คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : My Best Friend 5 : Outlying
My Best Friend
5
Outlying ; นอกทาง
“ มีเหตุผลอะไรที่ต้องปฏิเสธหรอจ๊ะ?
”
เด็กสาวสีขาวระบายรอยยิ้มจาง
ๆ ดวงตาสีทองหม่นคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน
ร่างของเธอดูราวกับถูกห่อหุ้มด้วยแสงสว่าง ตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็น
ก็รู้สึกได้ทันทีว่าเธอนั้นเป็นมิตร
สัมภาระที่ติดตัวเธอ
มีเพียงกระเป๋าสะพายกระเป๋าสะพายที่ดูหนักใบหนึ่งเท่านั้น
เธอยิ้มและยืนพิงกำแพงราวกับกำลังรอใครบางคนที่จะผ่านมาอยู่นานแล้ว
เมื่อมีคนเดินผ่านมาดังต้องการจึงไม่รีรอที่จะส่งยิ้มและทักทายทันที
“สวัสดีจ้ะ นนท์ ธัญญ์”
“.....”
ทั้งนนท์และธัญญ์ชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงหวานปานน้ำผึ้งนั้น
ดวงตาสีหยกของธัญญ์เหลือบมองคนตรงหน้าที่ใส่ชุดนักเรียนแบบเดียวกับตน นักเรียนมารีอาน่าคอนแวนต์?
แต่ดูเหมือนจะเปิดเรื่องยุ่งยากใจบางอย่าง ธัญญ์จึงขมวดคิ้วเป็นปม
“คนรู้จักเธอ?”
“รู้จักที่ไหนล่ะ เรานึกว่าเป็นเพื่อนเจ๊ซะอีก
เห็นเรียกชื่อเจ๊นี่.....”
“จะบ้าหรอ
เขาก็เรียกเธอด้วยนี่ อีกอย่างนั่นก็ชุดโรงเรียนเธอ”
“คุยอะไรกันจ๊ะ?”
ทั้งสองสะดุ้งโหยงอีกครั้ง
ทั้งที่คนตรงหน้าไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามอะไรเลย
เธอถามด้วยน้ำเสียงออกจะเป็นห่วงด้วยซ้ำที่พวกเขาซุบซิบคุยกัน ร่างสีขาวขยับเข้าใกล้
ทว่าพวกนนท์ถอยหนี เธอจึงชะงัก ธัญญ์พยายามนึกอย่างเอาเป็นเอาตายว่าไปรู้จักเด็กสาวคนนี้มาจากไหน
แต่ความทรงจำทั้งหมดทั้งม.ต้นและม.ปลาย ไม่มีหน้าของเธอเลยสักนิด เธอมุ่นคิ้วด้วยความระแวง
ก่อนที่สายตาจะเลื่อนลงไปเห็นคราบสีคล้ำช่วงท้องของอีกฝ่าย
“เธอบาดเจ็บ!”
“เอ๊ะ? อ๋อ
นี่หรอ....ไม่เป็นไรจ้ะ แค่ถูกลวดเกี่ยวนิดหน่อยน่ะ แต่แผลไม่ลึกมาก
ไม่ต้องกังวลหรอกจ้ะ”
หยดเลือดแผ่ออกไปบนเสื้อสีครีมชวนให้นึกถึงประจำเดือน
พอมองดูดี ๆ เลือดพวกนั้นแห้งหมด แผลคงผ่านไปนานจนปิดแล้ว
ท่าทางของเธอดูสบายดีจริง ๆ จึงคิดได้ว่านั่นคงเป็นแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ จริง ๆ นนท์เหลือบมองใบหน้าของเด็กคนนั้น
เธอยังคงยิ้ม แม้จะเป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยน แต่มันชวนให้รู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ
“พวกเธอกำลังจะไปห้องประชาสัมพันธ์ใช่ไหม?
ฉันกำลังจะไปที่นั่นพอดี พวกเราไปด้วยกันเถอะจ้ะ”
“ก่อนอื่นเลยนะ เธอเป็นใคร?”
ใบหน้าสะสวยไม่เกิดอาการหวั่นไหวใด
ยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนโดยไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ดวงตาสีทองหม่นก่อประกายความไม่เข้าใจขึ้นมาช้า ๆ เธอขมวดคิ้วทั้งที่ยังยิ้ม
ยิ้มทั้งที่ความสงสัยเกิดขึ้นเต็มใบหน้า
“ล้อเล่นอะไรกันจ๊ะ
ฉันเองไง?”
“....”
“เดี๋ยวสิ พวกเธอจำฉันไม่ได้จริง
ๆ หรอจ๊ะ? ฉันดรีมไง”
ดรีมเอียงคอน้อย ๆ
แล้วชี้ตัวเอง ทว่าการกระทำนั้นไม่ได้ทำให้อีกสองคนบนทางเดินแห่งนี้เปลี่ยนท่าทีเลย
พวกเขากลับยิ่งขมวดคิ้วเมื่อได้ยินชื่อไม่คุ้นหู ดรีมมองพวกเขาเหมือนเจอเรื่องเหลือเชื่อ
ทว่าริมฝีปากยังคงวาดรูปโค้งอย่างงดงาม ดวงตาของเธออ่อนลงเล็กน้อย
ก่อนจะถักทอคำพูดเสียงอ่อนหวาน
“ที่เคยเรียนม.ต้นรดาวรรณห้องเดียวกับนาโนไงจ๊ะ?
ฉันย้ายไปมารีอาน่าคอนแวนต์ตอนม.ปลายเหมือนพวกเธอ แต่อยู่คนละห้องน่ะ
ฉันอยู่ศิลป์ฝรั่งเศส ส่วนเธอกับเอวาอยู่ห้องวิทย์-คณิต เราแทบไม่ได้คุยกันเลยที่นั่น
แล้วฉันก็ไม่สนิทกับเธอน่ะ พอจะคุ้น ๆ รึยังจ๊ะ?”
ธัญญ์ส่ายหน้า
จริงอยู่ที่เด็กสาวคนนี้มีความรู้สึกชวนให้คุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
แต่ไม่ว่าจะขุดลึกลงไปส่วนไหนของความทรงจำ ก็ไม่พบเธอเลย เด็กสาวที่มีใบหน้างดงามราวกับภาพวาด
ถึงจะแตกต่างกับความงามอันรุนแรงของนาโน
แต่เธอไม่มีทางลืมเด็กสาวที่งดงามขนาดนี้ได้หรอก แม้จะไม่เคยคุยกันเลยก็ตามที
แต่หรือว่าเธอจะแค่จำไม่ได้จริง
ๆ เพราะเธอเป็นเพื่อนกับเอวาและไรส์อีกที จึงไม่ได้รู้จักทุกคนในกลุ่มของนาโน
พูดง่าย ๆ ก็เป็นเพื่อนของเพื่อนนั่นแหละ ธัญญ์เริ่มสับสน เมื่อเห็นแบบนั้น
ดรีมจึงหันไปหานนท์แทน
“แล้วเธอล่ะจ๊ะนนท์?
เราอยู่ห้องเดียวกันนะ”
“ไม่
ชั้นไม่เห็นจำได้ว่ารู้จักคนแบบเธอ”
นนท์มีปฏิกิริยาแบบเดียวกับธัญญ์ทำให้ดรีมทำสีหน้าครุ่นคิด
นนท์มองอีกฝ่ายที่ทำตัวสบาย ๆ
เหมือนทุกอย่างไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแล้วรู้สึกหงุดหงิดแปลก ๆ
เพราะท่าทางนั้นมันดูเกินจริงไปหมดเหมือนจงใจแสดงละคร
คำพูดคำจาที่มีจ๊ะมีจ๋าตลอดเวลานั่นอีก อยากจะทิ้ง ๆ เธอไว้แถวนี้ซะ แต่เขาเองก็รู้สึกเหมือนธัญญ์
คือคุ้น ๆ กับเด็กสาวคนนี้ แต่นึกไม่ออก บางทีเธออาจจะเป็นเพื่อนพวกเขาจริง ๆ
ก็ได้ เพราะตอนนี้ความทรงจำเขาหายไปบางส่วน นั่นคือเขาจำเรื่องก่อนตกลงมาที่นี่ไม่ได้เลยสักนิด
ดรีมเองก็คงเป็นหนึ่งในความทรงจำเหล่านั้น
“ก็ได้ ชั้นจะเชื่อเธอ
แต่มีข้อแม้ว่าเธอต้องตอบคำถามนี้ให้ถูก ถ้าไม่ ก็ไปให้ห่างจากพวกเราซะ”
“เอ
หวังว่าคำถามจะไม่ยากเกินไปนะจ๊ะ”
“ไม่ยากหรอก” นนท์หรี่ตา
“ถ้าเป็นเพื่อนกันจริงน่าจะรู้คำตอบ”
“อื้ม
งั้นก็รบกวนด้วยนะจ๊ะ”
“ข้อแรก.... คนที่ยกพวกไปมีเรื่องกับเด็กช่างแถวโรงเรียนเรา
จนทำให้มีทหารมาเฝ้าถึงโรงเรียนคือใคร?”
“แหม เกมนี่สุดยอดจริง ๆ
นะจ๊ะ ไม่ถูกครูจับได้ด้วยนี่นะ ฉันล่ะนับถือเลย คิก ๆ”
ดรีมหัวเราะป้องปากอย่างมีมารยาท
ส่วนนนท์พยักหน้าช้า ๆ นี่เป็นเรื่องทั่วไปอยู่แล้ว คนปกติก็น่าจะรู้
เพราะเกมทำตัวเหมือนเด็กมีปัญหาตลอดเวลา ทั้งชกต่อย โดดเรียน บางทีก็ทำลายข้าวของ
นอกจากสิ่งเสพติดแล้วก็ดูเหมือนจะเป็นศูนย์รวมเรื่องแย่ ๆ ทุกอย่าง ชนิดที่ว่าไม่ต้องอยู่กลุ่มเดียวกันยังรู้
ขนาดเขาที่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยสนิทกับพวกนาโนแล้วยังรู้เลย
นนท์จึงเลือกคำถามต่อไปให้ยากขึ้นอีก
“ข้อสอง คนที่ไปเล่นม้าหมุนเด็กตอนนัดเจอกันเมื่อสามเดือนที่แล้วคือ?”
“อืม... ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นบอส
เอวา แล้วก็เบสท์นะจ๊ะ เอ๊ะ ว่าแต่เธอไม่ได้ไปนี่นา แล้วรู้ได้ไงน่ะ” นนท์เมินคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบอย่างจริงจังนั้นไป
ดรีมตอบได้ถูกเป็นครั้งที่สอง
“คำถามที่สาม....”
“เอ มีกี่คำถามกันจ๊ะ จะมีเยอะมีน้อยน่ะไม่ได้ใส่ใจหรอก
แต่ว่ามันเสียเวลาน่ะสิจ๊ะ?”
“ก็สามนั่นแหละ
นี่ถามข้อสุดท้ายแล้ว” นนท์กอดอกทำท่าไม่พอใจ “ข้อสุดท้าย เธอไม่ชอบใครที่สุดในกลุ่ม?”
ดรีมชะงักไป ที่จริงนนท์เชื่อตั้งแต่คำถามที่สองแล้ว
เพราะที่นัดกันไปวันนั้นมีแค่กลุ่มเพื่อนสนิท ๆ ของนาโนเท่านั้น หากไม่ไปก็ไม่มีทางรู้ว่ามีใครมันอุตริขึ้นไปเล่นม้าหมุนกันบ้าง
เพราะงานวันนั้นเป็นวันเดียวที่ไม่ลงรูปย้อนหลัง แถมเธอยังตอบชื่อทั้งสามคนได้ถูกต้อง
แสดงว่าเธอเป็นคนในจริง ๆ คงมีเหตุผลบางอย่างทำให้ลืมเธอไป แต่ถึงกระนั้นนนท์ก็ยังไม่รู้สึกวางใจ
จึงถามคำถามสุดท้ายเป็นการลองเชิง
จะตอบว่าอะไรกัน
ไม่เกลียดใครเลย?
เป็นไปไม่ได้ ยิ่งกลุ่มใหญ่ยิ่งต้องมีการไม่ถูกกันบ้าง ถึงจะเล็กน้อยก็ตามที ขนาดนาโนยังไม่ชอบขี้หน้าเพื่อนบางคนในกลุ่มเลย
แต่เอาเถอะไม่ได้คาดหวังอะไรมากหรอก แค่ตอบมาสักชื่อก็พอ และชื่อนั้นต้องไม่ใช่ชื่อเรา
เพราะถ้าเป็นแบบนั้นแปลว่า ยัยนี่คิดจะหาโอกาสเล่นงานเราแน่ ๆ ปัญหาคือตอนนี้เราต้องมองให้ออกว่ายัยนี่ไม่ได้โกหก
“คนที่ไม่ชอบ...ไม่มีหรอกจ้ะ”
“จะเป็นไปได้ไง
เอาคนที่ชอบน้อยที่สุดก็.....”
“มีแต่คนที่เกลียดน่ะจ้ะ”
วูบ
นนท์รู้สึกถึงสายลมที่วูบผ่านไป
แต่คงจะคิดไปเองนั่นแหละ หน้าต่างยังคงปิดอยู่ทุกบาน อากาศที่ตกค้างอยู่ไม่มีทางที่จะหมุนเวียนได้
ทว่าเขาไม่อาจลบความรู้สึกที่วูบผ่านร่างกายเมื่อครู่ไปได้เลย มันไหลผ่านทั่วร่างกายไปอย่างรวดเร็ว
ทิ้งไว้เพียงความเย็นเยือกเหมือนถูกจับโยนลงไปในน้ำแข็ง เขารู้สึกถึงสังหรณ์ร้ายบางอย่างที่คืบคลานไปบนแผ่นหลัง
แต่ก็กลั้นใจถามไป
“.....ใคร.....”
ดรีมยิ้มให้คำถามนั้นอย่างใจดี
ธัญญ์มองเด็กสาวคนนั้นด้วยความรู้สึกแบบเดียวกับนนท์ หากแต่สิ่งที่แตกต่างคือ เธอรู้ว่าความวูบไหลที่ผ่านไปนั้นคืออะไร....สิ่งนั้นถูกเรียกให้เข้าใจโดยทั่วไปว่า
‘จิตสังหาร’ ธัญญ์เผลอกลืนน้ำลาย
แม้จะแค่ชั่วพริบตา แต่ดรีมได้ส่งเจตนาออกมาแล้วว่า อยากจะให้มันตาย
ชื่อของคนที่ถูกเกลียดระดับนี้ คือใครกัน
“ไรส์”
ธัญญ์แทบกลั้นหายใจ รอยยิ้มของดรีมไร้ซึ่งการสั่นไหว
มันคงอยู่บนใบหน้าราวกับแปะไว้ แม้ยามเอ่ยนามคนที่เกลียดก็ยังคงสมบูรณ์แบบ ทว่ายิ่งมันดูอ่อนโยนมากเท่าไหร่
กลับยิ่งรู้สึกถึงความบิดเบี้ยวมากเท่านั้น เด็กสาวผมหยกสัมผัสได้ถึงความบ้าคลั่งบางอย่างที่ไม่อาจพิสูจน์จากร่างสีขาวตรงหน้า
เธออยากจะหันไปหานนท์เพื่อบอกว่าเธอคนนี้อันตราย แต่ดูเหมือนนนท์จะรู้อยู่ก่อนแล้ว
“งั้นหรอ ขอโทษด้วยนะ
พวกชั้น....”
“มีเหตุผลอะไรที่ต้องปฏิเสธหรอจ๊ะ?”
ดรีมดักถ้อยคำปฏิเสธของอีกฝ่ายทันควัน
นนท์ที่กำลังคิดข้ออ้างเพื่อปลีกตัวจากคนไม่น่าไว้ใจนี่ชะงัก ดรีมส่งยิ้มน้อย ๆ
ราวกับจะบอกว่าเธอไม่รับฟังเหตุผลที่ไม่มีน้ำหนักพอ เด็กหนุ่มผมดำขุดลึกเข้าไปในสมองเพื่อหาเหตุผลดี
ๆ ที่จะกีดกันไม่ให้คนตรงหน้าตามไป
ไล่ไปตรง ๆ ?
ยัยนี่คงจะบอกว่าอยู่กันหลายคนปลอดภัยกว่าแน่ ๆ
บอกว่ากำลังจะไปหาไรส์?
ไม่ ถ้าเป็นแบบนั้นจะตามมามากกว่า
หรือว่า.....
“อย่าคิดข้ออ้างนานสิจ๊ะ
ฉันไม่รอนะ” ดรีมเอ่ยขัด ทำให้นนท์กลับมาจากห้วงความคิด
ดวงตาสีทองหม่นของดรีมยังคงเป็นประกายอ่อนโยน “เอาเถอะจ้ะ
ดูเหมือนพวกเธอจะไม่ชอบฉันเท่าไหร่ ยังไงก็ขอติดไปอาคารหลักกับพวกเธอ
แล้วตอนจะไปชั้น 4 ค่อยแยกทางดีไหมล่ะจ๊ะ?”
ใช่
เนื่องจากเงื่อนไขการชนะเกมที่เพื่อนบอกคือการไปถึงตัวเพื่อนก่อนจะชนะ
ซึ่งเพื่อนคนนั้นอยู่ที่ห้องประชาสัมพันธ์ของอาคารหลัก คอยกระจายเสียง ดังนั้น
ทุกคนจะต้องกำลังหาทางมุ่งไปยังห้องประชาสัมพันธ์แน่ จากจุดที่ทั้งสามคนอยู่คือห้องวิทยาศาสตร์อาคารหลักชั้นสามปีกขวา
ยังไงก็ต้องไปทางเดียวกัน คือเดินไปยังส่วนกลางของอาคารหลัก
แล้วขึ้นบันไดไปห้องประชาสัมพันธ์ชั้น 4 ซึ่งอยู่ติดกับทางขึ้นไปดาดฟ้า
“แยกกัน? จะแยกทำไม
ในเมื่อถ้าไปถึงส่วนกลางแล้วเดินขึ้นไปอีกนิดเดียวก็ถึง ทางขึ้นที่ใกล้ที่สุดก็มีทางเดียว
แถมทางเดินไปยังไงก็มีทางเดียวอยู่แล้วด้วย”
“ตายจริง
นั่นเป็นคำเชิญรึเปล่าจ๊ะ แปลว่าพวกเราไม่ต้องแยกกันก็ได้สินะจ๊ะ ดีจัง”
“อ๊ะ....”
นนท์เพิ่งรู้ตัวว่าพลาดไป ทีนี้เขาก็หมดข้ออ้างโดยสมบูรณ์แล้ว อย่างที่เขาพูดเอง จากห้องวิทยาศาสตร์ถ้าจะไปห้องประชาสัมพันธ์นั้นมีแค่ทางเดียว ไม่มีทางอ้อม ไม่มีทางลัด ถ้าเป้าหมายของทั้งสามคนเป็นห้องประชาสัมพันธ์ ยังไงซะก็ต้องเดินไปเจอกันอยู่ดี จึงไม่มีประโยชน์เอามาก ๆ ถ้าจะแยกกัน ข้ออ้างโดยอิงตัวบุคคลก็ใช้ไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้จักดรีมดีพอ นนท์เดาะลิ้นอย่างอารมณ์เสียเมื่อพลาดท่าติดกับคำพูดของตัวเอง
เขาเดินกระแทกเท้านำไปโดยไม่พูดอะไร
นนท์เกลียดการแพ้ ถึงจะไม่ได้แข่งกันก็เถอะ
แต่การที่เขาเถียงกลับไม่ได้ก็ทำให้อารมณ์เสียเช่นกัน ดรีมเข้าใจความนัยนั้นจึงเดินทอดน่องตามไปอย่างอารมณ์ดี
ทำให้ธัญญ์ที่ตามไม่ทันต้องรีบก้าวเร็ว ๆ ตามไป
“ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ
ฉันเชื่อว่าตัวฉันเองต้องมีประโยชน์กับทั้งสองคนแน่ ๆ”
“อ๋อหรอ เช่น?”
“เช่นสมมติว่าฉันยอมเดินสำรวจห้องแถวนี้
แล้วปล่อยพวกเธอไป ทำให้พวกเธอเกิดพลาดท่าโดนสัตว์ประหลาดในหอประชุมกินไป เสียงกรีดร้องทำให้ฉันรีบวิ่งขึ้นมาดูทันที
แต่ก็สายเกินไป สิ่งที่เหลืออยู่คือก็คือเศษเนื้อที่เคยเป็นพวกเธอและคราบเลือดส่งกลิ่นคลุ้ง....เหตุการณ์นั้นจะไม่เกิดขึ้นไงจ๊ะ”
ดรีมยกตัวอย่างที่สุดโต่งออกมา
ดวงตาสีทองหม่นส่องประกายคล้ายรู้อะไรบางอย่าง ทำให้ธัญญ์ขนลุก
เผลอคิดภาพตามแล้วรู้สึกวูบวาบในท้องชอบกล สถานที่น่าขนลุกแห่งนี้
หากบอกว่ามีสัตว์ประหลาด เธอก็จะเชื่อ ทว่ากับนนท์เขาเลิกคิ้วข้างหนึ่งเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“สัตว์ประหลาด? เหอะ
จะเลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว”
“ตายจริง อย่าบอกนะจ๊ะว่าไม่เชื่อ
เธอทำตามประกาศนั้นทั้งที่ไม่เชื่อหรอ”
“ประกาศน่ะเชื่อ
แต่เรื่องเหนือธรรมชาติน่ะไม่เชื่อ อย่างดีสุด ชั้นคิดว่านี่คงเป็นการเล่นพิเรนทร์อะไรกันของพวกโรคจิตนั่นแหละ
ประเภทที่จับเหยื่อมาทรมานน่ะ พวกเราทำได้แค่เล่นไปตามเกมของมันรอความช่วยเหลือนั่นแหละ”
“ก็แค่สมมติเองจ้ะ แหม
คนที่คิดแบบนั้นมักจะตายเร็วนะจ๊ะ เลิกดีกว่านะ” ดรีมเลื่อนสายตาไปหาธัญญ์
“รวมถึงคนที่กลัวเกินไปด้วยล่ะจ้ะ ตามหนังหรือนิยายนี่ก็ตายพวกแรก ๆ เลยนะจ๊ะ”
“เฮอะ มีปากก็พูดไปเถอะ
ชั้นไม่สนใจหรอก”
“.....”
การสนทนาจบลงแค่นั้น
เพราะความหงุดหงิดของนนท์เพิ่มถึงขีดสุด หากพูดอะไรไม่เข้าหูอีกทีเดียว เขาอาจจะพุ่งเข้ามาต่อยก็ได้
ดรีมจึงสงบปากสงบคำลง รอยยิ้มอ่อนโยนประดับบนใบหน้าจนคนเห็นเริ่มรู้สึกชินชา ธัญญ์ผู้ไม่ค่อยพูดเวลาอยู่กับนนท์อยู่แล้วเดินตามหลังเงียบ
ๆ นัยน์ตาสีหยกจับจ้องกระเป๋าสะพายลายตารางหมากรุกของเด็กสาวสีขาว
ขนาดของมันค่อนข้างใหญ่ กระเป๋าใบนั้นดูพองขึ้นมานิดหน่อย ถ้าจะนึกภาพอย่างเลวร้ายแล้วล่ะก็......
ศีรษะของมนุษย์
เป็นสิ่งที่เก็บเข้ากระเป๋าใบนั้นได้พอดี
ธัญญ์สะบัดหัวไล่จินตนาการอันน่าสยดสยองนั้นออกไป
เป็นไปไม่ได้ หากนำหัวคนมาใส่ ถึงจะพอดี แต่ก็ไม่มีทางปิดซิปได้แน่ ๆ อีกทั้งมันไม่มีเหตุผลเลย
ใครมันจะอุตริเอาหัวคนใส่กระเป๋าแล้วพกไปมา ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคุณค่าอะไรเลย ทว่าธัญญ์ก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น
มีแต่ความรู้สึกกระสับกระส่ายรบกวนจิตใจเท่านั้น
“เอาล่ะ
ถึงหอประชุมแล้ว”
ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลมาก
พวกเขาจึงเดินไปไม่ถึง 5 นาทีก็มาถึง นนท์เอ่ยพลางมองป้ายที่ขึ้นสนิมของ ‘หอประชุมรดาวรรณ’ หอประชุมแห่งนี้เป็นส่วนที่กั้นระหว่างส่วนกลางกับปีกขวา
หากจะเดินไปห้องประชาสัมพันธ์ ยังไงก็ต้องผ่านหอประชุมนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เด็กหนุ่มมองเข้าไปผ่านประตูกระจกขุ่นมัว
ภายในเป็นเก้าอี้และโต๊ะสำหรับนักเรียนกระจายเกลื่อนกลาดเหมือนเพิ่มถูกบุกรุก
สภาพความเละเทะคล้ายถูกจู่โจมด้วยช้างทั้งโขลงทำให้นนท์กลืนน้ำลาย
เขาไม่อยากรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ เพราะเขาไม่อยากถูก อะไร ที่ว่าจัดการจนมีสภาพเดียวกับโต๊ะพวกนั้น
นนท์วางแผนเส้นทางในหัวอย่างใจเย็น
เมื่อไปถึงอีกฝั่งของประตูแค่เลี้ยวซ้าย ขึ้นบันไดแล้วเดินตรงไป
ห้องประชาสัมพันธ์ก็จะอยู่ตรงหน้าทันที ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย
“ง่ายเกินไปรึเปล่าจ๊ะ”
ดรีมแทรกขึ้น “เดินไปเรื่อย ๆ
ก็ถึงห้องประชาสัมพันธ์....กับคนที่ลักพาตัวพวกเรามากันตั้งหลายคน
จะปล่อยให้เข้าไป เหมือนกับบอกว่าเอาชัยชนะไปได้เลยจ้ะ แบบนี้หรอ?”
ใช่...
ธัญญ์เห็นด้วยกับดรีม ไม่ใช่ว่าไม่ชอบที่มันจะง่ายแบบนั้น
แต่เธอรู้สึกว่าบางอย่างมันไม่ถูกต้อง
“ถ้าเธอหุบปากซะก็ไม่มีใครว่าเป็นใบ้หรอกนะจะใส่ใจทำไม
แค่รีบ ๆ ไปแล้วชนะให้ได้ก็พอ บางทีไอ้บ้านั่นอาจจะเป็นไบโพล่า
นึกอยากให้เราชนะเฉย ๆ ก็ได้ ยังไงก็ช่าง ชั้นอยากออกไปจากที่บ้า ๆ นี่เต็มทีแล้ว
อีกอย่าง เรามีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าไปด้วยหรอ”
นนท์มองแบบโกรธ ๆ
ทำให้ดรีมยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหมือนจะบอกว่ายอมแพ้ก็ได้
แม้จะยังรู้สึกงุ่นง่าน
แต่เมื่อไร้ตัวขัดขวางนนท์จึงกลั้นใจ เปิดประตูออกโดยไร้เสียง
กลิ่นเหม็นคาวปนกับความชื้นและอากาศไหลเข้ามา ทำให้ธัญญ์ขนลุกซู่ กลิ่นที่นำพาความไม่สบายใจมานั้นลอยปนในอากาศอับ
ๆ ที่มีกลิ่นเน่าจนแทบอาเจียน ธัญญ์หันไปยังกระถางต้นไม้ที่ไม่มีอะไรแล้วอ้วกออกไป
ดรีมช่วยลูบหลังให้เบา ๆ อย่างมีน้ำใจ นนท์เมินสิ่งนั้นแล้วก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เท้าสัมผัสพื้นดิน เด็กหนุ่มก็รู้สึกถึงความผิดปกติ
แฉะ
พื้นดินเปียกชื้น
มีกลิ่นของปุ๋ยและสนิมเหล็กลอยตลบ เสียงฝนเข้าจู่โจมจากรอบทิศ ตามด้วยฟ้าผ่า
จากนั้นดวงตาสีดำจึงปรับสภาพและเห็นสีเขียวชอุ่มรายล้อมตัวเอง ฝนเทลงบนตัวเขาจนเปียกชุ่ม
และชะล้างสีแดงที่ปลายเท้าออกไป พริบตานั้น
สมองของเด็กหนุ่มเหมือนหยุดประมวลผลไปชั่วคราว ความไม่เข้าใจถาโถมเข้ามา
สวน....พอเพียง.....
สวนกลางแจ้งที่ชั้นหนึ่งของโรงเรียน
อยู่ห่างจากอาคารหลังไปอีกเกือบห้ากิโล มีไว้เพื่อเรียนวิชาการเกษตร เรื่องนั้นเข้าใจได้
แต่ที่เข้าใจไม่ได้คือการเข้ามาที่นี่ในพริบตา ทั้งที่ปกติต้องนั่งวินมอไซด์เข้าไป!
นนท์หันหลังกลับไปมอง ประตูรั้วเหล็กของเปิดอ้า
ภาพที่อีกฝั่งเป็นภาพของทางเดินชั้นสามถูกแบ่งไว้เหมือนเอาฉากมาวางทับ ทิวทัศน์ที่ตัดกันอย่างชัดเจนนั้นมีสัมผัสของความจริงเลือนรางเหลือเกิน
ดวงตาสีดำที่เบิกกว้างถึงขีดสุดถูกสะท้อนด้วยม่านตาสีทองหม่นของเด็กสาวสีขาว
ดรีมวางท่ามองเขาด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนเช่นทุกครั้ง
ไร้วี่แววของอาการตกใจบนใบหน้านั้น เธอพูดราวกับเป็นเรื่องสามัญทั่วไป
“อ้อ เริ่มแล้วสินะจ๊ะ”
“เธอรู้อะไรอย่างนั้นหรอ!!”
นนท์ตะโกนแข่งกับสายฝน เขาโกรธอีกแล้ว
แต่คราวนี้โมโหจนรู้สึกปวดจี๊ดที่หัว เพียงแต่ดรีมส่ายหน้า ยิ้มให้คล้ายกำลังมองสิ่งมีชีวิตที่น่าเวทนาที่สุด
รอยยิ้มที่เหมือนกำลังมองลิงหน้าโง่นั่นยิ่งจุดไฟให้นนท์ยิ่งเดือด
ยัยนี่จงใจปกปิดบางอย่างกับเขา!!!
“นี่เป็นอีกโลกหนึ่ง
เส้นทาง สภาพแวดล้อม รวมถึงสิ่งมีชีวิตย่อมแตกต่างกัน
เส้นทางในโรงเรียนนี้ถูกปรับเปลี่ยน ดังนั้นการเดินเข้าห้องหนึ่ง
เธออาจจะไปโผล่อีกห้องหนึ่งของอีกตึกก็ได้ นั่นคือความพิเศษหนึ่งของมิตินี้”
ดรีมยิ้มอย่างไม่ยี่หระ
“เขา-วง-กต
น่ะจ้ะ”
“!!”
นนท์เข้าใจในที่สุด
ความจริงแล้วรอยยิ้มของดรีมไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
มีเพียงนนท์เท่านั้นที่รู้สึกว่ามันบิดเบี้ยวไปมา เขาโกรธจนหัวร้อนเป็นไฟ
แต่ก็ถูกสายฝนเย็นเยียบสาดเข้าใส่อย่างไร้ความปรานีจนทำให้รู้สึกเหมือนเป็นไข้ เด็กสาวสีขาวเพียงแค่คืนชีพคำพูดของเพื่อนเท่านั้น
เธอไม่ได้ทำอะไรยิ่งใหญ่เลย แต่นนท์กลับรู้สึกราวกับเธอเพิ่งขว้างมีดใส่เขา
จึงจ้องมองอย่างดุร้าย เด็กหนุ่มประคองร่างตัวเองเดินกลับไปที่ประตู น่าแปลก
เมื่อกี้เขาเดินออกมาได้แค่ก้าวเดียวเท่านั้น ทำไมตอนเดินกลับประตูถึงอยู่ไกลขึ้น
“เจ๊นนท์!!!”
เสียงหวีดร้องของธัญญ์ถูกฝนกลบไปหมด
นนท์เหยียบอะไรบางอย่างแล้วล้มลง เขาสบถแล้วพยายามลุกขึ้นยืน
แต่ฝนตกลงมาห่าใหญ่เหมือนอยากจะกดเขาไว้แบบนั้น
หูที่อื้ออึงของเขาได้ยินเสียงบางอย่าง เขามองเห็นใบหน้าของเด็กสาวทั้งสองไกลออกไป
ก่อนจะค้นพบความจริงบางอย่าง
ไม่ได้คิดไปเอง....
พื้นกำลังเลื่อนถอยหลัง!!
นนท์ตกใจสุดขีด
ทิวทัศน์เบื้องหน้าถูกจับยืดจนระยะห่างระหว่างเขาและประตูเพิ่มมากขึ้น นนท์ตะเกียกตะกายคลานขึ้นไปข้างหน้า
พอลุกขึ้นวิ่งก็ไม่ขยับไปไหนเลย เหมือนวิ่งอยู่บนสายพาน เขาสูดอากาศที่มีน้ำฝนเข้าไปจนสำลักและล้มลงอีกครั้ง
คราวนี้ธัญญ์ป้องปากตะโกนอะไรบางอย่างอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนดรีมยังคงยิ้ม
หากแต่รอยยิ้มนั้นดูเกร็ง ๆ อย่างบอกไม่ถูก เขาพยายามอ่านปากของเด็กสาว
ข้าง...หลัง...?
นนท์หันกลับไป
ดวงตาสีดำเบิกตากว้างเหมือนจะฉีกออก ทั้งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ต้นไม้ส่งเสียงแหลมสูงจนแก้วหูเขาแทบฉีก
นนท์รู้สึกว่าเสียงของฝนหายไป ส่วนเด็กสาวอีกฝั่งเห็นว่าของเหลวสีแดงไหลออกมาจากหูทั้งสองข้างและนนท์ได้ล้มลง
ธัญญ์เอามือปิดปาก ทรุดตัวลงอย่างไม่รู้จะทำยังไง
ส่วนดรีมกำลังค้นอะไรบางอย่างในกระเป๋าสะพาย
“อ๊ากกกกกกกก!!!!”
เมื่อความเจ็บปวดแล่นปราดเข้ามา
นนท์จึงกรีดร้องแล้วกุมหูทั้งสองข้างเอาไว้ ทั้งดรีมและธัญญ์ไม่ได้รับผลกระทบจากเสียงต้นไม้นั้นจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนนท์
และไม่ได้สนใจด้วย ที่อยู่ในสายตาของทั้งสอง เห็นจะมีเพียงสิ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังของนนท์
สัตว์ประหลาด ที่สูงเท่าเอว
หน้าตาเหมือนกบตัวใหญ่แต่มีท่อนขาเหมือนมนุษย์ ทั้งที่ไม่ได้มีสีสันสดใส
แต่กลับมีบรรยากาศว่าอันตรายและมีพิษ ธัญญ์กลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ มันยังไม่ได้ขยับตัว
เอาแต่พองตัวและจ้องมองนนท์ที่ดิ้นไปหาด้วยความเจ็บปวด
พริบตาที่ธัญญ์เอามือปิดปากหน้าซีดเผือด มันก็กระโดดทีเดียวมาหยุดอยู่ตรงหน้านนท์
ดวงตาสีทองวาววับมีม่านตาสีดำเรียวมองอย่างใคร่รู้
มันพองตัวอีกครั้งก่อนจะเอ่ยเสียงแหบแห้งให้ได้ยินกันทั้งสามคน
“ฝนตกฟ้าร้อง”
เสียงเหมือนชายชราพูดคล้ายร้องเพลง
ทำให้นนท์ฉงน ทั้งที่เขาไม่ได้ยินเสียงฝนแล้ว
แต่เสียงสัตว์ประหลาดตรงหน้ากลับชัดเจนเหมือนไหลเข้าสู่สมองโดยตรง เข็มน้ำเป็นพันเล่มยังคงทิ่มแทงเข้าไปในตัวเขา
มนุษย์กบเอียงอย่างพิจารณา เหมือนรออะไรบางอย่าง
WB : จริง ๆ บทนี้กับบทที่ 6 มันเป็นบทเดียวกันค่ะ แต่แต่งไปแต่งมา ว้าย จะ 200%
แล้ว แบ่งเถอะ๕๕๕ เอาเป็นว่าจะรีบปั่นบทต่อไปมาลงเร็ว ๆ นะคะ
คาแรกเตอร์ดรีมค่ะ
เป็นตัวละครที่เติมทรูมาเยอะจริม ๆ
ภาพประกอบตอนนี้โคตรขยัน เปิดโมเดลมานั่งจิ้มวาด วาดเสร็จได้แต่ถามตัวเองว่าเพื่ออะไร๕๕๕ ถ้าไม่ขี้เกียจ ตอนหน้าคงตัดเส้นอีกนะคะ ไว้เจอกันค่ะ บัย
Theme : OWEN - THEME
ความคิดเห็น