คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : การช่วยเหลือ
สถานการณ์ด้านบนยังไม่สู้ดีนัก การปะทะที่ยังคงดำเนินไปเรื่อยๆไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง อีกทั้ง
ข้าวของถูกขว้างปามั่วไปหมดทำให้สมุนโจรคนนึงเกิดกลัวตายขึ้นมาจึงพยายามหาที่ซ่อน ซึ่งแทบ
จะไม่มีเลยในเวลาที่มีการต่อสู้อยู่แบบนี้ แต่ทว่าจังหวะที่หัวหน้าทหารเบี่ยงตัวหลบดาบของฮัดซัน
ทำให้ดาบของหัวหน้าโจรกรีดรูปภาพชามผลไม้ขาดออกเป็นสองซีก เผยให้เห็นผนังที่สีแปลกออกไป
เขาลองพยายามดันเข้าไปดู สำเร็จ! ผนังเลื่อนเปิดออกเป็นช่องขนาดพอให้ตัวคนมุดเข้าไปได้ จึงรีบ
มุดเข้าไปในช่องนั้นในจังหวะที่ไม่มีใครสังเกต ภายในเป็นอุโมงค์สั้นๆที่นำไปสู่ห้องลับขนาดย่อมๆ
มีของที่จำเป็นอยู่พร้อมทั้งที่นอนและข้าวปลาอาหาร'บ้านกระจอกนี่มีห้องลับที่สุดยอดไปเลยว่ะ'
มันเริ่มสำรวจห้องเผื่อจะมีทรัพย์สินมีค่าให้กวาดไปได้อีก ซึ่งก็เป็นความคิดที่ถูกต้อง จึงพบอัญมณี
และของมีค่าบางส่วนถูกเก็บรักษาในหีบผุๆที่ดูธรรมดา แม้กระทั่งเจ้าของบ้านในขณะนี้ก็ยังไม่รู้เลย
ด้วยซ้ำว่ามีทรัพย์สินราคาแพงแบบนี้ มันจึงคิดจะรอให้ชนะพวกทหารก่อน ค่อยเรียกพรรคพวกมา
กวาดส่วนที่เหลือ และแล้วมันก็ได้เจอเด็กหญิงผิวคล้ำนั่งขดตัวอยู่ด้วยความหวาดกลัวอยู่ที่มุมห้อง
'ถ้าข้าเอานังเด็กนี่เป็นตัวประกัน ก็จะมีเครื่องมือต่อรองกับไอ้พวกทหารเวรนั่น แล้วทีนี้พวกข้า
ก็จะหนีออกไปได้แน่'แสยะยิ้มกับแผนชั่วร้ายที่ผุดขึ้นมาในสมอง มันค่อยๆย่างสามขุมเข้าไปหาเด็กหญิง
เพื่อไม่ให้เธอรู้ตัว แต่กว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว โจรหนุ่มเข้ามาประชิดตัว มือหยาบหนายกตัวเด็กหญิง
ขึ้นสูง ด้วยความตกใจเฟมิจึงกรีดร้องดังลั่นพร้อมดิ้นรนเพื่อที่จะได้หลุดเป็นอิสระ แต่แรงของ
เด็กหญิงวัยหกขวบมีหรือจะสู้ผู้ชายตัวโตๆได้ ด้วยความรำคาญมันจึงพูดขู่ด้วยน้ำเสียงคำราม
"ถ้าแกยังไม่หุบปากแล้วอยู่นิ่งๆ ข้าก็จะเชือดคอแกตรงนี้ซะนังหนู"ไม่พูดเปล่า มืออีกข้างของ
โจรหนุ่มชักกริชเงินออกมาจ่อคอของเฟมิ ทำให้เธอจำยอมต้องทำตามแต่โดยดี โจรหนุ่มกลับเข้า
ไปยังอุโมงค์โดยอุ้มเฟมิไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว เมื่อลอดอุโมงค์ออกมาได้แล้วโจรหนุ่มจึง
ประกาศก้อง"ไอ้พวกทหาร ฟังทางนี้ ถ้าแกไม่อยากให้นังเด็กนี่ตาย วางอาวุธแล้วยอมแพ้ซะ"
แต่ทว่าประกาศของโจรหนุ่มในขนะนั้นไม่ดังพอที่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายหยุดต่อสู้กัน ด้วยระยะเวลา
ในการต่อสู้ที่ผ่านมาและความรุนแรงที่มีแต่จะเพิ่มขึ้นทำให้พื้นไม้ที่เป็นประตูทางเข้าห้องลับที่
แพทริเซียกับอัศมิตาอยู่เริ่มมีรอยแตกร้าวขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเมื่อทหารนายหนึ่งซัดโจรให้
ล้มลงไปบริเวณนั้นทำให้ประตูที่มีร่องรอยความเสียหายอยู่มากพอควรพังลงมา
"เร็วเข้า!"เมื่อแพทริเซียเห็นดังนั้นเธอก็รีบฉุดมือเด็กชายตาบอดที่ยังงุนงงให้รีบปีนขึ้นมาจาก
ทางลับแล้ววิ่งหนีกันสุดชีวิต โชคดีที่การต่อสู้ทำให้ไม่มีใครสังเกตเด็กตัวเล็กๆสองคนได้ทัน แต่ใน
ระหว่างวิ่งนั้นเอง สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นเด็กหญิงผู้ถูกจับเป็นตัวประกัน
"เฟมิ.."แพทริเซียอุทานออกมาเบาๆ แต่เธอยังไม่มีเวลาช่วยเพื่อนใหม่ของเธอ ในตอนนี้ตัวเธอ
กับอัศมิตาต้องรอดให้ได้เสียก่อนจึงจะมาช่วยเฟมิได้ ในขณะนี้พวกเธอออกมาพ้นบริเวณบ้านแล้ว
แพทริเซียเลือกไปหลบอยู่ข้างบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก
"เจ้าช่วยเล่าให้เราฟังได้หรือไม่ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น เราได้ยินเจ้าพึมพำชื่อของเฟมิ เกิดอะไรขึ้น
กับนางงั้นหรือ"อัศมิตาถามด้วยความเดือดเนื้อร้อนใจ ตัวเขาก็พอจะทราบอยู่ว่าการต่อสู้รุนแรงขึ้น
แต่ด้วยความที่เขามองไม่เห็นจึงไม่อาจทราบเหตุการณ์ทั้งหมดได้
"ตอนนี้ประตูห้องลับถล่มลงมา ตอนที่เราสองคนวิ่งออกมาข้างนอกฉันเห็นเฟมิโดนจับเป็น
ตัวประกันอยู่...."แพทริเซียถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ"เราต้องช่วยเธอ แต่ว่าจะทำยังไงดีล่ะ"
เธอเองก็เดือดเนื้อร้อนใจไม่แพ้อัศมิตาเพราะต้องการหาวิธีช่วยเฟมิ
"ทราย...ทรายแพ้น้ำ ทำไมเจ้าไม่ลองใช้น้ำดูกันล่ะ แพทริเซีย"เขาเสนอความคิด
"อากาศที่นี่แห้งจะตาย เสกได้ไม่นานน้ำก็ระเหยหมดสิ ยกเว้นแต่จู่ๆจะเจอตาน้ำน่ะนะ"ทันใดนั้น
แพทริเซียก็คิดอะไรบางอย่างออก"ตาน้ำ จริงด้วย ทำไมฉันถึงคิดไม่ออกกันนะ แค่ไปกระตุ้นมัน
นิดหน่อยก็ทำให้น้ำท่วมได้แล้วนี่นา จบเรื่องแล้วชาวบ้านที่นี่จะได้มีน้ำกินน้ำใช้กันด้วย เธอนี่ฉลาด
จริงๆเลยนะอัศมิตา"แพทริเซียเขย่าตัวเขาพร้อมกับพูดรัวเร็วก่อนจะกอดเขาแรงๆเสียทีหนึ่ง
"เอ๋ อื้ม ขอบใจเจ้ามากที่ให้คำชมเรา เรามิเคยจะถูกชมแบบนี้เลย"อัศมิตายิ้ม หน้าแดงนิดๆด้วยความ
ดีใจแบบเด็กๆ ในขณะนั้นโจรหนุ่มประกาศเจตนารมณ์ของตนได้สำเร็จในที่สุด สองฝ่ายหยุดต่อสู้กัน
"แพทริเซีย"เฟมิหันมามองทันเห็นแพทริเซียกำลังพึมพำคาถาเวทย์อยู่ เด็กหญิงผมสิม่วงยังคงท่อง
มันต่อไปอย่างแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ มันเป็นคำภาษาที่อัศมิตาไม่รู้จัก ในที่สุด......
"เฮ้ย นั่นเสียงอะไรวะ"ฮัดซันที่เตรียมตัวจะถอยกลับได้ยินเสียงแปลกๆมาจากใต้ดิน
"ข้าเองก็ไม่---"ยังไม่ทันที่กาซิมจะพูดจบก็มีน้ำพุ่งขึ้นมาตรงกลางบ้าน มันกวาดทั้งทหาร โจร และ
เฟมิให้ไปตามกระแสน้ำ เฟมิเป็นอิสระจากโจรหนุ่ม แพทริเซียกับอัศมิตาที่ขึ้นมายังเนินทรายจุดที่
ยังไม่โดนน้ำพัดไปได้คว้าตัวเฟมิไว้ทัน เด็กหญิงผิวคล้ำหอบฮักๆก่อนจะนั่งลง
"สุดยอดไปเลยแพทริเซีย นั่นคืออะไร เวทมนต์งั้นเหรอ เธอทำได้ยังไงน่ะ"เธอตะโกนออกมาด้วย
ความตื่นเต้น "ชู่ววววว เบาๆหน่อยสิ ฉันใช้เวทมนต์ได้ตั้งแต่เกิดแล้วล่ะ มันคงเป็นเรื่องที่ฟ้ากำหนด
มาล่ะมั้ง แต่ก่อนอื่น สัญญานะว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ห้ามบอกใครเด็ดขาด"
"กับพี่ชาลิเซ่ก็ไม่ได้เหรอ"เฟมิเอียงคอ
"ฉันขอล่ะ ไม่ได้หรอกนะ"
เฟมิทำคิ้วขมวดอยู่ครู่หนึ่ง"ตกลง เธอเป็นคนช่วยชีวิตเฟมิ แปลว่าเธอคือผู้มีพระคุณของเฟมิ เฟมิไม่มี
วันทรยศผู้มีพระคุณหรอกนะ จะปิดปากให้สนิทเลย"เฟมิยิ้มขำๆ ก่อนที่เด็กทั้งสามจะประสานเสียง
หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
ชาวบ้านละแวกนั้นต่างกรูกันออกมาจากตัวบ้านอย่างแตกตื่นเพราะว่าน้ำได้พังทลายบ้านของ
พวกเขาลงเสียแล้ว เมื่อกระแสน้ำหยุดลงหัวหน้าทหารหลวงสามารถตั้งสติกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ได้เป็นคนแรก เขาร้องเรียกทหารหลวงที่ถูกน้ำซัดเช่นเดียวกับเขาและทหารที่ไปหลบพายุทราย
ในบ้านหลังอื่นให้ออกมาช่วยกันจับกลุ่มโจรมัดไว้ โจรที่ทั้งเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้และสำลักน้ำ
เข้าไปหลายอึกจึงมิอาจขัดขืนได้ จากนั้นชาลิเซ่ก็ได้ออกมาจากที่ซ่อนที่อยู่ในส่วนของบ้านที่ยัง
ไม่พัง
ตรงเข้าไปยังเนินทรายที่เด็กน้อยทั้งสามนั่งอยู่ด้วยอาการตกอกตกใจ
"พวกเธอเป็นยังไงกันบ้าง มีใครบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าจ๊ะเนี่ย" เฟมิรีบตอบขึ้นด้วยอาการที่ตื่นเต้น
อย่างเห็นได้ชัด"ไม่มีหรอกค่ะพี่ชาลิเซ่ อันที่จริงเฟมิโดนจับเป็นตัวประกันด้วย แต่ว่าเพราะ---"
เฟมิเหลือบไปเห็นแพทริเซียมองเธอด้วยสายตาเป็นเชิงเตือนไม่ให้หลุดปากบอกความลับออกไป
"คงเป็นเพราะพระเจ้าล่ะมั้งคะที่บันดาลน้ำให้พุ่งขึ้นมาจากใต้ดินเพื่อช่วยเฟมิ แล้วก็ทุกคนเอาไว้"
เด็กหญิงผมสั้นหาทางเนียนต่อประโยคให้จบ แพทริเซียได้ยินดังนั้นจึงถอนหายใจโล่งอกที่ยังไม่มี
ใครรู้เรื่องพลังของเธอเพิ่ม
"ดีแล้วล่ะที่พวกเธอไม่เป็นอะไร ต้องขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเมตตา"ชาลิเซ่เอ่ยขึ้น 'พระเจ้ามีจริง
ซะที่ไหน นั่นมันพลังของฉันต่างหากเล่าที่ทำให้น้ำออกมาได้'แพทริเซียนึกโต้แย้งในใจอย่างไม่
สบอารมณ์นักที่เห็นคนที่อยู่ตรงหน้าเชื่อในสิ่งที่เธอไม่เชื่อเลยสักนิด เป็นจังหวะพอดีกับที่
หัวหน้าทหารเดินเข้ามา"พวกเจ้าเป็นเจ้าของบ้านที่เกิดการต่อสู้ของพวกข้ากับโจรใช่หรือไม่"
เขาเอ่ยถามด้วยภาษาที่แพทริเซียกับอัศมิตาเข้าใจได้เนื่องจากทั้งสองคนดูมีลักษณะของชาวต่างชาติ
"มีเพียงข้ากับน้องสาวที่เป็นเจ้าของบ้าน ส่วนคนต่างชาติทั้งสองเป็นแขกที่มาเข้าพักค่ะ"ชาลิเซ่เอ่ย
ขึ้นด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่แสดงถึงความอ่อนน้อมจนทำให้อัศมิตาสงสัย "เหตุใดท่านชาลิเซ่ถึง
ต้องพูดสุภาพกับคนผู้นี้ด้วยเล่า แล้วที่เขาพูดว่าการต่อสู้ของพวกเขากับโจร แปลว่าเขาไม่ใช่โจร
หรอกหรือ" คำถามของเขาทำให้หัวหน้าทหารหัวเราะลั่นก่อนจะใช้มือหนาขยี้เรือนผมสีทองด้วย
ความเอ็นดู"ขอโทษด้วยนะเจ้าหนู พวกเราเป็นทหารขององค์สุลต่าน แต่เจ้าคงจะฟังภาษาถิ่นของ
เราขณะที่คุยกับโจรไม่เข้าใจเลยคิดว่าทหารหลวงอย่างเราเป็นโจรไปเสียแล้ว"
"เราต้องขออภัยท่านเป็นอย่างยิ่ง ด้วยความที่เรามองไม่เห็นเลยเกิดความเข้าใจผิดยิ่งขึ้นไปอีก"
อัศมิตารีบเอ่ยขอโทษด้วยความละอายใจที่เผลอคิดว่าคนดีอย่างทหารหลวงเป็นโจรไปเสียได้
"หืม นี่เจ้ามองไม่เห็นงั้นหรือ แต่ไม่เป็นไร ข้าไม่คิดถือสาหาความอะไรกับเด็กหรอกน่า"ทหารหลวง
เอ่ยขึ้นเพื่อให้เด็กน้อยตาบอดสบายใจ"ขอให้พวกเจ้าทั้งสี่คนไปเข้าเฝ้าองค์สุลต่านกับทางเราด้วย
กลุ่มโจรกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ร้ายกาจมาก ต้องขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าด้วยที่เปิดโอกาสให้จับกลุ่มโจร
กลุ่มนี้ได้เสียที"หัวหน้าทหารเอ่ยกับประชาชนที่มามุงดูโดยรอบ"ส่วนพวกเจ้าก็อย่าได้ไม่สบายใจไป
องค์สุลต่านจะชดเชยความเดือดร้อนของพวกเจ้าครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน"พูดจบเขาก็เดินนำทั้งสี่คน
ไปยังม้าของตน บริเวณนั้นมีกองทหารรออยู่แล้ว
"สาวน้อย เจ้ากับเพื่อนขึ้นมาบนหลังม้ากับข้า ส่วนเจ้าของบ้านทั้งสอง..."เขาเว้นช่วงไปนิดหนึ่ง
ก่อนจะพูดต่อ"ให้ไปกับเจ้าแล้วกัน"เขาหันไปพูดกับรองหัวหน้าหน่วยลาดตระเวน แพทริเซียรอให้
หัวหน้าทหารขึ้นไปก่อนจากนั้นจึงปีนขึ้นไปบนหลังม้าแล้วฉุดมือเด็กชายตาบอดเพื่อให้เขาปีนขึ้นมา
แต่การที่อัศมิตาจะปีนขึ้นมาได้นั้นมันไม่ง่ายเลย ทหารคนหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้นรู้สึกสงสารเลยอุ้ม
อัศมิตาขึ้นมาบนหลังม้า เด็กชายรู้สึกตื่นกลัวเมื่ออยู่บนหลังสัตว์ที่คนอื่นเรียกกันว่าม้า พื้นที่สำหรับ
นั่งมีไม่มากนักแถมยังขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจของมันอีก หัวหน้าทหารเมื่อเห็นเด็กทั้งสอง
ขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้วจึงกระตุกสายบังเหียนเพื่อให้ม้าของตนมุ่งหน้ากลับพระราชวัง จึงท่าให้อัศมิตา
หันไปกระซิบกับแพทริเซียที่นั่งอยู่ด้านหน้า
"แพทริเซีย พื้นที่บนนี้ช่างแคบยิ่งนักแถมยังขยับขึ้นลงอีก เราวิตกเหลือเกินว่าจะตกลงไปข้างล่าง"
แพทริเซียหันมากระซิบตอบ"ไม่เป็นไรหรอกนะ ถ้าเธอกลัวจะตกก็กอดฉันไว้สิ" อัศมิตาได้ยินดังนั้น
จึงเขยิบเข้าไปและกอดเด็กหญิงไว้อย่างแนบแน่น กลิ่นกายของเธอหอมอ่อนๆราวกับดอกไม้ มันคือ
กลิ่นของก้อนสี่เหลี่ยมที่อัศมิตาจำได้ว่าแพทริเซียเรียกมันว่าสบู่ กลิ่นของมันให้ความรู้สึกผ่อนคลาย
จากความวิตกกังวล และความอบอุ่นที่เขาได้รับจากตัวเธอทำให้เขารู้สึกปลอดภัย แต่ด้วยความ
อ่อนล้าจากการตื่นนอนกลางดึกทำให้ทั้งสองรู้สึกเพลียและหลับไปบนหลังม้าก่อนจะถึง
พระราชวัง
แพทริเซียเริ่มรู้สึกตัวขึ้นเมื่อเวลารุ่งสาง เธอหาวออกมาอย่างงัวเงีย และยังรู้สึกว่าอ้อมกอดจาก
ด้านหลังนั้นยังไม่คลายลงเลยจึงหันไปมองอัศมิตา พบว่าเขายังไม่ตื่นจากนิทรา แล้วหัวของเขาก็
กำลังซบอยู่ที่ไหล่ของเธอ แพทริเซียจึงหันไปถามหัวหน้าทหาร"ใกล้จะถึงพระราชวังหรือยังคะ"
"อยู่ในเมืองที่อยู่ข้างหน้านี่ไงล่ะ"หัวหน้าทหารชี้ไปยังเมืองที่เห็นอยู่ลิบๆ
"ไกลจังเลยนะคะ จากทีฉันกับเพื่อนหลับไปก็คงไม่ต่ำกว่าสักชั่วโมงหรือสองชั่วโมง คุณหัวหน้าทหาร
ไม่เหนื่อยบ้างเหรอที่ต้องออกมาลาดตระเวนไกลขนาดนั้น"แพทริเซียถามด้วยความสงสัย ด้วยความ
ที่แค่เธอตื่นอยู่ประมาณอย่างมากแค่ครึ่งคืนก็ง่วงมากแล้ว
"ข้านอนกลางวันมาแล้วน่ะ"หัวหน้าทหารตอบก่อนจะหันไปเห็นแพทริเซียเลิกคิ้วขึ้นจนแทบจะหาย
ไปภายใต้เรือนผมสีม่วงเลยหัวเราะเบาๆ"ล้อเล่นหรอกน่าสาวน้อย อันที่จริงข้าก็เหนื่อยเหมือนกัน
แหละนะ แต่ข้าเป็นทหารจึงต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เอาล่ะ ถ้าหากว่าข้าหนีไปนอนพักแล้วไม่ออก
ไปลาดตระเวน หากเกิดเรื่องร้ายแรงอย่างเมื่อคืนเข้าใครล่ะจะไปช่วยชาวบ้านได้ จริงมั้ย ชาวบ้าน
ที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรไม่ควรถูกฆ่าโดยโจรชั่วหรอกนะ" แพทริเซียนิ่งงันไปเหมือนจะซึมซับ
คำพูดของอีกฝ่ายเข้าไปในหัว
จริงสินะ หน้าที่ หน้าที่ของฉันในตอนนี้คือปกป้องอัศมิตา เพื่อนของฉัน ครอบครัวของฉัน
จะไม่ให้ใครมาทำอันตรายเขาเด็ดขาด ฉันสาบาน
"ขอบคุณมากค่ะที่ช่วยให้แง่คิดกับฉัน"เธอเอ่ยขึ้นด้วยคำขอบคุณจากใจจริง "หา! เอ้อ ด้วยความยินดี"
หัวหน้าทหารพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความมึนงงเล็กน้อย "ตอนนี้พวกเรามาถึงเมืองแล้วล่ะ"เขาพูดต่อ
แพทริเซียได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองทิวทัศน์โดยรอบ ขณะนี้เป็นเวลารุ่งสาง พระอาทิตย์ทอแสงสีส้ม
อ่อนจางที่กำลังเข้มขึ้นเรื่อยๆราวกับเตรียมจะมอบแสงสว่างแก่ผู้คนยามรุ่งอรุณ เมื่อแสงอาทิตย์กระทบ
กับตัวเมืองทำให้บังเกิดเป็นภาพสวยงามยิ่งนัก ผู้คนในเมืองอันใหญ่โตและงดงามแห่งนี้เริ่มตื่นขึ้น
มาทำหน้าที่ของตน พ่อค้าต่างพากันจัดเรียงสิ่งของในร้านของพวกเขา เริ่มมีคนออกมาเดินตามถนน
บ้างแล้วประปราย ทุกคนมองดูกองทหารลาดตระเวนที่เคลื่อนผ่านไปอย่างสนอกสนใจเมื่อพบว่า
ทางการจับตัวกลุ่มโจรร้ายได้แล้ว และพากันพูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ผ่านมาไม่นานนักก็ถึงเขต
พระราชวังใจกลางเมืองขององค์สุลต่าน เมื่อทหารเฝ้าประตูเห็นหน่วยลาดตระเวนกลับมาแล้วจึงรีบ
เปิดประตูพระราชวังให้ ตัววังนั้นมีสวนอันสวยงามล้อมรอบ มีพืชพันธุ์นานาชนิดที่พอจะปลูกไว้ใน
ทะเลทรายเช่นนี้ได้ ตัวราชวังเองทำด้วยหินอ่อนสีขาวดูงดงามและใหญ่โตโอ่โถงจนให้ความรู้สึก
ประทับใจยิ่งนัก
"ถึงเขตที่พวกเจ้าต้องลงเดินแล้ว คงต้องปลุกเพื่อนของเจ้าเสียตรงนี้ล่ะ" แพทริเซียร้องเรียกอัศมิตา
และเขย่าตัวเขาเบาๆ "อรุณสวัสดิ์...แพทริเซีย"เขาพูดด้วยท่าทางงัวเงียเหมือนอยากจะนอนต่อ
เสียให้ได้ แล้วก็บิดขี้เกียจด้วยความไม่ทันระวังจึงหงายหลังเกือบพลัดตกจากหลังม้า โชคยังดีที่
แพทริเซียคว้าเอวของเขาไว้ได้ทัน
"เธอนี่น้า ใครใช้ให้บิดขี้เกียจบนหลังม้าเนี่ย ถ้าฉันจับไว้ไม่ทันก็คงตกลงไปแล้วนะ"แพทริเซียพูด
ด้วยน้ำเสียงกลั้นหัวเราะเต็มที่เพราะกลัวว่าถ้าขืนหัวเราะออกไป เด็กชายผู้แสนขี้แยจะปลุกคนทั้ง
พระราชวังด้วยเสียงร้องไห้ของเขาแหงๆ อัศมิตาทำปากเบะเหมือนจะร้องไห้ แต่เขารู้ดีว่าการที่
แพทริเซียฝืนตัวเองไม่ให้หัวเราะออกมาเพราะต้องการรักษาความรู้สึกของเขา อัศมิตาจึง
พยายามเก็บอาการเอาไว้ หัวหน้าทหารลาดตระเวนสั่งให้ลูกน้องเอาโจรไปขังคุกก่อน แล้วจึงเรียก
รองหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนกับเจ้าของบ้านพักโฮมสเตย์ทั้งสองให้เข้าไปในตัวพระราชวัง
หัวหน้าทหารลงมาจากม้าเป็นคนแรกแล้วก็ช่วยอุ้มเด็กน้อยทั้งสองลงจากหลังม้าเนื่องจากกลัวว่า
จะเกิดอันตราย เขาหันไปพยักเพยิดให้คนเลี้ยงม้าซึ่งอยู่แถวนั้นนำม้าไปเก็บ แล้วจึงพาแพทริเซียกับ
อัศมิตาเข้าไปยังด้านในซึ่งสวยงามไม่แพ้ข้างนอกเลย มีของตกแต่งที่ดูท่าทางราคาแพงเกินจะจ่าย
ค่าเสียหายได้แถมอาจมีสิทธิหัวหลุดออกจากบ่าหากทำพัง....ถ้าสุลต่านคนนี้เป็นพวกอารมณ์
รุนแรงแถมโมโหร้ายล่ะก็นะ
"พระราชวังที่นี่สวยมากเลยรู้มั้ย สวนก็ดูท่าทางน่าสบาย ฉันล่ะอยากให้เธอมองเห็นจังเลย"แพทริเซีย
กระซิบกระซาบกับอัศมิตา เพราะเธอคำนึงถึงมารยาทในสถานที่ซึ่ง...มีสิทธิ์หัวขาดตลอดเวลาหาก
ไปทำอะไรไม่ถูกใจใครเข้า นับเป็นที่ๆต้องระวังในหลายๆความหมายเลย
"เราเองก็อยากมองเห็น แต่จะทำอย่างไรได้เล่า"เขากระซิบตอบด้วยท่าทางเศร้าๆก่อนจะหันไปถาม
หัวหน้าทหาร"ท่านบอกเราว่าจะพาเราไปเข้าเฝ้าองค์สุลต่าน แต่ในเวลารุ่งอรุณเช่นนี้พระองค์จะทรง
ตื่นจากบรรทมแล้วหรือ"
"พระองค์จะทรงตื่นเช้าเสมอล่ะเจ้าหนู"หัวหน้าทหารยิ้มให้ด้วยความเอ็นดูเด็กชายผู้แสนใสซื่อ
"ตอนนี้พวกเจ้าต้องระวังกิริยาอาการให้มากนะ เรากำลังจะไปเข้าเฝ้าองค์สุลต่านกันแล้ว" เขาผลัก
บานประตูสุดทางเดินแล้วเข้าไป แพทริเซียรีบจูงมืออัศมิตาเดินตามเข้าไปอย่างระมัดระวังกิริยามากเกิน
ไปจนกลายเป็นเกร็งนิดหน่อย มือของเธอข้างที่จับอัศมิตาอยู่บีบแน่นขึ้นโดยไม่รู้สึกตัวและ
มีเหงื่อซึมชื้นไหลออกมา อัศมิตาหันมาทางเธอ ใช้นิ้วมือลูบหลังฝ่ามือของเธอเป็นการปลอบ
ประโลม ในห้องประทับของสุลต่านมีนางกำนัลผู้มีหน้าตางดงามอยู่หลายคนคอยปรนนิบัติ
สุลต่านผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์ ด้านล่างมีรองหัวหน้าหน่วย เฟมิ และชาลิเซ่กำลังทำความเคารพตาม
ธรรมเนียมอยู่ หัวหน้าหน่วยก็ทำความเคารพตามธรรมเนียมเช่นกัน แพทริเซียเห็นดังนั้นจึงจะทำตาม
แต่สุลต่านตรัสขึ้นเสียก่อน
"ลุกขึ้นเถอะ เจ้ากับเพื่อนของเจ้าไม่ต้องทำตามธรรมเนียมของเราก็ได้ อาบาลบอกข้าแล้วว่า
พวกเจ้าสองคนเป็นชาวต่างชาติ"สุลต่านพยักเพยิดไปทางรองหัวหน้าหน่วยลาดตระเวน
"ขอบพระทัยเพคะ"แพทริเซียเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้
"เราต้องขอโทษด้วยที่พวกเจ้ามาที่นี่แล้วต้องเจอเรื่องแย่ๆอย่างโจรบุกปล้นในคืนที่เข้าพัก"
สุลต่านตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงความรู้สึกผิด
"หามิได้ พวกเรามิได้มีใครได้รับอันตรายมากนัก แต่ขอให้พระองค์ช่วยชาวบ้านที่บ้านเรือนเกิดความ
เสียหายจากเหตุการณ์นี้ด้วยจะได้หรือไม่"อัศมิตากล่าวทูลด้วยความสุภาพนอบน้อมเกินปกติวิสัย
ของเด็กหกขวบธรรมดา บวกกับรูปร่างหน้าตาที่ดูดีทำให้สุลต่านรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก
"เด็กน้อยทั้งสอง เหตุใดเจ้าจึงมีกิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อยยิ่งนัก หรือว่าเจ้าจะเป็นเชื้อพระวงศ์
จากประเทศตะวันตกหนีมาเที่ยวเล่นยังที่แห่งนี้กัน" อัศมิตางุนงงกับสิ่งที่ได้ยิน"เราเป็นเพียงลูกของ
หญิงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น" องค์สุลต่านหัวเราะด้วยความเอ็นดูเนื่องจากพระองค์คิดว่า
เด็กชายพยายามพูดปิดบังความจริง แต่ก็ไม่ได้เอาโทษอะไรเนื่องจากรู้ว่าเขาเป็นคนตาบอด
"ข้าคิดว่าข้าดูคนออกนะหนูน้อย ลักษณะหน้าตาของเจ้าเหมือนชาวตะวันตกโดยสมบูรณ์ มีความสง่า
งามแฝงอยู่อย่างที่เชื้อพระวงศ์ควรจะเป็น อีกทั้งคำพูดและกิริยาวาจาของเจ้าแสดงถึงการได้รับการ
อบรมสั่งสอนมาอย่างดี" คำกล่าวของสุลต่านทำให้แพทริเซียอดคิดไม่ได้ จริงอยู่ว่าในขณะที่เจอ
อัศมิตา เขาเป็นเพียงจัณฑาลคนนึง แต่การใช้คำพูดที่ฟังดูแปลกหูตลอดเวลา กับเวลาเข้าเฝ้า
เชื้อพระวงศ์ซึ่งเขาทำได้ดีอย่างไม่มีติดขัด...เหมือนกับถูกฝึกมา จากคำพูดของเขาน่าจะตีความได้ว่า
มีแม่เป็นคนดูแลมาตลอด แต่หญิงจัณฑาลจะสอนมารยาทสำหรับเชื้อพระวงศ์เบื้องสูงให้ลูกชายไป
ทำไมกัน แต่สุลต่านเอ่ยตรัสขึ้นมาก่อนทำให้ความคิดของเธอสะดุดลง"เจ้าสี่คนมีชื่อว่าอะไรกันบ้าง"
แพทริเซีย อัศมิตา เฟมิ และชาลิเซ่บอกชื่อของตนตามลำดับ "แพทริเซียก็ฟังเป็นชื่อตะวันตก
อยู่หรอก แต่อัศมิตา ชื่อของเจ้าฟังดูเหมือนพวกอินเดีย หรือว่าเจ้าเป็นเจ้าชายพลัดถิ่นกันแน่"
อัศมิตาทำหน้าเหลอหลา"เรื่องนั้นเรามิอาจทราบได้ เพราะว่ามารดาของเราเสียชีวิตไปเมื่อสองปี
ก่อนแล้ว" สุลต่านมองเด็กน้อยต่างถิ่นทั้งสองด้วยความเห็นใจด้วยเข้าใจว่าทั้งสองเป็นพี่น้องกัน"
ข้าชักเอ็นดูพวกเจ้าแล้วสิ เอาอย่างนี้ ข้าจะรับพวกเจ้าทั้งสองเป็นบุตรบุญธรรมของข้าดีหรือไม่"
สุลต่านตัดสินใจตรัสออกไปเพราะนึกชอบในความเฉลียวฉลาดเกินวัยและหน้าตาอันน่ารักน่าเอ็นดู
ของแพทริเซียและอัศมิตา
"เป็นพระกรุณาธิคุณอย่างยิ่งเพคะฝ่าบาท แต่ทว่าหม่อมฉันเป็นเพียงลูกสาวนางสนมผู้เป็นน้องสาว
แม่นมขององค์ชายอัศมิตาเท่านั้น ประเทศของพระองค์เกิดสงครามขึ้นจึงทำให้องค์ราชินีฝากฝังท่าน
เอาไว้กับแม่นมตั้งแต่แรกคลอด แล้วแม่ของหม่อมฉันกับแม่นมเกิดพลัดหลงกันกลางทาง จากนั้น
อีกหลายปีแม่ของหม่อมฉันได้รับจดหมายฉบับหนึ่งบอกว่าศึกสงครามสิ้นสุดแล้ว ให้พาองค์เจ้าชาย
กลับไปยังอาณาจักร แต่นางป่วยหนักจนสิ้นใจและฝากฝังหน้าที่ที่จะต้องพาองค์ชายกลับไปยัง
อาณาจักรไว้กับหม่อมฉัน แต่เมื่อหม่อมฉันตามหาองค์ชายจนพบแล้วดูเหมือนว่าเขาจะถูกปลูกฝัง
ให้เป็นชาวบ้านอย่างแนบเนียนเพื่อกันมิให้ศัตรูจับไปกระมังเพคะ"แพทริเซียใช้คำราชาศัพท์ที่เคย
เรียนรู้มาจากประสบการณ์แต่งเรื่องขึ้นในทันทีได้อย่างแนบเนียน"อีกประการหนึ่งคือหม่อมฉันมี
ข่าวด่วนที่จำเป็นจะต้องแจ้งให้ญาติทราบ แถมเส้นทางไปยังอาณาจักรนั้นลำบากและชวนสับสนมาก
ถ้าหากไม่ใช่คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นก็ไม่มีทางไปถูกหรอกเพคะ"แพทริเซียรีบตัดบทก่อนสุลต่านจะเกิด
ความสงสัย ในขณะที่อัศมิตาหันมาทางแพทริเซียด้วยความงงงวยในเรื่องที่เธอกล่าวขึ้นมา
"เข้าใจล่ะแพทริเซีย ถ้างั้นพวกเจ้าพักอยู่ที่นี่สักพักเถิดนะ"สุลต่านตรัสก่อนจะหันไปทางนางสนม
"อาดิวา เจ้าพาชาลิเซ่กับเฟมิไปพักห้องทางตะวันตก โดวนีย่า เจ้าพาเด็กต่างชาติสองคนนี้ไปพัก
ที่ห้องด้านตะวันออกแล้วกันนะ"นางสนมพี่น้องก้าวออกมาข้างหน้าก่อนจะทำความเคารพสุลต่าน
พวกเธอสูงระหงและมีผิวคล้ำเนียน ผมและนัยน์ตาเป็นสีดำสนิท อาดิวานำทางสองพี่น้องชาวอียิปต์
ออกไปก่อน
"เชิญตามข้ามา"โดวนีย่าหันมาหาแพทริเซียกับอัศมิตาก่อนจะนำไปยังคนละทางกับพี่สาว ในขณะเดิน
แพทริเซียเริ่มคิดถึงเรื่องที่เจอมาทั้งคืน และเรื่องที่เธอแก้ตัวกับสุลต่าน ถ้าหากอัศมิตาถามถึง
เรื่องนั้นเธอควรจะบอกเขาว่ายังไงดี
ความคิดเห็น