคยไปหรือเห็นสถานที่อะไรแบบนี้มาก่อน

     

              ที่นี่ เป็นเวลากลางคืนเหมือนกัน ดวงจันทร์กลมโตลอยเด่นอยู่บนพื้นผ้าใบสีทมิฬไร้ซึ่งกลุ่มก้อนไอน้ำบดบัง แสงนวลจึงสามารถไล่ย้อมอาบทั่วผ่านหน้าต่างบานใหญ่ได้อย่างเต็มที่ ช่วยทำให้มองเห็นอะไรได้ชัดเจนมาขึ้น

     

              ถือว่านี่เป็นโชคดีก็คงไม่ผิดนัก เพราะเชิงเทียนที่ถูกปะติดเอาไว้ตามพนังในโถงกับแสงสลัว ๆ ที่เทียนแต่ละเล่มบนเชิงเทียนแต่ละอันสามารถเค้นออกมาได้นั้นดูเหมือนว่าไม่มากพอที่จะช่วยส่องแสงให้เขามองเห็นอะไรได้เลย หากขาดแสงจากพระจันทร์ไปในตอนที่ฟ้ามืดเช่นตอนนี้เขาคงจะไม่สามารถเห็นอะไรไปได้มากกว่านี้นอกจากความมืดเป็นแน่

     

              ขายาวก้าวสำรวจโถงทางเดินอันโอ่อ่า นอกจากเสียงส้นรองเท้าหนังทรงเพนนี่โลฟเฟอร์ขัดเงาที่กระทบกับพื้นหินอ่อนเรียบสวยสีขาวลายดำแล้วนั้นทุกอย่างรอบตัวก็เงียบสงัดจนผิดวิสัย

     

              ‘ที่นี่มันร้างไปแล้วหรือยังไงกันนะ’  แต่ดูจากพื้นที่ที่ยังสะอาดสะอ้านไร้ฝุ่นอยู่นั้นความคิดตื้น ๆ ที่จู่ ๆ ก็โผล่ขึ้นมานั้นจึงจำต้องถูกปัดตกไป

     

              รีบอร์นเดินตรงตามเส้นทางในโถงต่อไปเรื่อย ๆ  อย่างไร้จุดหมาย ดวงตาสีถ่านเฉียบคมกวาดสายตามองไปรอบตัวอยู่เสมอตามความเคยชิน ตอนนี้ตัวเขาดูเหมือนจะอยู่ในชุดสูทประจำตัวที่มักจะใส่ไปไหนมาไหนตลอด และหมวกฟีโดร่าใบเดิม แต่ช่างน่าหงุดหงิดใจนักที่ปืนคู่ใจของเขานั้นจะไม่ได้มาอยู่ด้วยกันในที่แห่งนี้


     

              แล้วนั้นมันหมายความว่าเขาไม่มีอาวุธติดตัวเลยในตอนนี้สักชิ้นเดียวนอกจากมือเปล่า

     

              ถึงแม้นี่จะเป็นเพียงแค่ในฝัน แต่คงเพราะด้วยทุกอย่างในค่ำคืนนี้ช่างดูสมจริงไปเสียหมดเขาถึงได้ระแวงขนาดนี้

     

              "เหมือนอยู่ในวังเลย หืม-----แปลก” -----เสียงบ่นพึมพำออกมาเบา ๆ จากร่างสูงเมื่อรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศรอบตัว

     

              ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันจะได้สำรวจอะไรไปมากมายนัก อุณหภูมิของบรรยากาศรอบตัวก็พลันลดต่ำลงอย่างไร้สาเหตุ ลมหายใจอุ่นร้อนที่ถูกปลดปล่อยมาจากริมฝีปากหนานั้นกลายเป็นควันไอน้ำเบาบางทันทีที่ก่อนจะค่อย ๆ ลอยสูงขึ้นและจางหายสลายไปกับมวลอากาศ รีบอร์นขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าจะยังไม่เข้าใจกับสถานการณ์ในตอนนี้เท่าไหรนัก

     

              ทำไมถึงหนาวขึ้นมาได้ขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้ยังปกติดีอยู่เลย

     

              ร่างสูงกำลังวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ค่อนช้างจะคลุมเครือเสียจนหาจุดเชื่อมโยงไม่ได้ จะกล่าวโทษว่าเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของเขาที่มโนขึ้นมาเองก็คงถูก เพราะยังไงซะทั้งหมดนี่มันก็อยู่แค่ในฝัน อะไร ๆ ที่ปรากฏโลดแล่นอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่ไม่เคยจะสมเหตุสมผลตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

     

    แต่ความรู้สึกหนาวเย็นที่กำลังเสียดแทงผิวหนังใต้เสื้อสูทอยู่ในตอนนี้นั้น คงปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่ามันออกจะสมจริงเกินไปเสียหน่อย

     

              รีบอร์นถอนหายใจออกมายาวพรืดก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าไปอีกครั้งเพื่อสงบสติของตัวเองไม่ได้เตลิดออกไปไกลมากกว่านี้ ก่อนที่ไม่อีกกี่ชั่วอึดใจ เหมือนทุกอย่างในที่นี้จะพยายามขัดกับทุกสิ่งที่เขาต้องการไปซะหมด ในจังหวะที่สูดลมหายใจกลับเข้าไปชดเชยอันที่ปล่อยออกมานั้น ประสาทรับรู้กลิ่นอันแม่นยำก็พลันรับรู้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่ติดมากับมวลอากาศก้อนนั้นด้วย

     

              แทนที่จะใจเย็นลง แต่การถอนหายใจครั้งนี้นอกจากจะไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด กลับกันมันทำให้ทุกอย่างจะแย่ลงไปอีก

     

              กลิ่นเหม็นคาวตีตื้นลึกเข้าไปถึงในลำคอ รุนแรงเสียจนแทบจะหายใจไม่ออก

     

    รีบอร์นคุ้นเคยกับกลิ่นนี้ยิ่งกว่าอะไรเสียยิ่งกว่าอะไรดี

     

              กลิ่นคาวเลือด....

     

              ก้อนเนื้อในอกของนักฆ่าหนุ่มแกว่งไหววูบเหมือนลูกตุ้มนาฬิกาแบบโบราณในบ้านขุนนางชั้นสูง เมื่อยิ่งเดินลึกเข้าไปในตัวโถงมากเท่าไหน กลิ่นคาวเลือดก็ยิ่งตลบอบอวลและเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น ทุกมวลอากาศที่ถูกพาเข้าไปในปอดมันช่างเหม็นคาวราวกับว่ากำลังกรอกเอาเลือดของใครบางคนเข้าไปข้างในนั้นด้วยในทุก ๆ ลมหายใจ

     

              มือสากถูกยกขึ้นมาปิดจมูกเอาไว้ สิ่งเดียวที่ทำได้มีเพียงรอเวลาให้ร่างกายคุ้นชินกับกลิ่นเหม็นคาวนี่เท่านั้น

     

              ‘อยากอ้วกชะมัด...’

     

              ร่างสูงก้าวยาวเดินหน้าเดินต่อไปเรื่อย ๆ ทางเลือกในที่นี่มีไม่มากนัก ถึงแม้ว่าอยากจะหยุดและวกกลับไปที่จุดเริ่มต้นมากขนาดไหนแต่ความอยากรู้อยากเห็นกับร่างกายของเขามันกลับไม่ยอมเชื่อฟังทำตามความต้องการนั้นเอาเสียเลย

     

              ความรู้สึกชื้นแฉะบนพื้นที่สัมผัสได้ตอนวางส้นรองเท้าลงไปนั้นให้ความรู้สึกคล้าย ๆ กับตอนที่กำลังเดินอยู่บนพื้นฟุตบาทในสภาพหลังฝนตก ติดแค่ว่าฝนคงจะไม่มาตกในพื้นที่ปิดเช่นนี้อย่างแน่นอน ร่างสูงนึกฉงนอยู่ในใจกับพื้นผิวที่แปลกไป

     

              ดวงตาสีนิลจึงจำต้องละสายตาจากเส้นทางตรงที่กำลังมืดดำขึ้นเรื่อย ๆ  จากแสงจันทร์ที่ส่องมาไม่ถึงเพราะติดก้อนไอน้ำหนา ก้มมองพื้นรองเท้าตัวเองด้วยความสงสัย ก่อนที่ดวงตาสีปีกกาจะเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เผลอหลุดคำสบถออกมาเบา ๆ อย่างลืมตัว

     

              แดงสดราวกับกลีบดอกกุหลาบ

     

              เลือด...อย่างงั้นเหรอ ?

     

              บางทีนี่เรื่องราวในค่ำคืนนี้กำลังค่อย ๆ ย่างใกล้เข้าสู่บทเนื้อหาหลักมากขึ้นทุกที ทำเหมือนกันว่าที่ผ่านมานั้นเป็นเพียงแค่จานเรียกน้ำย่อยกับซุปเพียงเท่านั้น

     

    กรอบหน้าคมเงยขึ้นมองพื้นผิวโถงตรงหน้า ปลายหมวกฟีโดร่าถูกดึงขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้เห็นภาพตรงหน้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

     

    ถึงแม้แสงที่ส่องมานั้นจะริบหรี่จนแทบมองไม่เห็นอะไรเลย หากแต่ความเด่นชัดของสีแดงเมื่อถูกราดลงไปบนพื้นผิวสีขาวนั้นจะโดดเด่นขึ้นมาเสมอจนแม้ว่าจะอยู่ในที่มืดแสงกว่างส่องถึงได้เพียงน้อยนิดก็ตาม

     

              พื้นหินอ่อนสีขาวเนียนในตอนแรกนั้นไม่มีปรากฏให้เห็นแล้ว

     

              นัยน์ตาสั่นไหวด้วยอารมณ์ที่สับสน ภายในหัวว่างเปล่า

     

              ร่างสูงย่อตัวลงในท่าคุกเข่าปาดนิ้วเรียวยาวลงไปปาดบนแอ่งน้ำเหลวหนืดสีชาติที่เจิ่งนองราวกับเป็นพื้นพรมแดงขึ้นมาพิสูจน์ให้แน่ใจว่าใช่สิ่งที่ตนคิดจริงหรือไม่ ปลายนิ้วขยี้คราบของเหลวที่ติดอยู่อย่างชั่งใจ ผิวสัมผัสอันคุ้นเคยเข้มข้นเกินกว่าที่จะเป็นแค่สีธรรมดา เจ้าตัวมองมันอยู่สักพักก่อนจะยกขึ้นมาดม กลิ่นคาวเข้มข้นตีแสกเข้าไปในโสตประสาทการรับกลิ่นจนรู้สึกเวียนหัว

     

              จริง ๆ ด้วยสินะ-----ถึงแม้จะไม่อยากให้เป็นไปตามที่คิดขนาดไหน แต่ก็คงต้องยอมรับว่าของเหลวหนืดที่ย้อมพื้นโถงอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่พรมแดงที่จงใจปูเอาไว้ต้อนรับใครหรือสีโปสเตอร์ที่ไหน

     

              เพราะมันคือโลหิตจริง ๆ

     

              มือสากเลื่อนลงไปหมายที่จะหยิบปืนที่ปกติมักจะพกเอาไว้กับตัวตามสัญชาตญาณ หากแต่สิ่งที่คว้ากลับมาได้ในอุ้งมือนั้นมีเพียงมวลอากาศเย็น เจ้าตัวเดาะลิ้นอย่างอารมณ์เสียเมื่อเพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้ตัวเขานั้นไม่มีอาวุธติดตัวอยู่แม้แต่สักชิ้นเดียว

              

              เหงื่อกาฬไหลลู่ลงมาตามกรอบใบหน้าคมของรีบอร์น ถึงแม้มวลอากาศรอบตัวในตอนนี้นั้นจะเย็นจนแสบเหมือนมีคนเอาปลามีดคมมากรีดผิวหน้าขนาดไหน แต่ก็ไม่สามารถหักล้างความเครียดที่กำลังค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาในอกของนักฆ่าหนุ่มได้เลยแม้แต่น้อย

     

              ตอนนี้เขาชักจะเริ่มไม่แน่ใจซะแล้วสิว่าสิ่งที่กำลังมองเห็นและสัมผัสอยู่ตอนนี้มันเป็นเพียงแค่ความฝัน หรือเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นจริง ๆ กันแน่

     

              ด้านหน้าของเขาตอนนี้ นอกจากความมืดแล้วก็ไม่เห็นอะไรอีก บานหน้าต่างที่ตอนแรกยังพอจะมีแสงจันทร์ส่องผ่านเข้ามาให้เห็นบ้างนั้น แต่ตอนนี้มันกลับช่างริบหรี่เกินกว่าที่สายตานั้นจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนอย่างที่มันสมควรจะเป็นตั้งแต่แรก บางทีราชรถของเทพีนิกซ์อาจจะกำลังกวาดย้อมปกปิดดวงจันทร์เพื่อค่ำคืนนี้นั้นมืดมิดสมกับเป็นเวลาเริงระบำของเธอก็เป็นได้

     

              เปลวเทียนที่จุดเอาไว้สั่นไหวตามสายลมที่ถูกพัดมาจากไหนสักที่ รีบอร์นยังคงยืนยันคำเดิมว่าแสงของมันนั้นน้อยเกินไปสำหรับการที่จะมาช่วยทำลายความมืดและส่องทางให้กับเขา

     

              ‘ ฝันนี้มันออกจะนานเกินไปหน่อยแล้วนะ ’

     

              กลิ่นเลือดที่ยังไม่จางหาย อากาศเย็นยะเยือก พื้นรองเท้าที่เปียกแฉะ เส้นทางที่มืดมิดจนแทบจะมองไม่เห็นอะไรนั้นสามารถทำรีบอร์นสบถคำหยาบในใจไปหลายรอบอย่างหัวเสียที่ฝันนี่ยังคงดำเนินต่อไป และหงุดหงิดกับตัวเขาเองด้วยที่ว่าทำไมถึงยังไม่ตื่นสักที

     

              ความคิดในหัวตีกันจนวุ่นวาย จนไม่ทันได้รู้สึกถึงใครบางคนที่แฝงตัวนิ่งงันอยู่ในความมืด


     

                  “รีบอร์น ?”

    “น่าแปลกนะที่เห็นนายอยู่ที่นี่”

     

    ดวงตาสีปีกกาตวัดกวาดดูรอบตัวอย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสได้ถึงเสียงกระซิบของใครบางคนซึ่งไม่คุ้นหูดังลอดออกมาจากความมืดตรงหน้า ก้อนเนื้อในอกเต้นโครมครามยิ่งกว่ามีคนมมารัวกลองด้วยอารมณ์ที่ผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก แสงเทียนอันริบหรี่ช่วยขับบรรยากาศในที่แห่งนี้ให้ดูลึกลับขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

               

              เสียงของใครคนนั้นกล่าวเรียกชื่อเขาทำลายแล้วซึ่งทุกความเงียบ แต่ก็แผ่วเบาเสียจนน่าหวั่นใจว่าจะถูกสายลมหอบเอาไป

                     

              สิ้นสุดปลายเสียงกล่าวเหมือนทุกอย่างค่อย ๆ คลี่คลาย ก้อนไอน้ำลอยออกจากรัศมีแสงของดวงจันทร์ที่ส่องมา ไล่ต้อนทุกความมืดที่โอบล้อมพื้นที่แห่งนี้ให้หายไปอย่างรวดเร็ว เงาหน้าต่างบานใหญ่ทาบสะท้อนกับแอ่งเลือดที่เจิ่งนองอย่างพอดิบพอดี

     

              และแผ่นหลังเล็กของใครบางคนนั้นก็กำลังสะท้อนอยู่ในดวงตาสีดำปีกกาของนักฆ่าหนุ่มด้วยเช่นกัน

     

              นั้นคงจะเป็นเจ้าของเสียงงั้นสินะ--------รีบอร์นค่อย ๆ ก้าวขาเข้าไปใกล้ร่างนั้นอย่างระมัดระวังตัว แต่ก็ยังคงรักษาระยะห่างอยู่ในระดับหนึ่ง

     

              แสงจันทร์ส่องมากระทบเกลียวผมสีเปลือกไม้ วาดเส้นแบ่งเป็นเงาสว่างทาบทับกับแผ่นหลังเล็ก

     

              ริมฝีปากหนาของร่างสูงกำลังจะเปิดกล่าวถามถึงข้อสงสัยที่คุกรุ่นอยู่ภายในอก แต่กลับไร้ซึ่งเสียงใด ๆ ที่เปล่งออกมา พยายามที่จะเอ่ยเสียงเรียกอีกครั้งแต่ทุกอย่างกลับเงียบสนิทไม่มีแม้แต่เสียงลมที่ถูกปล่อยออกมาด้วยซ้ำตอนขยับปากพูด บางทีความรู้สึกของนักบินอวกาศตอนพูดในพื้นที่สุญญากาศคงจะไม่ต่างกันมากกับสิ่งที่ร่างสูงกับลังประสบอยู่ตอนนี้ ‘ท...ทำไมพูดไม่ได้’

     

              ‘ที่นี่คือที่ไหน แล้วเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่’

     

              นั้นเป็นคำถามที่เขาสงสัยมาตลอดทางตั้งแต่ตรงจุดเริ่มต้น พอคิดแล้วก็น่าหงุดหงิดใจไม่น้อยที่ว่าตรงหน้าเขาตอนนี้มีคนที่ดูจะพูดคุยรู้เรื่องยืนอยู่แล้ว แต่กลับเป็นเขาเองที่ไม่สามารถส่งสารที่ซึ่งเป็นคำถามออกไปได้

     

              ชายหนุ่มปริศนานั้นค่อย ๆ พลิกตัวมาประจันหน้ากับรีบอร์น ใบหน้านิ่งเรียบดูไร้ซึ่งอารมณ์ คงจะมีเสียแต่ดวงตาสีชาประกายพราวระยับแข่งกับแสงจันทร์ที่สบมองมาทางเขายังพอทำให้มันใจได้ว่าร่างที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ใช่รูปปั้นหินไร้ชีวิต

     

              จะว่าไปแล้วเขา...เคยเห็นแววตาแบบนั้นมาก่อนรึเปล่านะ

     

              ดวงตาคมไล่สำรวจชายหนุ่มตรงหน้าโดยทันที ลำตัวผอมบางที่ถูกซ่อนอยู่ใต้เสื้อสูทยับยู่ยี่ไม่เป็นทางการ แต่ถึงกระนั้นก็กลับดูสง่างามอย่างน่าประหลาด ดวงตาสีท้องฟ้ายามที่พระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำ ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะแสงจันทร์ที่ส่องกระทบพอดีรึเปล่า ผิวเนียนละเอียดของอีกฝ่ายถึงได้มีสีขาวซีดแบบนั้น ใบหน้าพอมองดูดี ๆ แล้วยังพอจะเห็นถึงความผิดหวังกับอะไรบางสิ่งแอบซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งนั่นด้วย

     

                 “อ๋อ นายคงจะไม่ใช่เขาสินะ”

    “อ่า...ฉันนี่ก็เพ้อเจ้อจริง ๆ มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะ”

     

              ร่างเล็กพึมพำกับตัวเอง รู้สึกได้ถึงอารมณ์ตัดเพ้อในทุกคำพูดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากแห้งแตก ดวงตายังคงจ้องมองมาที่เขาอย่างไม่ลดล่ะ พอ ๆ กับเขาเองที่ก็จ้องอีกฝ่ายอย่างไม่คิดจะละสายตาเลยเช่นกัน ในใจก็ยังคงมีคำถามค้างคาอยู่มากมายแต่เห็นทีที่จะชัดเจนมากที่สุดในตอนนี้แล้วคงจะเป็น

     

              นายเป็นใคร ?

     

              “หืม...ฉันตอบนายเรื่องนั้นไม่ได้หรอก” คิ้วโก่งสวยเลิกขึ้นเหมือนกับจะรับรู้ถึงข้อสงสัยนั่น ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงขบขัน พื้นโลหิตที่เจิ่งนองกระเพื่อมออกเป็นวงในทุกครั้งที่เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้ค่อยๆ ลดระยะห่างระหว่างเขากับเจ้าตัวทีล่ะน้อยในแต่ละก้าว รู้สึกถึงขนที่ลุกตั้งชันที่แขนเมื่อเพิ่งนึกได้ว่าอีกฝ่ายนั้นรับรู้ถึงความคิดในใจเขา “แต่ว่า...เหมือนกันชะมัด...ไม่ชอบเลย”

     

              ระยะห่างนั้นถูกลดลงเรื่อย ๆ  แต่เขากลับรู้สึกว่าไม่ได้เข้าใกล้อีกฝ่ายเพิ่มมากขึ้นเลยซักนิด ผิดกับเจ้าของดวงตาพราวระยับนั่นที่ใช้สายตาราวกับคนรู้ที่รู้จักกันมานานสบมองมายังเขาแบบนั้น

     

              เคยรู้จักกันมาก่อนเหรอ

     

              ก็ไม่ใช่

     

              ถ้างั้นคนตรงหน้านี่ถูกดึงมาจากจิตใต้สำนึกส่วนไหนกัน ?

     

              “นี่...ฉันเล่าตำนานอะไรให้ฟังรอนายตื่นดีไหม?”------เดี๋ยวนะ..นี่รู้ด้วยเหรอว่าเขากำลังฝันอยู่ ?

     

              ริมฝีปากแห้งที่ยังคงมีสีชมพูพีชอ่อน ๆ เจืออยู่บ้านนั้นหลุดยิ้มขบขันออกมาเหมือนว่าจะรับรู้ถึงความคิดทุกอย่างที่อยู่ในหัวของร่างสูงอย่างทะลุปรุโปร่ง “ตั้งใจฟังด้วยล่ะ”

     

              ตำนาน ?

     

              “กาลครั้งหนึ่งมีเทพธิดาองค์หนึ่งนาม ไคลที เธอถูกคลื่นทะเลสัดพัดหอบเธอขึ้นมาบนฝั่ง” ไม่รอความเห็นจากอีกฝ่าย ชายหนุ่มร่างเล็กเปิดปากเกริ่นนำเริ่มต้นเล่าเรื่องตำนานที่ว่าไว้ขึ้นมาทันที อัญมณีทั้งคู่นั้นดูประกายอย่างมีชีวิตชีวามากขึ้นยามที่น้ำเสียงนุ่มบรรยายเรื่องราวนั่น “และซึ่งนั้นก็เป็นครั้งแรกที่เธอได้เจอกับอะพอลโล หรือก็คือดวงตาอาทิตย์”

     

              รีบอร์นเคยได้ยินตำนานกรีกเรื่องนี้มาก่อน แต่ก็ยังคงตั้งใจฟังอีกฝ่ายเล่าเรื่องตำนานกล่อมเด็กเข้านอนนี่ต่อไปราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกสำหรับเขาที่ได้ยินมัน

     

              “ในตอนนั้นเองที่เธอตกหลุมรักอะพอลโล ไคลทีเอาแต่นั่งเฝ้ามองดวงอาทิตย์ขึ้นจนลับขอบฟ้าอยู่แบบนั้นซ้ำ ๆ ราวกับต้องมนต์” สามารถเว้นจังหวะการเล่าเรื่องในอย่างมีวาทศิลป์และโทนน้ำเสียงน่าฟัง ทำให้เรื่องที่กำลังถูกถ่ายทอดออกมายังผู้ฟังอย่างรีบอร์นนั้นรู้สึกน่าสนใจเพิ่มขึ้นกว่าเดิม

     

              เป็นนักพูดอย่างงั้นหรือ?

     

    จงใจเว้นช่องว่างไว้ให้ความเงียบได้โรยตัว อีกฝ่ายเบือนสายตามองไปยังหน้าต่างบานใหญ่ เงยหน้าชมเหล่าดวงดาราที่ประดับอยู่บนพื้นผ้าใบสีเข้มอย่างไร้รูปแบบในการวางตัวที่แน่นอน รายล้อมรอบดวงจันทร์สีเหลืองสว่าง โดดเด่นที่สุดจากในบรรดาเหล่าองค์ประกอบทั้งหมดบนท้องนภา

     

              และนั้นทำให้รีบอร์นเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดเจนมากขึ้น

     

              ราวกับตกอยู่ในภวังค์ความคิดหรืออะไรซักอย่างที่ไม่อาจหาคำมานิยามมันได้เมื่อจ้องมองไปที่อีกฝ่ายอย่างจริงจัง ชั่ววูบหนึ่งในไม่กี่เสี่ยววินาทีที่เหมือนจะเห็นภาพเด็กในเสื้อฮู้ดสีขาวส้มซ้อนทับกับคนตรงหน้า ก่อนที่จะถูกดึงกลับมาสู่โถงกว้างอีกครั้งเมื่อเจ้าของเรื่องเล่านั้นกล่าวบรรยายเนื้อเรื่องต่อ

     

              เมื่อกี้...เมื่อกี้เขาคิดอะไรอยู่นะ...

     

              “ช่างน่าสงสาร ที่อะพอลโลไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของเธอด้วยซ้ำ” ใบหน้าหวานหันกลับมามองที่รีบอร์นอีกครั้ง อัญมณีสีชาประกายความเศร้าออกมาอย่างที่ไม่คิดจะปิดบัง ดึงอารมณ์ของคนฟังอย่างรีบอร์นให้รู้สึกหน่วงในอกตามไปด้วย “นายรู้ไหมว่าเรื่องต่อจากนั้นมันเป็นยังไง?”

     

              นักฆ่าหนุ่มเพลอสะดุ้งหลุดออกจากห้วงภวังค์ความคิดของตนเมื่ออีกฝ่ายโยนบทมาให้อย่างกระทันหันแบบนี้

     

              ร่างสูงเท้าเกาคางพลางนึกทบทวนถึงตำนานกรีกโรมันที่เคยได้ฟังจากใครซักคนเมื่อนานมาแล้ว เลื่อนลางและขาดหายไปบ้างบางส่วนอันที่จริงต้องบอกว่าลืมไปจนเกือบจะหมดแล้วด้วยซ้ำ  หากเปรียบเป็นสมุดตอนนี้ก็คงเป็นสมุดที่ฝุ่นเกาะ มุมหน้ากระดาษเหลืองกรอบ ตัวหนังสือก็หลุดลอกและจางไปกับหน้ากระดาษจนแทบจะเหลือแต่หน้ากระดาษเปล่า

     

              แต่ก็ยังมีบางส่วนที่พอจะอ่านได้อยู่...

     

              ไคลทีโศกเศร้าเสียใจ แต่ก็ยังยืนกรานที่จะไม่กลับไปยังใต้ทะเลลึกเหมือนเดิม

     

              ไม่ว่าจะพยายามยังไงเขาก็คงจะไม่มีวันเข้าใจตัวละครตัวที่ชื่อไคลทีคนนี้แน่ว่าทำไมเธอถึงได้รักอะพอลโขนาดนั้น

     

              จะขอเฝ้ามองอะพอลโลอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน

     

              ทั้ง ๆ ที่อะพอลโลไม่เคยจะชายตามองมายังเธอเลยด้วยซ้ำ...

     

              รีบอร์นคิดตอบคำถามในใจเพราะยังไงซะ ณ ที่ตรงนี้เขาก็เปิดปากพูดไม่ได้อยู่แล้ว และอีกฝ่ายก็ทำเหมือนว่าจะทราบถึงความคิดของเขาด้วย ร่างเล็กพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ เหมือนจะเป็นการบอกถึงว่าเรื่องที่คิดเอาไว้นั้นถูกต้อง

     

              “เหล่าเทพที่คอยดูอยู่นั้นสงสารและเห็นใจนาง จึงดลบันดาลเสกให้เธอกลายเป็นดอกทานตะวัน” ท้ายเสียงเหมือนจงใจกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้ากว่าปกติ ดวงตาของร่างเล็กสบมองกับเขา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ในอกมันกลับรู้สึกวูบวาบแบบผิดปรกติ ในหัวโล่งไปหมดจนคิดเนื้อเรื่องต่อไปออก

     

              ในแววตาสีชานั้นแฝงอะไรสักอย่างไว้อยู่

     

              ไคลทีจึงได้เฝ้ามองดวงอาทิตย์ที่เธอรักอย่างที่เธอปรารถนา

     

              อะไรซักอย่างที่เขาไม่เข้าใจ

     

              ตลอดไ

     

              ทำไมดวงตาคู่นั้นถึงได้สามารถถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้มากขนาดนั้นล่ะ ทำไม...

     

               รีบอร์นสังเกตเห็นว่ามีอะไรซักไหลลงมาอาบผิวแก้มเนียนละเอียดของอีกฝ่าย แต่ก็ถูกปาดทิ้งไปอย่างไม่นึกจะสนใจ เป็นใบหน้าที่ทั้งเศร้าและมีความสุขไปในเวลาเดียวกัน ชั่วขณะหนึ่งที่เหมือนหัวใจของเขาถูกบีบรัดโดยโซ่ตรวนที่ไม่อาจมองเห็นเมื่อมองไปยังชายหนุ่มคนนั้น ความรู้สึกเคว้ง ๆ ในฝันนี้นั้นเหมือนจริงจนเกินไป

     

              และเขาก็ไม่ชอบมันเอาเสียเลย

     

              “อ่า ใกล้ถึงเวลาแล้วล่ะ” รอยยิ้มขอบคุณถูกส่งมาให้เขาไม่แน่ใจนักว่าของคุณสำหรับเรื่องอะไร แต่ว่านั้นเหมือนจะเป็นเพียงสิ่งตอบแทนเพียงอย่างเดียวที่อีกฝ่ายนั้นสามารถมอบให้เขาได้ในที่แห่งนี้ เสียงขำในลำคอเบา ๆ ดังแว่วมาด้วยก่อนที่จะกล่าวต่อ “ยังไงก็อย่ากลับมาที่นี่อีกล่ะรีบอร์น”

     

    ลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าเจ้าตัวนั้นไม่ได้ยิ้มออกมาเพราะความสุข

     

    “ฉันก็ต้องไปแล้วเหมือนกัน” ด้วยระยะห่างที่ไม่มากนัก เขาจึงเห็นนาฬิกาข้อมือแบบเข็มที่ถูกหยิบออกมาจากเสื้อสูท ดวงตาสีชาจ้องมองมันด้วยสายตาที่เขาอ่านไม่ออก ก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มกว้างให้กับรีบอร์นเหมือนเดิม “หวังว่า...จะไม่เจอกันอีก”

     

    อย่ายิ้มแบบนั้น

     

    อย่ายิ้มทั้ง ๆ ที่ข้างในของนายกำลังร้องไห้อยู่สิ

     

    เมื่อร่างเล็กมีท่าทีที่จะยุติการสนทนาในครั้งนี้จริง ๆ เจ้าตัวหันหลังให้กับคู่สนทนาและกำลังจะเดินหนีไป ณ วินาทีนั้นราวกับว่าร่างกายขยับไปเอง พอ ๆ กับที่ในใจของเขากำลังกู่ร้องลั่นเหมือนกำลังต้องการอะไรซักอย่าง ขายาวใต้กางเกงสแล็คพุ่งตัวไปประชิดเจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้ มือสากคว้าจับที่ข้อมือบาง ความรู้สึกเจ็บแปล้บ ๆ เหมือนไฟฟ้าช็อตนั้นไม่ได้ทำให้รีบอร์นปล่อยมือจากเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลตรงหน้า

     

    “นายชื่ออะไร” เขากล่าวถามเบา ๆ คงเพราะใบหน้าหวานที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดเมื่อได้สบมองใกล้ ๆ นั้นดึงความสนใจไปหมด จึงไม่ทันได้รู้สึกถึงเสียงของตนเองที่สามารถเปล่งออกมาได้อีกครั้ง

     

    ดวงตาสีพื้นฟ้ายามเย็นเบิกขึ้นอย่างไม่เชื่อว่าร่างสูงนั้นจะทำอะไรแบบนี้ ขนตางอนสวยยังคงมีความชื้นจากหยดน้ำตาหลงเหลืออยู่เมื่อได้มองดูใกล้ ๆ ริมฝีปากแห้งแตกอ้าออกเล็กน้อยด้วยความตกใจ ก่อนที่จะกลับไปเป็นใบหน้ายิ้มหวานปกติดังตอนแรกภายในไม่กี่เสี่ยววินาทีต่อมา

     

    ตอบฉันมาสิ...ขอร้องล่ะ

     

    “ชื่อของฉัน...” เสียงหวานแผ่วเบาขาดห้วง ทิ้งปลายเสียงเอาไว้ให้ใจเขาเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ ระยะห่างที่ตอนนี้นั้นใกล้เสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายนั้นกลบทุกประสาทสัมผัสของนักฆ่าหนุ่มไปเสียหมด

     

    เว้นเสียแต่กลิ่นหนังสือเก่ากับน้ำหอมอ่อน ๆ ที่รีบอร์นนั้นสัมผัสได้และพยายามอย่างมากที่จะจดจำกลิ่นนั้นเอาไว้ให้ได้ชัดเจนมากที่สุดและเก็บไปยังโลกแห่งความจริง

     

                   ทั้งที่เรื่องทั้งหมดนี่นั้นมันก็เป็นแค่ฝันแท้ ๆ

     

    “เดี๋ยวถึงตอนนั้น...แล้วฉันจะบอกนะ” ฝ่ามือนุ่มทาบลงที่กรอบใบหน้าคมแบบคนเชื้อสายยุโรปของนักฆ่าหนุ่ม นิ้วโป้งละเลียดบรรจงลูบเบา ๆ ที่โหนกแก้มอย่างอ้อยอิ่ง นัยน์ตาสีชาพราวระยับราวกับเม็ดดาวบนท้องนภาสื่ออารมณ์ออกมามากมายเสียจนไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าคนตรงหน้าแท้จริงแล้วนั้นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

     

    ทำไมเขาถึงไม่มีความทรงจำของคนตรงหน้านี้ในหัวเลยซักนิด แต่กลับกันอีกฝ่ายเหมือนจะรู้จักเขาดีเสียยิ่งกว่าตัวเขารู้จักตัวเอง

     

    “แล้วเมื่อไหรล่ะ ตอนนั้นที่ว่าน่ะ”--------ในขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ภาพทุกอย่างตรงหน้าก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มมืดดำลงเรื่อย ๆ ในครั้งนี้คงจะไม่ใช่เพราะมีก้อนเมฆที่ไหนมาบังพระจันทร์อีกรอบ แต่คงจะมาจากตัวเขาเอง

     

    จวนจะใกล้เวลาตื่นแล้วสินะ...

     

    คิดได้ดังนั้นฝ่ามือสากก็กำข้อมือของชายหนุ่มวัยละอ่อนตรงหน้าให้แน่นขึ้นไปอีกอย่างลืมตัว ราวกับกลัวว่าจะต้องแยกกันทั้ง ๆ ที่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้มีความรู้สึกเช่นนั้นพลุบออกมาได้ ร่างเล็กยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า ไม่ได้ขัดขืนกับการการทำอันเสียมารยาทของเขา

     

                   “แต่ว่าตอนนี้นายต้องไปได้แล้วล่ะ”--------- ไม่ เขายังไม่อยากไป

     

                   ความอบอุ่นจากฝ่ามือนุ่มนั้นเริ่มจางหายไปพร้อม ๆ กับร่างบางตรงหน้า รีบอร์นพยายามจะกอบกุมข้อมือเล็กนั้นเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดลงไปพร้อมกับคำพูดแฝงนัยยะอะไรบางอย่างที่ดังก้องในโสตประสาทก่อนที่จะกลับสู่ความเป็นจริงเหมือนเป็นของฝากชิ้นสุดท้ายจากอีกฝ่าย

     

                   “อะพอลโลยังมีหน้าที่ต้องนำพระอาทิตย์ขึ้นอยู่ไม่ใช่รึไงกัน”

     

                  “รีบไปได้แล้ว”

     

                   อะ...พอลโล อย่างงั้นเหรอ ?

         .

                      .

                      .

                     

                      “เฮือก!”

     

                      ลมหายใจอุ่นร้อนพ่นออกมาถี่ ๆ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจ หัวใจเต้นระรัวจนรู้สึกเจ็บ รีบอร์นไม่อยากจะแน่ใจนักว่าตัวเขานั้นควรจะรู้สึกยินดีดีหรือไม่ที่ได้ตื่นขึ้นมา อารมณ์ที่ตีกันทั่วอกนั้นชวนให้รู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย ทั้งคำถามมากมายที่ยังไม่ได้รับคำตอบมาจากนายคนนั้น

     

                      ความจำบางส่วนที่ได้มาจากฝันนั้นเริ่มหายไปอย่างที่มันควรจะเป็น แต่ถึงกระนั้นเขาก็พยายามที่จะจำมันเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

     

                      มือสากเสยเส้นผมดำขลับชื้นเหงื่อของตัวเองที่หล่นลงมาปรกหน้าออกไปอย่างนึกรำคาญ ไม่แน่ใจนักว่าเพราะฮีตเตอร์ที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนหรือไม่ที่ทำให้ทั้งตัวเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อขนาดนี้ สายตาจ้องตรงไปที่นาฬิกาข้อมือเรือนหรูที่ถูกถอดทิ้งไว้บนโต๊ะข้างเตียง เข้มวินาทีนั้นยังคงวิ่งต่อไปด้วยความเร็วคงที่อย่างสม่ำเสมอ

     

                      ตีห้าพอดี-----เช้ากว่าที่เขาคิดเอาไว้หลายเท่าตัว

     

                      ดวงตาคมสีดำปีกกามองเพดานห้องสีเบสของตนอย่างเหม่อลอย ภาพวาดจิตกรรมของของตำนานกรีกโรมันนั้นไม่อยู่ให้ได้เชยชมแล้ว เขาคงจะตื่นแล้วจริง ๆ ไม่ใช่ฝันทับฝันอีกที

     

                      ร่างสูงค่อย ๆ หยัดตัวลุกขึ้นมานั่งนิ่งอยู่ที่ขอบเตียง ทั้งที่มั่นใจว่านอนอย่างเต็มอิ่มแล้วแท้ ๆ แต่ความรู้สึกเพลียและสายตาเบลอ ๆ แบบผิดปกตินั้นคงเป็นคำตอบที่ดีสำหรับข้อสงสัยที่ว่าได้นอนอย่างเต็มอิ่มจริง ๆ รึเปล่า การประคองหัวไม่ได้เอนล้มกับไปนอนเหมือนเดิมกลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมาทันทีสำหรับในเช้าวันนี้

     

                      รีบอร์นจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองซักพักใหญ่คิดทบทวนถึงสิ่งที่พอจะจำออกมาได้จากในฝันแปลก ๆ นั่นโดยที่ไม่ลืมไปซะก่อน มือสากยกขึ้นมานวดขมับทั้งสองข้างของตัวเองวนไปมาไม่ต่างอะไรจากพวกคนที่กำลังมีปัญหาชีวิตอยู่

     

                      แล้วแบบเขานี่ถือว่ามีปัญหาชีวิตไหมนะ...

     

                      เขามั่นใจมาก ว่าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่แค่สิ่งที่จิตใต้สำนึกสร้างขึ้นมา เป็นไปได้สูงที่ว่าคน ๆ นั้นอาจจะเป็นผู้ใช้ไฟธาตุสายหมอกที่นึกสนุกเข้ามาปั่นหัวเขาเล่น ๆ ในฝัน เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่างที่เขายังไม่ทราบ บางทีอาจจะทดสอบการขังเขาเอาไว้ในมิติมายาแล้วถือโอกาสมาลอบฆ่าเขาในโลกจริงก็อาจเป็นไปได้

     

                      แต่ดวงตาสีชาคู่นั้นไม่ได้ให้ความรู้สึกสนุกที่ได้มากวนเขาในฝันหรืออยากจะฆ่าเขาเลยซักนิด กลับกันสิ่งที่พอจะมองออกและรับรู้ได้อย่างเด็ดชัดเลยก็คงจะเป็น...

     

                  ความเศร้า ?

     

              แต่ก็ไม่อาจฟันธงได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ากำลังรู้สึกแบบนั้นอยู่จริง ๆ  อีกฝ่ายอาจกำลังทำแสร้งทำเป็นเศร้าอยู่ก็ได้

     

              ถึงมันจะดูไร้จุดประสงค์และเหมือนจริงจนทำเขาแอบสะอึกลึก ๆ อยู่ในใจบ้างก็เถอะ

     

               ‘ให้ตาย...ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว’

     

              จอนม้วนทั้งสองข้างแกว่งเบา ๆ ตามศีรษะโคลงไปมา มือสากขึ้นขยี้กลุ่มผมสีดำบนหัวตัวเองจนยุ่งโดยคาดหวังว่าจะช่วยลบความคิดฟุ้งซ่านออกจากไปได้บ้าง ไม่มากก็น้อย ไม่งั้นเขาคงจะไม่สามารถทำอะไรให้เสร็จแบบเป็นการเป็นงานไปได้ตลอดทั้งวันนี้แน่ ๆ

                                                                              

               “ชีวิตฉันมันน่าปวดหัวแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหรกันวะ...”

     

                      .

                      .

                      .

     

              “เห็นเขาว่าถูกเล่นงานอีกรายแล้วนะ”

     

              กลิ่นหอมหวานของมือเช้ากระตุ้นให้น้ำย่อยในกระเพราะทำงานลอยมาพร้อมกับเสียงของคุณนายซาวาดะที่พูดถึงประเด็นอะไรซักอย่างอยู่  โยชิคาวะในชุดนักเรียนที่กำลังจะนั่งลงเตรียมรับประทานอาหารเช้าเพื่อรองท้องก่อนไปโรงเรียนนั้นเลิกคิ้วขึ้นอย่างนึกสงสัย รีบอร์นละสายตาออกจากหนังสือพิมพ์ขาวดำในมือ ปรายตามองไปยังคนตื่นสายด้วยสายตาเรียบนิ่ง

     

              ภาพในความฝันปรากฏซ้อนทับกับรูปหน้าของว่าที่วองโกเล่รุ่นที่สิบโดยที่เจ้าตัวนั้นไม่ได้สังเกตเห็นถึงดวงตาคู่หนึ่งที่กำลังจับจ้องอยู่ ร่างสูงกำลังพิจารณาหาความเป็นไปได้ที่ว่าเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลคนนั้น

     

              หรือว่าจะเป็นโยชิ ?

     

    เหมือนกันอย่างกับแกะ เว้นเสียแต่ดวงตาที่ของโยชิจะออกเป็นสีเขียวใส ส่วนของคนที่เขาเจอในฝันมันเป็นสำส้มสว่างเทียบเคียงโทนสีแล้วนั้นก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง-------อ่า...แล้วก็ส่วนสูงอีกอย่างหนึ่งละมั้ง ? เจ้าโยชิเตี้ยกว่าเยอะ

     

    นี่เขาจะหมกมุ่นเกินไปแล้วรึเปล่านะ

     

              “อะไรอีกรายเหรอครับ?”  นานะพ่นลมหายใจหนัก ๆ ออกมาหลังจากโยชิที่ดูจะยังไม่ทราบข่าวใหญ่ที่กำลังอุบัติขึ้นในนามิโมริ หล่อนกำลังจะกล่าวอธิบายเพื่อไขขอสงสัย แต่ถูกใครบางคนขัดไปซะก่อน

     

              “ก็วันเสาร์ที่เพิ่งผ่านมานี้มีคนเจอพวกกรรมการคุมกฎของโรงเรียนนามิโมริ 6 คน ถูกทำร้ายจนอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสนะสิ” เจ้าของดวงตาคมสีนิลพับหนังสือพิมพ์รายวันที่เพิ่งมาส่งเมื่อตอนเช้ามืดนั่นลงบนโต๊ะไม้อย่างแผ่วเบา ก่อนจะกระโดดเข้าร่วมวงสนทนารอบโต๊ะอาหารด้วยอย่างฉับพลัน

     

              ต้องหาเรื่องพูดสักหน่อย ไม่งั้นคงไม่ได้คิดเรื่องอื่นไปตลอดทั้งวันแน่ ๆ

     

              คงจะไม่ใช่โยชิหรอกมั้ง...

     

              ใบหน้าที่เรียบนิ่งและคร่ำเคร่งเกี่ยวกับอะไรซักอย่างกว่าปกติ มือที่กอดอกท่าทีจริงจัง ดวงตาคมเฉียบใต้เงาหมวกนั้นจ้องตรงมาที่โยชิ ทำเอาว่าที่วองโกเล่รุ่นที่สิบนั้นอดรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ อย่างช่วยไม่ได้ “เห็นว่าโดนถอนฟันไปด้วยล่ะ บางคนโดนหมดปากเลยก็มี”

     

    “ห----หา!? ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ!?”


     

    “แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงเล่า” รีบอร์นพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย พลางยกหูแก้วกาแฟขึ้นมาจิบอีกครั้ง ยังไงซะถ้ามองแบบผิวเผิน มันก็จะเห็นเพียงแค่ว่าเด็กนักเรียนสองโรงเรียนนั้นมีปัญหาขัดแย้งกันจนเลยเถิดกลายเป็นการดักทำร้ายร่างกาย แต่หากมองลึกลงไปกว่านั้นอีกสักหน่อยก็จะรู้ได้ทันทีเลยว่า...

     

    ไม่ใช่นักเรียนธรรมดาแน่ ๆ ที่จะสามารถทำเรื่องโหดร้ายแบบนี้ได้

     

               “แต่ดูเหมือนว่าที่โดนเล่นงานจะมีแต่พวกกรรมการคุมกฎไม่ใช่รึไง” ดวงตาสีน้ำตาลไล่อ่านไปตามตัวหนังสือสีดำบนหนังสือพิมพ์แบบผ่าน ๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นคงคิดอะไรไม่ได้มากกว่าที่ว่าหัวหน้ากรรมการคุมกฎอย่างคุณฮิบาริคงจะไปกระตุกหนวดเสือซักตัวเข้าอีกเหมือนเคย “นักเรียนธรรมดาแบบฉันคงไม่เป็นไรหรอก”

     

              ดูเหมือนว่าคุณนายซาวาดะจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดนั้นของเจ้าลูกชายสักเท่าไหร่นัก

     

              “นี่โยชิ ลูกสนใจลองลงเรียนศิลปะป้องกันตัวไว้หน่อยดีไหม ?” ใบปลิวสอนพิเศษศิลปะป้องกันตัวเกือบสิบแผ่นปรากฏอยู่ในมือของนานะ มากมายเสียจนโยชิไม่แน่ใจนักว่าเธอไปได้มาจากไหนหรือไปหามาได้ยังไง “อย่างน้อยก็ป้องกันไว้ก่อนดีว่านะ”

     

              จากการอ่านสีหน้าของเจ้าโยชิตอนนี้ ถ้ามันจะสามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ในความคิดรีบอร์นมันคงไม่พ้นคำว่า ‘ฮะ ยังไงนะ’ ไม่ก็ ‘ไหงเป็นงั้นล่ะ!?’ อย่างแน่นอน

     

               “ไหงเป็นงั้นล่ะ!?” ------อะ...ไม่ผิดจากที่คาดไว้เลย

     

              “ก็มันเป็นห่วงนี่นา “

     

              รีบอร์นนั่งไขว่ห้างจิบกาแฟเงียบ ๆ ฟังบทสนทนาประจำวันของสองแม่ลูกไปพลาง ๆ ในหัวคิดวิเคราะห์ถึงสิ่งที่พอจะจำได้จากในฝัน รอเวลาเจ้าเด็กว่าที่บอสวองโกเล่ทานข้าวเช้าเสร็จ วันนี้เหมือนจะไม่มีคาบโฮมรูมเพราะชะนั้นจึงไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่จะต้องควักค้อนหนึ่งตันออกมาไล่ทุบเจ้านี่ให้รีบไปโรงเรียนเหมือนดังวันปกติ

     

              กลิ่นหนังสือเก่า ๆ กับน้ำหอมอ่อน ๆ จากตัวเจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้คนนั้น รีบอร์นยังจำมันได้ขึ้นใจ

     

              เป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดรึเปล่านะ...

     

              ในขณะที่ริมฝีปากหนากำลังจะจรดกับขอบแก้วเซรามิคอุ่นร้อน หางตาเหมือนจะสังเหตุเห็นอะไรบางอย่างที่ร่วงลงมาจากบนนฟ้าหล่นลงที่สนามหญ้าหน้าบ้านอย่างพอดิบพอดีราวกับจงใจ ซองกระดาษบาง ๆ สีขาวสะอาดกับตราประทับขี้ผึ้งสีแดงเลือดหมู ดูสะดุดตาจนไม่น่าจะเป็นของธรรมดา

     

              ถึงแม้จะมองจากในตัวบ้าน แต่รีบอร์นมันใจว่าเขาไม่มีทางดูผิดไปได้อย่างแน่นอน ลวดลายของตราประทับที่ถูกทับลงไปบนขี้ผึ้งเหลวก่อนที่จะเย็นตัวนั้นเด่นชัดเจนจนสามารถมองออกได้อย่างง่ายดาย

     

              พลันรอยยิ้มมุมปากก็ยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทำโยชิที่แอบลอบมองอยู่สะดุ้งเสี่ยวสันหลังวาบขึ้นมา

     

              เหมือนความคิดหมกมุ่นเกี่ยวกับเรื่องความฝันทั้งหมดนั้นจะถูกพับเก็บเข้ากล่องไปโดยปริยายและคงจะยังไม่มีกำการที่ว่าจะเปิดขึ้นมาวิเคราะห์ใหม่ในเร็ว ๆ นี้ เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าเขามีเรื่องที่ต้องให้ความสนใจมากกว่าความฝันอะไรนั้นแล้ว อีกทั้งยังใจดีเอามาส่งให้ถึงหน้าบ้านขนาดนี้แล้วด้วยน่ะนะ

     

              จะบรรณารักษ์ห้องสมุดหรือใครที่ไหนก็ช่างเถอะ ยังไงซะตอนนี้ทุกอย่างที่อยู่ในจดหมายฉบับนั่นจะต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก

     

              ‘หึ ในที่สุดความสนุกของจริงก็มาถึงสักที’

     

                      .

                      .

                      .

     

               สึนะมักย้ำความจริงข้อหนึ่งไว้ในใจเสมอในทุก ๆ เช้าที่ลืมตาตื่นขึ้นมา

     

              ความจริงที่ว่าเขาไม่มีตัวตนในโลกนี้ การไปมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยไม่ใช่เหตุนั้นเป็นความผิดร้ายแรงที่อาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางของโลกไปได้จากหน้ามือเป็นหลังมือ และนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย

     

              ความสำคัญของมันนั้นยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่าอะไร สึนะจะไม่มีวันแหกความเป็นจริงข้อนั้นเพียงเพื่อสนองความต้องการส่วนตัวของตนเองอย่างเด็ดขาด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมทุก ๆ อย่างที่เขาพยายามจะหลีกเลี่ยงไม่เจอด้วยแล้วนั้นถึงชอบจะเป็นฝ่ายพุ่งเข้าหาเขาเสียเองตลอด

     

              เหมือนอย่างเช่นตอนนี้...

     

              เปลือกตาบางเปิดขึ้นปรากฏเป็นอัญมณีสีมะฮอกกานีใส ภาพทุกอย่างที่สะท้อนเข้ามาในตานั้นดูเบลอ ๆ เหมือนกระจกที่มีไอน้ำมาเกาะ สึนะกระพริบถี่ ๆ อยู่สักพักเพื่อให้สายตาปรับความคุ้นชินกับแสง ก่อนที่ในไม่กี่ชั่วอึดใจต่อมาความเจ็บบริเวณท้ายทอยนั้นจะแล่นปราดไปทั่วสมองจนต้องนิ่วหน้าอย่างช่วยไม่ได้

     

              ‘เจ็บเป็นบ้า...เหมือนเพิ่งโดนทุบมาเลย’

     

              จำได้ลาง ๆ ว่ากำลังเดินกลับห้องหลังจากที่ไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตตอนเช้ามืดเพราะคนน้อยดี และก็จะได้หลีกเลี่ยงการเจอพวกโยชิกับรีบอร์นด้วย ก่อนหน้านั้นก็เพิ่งโทรคุยกับโอลิเวอร์ลูกจ้างที่เขาจ้างมาดูแลร้านหนังสือที่ฟลอเรนซ์ชั่วคราวในระหว่างที่เขามาพักผ่อนอยู่ญี่ปุ่นเรื่องล็อตหนังสือที่จะต้องเอาเข้าร้านในวันมะรืนนี้

     

              แต่แล้ว...ไหงถึงเขามาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ

     

              ดวงตากลมโตเริ่มไล่กวาดมองพื้นที่รอบ ๆ แสงสว่างที่ส่องเข้ามาได้เพียงเล็กน้อยชวนให้รู้สึกน่าอึดอัด มีฝุ่นผงลอยอยู่ในอากาศ เศษขยะซึ่งในที่นี้หมายถึงเศษผ้าเก่าขาด ๆ และซองขนมคบเคี้ยวกระจายเกลื่อนอยู่บนพื้นไม้ผุพังส่งกลิ่นผงชูรสคละคลุ้ง ช่างเป็นพิษต่อระบบรับรู้กลิ่นเสียจริง ยิ่งในพื้นที่ปิดแบบนี้แล้วยิ่งไม่ต้องพูดเยอะ

     

              ใช่เลยล่ะ...มันเหม็นมาก

     

              ถ้าให้สรุปเลยที่นี่ถ้ามองโดยภาพรวมแล้วคงจะไม่ค่อยเหมาะกับการใช้ชีวิตอยู่สักเท่าไหรนัก ช่างน่าสงสัยจริง ๆ ว่าในพื้นที่ที่เป็นพิษต่อแทบจะทุกระบบในร่างกายแบบนี้ยังจะมีใครกล้ามาอาศัยอยู่อีก แล้วยังใจดีเอาเขาให้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้ด้วยเนี้ย

     

              ความชื้นเย็นจากแผ่นไม้ที่สัมผัสได้จากบริเวณใบหน้าฝั่งซ้ายนั้นทำให้พอได้รู้ว่าตอนนี้นั้นตัวสึนะคงจะไม่ได้นั่งอยู่แน่ ๆ แรงเสียดสีจากบริเวณข้อมือตอนที่ขยับนั้นทำเขาเสียสมาธิอยู่ไม่น้อย คงจะมัดแน่นอยู่ในระดับหนึ่งหลังจากที่ลองเอานิ้วคลำ ๆ ที่ปมเชือกดู ถ้าให้เขาลองคิดดูอีกฝ่ายที่จับเขามานั้นคงจะไม่พลาดมัดขาเขาไว้ด้วยแน่

     

              อันที่จริงตอนนี้จะแก้มัดมันเลยก็ทำได้อยู่ เขาสามารถหนีไปตอนไหนก็ได้ แต่อย่างน้อยขอดูหน้าคนที่กล้าหอบเขามาที่นี่ก่อนให้หายสงสัยก่อน…

     

    ไม่งั้นคืนนี้เขาคงจะนอนไม่หลับแน่

     

              ดวงตาทั้งสองข้างที่ตอนนี้ยังมองเห็นทุกอย่างไม่ค่อยจะชัดเจนอยู่นั้นไล่สายตาไปเรื่อย ๆ ก่อนจะไปสบกับใครอีกคนที่กำลังนั่งเท้าคางมองมาทางเขา ชุดสีเขียวขี้ม้านั่นชวนให้รู้สึกคุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นมาก่อน สึนะไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายกำลังทำสีหน้าเช่นไรอยู่ แต่เสียงหัวเราะเบา ๆ จากเจ้าตัวนั้นชวนให้รู้สึกไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย

     

              หลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวลงมาซะนาน คนที่คาดว่าจะเป็นคนเอาตัวเขามานั้นก็ดูเหมือนจะเป็นคนเริ่มเปิดบทสนทนาในครั้งนี้ก่อน

     

              “อรุณสวัสดิ์ครับวองโกเล่

     

              “ต้องขอโทษแทนเก็นจริง ๆ นะครับที่ไปเอาตัวคุณมาด้วยวิธีป่าเถื่อนแบบนั้น” ---------โอ้...สึนะคิดว่านี่มันคงจะต้องเกิดการเข้าใจผิดอะไรอีกแล้วแน่ ๆ ระหว่างเขากับโยชิคาวะ มันมีอยู่หลายครั้งหลายหนอยู่เหมือนกันที่มีคนทักเขาผิดเพราะนึกว่าเขาเป็นโยชิ แต่ก็นะ หน้าดันเหมือนกันอย่างกับเป็นคน ๆ เดียวกันขนาดนั้นถ้าไม่สังเกตดี ๆ ก็คงก็เข้าใจผิดได้ไม่ยาก

     

              แต่เมื่อกี้...วองโกเล่อย่างงั้นเหรอ ?-------หากรู้เรื่องลึกถึงว่าโยชิคาวะนั้นเป็นว่าที่บอสวองโกเล่คนถัดไปแล้ว แสดงว่าคงจะไม่ใช่พลเมืองทั่วไปงั้นสินะ  แต่สังเกตจากการเอาตัวขาองมาหมกไว้แบบนี้จุดประสงค์คงจะไม่ได้กะที่จะมาเพื่อฆ่าวองโกเล่รุ่นที่สิบ

     

              แล้วเพื่ออะไรกัน...ลักพาตัวรึไง ?

     

              ‘ช่วงเวลาประมาณนี้นอกจากวาเรียแล้ว เท่าที่จำได้ก็ไม่มีแฟมมิลี่ไหนส่งนักฆ่ามาจัดการเขาเลยสักคนนี่น่า ถ้างั้นแล้วตอนนี้โยชิกำลังโดนใครหมายหัวอยู่? ไทม์ไลน์แต่ละโลกมันมีศัตรูไม่เหมือนกันอย่างงั้นเหรอ ? จีอ็อตโต้ไม่เห็นเคยบอกเขาเรื่องนี้เลย’

     

              แต่อย่างไร้ก็ตาม เขาต้องรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายก่อน เพื่อว่าอาจจะสามารถเจรจากันให้จบแบบดี ๆ ได้ในแบบที่ว่าไม่ต้องตีกัน ซึ่งก็จะเป็นผลดีกับโยชิคาวะเองด้วยที่ไม่ต้องเอาตัวเองกับเพื่อน  ๆ ในแฟมมิลี่มาเสี่ยงกับศัตรูแบบนี้

     

              สึนะรวบรวมควมกล้า ก่อนจะกล่าวถามอีกฝ่ายออกไป “จับผมมาทำไม ?”

     

              “ถ้าผมไม่บอกล่ะครับ ?” น้ำเสียงยี่ยวนชวนอารมณ์เสียนั้นชวนให้นึกถึงอดีตผู้พิทักษ์สายหมอกคนนั้นของเขาชะมัด

     

              เดี๋ยว----ผู้...ผู้พิทักษ์สายหมอกงั้นเหรอ?

     

              “เรื่องนั้นพอถึงเวลาเดี๋ยวคุณก็รู้เองแหละครับ”

     

              เสียงรองเท้ากระทบพื้นไม้พุขยับเข้ามาใกล้ตัวเรื่อย ๆ ปลายรองเท้าสีดำขลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าพอดี รูปหน้าหวานเงยขึ้นไปมองอย่างรวดเร็ว ก่อนที่นัยน์ตาจะเบิกกว้างริมฝีปากชมพูพีชพะงาบ ๆ เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ปิดปากเงียบกริบทันทีที่อีกฝ่ายนั้นก้มลงย่อตัวให้อยู่ในระดับเดียวกับเขาที่นอนขดอยู่บนพื้นสกปรกอย่างน่าอนาถ

     

              พระเจ้า นี่มันเร็วเกินไปหน่อยไหม

     

              “เอาล่ะ...มาแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการดีกว่าครับ” น้ำเสียงทุ่มนุ่มแฝงความเจ้าเล่ห์ไว้ในนั้น รอยยิ้มกว้างถูกวาดประดับอยู่บนรูปหน้าคมคาย เส้นผมสีน้ำเงินเข้มราวกับพื้นทะเลลึกนั้นหล่นลงมาปรกกรอบหน้าเล็กน้อย ดูขัดหูขัดตาไปบ้างแต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่สึนะให้ความสนใจมากเท่ากับดวงตาทั้งสองคู่นั่นที่ช่างคุ้นเคย


     

              ดวงตาสองสีที่มีเลขแปดจีนนั้นปรากฏเด่นชัดอยู่ในอัญมณีประกายสีแดงชาติ

     

              “ผมโรคุโด มุคุโร่ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับวองโกเล่” ดวงตาหยี่เป็นรูปพระจันทร์เสี่ยว ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าตอนนี้อีกฝ่ายนั้นกำลังคิดที่จะทำอะไรอยู่ สึนะขบเม้มริมฝีปากตัวเองพอ ๆ กับที่กำลังขบคิดว่าจะต้องทำตัวอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ดี “ส่วนคุณ...โยชิคาวะคุงสินะครับ”


     

                ภายใต้รอยยิ้มกว้างของอีกฝ่าย ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เห็นถึงความเกลียดชังในตัวเขาที่ประกายออกมาจากดวงตาสองสีคู่นั้นยามที่สบมองมาอย่างไม่คิดจะปิดบัง ความแค้นที่มีต่อพวกมาเฟียนั้นยังไม่ถูกชะล้างออกไป

     

              แต่ถึงกระนั้น ในอนาคตมุคุโร่จะเป็นกำลังสำคัญในอนาคตของวองโกเล่แฟมมิลี่ในฐานะของผู้พิทักษ์สายหมอกอย่างแน่นอนสึนะมั่นใจ

     

              งั้นเขาควรจะผูกมิตรไว้ก่อนดีไหมนะ ?  หรือเขาจะปล่อยให้เรื่องราวมันไหลไปตามเส้นทางอย่างที่มันควรจะเป็นตั้งแต่แรกดี

     

              แต่ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ ก่อนอื่นเลยคือเขาจะต้องแก้ข่าวเรื่องที่เขาเป็นวองโกเล่รุ่นที่สิบซะก่อน

     

              “คุณคงเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ใช่-------อะ?” นิ้วเรียวยาวทาบลงบนริมฝีปากนุ่มหยุ่นในขณะที่สึนะกำลังเปิดปากพูด มุคุโร่สายหน้าช้า ๆ เหมือนเป็นการบอกเป็นนัยว่าตอนนี้เขาไม่ควรจะเอ่ยอะไรออกมาทั้งนั้น สึนะที่กำลังจะแก้ข้อเข้าใจผิดนั้นจึงจำต้องกลืนก้อนคำพูดนั้นกลับเข้าไปไว้อย่างเดิม ได้แต่ขบฟันอย่างอึดอัดใจอยู่เงียบ ๆ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าใบหน้าตัวเองนั้นมันจะสามารถสร้างปัญหาได้มากขนาดนี้

     

              “เก็บคำโกหกนั้นเอาไว้เถอะครับ”

     

              “หึ พอดีว่าผมไม่ใช่คนที่คุณจะหลอกได้ง่ายแบบนั้นหรอกนะครับ” อดีตผู้พิทักษ์สายหมอกนั้นขำในลำคอเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี เปลี่ยนตำแหน่งมือจากริมฝีปากของร่างเล็กมาทัดปอยผมสีเปลือกไม้ที่หล่นลงมาปรกใบหน้าหวานให้อย่างสมัครใจ สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นไม่ใช่คำขอบคุณแต่เป็นดวงตาโทนสีเดียวกับผมที่มองค้อนกลับมาเท่านั้น

     

               มาตรฐานความน่าหมั่นไส้นี่ไม่ว่าจะโลกไหนก็คงจะเท่ากันหมด...

     

              กัดลิ้นตายมันซะตรงนี้เลยดีไหมนะ

    tbc.

                   

    -ยุคบาโรก ( Baroque)

                      เริ่มต้นเมื่อประมาณต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ที่กรุงโรมประเทศอิตาลี เป็นยุคที่เกิดหลังจากยุคเรอนาซอง สถาปัตยกกรรม รูปปั้นรวมถึงงานวาดจะเน้นความหรูหรา โออ่า และยิ่งใหญ่ โดยเริ่มต้นขึ้นมาจากคริสตจักรโรมันคาทอลิกที่ต้องการดึงคะแนนเสียงจากฝั่งชาวบ้านในตอนนั้นไม่ให้ย้ายนิกายจากคาทอลิกไปเป็นโปรเตสแตนต์ เลยต้องสร้างอะไรขึ้นมาให้มันตราตรึงใจเหล่าชาวบ้าน เพราะชะนั้นจะสามารถสังเกตได้ว่าโบสถ์ที่สร้างในช่วงยุคนี้จะอลังการและดูมีอะไรเยอะกว่ายุคเรอนาซองและยุคอื่น ๆ มาก

    -เทพอะพอลโล (Apollo)

                  ในเรื่องนี้จะเป็นเทพอะพอลโลในตำนานดอกทานตะวันค่ะ แต่หากตามความเชื่อปกติของของกรีกเป็นแล้วอะพอลโลนั้นคือเทพเจ้าแห่งแสงและดวงอาทิตย์ คำพยากรณ์ การรักษาและโรคระบาด ดนตรี กวี ฯลฯ เป็นนักดนตรีผู้ขับกล่อมเทพทั้งปวงบนเขาโอลิมปัสด้วยพิณ เป็นเทพขมังธนู ที่สามารถยิงธนูได้ทั้งแม่นและไกล และเป็นเทพแห่งสัจธรรม ชาวกรีกนับถือเทพอะพอลโลมาก จึงมีวิหารที่บูชาเทพองค์นี้อยู่เป็นจำนวนมาก แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ วิหารเดลฟี

     

    -เทพีนิกซ์ (Nyx)

                       เป็นหนึ่งในเทพดั้งเดิม (protogenoi) ในเทพปกรณัมกรีก เทพีนิกซ์เป็นเทพพีแห่งเวลากลางคืน หน้าที่ของเธอคือการทำให้เกิดเวลากลางคืน ว่ากันว่าหากเธอเคลื่อนกาย หรือเดินทางไปที่ไหน ที่แห่งนั้นก็ถูกความมืดมิดปกคลุมหรือก็คือหลายเป็นตอนกลางคืน เธอมักปรากฏกายในรูปของหญิงที่แต่งกายสาวสวมชุดสีดำ

    -Penny Loafer

                      หรือเรียกอีกอย่างว่า Slip-ons เป็นชื่อเรียกรองเท้าหนังประเภทหนึ่งที่ไม่มีเชือกผูกแต่จะเป็นรองเท้าแบบสวมนิยมใส่คู่กับชุมสูท เมื่อก่อนจะถือว่ารองเท้าแบบนี้ไม่เป็นทางการเท่ารองเท้าหนังแบบมีเชือกผูก ก่อนที่ในภายหนังจะได้รับการยอมรับมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นที่นิยมในหมู่นักแสดงและนักศึกษาทางตะวันตกอีกด้วย

    -ฝันแบบรู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่ (Lucid Dream)

                      เป็นชื่อเรียกสภาวะของการที่นอนหลับไปแล้วรู้สึกตัวว่ากำลังฝันอยู่ ในขณะที่ตัวเองกำลังฝันอยู่นั้นก็สามารถบังคับฝันได้ โดยการเกิด Lucid dream นั้นเห็นบางที่บอกว่าสามารถฝึกกันได้ ยังไงก็ลองไปศึกษากันเพิ่มเติมนะคะหากสนใจ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×