ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    RE;My Best Friend

    ลำดับตอนที่ #5 : My Best Friend 5 : Outlying

    • อัปเดตล่าสุด 12 มิ.ย. 60


    My Best Friend

    5

    Outlying ; นอกทาง

    “ มีเหตุผลอะไรที่ต้องปฏิเสธหรอจ๊ะ? ”

     

     

     

    เด็กสาวสีขาวระบายรอยยิ้มจาง ๆ  ดวงตาสีทองหม่นคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน ร่างของเธอดูราวกับถูกห่อหุ้มด้วยแสงสว่าง ตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็น ก็รู้สึกได้ทันทีว่าเธอนั้นเป็นมิตร

     

    สัมภาระที่ติดตัวเธอ มีเพียงกระเป๋าสะพายกระเป๋าสะพายที่ดูหนักใบหนึ่งเท่านั้น

     

    เธอยิ้มและยืนพิงกำแพงราวกับกำลังรอใครบางคนที่จะผ่านมาอยู่นานแล้ว เมื่อมีคนเดินผ่านมาดังต้องการจึงไม่รีรอที่จะส่งยิ้มและทักทายทันที

     

    “สวัสดีจ้ะ นนท์ ธัญญ์”

     

    “.....”

     

    ทั้งนนท์และธัญญ์ชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงหวานปานน้ำผึ้งนั้น ดวงตาสีหยกของธัญญ์เหลือบมองคนตรงหน้าที่ใส่ชุดนักเรียนแบบเดียวกับตน นักเรียนมารีอาน่าคอนแวนต์? แต่ดูเหมือนจะเปิดเรื่องยุ่งยากใจบางอย่าง ธัญญ์จึงขมวดคิ้วเป็นปม

     

    “คนรู้จักเธอ?”

     

    “รู้จักที่ไหนล่ะ เรานึกว่าเป็นเพื่อนเจ๊ซะอีก เห็นเรียกชื่อเจ๊นี่.....”

     

    “จะบ้าหรอ เขาก็เรียกเธอด้วยนี่ อีกอย่างนั่นก็ชุดโรงเรียนเธอ”

     

    “คุยอะไรกันจ๊ะ?”

     

    ทั้งสองสะดุ้งโหยงอีกครั้ง ทั้งที่คนตรงหน้าไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามอะไรเลย เธอถามด้วยน้ำเสียงออกจะเป็นห่วงด้วยซ้ำที่พวกเขาซุบซิบคุยกัน ร่างสีขาวขยับเข้าใกล้ ทว่าพวกนนท์ถอยหนี เธอจึงชะงัก ธัญญ์พยายามนึกอย่างเอาเป็นเอาตายว่าไปรู้จักเด็กสาวคนนี้มาจากไหน แต่ความทรงจำทั้งหมดทั้งม.ต้นและม.ปลาย ไม่มีหน้าของเธอเลยสักนิด เธอมุ่นคิ้วด้วยความระแวง ก่อนที่สายตาจะเลื่อนลงไปเห็นคราบสีคล้ำช่วงท้องของอีกฝ่าย

     

    “เธอบาดเจ็บ!”

     

    “เอ๊ะ? อ๋อ นี่หรอ....ไม่เป็นไรจ้ะ แค่ถูกลวดเกี่ยวนิดหน่อยน่ะ แต่แผลไม่ลึกมาก ไม่ต้องกังวลหรอกจ้ะ”

     

    หยดเลือดแผ่ออกไปบนเสื้อสีครีมชวนให้นึกถึงประจำเดือน พอมองดูดี ๆ เลือดพวกนั้นแห้งหมด แผลคงผ่านไปนานจนปิดแล้ว ท่าทางของเธอดูสบายดีจริง ๆ จึงคิดได้ว่านั่นคงเป็นแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ จริง ๆ นนท์เหลือบมองใบหน้าของเด็กคนนั้น เธอยังคงยิ้ม แม้จะเป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยน แต่มันชวนให้รู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ

     

    “พวกเธอกำลังจะไปห้องประชาสัมพันธ์ใช่ไหม? ฉันกำลังจะไปที่นั่นพอดี พวกเราไปด้วยกันเถอะจ้ะ”

     

    “ก่อนอื่นเลยนะ เธอเป็นใคร?

     

    ใบหน้าสะสวยไม่เกิดอาการหวั่นไหวใด ยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนโดยไม่เปลี่ยนแปลง แต่ดวงตาสีทองหม่นก่อประกายความไม่เข้าใจขึ้นมาช้า ๆ เธอขมวดคิ้วทั้งที่ยังยิ้ม ยิ้มทั้งที่ความสงสัยเกิดขึ้นเต็มใบหน้า

     

    ล้อเล่นอะไรกันจ๊ะ ฉันเองไง?”

     

    “....”

     

    “เดี๋ยวสิ พวกเธอจำฉันไม่ได้จริง ๆ หรอจ๊ะ? ฉันดรีมไง”

     

    ดรีมเอียงคอน้อย ๆ แล้วชี้ตัวเอง ทว่าการกระทำนั้นไม่ได้ทำให้อีกสองคนบนทางเดินแห่งนี้เปลี่ยนท่าทีเลย พวกเขากลับยิ่งขมวดคิ้วเมื่อได้ยินชื่อไม่คุ้นหู ดรีมมองพวกเขาเหมือนเจอเรื่องเหลือเชื่อ ทว่าริมฝีปากยังคงวาดรูปโค้งอย่างงดงาม ดวงตาของเธออ่อนลงเล็กน้อย ก่อนจะถักทอคำพูดเสียงอ่อนหวาน

     

    “ที่เคยเรียนม.ต้นรดาวรรณห้องเดียวกับนาโนไงจ๊ะ? ฉันย้ายไปมารีอาน่าคอนแวนต์ตอนม.ปลายเหมือนพวกเธอ แต่อยู่คนละห้องน่ะ ฉันอยู่ศิลป์ฝรั่งเศส ส่วนเธอกับเอวาอยู่ห้องวิทย์-คณิต เราแทบไม่ได้คุยกันเลยที่นั่น แล้วฉันก็ไม่สนิทกับเธอน่ะ พอจะคุ้น ๆ รึยังจ๊ะ?”

     

    ธัญญ์ส่ายหน้า

     

    จริงอยู่ที่เด็กสาวคนนี้มีความรู้สึกชวนให้คุ้นเคยอย่างน่าประหลาด แต่ไม่ว่าจะขุดลึกลงไปส่วนไหนของความทรงจำ ก็ไม่พบเธอเลย เด็กสาวที่มีใบหน้างดงามราวกับภาพวาด ถึงจะแตกต่างกับความงามอันรุนแรงของนาโน แต่เธอไม่มีทางลืมเด็กสาวที่งดงามขนาดนี้ได้หรอก แม้จะไม่เคยคุยกันเลยก็ตามที

     

    แต่หรือว่าเธอจะแค่จำไม่ได้จริง ๆ เพราะเธอเป็นเพื่อนกับเอวาและไรส์อีกที จึงไม่ได้รู้จักทุกคนในกลุ่มของนาโน พูดง่าย ๆ ก็เป็นเพื่อนของเพื่อนนั่นแหละ ธัญญ์เริ่มสับสน เมื่อเห็นแบบนั้น ดรีมจึงหันไปหานนท์แทน

     

    “แล้วเธอล่ะจ๊ะนนท์? เราอยู่ห้องเดียวกันนะ”

     

    “ไม่ ชั้นไม่เห็นจำได้ว่ารู้จักคนแบบเธอ”

     

    นนท์มีปฏิกิริยาแบบเดียวกับธัญญ์ทำให้ดรีมทำสีหน้าครุ่นคิด นนท์มองอีกฝ่ายที่ทำตัวสบาย ๆ เหมือนทุกอย่างไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแล้วรู้สึกหงุดหงิดแปลก ๆ เพราะท่าทางนั้นมันดูเกินจริงไปหมดเหมือนจงใจแสดงละคร คำพูดคำจาที่มีจ๊ะมีจ๋าตลอดเวลานั่นอีก อยากจะทิ้ง ๆ เธอไว้แถวนี้ซะ แต่เขาเองก็รู้สึกเหมือนธัญญ์ คือคุ้น ๆ กับเด็กสาวคนนี้ แต่นึกไม่ออก บางทีเธออาจจะเป็นเพื่อนพวกเขาจริง ๆ ก็ได้ เพราะตอนนี้ความทรงจำเขาหายไปบางส่วน นั่นคือเขาจำเรื่องก่อนตกลงมาที่นี่ไม่ได้เลยสักนิด ดรีมเองก็คงเป็นหนึ่งในความทรงจำเหล่านั้น

     

    “ก็ได้ ชั้นจะเชื่อเธอ แต่มีข้อแม้ว่าเธอต้องตอบคำถามนี้ให้ถูก ถ้าไม่ ก็ไปให้ห่างจากพวกเราซะ”

     

    “เอ หวังว่าคำถามจะไม่ยากเกินไปนะจ๊ะ”

     

    “ไม่ยากหรอก” นนท์หรี่ตา “ถ้าเป็นเพื่อนกันจริงน่าจะรู้คำตอบ”

     

    “อื้ม งั้นก็รบกวนด้วยนะจ๊ะ”

     

    “ข้อแรก.... คนที่ยกพวกไปมีเรื่องกับเด็กช่างแถวโรงเรียนเรา จนทำให้มีทหารมาเฝ้าถึงโรงเรียนคือใคร?”

     

    “แหม เกมนี่สุดยอดจริง ๆ นะจ๊ะ ไม่ถูกครูจับได้ด้วยนี่นะ ฉันล่ะนับถือเลย คิก ๆ”

     

    ดรีมหัวเราะป้องปากอย่างมีมารยาท ส่วนนนท์พยักหน้าช้า ๆ  นี่เป็นเรื่องทั่วไปอยู่แล้ว คนปกติก็น่าจะรู้ เพราะเกมทำตัวเหมือนเด็กมีปัญหาตลอดเวลา ทั้งชกต่อย โดดเรียน บางทีก็ทำลายข้าวของ นอกจากสิ่งเสพติดแล้วก็ดูเหมือนจะเป็นศูนย์รวมเรื่องแย่ ๆ ทุกอย่าง ชนิดที่ว่าไม่ต้องอยู่กลุ่มเดียวกันยังรู้ ขนาดเขาที่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยสนิทกับพวกนาโนแล้วยังรู้เลย นนท์จึงเลือกคำถามต่อไปให้ยากขึ้นอีก

     

    “ข้อสอง คนที่ไปเล่นม้าหมุนเด็กตอนนัดเจอกันเมื่อสามเดือนที่แล้วคือ?”

     

    “อืม... ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นบอส เอวา แล้วก็เบสท์นะจ๊ะ เอ๊ะ ว่าแต่เธอไม่ได้ไปนี่นา แล้วรู้ได้ไงน่ะ” นนท์เมินคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบอย่างจริงจังนั้นไป ดรีมตอบได้ถูกเป็นครั้งที่สอง

     

    “คำถามที่สาม....”

     

    “เอ มีกี่คำถามกันจ๊ะ จะมีเยอะมีน้อยน่ะไม่ได้ใส่ใจหรอก แต่ว่ามันเสียเวลาน่ะสิจ๊ะ?”

     

    “ก็สามนั่นแหละ นี่ถามข้อสุดท้ายแล้ว” นนท์กอดอกทำท่าไม่พอใจ “ข้อสุดท้าย เธอไม่ชอบใครที่สุดในกลุ่ม?”

     

    ดรีมชะงักไป ที่จริงนนท์เชื่อตั้งแต่คำถามที่สองแล้ว เพราะที่นัดกันไปวันนั้นมีแค่กลุ่มเพื่อนสนิท ๆ ของนาโนเท่านั้น หากไม่ไปก็ไม่มีทางรู้ว่ามีใครมันอุตริขึ้นไปเล่นม้าหมุนกันบ้าง เพราะงานวันนั้นเป็นวันเดียวที่ไม่ลงรูปย้อนหลัง แถมเธอยังตอบชื่อทั้งสามคนได้ถูกต้อง แสดงว่าเธอเป็นคนในจริง ๆ คงมีเหตุผลบางอย่างทำให้ลืมเธอไป แต่ถึงกระนั้นนนท์ก็ยังไม่รู้สึกวางใจ จึงถามคำถามสุดท้ายเป็นการลองเชิง

     

    จะตอบว่าอะไรกัน

     

    ไม่เกลียดใครเลย? เป็นไปไม่ได้ ยิ่งกลุ่มใหญ่ยิ่งต้องมีการไม่ถูกกันบ้าง ถึงจะเล็กน้อยก็ตามที ขนาดนาโนยังไม่ชอบขี้หน้าเพื่อนบางคนในกลุ่มเลย แต่เอาเถอะไม่ได้คาดหวังอะไรมากหรอก แค่ตอบมาสักชื่อก็พอ และชื่อนั้นต้องไม่ใช่ชื่อเรา เพราะถ้าเป็นแบบนั้นแปลว่า ยัยนี่คิดจะหาโอกาสเล่นงานเราแน่ ๆ ปัญหาคือตอนนี้เราต้องมองให้ออกว่ายัยนี่ไม่ได้โกหก

     

    “คนที่ไม่ชอบ...ไม่มีหรอกจ้ะ”

     

    “จะเป็นไปได้ไง เอาคนที่ชอบน้อยที่สุดก็.....”

     

    “มีแต่คนที่เกลียดน่ะจ้ะ”

     

    วูบ

     

    นนท์รู้สึกถึงสายลมที่วูบผ่านไป แต่คงจะคิดไปเองนั่นแหละ หน้าต่างยังคงปิดอยู่ทุกบาน อากาศที่ตกค้างอยู่ไม่มีทางที่จะหมุนเวียนได้ ทว่าเขาไม่อาจลบความรู้สึกที่วูบผ่านร่างกายเมื่อครู่ไปได้เลย มันไหลผ่านทั่วร่างกายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงความเย็นเยือกเหมือนถูกจับโยนลงไปในน้ำแข็ง เขารู้สึกถึงสังหรณ์ร้ายบางอย่างที่คืบคลานไปบนแผ่นหลัง แต่ก็กลั้นใจถามไป

     

    “.....ใคร.....”

     

    ดรีมยิ้มให้คำถามนั้นอย่างใจดี ธัญญ์มองเด็กสาวคนนั้นด้วยความรู้สึกแบบเดียวกับนนท์ หากแต่สิ่งที่แตกต่างคือ เธอรู้ว่าความวูบไหลที่ผ่านไปนั้นคืออะไร....สิ่งนั้นถูกเรียกให้เข้าใจโดยทั่วไปว่า จิตสังหาร ธัญญ์เผลอกลืนน้ำลาย แม้จะแค่ชั่วพริบตา แต่ดรีมได้ส่งเจตนาออกมาแล้วว่า อยากจะให้มันตาย ชื่อของคนที่ถูกเกลียดระดับนี้ คือใครกัน

     

    ไรส์

     

    ธัญญ์แทบกลั้นหายใจ รอยยิ้มของดรีมไร้ซึ่งการสั่นไหว มันคงอยู่บนใบหน้าราวกับแปะไว้ แม้ยามเอ่ยนามคนที่เกลียดก็ยังคงสมบูรณ์แบบ ทว่ายิ่งมันดูอ่อนโยนมากเท่าไหร่ กลับยิ่งรู้สึกถึงความบิดเบี้ยวมากเท่านั้น เด็กสาวผมหยกสัมผัสได้ถึงความบ้าคลั่งบางอย่างที่ไม่อาจพิสูจน์จากร่างสีขาวตรงหน้า เธออยากจะหันไปหานนท์เพื่อบอกว่าเธอคนนี้อันตราย แต่ดูเหมือนนนท์จะรู้อยู่ก่อนแล้ว

     

    “งั้นหรอ ขอโทษด้วยนะ พวกชั้น....”

     

    “มีเหตุผลอะไรที่ต้องปฏิเสธหรอจ๊ะ?”

     

    ดรีมดักถ้อยคำปฏิเสธของอีกฝ่ายทันควัน นนท์ที่กำลังคิดข้ออ้างเพื่อปลีกตัวจากคนไม่น่าไว้ใจนี่ชะงัก ดรีมส่งยิ้มน้อย ๆ ราวกับจะบอกว่าเธอไม่รับฟังเหตุผลที่ไม่มีน้ำหนักพอ เด็กหนุ่มผมดำขุดลึกเข้าไปในสมองเพื่อหาเหตุผลดี ๆ ที่จะกีดกันไม่ให้คนตรงหน้าตามไป

     

     ไล่ไปตรง ๆ ? ยัยนี่คงจะบอกว่าอยู่กันหลายคนปลอดภัยกว่าแน่ ๆ

     

    บอกว่ากำลังจะไปหาไรส์? ไม่ ถ้าเป็นแบบนั้นจะตามมามากกว่า

     

    หรือว่า.....

     

    “อย่าคิดข้ออ้างนานสิจ๊ะ ฉันไม่รอนะ” ดรีมเอ่ยขัด ทำให้นนท์กลับมาจากห้วงความคิด ดวงตาสีทองหม่นของดรีมยังคงเป็นประกายอ่อนโยน “เอาเถอะจ้ะ ดูเหมือนพวกเธอจะไม่ชอบฉันเท่าไหร่ ยังไงก็ขอติดไปอาคารหลักกับพวกเธอ แล้วตอนจะไปชั้น 4 ค่อยแยกทางดีไหมล่ะจ๊ะ?”

     

    ใช่ เนื่องจากเงื่อนไขการชนะเกมที่เพื่อนบอกคือการไปถึงตัวเพื่อนก่อนจะชนะ ซึ่งเพื่อนคนนั้นอยู่ที่ห้องประชาสัมพันธ์ของอาคารหลัก คอยกระจายเสียง ดังนั้น ทุกคนจะต้องกำลังหาทางมุ่งไปยังห้องประชาสัมพันธ์แน่ จากจุดที่ทั้งสามคนอยู่คือห้องวิทยาศาสตร์อาคารหลักชั้นสามปีกขวา ยังไงก็ต้องไปทางเดียวกัน คือเดินไปยังส่วนกลางของอาคารหลัก แล้วขึ้นบันไดไปห้องประชาสัมพันธ์ชั้น 4 ซึ่งอยู่ติดกับทางขึ้นไปดาดฟ้า

     

    “แยกกัน? จะแยกทำไม ในเมื่อถ้าไปถึงส่วนกลางแล้วเดินขึ้นไปอีกนิดเดียวก็ถึง ทางขึ้นที่ใกล้ที่สุดก็มีทางเดียว แถมทางเดินไปยังไงก็มีทางเดียวอยู่แล้วด้วย”

     

    “ตายจริง นั่นเป็นคำเชิญรึเปล่าจ๊ะ แปลว่าพวกเราไม่ต้องแยกกันก็ได้สินะจ๊ะ ดีจัง”

     

    “อ๊ะ....”


    นนท์เพิ่งรู้ตัวว่าพลาดไป ทีนี้เขาก็หมดข้ออ้างโดยสมบูรณ์แล้ว อย่างที่เขาพูดเอง จากห้องวิทยาศาสตร์ถ้าจะไปห้องประชาสัมพันธ์นั้นมีแค่ทางเดียว ไม่มีทางอ้อม ไม่มีทางลัด ถ้าเป้าหมายของทั้งสามคนเป็นห้องประชาสัมพันธ์ ยังไงซะก็ต้องเดินไปเจอกันอยู่ดี จึงไม่มีประโยชน์เอามาก ๆ ถ้าจะแยกกัน ข้ออ้างโดยอิงตัวบุคคลก็ใช้ไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้จักดรีมดีพอ นนท์เดาะลิ้นอย่างอารมณ์เสียเมื่อพลาดท่าติดกับคำพูดของตัวเอง

     

     

     

    เขาเดินกระแทกเท้านำไปโดยไม่พูดอะไร นนท์เกลียดการแพ้ ถึงจะไม่ได้แข่งกันก็เถอะ แต่การที่เขาเถียงกลับไม่ได้ก็ทำให้อารมณ์เสียเช่นกัน ดรีมเข้าใจความนัยนั้นจึงเดินทอดน่องตามไปอย่างอารมณ์ดี ทำให้ธัญญ์ที่ตามไม่ทันต้องรีบก้าวเร็ว ๆ ตามไป

     

    “ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ ฉันเชื่อว่าตัวฉันเองต้องมีประโยชน์กับทั้งสองคนแน่ ๆ”

     

    “อ๋อหรอ เช่น?”

     

    “เช่นสมมติว่าฉันยอมเดินสำรวจห้องแถวนี้ แล้วปล่อยพวกเธอไป ทำให้พวกเธอเกิดพลาดท่าโดนสัตว์ประหลาดในหอประชุมกินไป เสียงกรีดร้องทำให้ฉันรีบวิ่งขึ้นมาดูทันที แต่ก็สายเกินไป สิ่งที่เหลืออยู่คือก็คือเศษเนื้อที่เคยเป็นพวกเธอและคราบเลือดส่งกลิ่นคลุ้ง....เหตุการณ์นั้นจะไม่เกิดขึ้นไงจ๊ะ”

     

    ดรีมยกตัวอย่างที่สุดโต่งออกมา ดวงตาสีทองหม่นส่องประกายคล้ายรู้อะไรบางอย่าง ทำให้ธัญญ์ขนลุก เผลอคิดภาพตามแล้วรู้สึกวูบวาบในท้องชอบกล สถานที่น่าขนลุกแห่งนี้ หากบอกว่ามีสัตว์ประหลาด เธอก็จะเชื่อ ทว่ากับนนท์เขาเลิกคิ้วข้างหนึ่งเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

     

    “สัตว์ประหลาด? เหอะ จะเลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว”

     

    “ตายจริง อย่าบอกนะจ๊ะว่าไม่เชื่อ เธอทำตามประกาศนั้นทั้งที่ไม่เชื่อหรอ”

     

    “ประกาศน่ะเชื่อ แต่เรื่องเหนือธรรมชาติน่ะไม่เชื่อ อย่างดีสุด ชั้นคิดว่านี่คงเป็นการเล่นพิเรนทร์อะไรกันของพวกโรคจิตนั่นแหละ ประเภทที่จับเหยื่อมาทรมานน่ะ พวกเราทำได้แค่เล่นไปตามเกมของมันรอความช่วยเหลือนั่นแหละ”

     

    “ก็แค่สมมติเองจ้ะ แหม คนที่คิดแบบนั้นมักจะตายเร็วนะจ๊ะ เลิกดีกว่านะ” ดรีมเลื่อนสายตาไปหาธัญญ์ “รวมถึงคนที่กลัวเกินไปด้วยล่ะจ้ะ ตามหนังหรือนิยายนี่ก็ตายพวกแรก ๆ เลยนะจ๊ะ”

     

    “เฮอะ มีปากก็พูดไปเถอะ ชั้นไม่สนใจหรอก”

     

    “.....”

     

    การสนทนาจบลงแค่นั้น เพราะความหงุดหงิดของนนท์เพิ่มถึงขีดสุด หากพูดอะไรไม่เข้าหูอีกทีเดียว เขาอาจจะพุ่งเข้ามาต่อยก็ได้ ดรีมจึงสงบปากสงบคำลง รอยยิ้มอ่อนโยนประดับบนใบหน้าจนคนเห็นเริ่มรู้สึกชินชา ธัญญ์ผู้ไม่ค่อยพูดเวลาอยู่กับนนท์อยู่แล้วเดินตามหลังเงียบ ๆ นัยน์ตาสีหยกจับจ้องกระเป๋าสะพายลายตารางหมากรุกของเด็กสาวสีขาว ขนาดของมันค่อนข้างใหญ่ กระเป๋าใบนั้นดูพองขึ้นมานิดหน่อย ถ้าจะนึกภาพอย่างเลวร้ายแล้วล่ะก็......

     

    ศีรษะของมนุษย์ เป็นสิ่งที่เก็บเข้ากระเป๋าใบนั้นได้พอดี

     

    ธัญญ์สะบัดหัวไล่จินตนาการอันน่าสยดสยองนั้นออกไป เป็นไปไม่ได้ หากนำหัวคนมาใส่ ถึงจะพอดี แต่ก็ไม่มีทางปิดซิปได้แน่ ๆ อีกทั้งมันไม่มีเหตุผลเลย ใครมันจะอุตริเอาหัวคนใส่กระเป๋าแล้วพกไปมา ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคุณค่าอะไรเลย ทว่าธัญญ์ก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น มีแต่ความรู้สึกกระสับกระส่ายรบกวนจิตใจเท่านั้น

     

    “เอาล่ะ ถึงหอประชุมแล้ว”

     

    ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลมาก พวกเขาจึงเดินไปไม่ถึง 5 นาทีก็มาถึง นนท์เอ่ยพลางมองป้ายที่ขึ้นสนิมของ หอประชุมรดาวรรณ หอประชุมแห่งนี้เป็นส่วนที่กั้นระหว่างส่วนกลางกับปีกขวา หากจะเดินไปห้องประชาสัมพันธ์ ยังไงก็ต้องผ่านหอประชุมนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เด็กหนุ่มมองเข้าไปผ่านประตูกระจกขุ่นมัว ภายในเป็นเก้าอี้และโต๊ะสำหรับนักเรียนกระจายเกลื่อนกลาดเหมือนเพิ่มถูกบุกรุก สภาพความเละเทะคล้ายถูกจู่โจมด้วยช้างทั้งโขลงทำให้นนท์กลืนน้ำลาย เขาไม่อยากรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ เพราะเขาไม่อยากถูก อะไร ที่ว่าจัดการจนมีสภาพเดียวกับโต๊ะพวกนั้น

     

    นนท์วางแผนเส้นทางในหัวอย่างใจเย็น เมื่อไปถึงอีกฝั่งของประตูแค่เลี้ยวซ้าย ขึ้นบันไดแล้วเดินตรงไป ห้องประชาสัมพันธ์ก็จะอยู่ตรงหน้าทันที ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย

     

    “ง่ายเกินไปรึเปล่าจ๊ะ” ดรีมแทรกขึ้น “เดินไปเรื่อย ๆ ก็ถึงห้องประชาสัมพันธ์....กับคนที่ลักพาตัวพวกเรามากันตั้งหลายคน จะปล่อยให้เข้าไป เหมือนกับบอกว่าเอาชัยชนะไปได้เลยจ้ะ แบบนี้หรอ?”

     

    ใช่... ธัญญ์เห็นด้วยกับดรีม ไม่ใช่ว่าไม่ชอบที่มันจะง่ายแบบนั้น แต่เธอรู้สึกว่าบางอย่างมันไม่ถูกต้อง

     

    “ถ้าเธอหุบปากซะก็ไม่มีใครว่าเป็นใบ้หรอกนะจะใส่ใจทำไม แค่รีบ ๆ ไปแล้วชนะให้ได้ก็พอ บางทีไอ้บ้านั่นอาจจะเป็นไบโพล่า นึกอยากให้เราชนะเฉย ๆ ก็ได้ ยังไงก็ช่าง ชั้นอยากออกไปจากที่บ้า ๆ นี่เต็มทีแล้ว อีกอย่าง เรามีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าไปด้วยหรอ”

     

    นนท์มองแบบโกรธ ๆ ทำให้ดรีมยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหมือนจะบอกว่ายอมแพ้ก็ได้

     

    แม้จะยังรู้สึกงุ่นง่าน แต่เมื่อไร้ตัวขัดขวางนนท์จึงกลั้นใจ เปิดประตูออกโดยไร้เสียง กลิ่นเหม็นคาวปนกับความชื้นและอากาศไหลเข้ามา ทำให้ธัญญ์ขนลุกซู่ กลิ่นที่นำพาความไม่สบายใจมานั้นลอยปนในอากาศอับ ๆ ที่มีกลิ่นเน่าจนแทบอาเจียน ธัญญ์หันไปยังกระถางต้นไม้ที่ไม่มีอะไรแล้วอ้วกออกไป ดรีมช่วยลูบหลังให้เบา ๆ อย่างมีน้ำใจ นนท์เมินสิ่งนั้นแล้วก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เท้าสัมผัสพื้นดิน เด็กหนุ่มก็รู้สึกถึงความผิดปกติ

     

    แฉะ

     

    พื้นดินเปียกชื้น มีกลิ่นของปุ๋ยและสนิมเหล็กลอยตลบ เสียงฝนเข้าจู่โจมจากรอบทิศ ตามด้วยฟ้าผ่า จากนั้นดวงตาสีดำจึงปรับสภาพและเห็นสีเขียวชอุ่มรายล้อมตัวเอง ฝนเทลงบนตัวเขาจนเปียกชุ่ม และชะล้างสีแดงที่ปลายเท้าออกไป พริบตานั้น สมองของเด็กหนุ่มเหมือนหยุดประมวลผลไปชั่วคราว ความไม่เข้าใจถาโถมเข้ามา

     

    สวน....พอเพียง.....

     

    สวนกลางแจ้งที่ชั้นหนึ่งของโรงเรียน อยู่ห่างจากอาคารหลังไปอีกเกือบห้ากิโล มีไว้เพื่อเรียนวิชาการเกษตร เรื่องนั้นเข้าใจได้ แต่ที่เข้าใจไม่ได้คือการเข้ามาที่นี่ในพริบตา ทั้งที่ปกติต้องนั่งวินมอไซด์เข้าไป!

     

    นนท์หันหลังกลับไปมอง ประตูรั้วเหล็กของเปิดอ้า ภาพที่อีกฝั่งเป็นภาพของทางเดินชั้นสามถูกแบ่งไว้เหมือนเอาฉากมาวางทับ ทิวทัศน์ที่ตัดกันอย่างชัดเจนนั้นมีสัมผัสของความจริงเลือนรางเหลือเกิน ดวงตาสีดำที่เบิกกว้างถึงขีดสุดถูกสะท้อนด้วยม่านตาสีทองหม่นของเด็กสาวสีขาว ดรีมวางท่ามองเขาด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนเช่นทุกครั้ง ไร้วี่แววของอาการตกใจบนใบหน้านั้น เธอพูดราวกับเป็นเรื่องสามัญทั่วไป

     

    “อ้อ เริ่มแล้วสินะจ๊ะ”

     

    “เธอรู้อะไรอย่างนั้นหรอ!!”

     

    นนท์ตะโกนแข่งกับสายฝน เขาโกรธอีกแล้ว แต่คราวนี้โมโหจนรู้สึกปวดจี๊ดที่หัว เพียงแต่ดรีมส่ายหน้า ยิ้มให้คล้ายกำลังมองสิ่งมีชีวิตที่น่าเวทนาที่สุด รอยยิ้มที่เหมือนกำลังมองลิงหน้าโง่นั่นยิ่งจุดไฟให้นนท์ยิ่งเดือด ยัยนี่จงใจปกปิดบางอย่างกับเขา!!!

     

    นี่เป็นอีกโลกหนึ่ง เส้นทาง สภาพแวดล้อม รวมถึงสิ่งมีชีวิตย่อมแตกต่างกัน เส้นทางในโรงเรียนนี้ถูกปรับเปลี่ยน ดังนั้นการเดินเข้าห้องหนึ่ง เธออาจจะไปโผล่อีกห้องหนึ่งของอีกตึกก็ได้ นั่นคือความพิเศษหนึ่งของมิตินี้”

     

    ดรีมยิ้มอย่างไม่ยี่หระ

     

    เขา-วง-กต น่ะจ้ะ”

     

    !!”

     

    นนท์เข้าใจในที่สุด

     

    ความจริงแล้วรอยยิ้มของดรีมไม่ได้เปลี่ยนไปเลย มีเพียงนนท์เท่านั้นที่รู้สึกว่ามันบิดเบี้ยวไปมา เขาโกรธจนหัวร้อนเป็นไฟ แต่ก็ถูกสายฝนเย็นเยียบสาดเข้าใส่อย่างไร้ความปรานีจนทำให้รู้สึกเหมือนเป็นไข้ เด็กสาวสีขาวเพียงแค่คืนชีพคำพูดของเพื่อนเท่านั้น เธอไม่ได้ทำอะไรยิ่งใหญ่เลย แต่นนท์กลับรู้สึกราวกับเธอเพิ่งขว้างมีดใส่เขา จึงจ้องมองอย่างดุร้าย เด็กหนุ่มประคองร่างตัวเองเดินกลับไปที่ประตู น่าแปลก เมื่อกี้เขาเดินออกมาได้แค่ก้าวเดียวเท่านั้น ทำไมตอนเดินกลับประตูถึงอยู่ไกลขึ้น

     

    “เจ๊นนท์!!!”

     

    เสียงหวีดร้องของธัญญ์ถูกฝนกลบไปหมด นนท์เหยียบอะไรบางอย่างแล้วล้มลง  เขาสบถแล้วพยายามลุกขึ้นยืน แต่ฝนตกลงมาห่าใหญ่เหมือนอยากจะกดเขาไว้แบบนั้น หูที่อื้ออึงของเขาได้ยินเสียงบางอย่าง เขามองเห็นใบหน้าของเด็กสาวทั้งสองไกลออกไป ก่อนจะค้นพบความจริงบางอย่าง

     

    ไม่ได้คิดไปเอง....

     

    พื้นกำลังเลื่อนถอยหลัง!!

     

    นนท์ตกใจสุดขีด ทิวทัศน์เบื้องหน้าถูกจับยืดจนระยะห่างระหว่างเขาและประตูเพิ่มมากขึ้น นนท์ตะเกียกตะกายคลานขึ้นไปข้างหน้า พอลุกขึ้นวิ่งก็ไม่ขยับไปไหนเลย เหมือนวิ่งอยู่บนสายพาน เขาสูดอากาศที่มีน้ำฝนเข้าไปจนสำลักและล้มลงอีกครั้ง คราวนี้ธัญญ์ป้องปากตะโกนอะไรบางอย่างอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนดรีมยังคงยิ้ม หากแต่รอยยิ้มนั้นดูเกร็ง ๆ อย่างบอกไม่ถูก เขาพยายามอ่านปากของเด็กสาว

     

    ข้าง...หลัง...?

     

    นนท์หันกลับไป ดวงตาสีดำเบิกตากว้างเหมือนจะฉีกออก ทั้งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ต้นไม้ส่งเสียงแหลมสูงจนแก้วหูเขาแทบฉีก นนท์รู้สึกว่าเสียงของฝนหายไป ส่วนเด็กสาวอีกฝั่งเห็นว่าของเหลวสีแดงไหลออกมาจากหูทั้งสองข้างและนนท์ได้ล้มลง ธัญญ์เอามือปิดปาก ทรุดตัวลงอย่างไม่รู้จะทำยังไง ส่วนดรีมกำลังค้นอะไรบางอย่างในกระเป๋าสะพาย

     

    “อ๊ากกกกกกกก!!!!”

     

    เมื่อความเจ็บปวดแล่นปราดเข้ามา นนท์จึงกรีดร้องแล้วกุมหูทั้งสองข้างเอาไว้ ทั้งดรีมและธัญญ์ไม่ได้รับผลกระทบจากเสียงต้นไม้นั้นจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนนท์ และไม่ได้สนใจด้วย ที่อยู่ในสายตาของทั้งสอง เห็นจะมีเพียงสิ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังของนนท์  

     

    สัตว์ประหลาด ที่สูงเท่าเอว หน้าตาเหมือนกบตัวใหญ่แต่มีท่อนขาเหมือนมนุษย์ ทั้งที่ไม่ได้มีสีสันสดใส แต่กลับมีบรรยากาศว่าอันตรายและมีพิษ ธัญญ์กลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ มันยังไม่ได้ขยับตัว เอาแต่พองตัวและจ้องมองนนท์ที่ดิ้นไปหาด้วยความเจ็บปวด พริบตาที่ธัญญ์เอามือปิดปากหน้าซีดเผือด มันก็กระโดดทีเดียวมาหยุดอยู่ตรงหน้านนท์ ดวงตาสีทองวาววับมีม่านตาสีดำเรียวมองอย่างใคร่รู้ มันพองตัวอีกครั้งก่อนจะเอ่ยเสียงแหบแห้งให้ได้ยินกันทั้งสามคน

     

    ฝนตกฟ้าร้อง”

     

    เสียงเหมือนชายชราพูดคล้ายร้องเพลง ทำให้นนท์ฉงน ทั้งที่เขาไม่ได้ยินเสียงฝนแล้ว แต่เสียงสัตว์ประหลาดตรงหน้ากลับชัดเจนเหมือนไหลเข้าสู่สมองโดยตรง เข็มน้ำเป็นพันเล่มยังคงทิ่มแทงเข้าไปในตัวเขา มนุษย์กบเอียงอย่างพิจารณา เหมือนรออะไรบางอย่าง

     



     

     

    WB : จริง ๆ บทนี้กับบทที่ 6 มันเป็นบทเดียวกันค่ะ แต่แต่งไปแต่งมา ว้าย จะ 200% แล้ว แบ่งเถอะ๕๕๕ เอาเป็นว่าจะรีบปั่นบทต่อไปมาลงเร็ว ๆ นะคะ

     


    คาแรกเตอร์ดรีมค่ะ เป็นตัวละครที่เติมทรูมาเยอะจริม ๆ 


    ภาพประกอบตอนนี้โคตรขยัน เปิดโมเดลมานั่งจิ้มวาด วาดเสร็จได้แต่ถามตัวเองว่าเพื่ออะไร๕๕๕ ถ้าไม่ขี้เกียจ ตอนหน้าคงตัดเส้นอีกนะคะ ไว้เจอกันค่ะ บัย

    Theme : OWEN - THEME

    O W E N TM.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×