คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : เหตุผลของคุณชายโอ : ข้อที่สี่ พี่เขายอมไปเที่ยวด้วย
ร่างสูงของเด็กฝึกงานรีบวิ่งเอาแฟ้มงานทั้งหมดที่อยู่ในอ้อมกอดเข้าไปให้ผู้จัดการแผนกอย่างโดคยองซู
เพราะถ้าหมดแฟ้มกองนี้เมื่อไหร่เขาก็จะว่าง
เนื่องจากเมื่อเช้าเขาได้ขอลูกพี่ลูกน้องที่ควบตำแหน่งผู้จัดการแผนกได้สัญญาไว้ว่าถ้างานกองนี้เสร็จเมื่อไหร่ขอกลับบ้านก่อน
ซึ่งลูกพี่ลูกน้องก็อนุญาตอย่างโดยดี
ตุบ!!!
“โอย วางอย่างนี้โยนเลยเถอะ”
พอมาถึงที่ห้องผู้จัดการฝ่ายก็รีบวางแฟ้มทันทีจนโดนผู้จัดการฝ่ายประชดใส่
“เย้! ผมว่างแล้วใช่มั้ย”
“เออๆๆ มีนัดกับสาวสินะถึงรีบแบบนี้”
คยองซูพูดอย่างรู้ทัน
“อื้ม สาวที่บ้าน”
โอเซฮุนยักคิ้วอย่างยียวนส่งไปให้ ก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือราคาแพง “จะว่าไปเสร็จก่อนเวลานะเนี่ย”
“นัดใครไว้อ่ะ”
คนเป็นพี่เห็นคนเป็นน้องน่าสงสัยเลยถาม
“ก็บอกแล้วว่าสาวที่บ้าน”
“จะไปไหนก็ไปๆ”
เบื่อที่จะถามต่อกับคนที่ชอบตอบแบบกวนๆ
ก็เลยรีบไล่ให้ออกไปเพื่อจะได้เคลียร์งานต่อ
ใช้เวลากับการขึ้นลิฟท์เพื่อมาที่ชั้นดาดฟ้าไม่นาน
ข้างบนชั้นดาดฟ้ามักจะเป็นที่ที่นักศึกษาฝึกงานแอบมาหลับหรือไม่ก็มานั่งกินลมเล่นบ่อยๆ
เวลาว่าง เนื่องจากชั้นดาดฟ้าถูกออกแบบให้มีต้นไม้ที่ทำให้ร่มรื่น สนามหญ้าสะอาดๆ
ที่สามารถนอนได้ และมีม้านั่งให้นอนได้สบายๆ
ในเมื่อรู้ว่ามีเวลาเหลืออีกเยอะจนจะถึงเวลานัด จึงอยากขึ้นมานั่งตากลมเล่นข้างบนแต่ก็ไม่ยักจะรู้ว่าในเวลานี้จะมีร่างของคนบางคนที่คุ้นตาดีกำลังนั่งกอดเข่าอยู่บนสนามหญ้าและกำลังใช้สายตาทอดมองไปยังท้องฟ้าสีสดใส
เอ...ทำไมรองประธานบริษัทถึงดูเศร้าๆ
อย่างนั้นล่ะ ไม่เหมือนคนโหดๆ เวลาเขาแกล้งเลย ตลอดหนึ่งเดือนที่มาฝึกงานที่นี่โอเซฮุนก็ยังคงแกล้งผสมกับจีบรองประธานบริษัทและโดนรีแอคชั่นโหดๆ
กลับมา
“นั่งเหม่อลอยเป็นนางเอกเอ็มวีเลยนะ”
ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ วันนี้ลู่หานมาแปลกตาหน่อย
ปกติจะใส่สูทตามสไตล์รองประธานแต่วันนี้กลับใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวลายตรงสีขาวดำสลับกันกับกางเกงยีนส์
คงไม่ได้ตั้งใจมาทำงานสินะ...
“...วันนี้ไม่มีอารมณ์เถียงด้วยหรอกนะ”
นอกจากแปลกเรื่องเสื้อผ้าแล้ว ยังแปลกทั้งอารมณ์อีก
นัยน์ตากวางที่ตอนนี้ดูว่างเปล่าหันมาบอกก่อนจะกลับไปนั่งเหม่อลอยตามเดิม
“พี่เป็นอะไรรึเปล่า บอกผมได้นะ”
เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาต่อล้อต่อเถียงด้วยหรอก
และยิ่งเห็นคนตัวเล็กเป็นแบบนี้แล้วยิ่งกังวลเข้าไปใหญ่ จึงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“ถึงผมอาจจะช่วยอะไรไม่ได้”
“...”
“แต่ผมก็อยากให้พี่ระบายออกมา”
“แน่ใจนะ...ว่าถ้าฟังแล้วจะเจ็บ” เป็นอีกครั้งที่นัยน์ตาว่างเปล่าหันมามองแล้วถามด้วยคำถามที่ชวนสงสัยมากกว่าเดิม
ทำไมต้องเจ็บด้วย... เรื่องอะไรวะ
“อื้อ” ถึงจะเคลือบแคลงใจเพียงใดก็ยอมพยักหน้ารับ
“แฟนเก่าโทรมาขอคืนดี”
ปากได้รูปขยับพูดออกมาให้คนที่นั่งข้างๆ ฟัง แต่สายตาก็ยังคงเหม่อมองไปยังผืนฟ้าสีสวย
“...”
กลายเป็นว่าโอเซฮุนเป็นอีกคนที่ทำนัยน์ตาเศร้าไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ทั้งที่ยอมรับฟังเขาแล้วและเขาก็เตือนมาแล้วด้วยว่าถ้าฟังแล้วจะเจ็บ
ความรู้สึกปวดหนึบอวัยวะที่อยู่ตรงหน้าอกข้างซ้ายพวกนี้มันมาจากไหนกัน
จีบก็ยังจีบไม่ติดแถมยังมาได้ยินว่าแฟนเก่ากำลังจะขอคืนดีอีก
“แล้วพี่ตอบกลับไปว่าไง”
เพราะเป็นฝ่ายคะยั้นคะยอให้เขาเล่าเองจึงต้องดำเนินต่อไป
“ก็...ไม่ได้ตอบไปที”
“เขาดีกับพี่มั้ยล่ะ”
เป็นคำถามที่ไม่ควรถามออกไปเลย แต่ไม่รู้ทำไมปากถึงพลั้งถามไปแบบนั้น
“ก็ดีนะ...แต่สุดท้ายเขาก็ไม่คิดจะหยุดแค่ที่ฉันคนเดียว”
เสียงที่เปล่งออกมาตอนแรกก็ดีพอพูดถึงตอนที่เลิกกันก็เศร้าไปเลย
“สุดท้ายเราสองคนก็ต้องเลิกกัน ความจริงเขาก็ยื้อไว้นะ
แต่ฉันก็ไม่อยากหยุดชีวิตไว้กับคนที่ไม่คิดจะจริงจังอยู่แล้ว”
แต่ผมจริงจังกับพี่นะ...
คนที่นั่งรับฟังอยากพูดออกไปมาก
แต่ก็ได้เก็บไว้ในใจ ไม่กล้าพูดออกไป ทั้งๆ
ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาโอเซฮุนตั้งใจจีบแบบไม่แคร์ใครแต่ทำไมวันนี้มันถึงมีความกลัวเข้ามาครอบงำ
ก่อนหน้านี้ลูกพี่ลูกน้องเขาก็ได้บอกไว้แล้วว่ามันมีสาเหตุที่ลู่หานไม่ยอมเปิดใจให้ใครง่ายๆ
ที่แท้ก็มาจากคนนี้นี่เอง... สงสัยรักมากแน่ๆ
“แล้วพี่รักเขามากมั้ยอ่ะ”
และนี้คงเป็นคำถามที่แปลกทีเดียวเชียว ถามคนที่ชอบว่ารักแฟนเก่ามากแค่ไหน...
เพราะอยากรู้จึงถามออกไป
คนที่โดนถามอย่างลู่หานก็หันหน้ามามองอย่างสงสัยก่อนจะแค่นหัวเราะออกมา
ป๊อก!
“โอยยย” คนที่ถามคำถามแปลกกุมหน้าผากไว้ทันทีเมื่อโดนคนหน้าหวานดีดนิ้วใส่
“ไอ้เด็กบ้า
ใครเค้าถามคนที่จีบว่ารักแฟนเก่ามากแค่ไหนบ้างล่ะ” คนตัวเล็กแสยะยิ้มที่มุมปาก
ลู่หานรู้ว่าไอ้เด็กบ้าตรงหน้ากำลังจีบอยู่ก็ไม่น่ามารู้เรื่องอะไรแบบนี้แล้วยิ่งไปกว่านั้นยังมาถามด้วยคำถามแปลกๆ
อีก
ไม่เจ็บบ้างรึไงนะ...
“ง่าาา ก็อยากรู้เฉยๆ”
“อืม...ก็รักมากอ่ะ”
ลู่หานตอบคำถามไปและรอดูปฏิกริยาที่ตอบกลับมา
“เหรอ...”
“...”
“...”
ถ้ารู้ว่ามันจะรู้สึกเจ็บแบบนี้เซฮุนควรเลือกที่จะไม่ถามมากว่า...
“แต่ก็แค่เคยรัก” ลู่หานเฉลยสิ่งที่พูดยังไม่จบพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาเล็กๆ
เขาแค่จะทดสอบดูว่าเด็กข้างๆ
เขาเนี่ยมันจะรู้สึกยังไงถ้าได้ยินว่าเขารักแฟนเก่ามาก
ร่างสูงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งอก
“ถามจริงเถอะ พี่ไม่หวั่นไหวบ้างเหรอ
ผมจีบพี่มาหนึ่งเดือนแล้วนะ” เซฮุนตั้งใจจะเปลี่ยนเรื่อง
ดูเหมือนคนที่เคยทำหน้าตาเศร้าๆ เริ่มยิ้มออกมาบ้างแล้วจึงไม่อยากวกให้กลับไปอยู่ที่เรื่องเดิม
โอเซฮุนก็แค่คนหนึ่งที่อยากทำให้คนที่ชื่อ ‘ลู่หาน’ มีความสุขเวลาอยู่กับเขา
“เหอะ ไม่อ่ะ” อย่างน้อยๆ
ลู่หานก็กลับมาเป็นพี่หน้าหวานแข้งโหดคนเดิมแล้ว
ด้วยการส่งเสียงร้องในลำคอแล้วตอบอย่างเย็นชาก่อนจะส่ายหน้าไปมา
แม้จะตอบไม่ตรงกับที่เซฮุนคาดหวังไว้แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้เซฮุนรู้สึกไม่ดีเหมือนเมื่อกี้
“โกหกใจตัวเองไม่ดีนะครับ” เด็กขี้เล่นก็ยังขี้เล่นวันยังค่ำ
ใบหน้าหล่อที่มักจะชอบยียวนใส่ลู่หานยื่นเข้ามาใกล้จนลู่หานต้องถอยออกมา
“คะ...ใครว่าฉันโกหก”
“เหรอครับ...เสียงตะกุกตะกักนะ”
แขนทั้งสองข้างคร่อมร่างของคนตัวเล็กไว้พลางใช้สายตาเจ้าเล่ห์มอง
RRRRrrr
เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นขันจังหวะพอดี
ถ้าโทรศัพท์ไม่ดังมีหวังโอเซฮุนทนไม่ไหวต้องประทับรอยจูบไปอีกแน่ๆ
หลังจากวันที่ไปดูหนังลู่หานก็พยายามไม่ให้เซฮุนเข้ามาทำอย่างนั้นได้อีก
“ฮัลโหล” พอเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก็รับทันที
ไม่นานเสียงแว๊ดๆ ก็ดังขึ้น เซฮุนพอจับใจความได้จึงตอบกลับไปอย่างประชด
“รู้แล้วครับ คร้าบบบบบบบบบบบบบบบ”
เมื่อวางสายไปแล้วก็กลับมาสนใจพี่หน้าหวานต่อ
ดูเหมือนตอนที่เซฮุนคุยโทรศัพท์พี่หน้าหวานคงจะกลับเข้าสู่โหมดเดิมอีกแล้ว
เหม่อมองไปบนท้องฟ้าด้วยสายตาอันว่างเปล่า และเขาก็คิดบางอย่างได้
“พี่ลู่หาน”
“หือ?” คนตัวเล็กหันมามองตามเสียงเรียก
“ไปเที่ยวกันมั้ย”
“...”
“แต่ก่อนไปผมขอพาพี่ไปที่ๆ นึงก่อนนะ”
.
.
.
.
คาวาซากิ ZZR1400 สีดำเคลื่อนผ่านประตูรั้วที่แสนโอ่อ่าอีกครั้ง
และมันก็ทำให้คนที่นั่งซ้อนท้ายอย่างรองประธานบริษัท The Luciano
Company ต้องอ้าปากค้างใต้หมวกใบใหญ่ที่คนขับเสียสละให้ใส่
เซฮุนเป็นแบบนี้เสมอเวลามีคนซ้อนท้าย
ไม่ว่าจะน้องสาวหรือเพื่อนสนิทและมีหมวกแค่อันเดียวเขาก็จะเสียสละให้คนข้างหลังใส่
ช่างเรื่องนั้นเถอะ ตอนนี้หัวใจของเขากำลังเต้นแรงมากๆ
ไม่ได้มาจากการขี่รถมอเตอร์ไซด์คันนี้หรอก คนที่นั่งซ้อนท้ายเขาตอนนี้มากกว่า
เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เขาได้ชวนให้ลู่หานไปเที่ยวด้วยกัน
ตอนแรกนึกว่าอีกคนจะไม่ไปแต่พอคะยั้นคะยอสักพักคนตัวเล็กก็ตกลง
และเป็นเรื่องที่ดีมากที่คนตัวเล็กไม่ได้มาบริษัทด้วยยานพาหนะส่วนตัว
จึงทำให้ต้องซ้อนท้ายมากับเขา
แต่ที่ต้องเข้ามาที่บ้านโอเซฮุนก่อนนั้น เพราะต้องมารับสาวที่บ้านอย่างที่เคยบอกคยองซูไว้
และเป็นใครไปไม่ได้นอกจากลูกสาวคนเล็กของบ้าน เพราะโรงเรียนของมินอาหยุดทำให้เด็กน้อยอยากไปเที่ยว
แต่เนื่องจากป่ะป๊ากับม่ะม๊าต้องบินไปดูงานที่ต่างประเทศทำให้ไม่มีใครพามินอาไปเที่ยว
เซฮุนเลยต้องพามินอาไปเที่ยวแทนเพื่อไม่ให้น้องต้องเสียใจ
และคนที่โทรตามเมื่อกี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากมินอาที่อยากไปเที่ยว...
ปกติวันหยุดน้องสาวคนเล็กจะตื่นสายแต่พอรู้ว่าจะได้ไปเที่ยวก็รีบตื่นตั้งแต่หกโมงแถมเข้ามาปลุกพี่ชายด้วยคำสัญญาอีกต่างหาก
คาวาซากิสีดำถูกนำให้ไปจอดในที่จอดรถของบ้านที่มีรถไม่ได้ใช้งานเรียงอยู่หลายคัน
และมันก็ทำให้ลู่หานอึ้งมากๆ เขาไม่คิดเลยว่าโอเซฮุนจะรวยขนาดนี้
“โอ๊ะ! นั่นมัน...”
คนตัวเล็กที่ลงจากรถแล้วถอดหมวกกันน็อคคืนเจ้าของต้องเบิกตากว้างและร้องขึ้นมาทันทีเมื่อสายตาไปสะดุดกับรถคันที่จอดอยู่ข้างๆ
กัน “Mercedes-AMG GT Brabus คันที่ราคาหลายสิบล้านวอนนี่”
“เอ่อ...ใช่” พอได้ยินชื่อเซฮุนก็ตอบกลับไปแบบงงๆ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้จักเพียงแต่อาการท่าทางของคนตัวเล็กมันน่าขบขันมากๆ
ไอ่ท่าทางภูมิใจที่ได้เห็นรถที่ชื่นชอบ ดวงตาวิบวับเป็นประกายต่างจากเมื่อกี้มากๆ
“เฮ้ย! Maserati Grancabrio สีขาวด้วย”
“...”
“ชอบจัง” ลู่หานยังไม่หยุดทำท่าทางแบบนั้นสักที
แม้มันจะน่าขำ...
แต่มันก็น่ารักในสายตาเซฮุนอยู่มาก...
“พี่จะรออยู่ตรงนี้มั้ย หรือเข้าไปข้างในด้วย”
เซฮุนถามเพราะเห็นพี่หน้าหวานเอาแต่สนใจรถคันหรู
ซึ่งคนตัวเล็กก็ได้สติและเพิ่งรู้ว่าตัวเองทำท่าทางที่น่าอายขนาดไหนไปจึงหัวเราะแห้งๆ
ให้ก่อนจะส่ายหัวซึ่งแปลว่าจะเข้าไปข้างใน
พอคนตัวเล็กได้เดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ก็ต้องอึ้งกว่าเดิม
ข้างนอกว่าหรูแล้วข้างในนี่หรูเป็นสองเท่าเลย ให้ตายเถอะ! พ่อแม่เซฮุนเปิดบ่อนคาสิโนรึเปล่านะถึงได้รวยขนาดนี้
บ้านลู่หานยังไม่ขนาดนี้เลย
“โห...นี่ นายเคยหลงทางในบ้านป่ะ”
คนตัวเล็กที่พ่วงใบหน้าหวานเอ่ยถามด้วยเสียงใส
“ฮ่ะๆ” คนถูกถามหัวเราะออกมาก่อนจะตอบ
“เคยมั้งครับ...ตอนเด็กๆ”
“ฮุนฮูนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน”
จู่ๆ เสียงแหลมปรี๊ดของเด็กก็ดังมาจากข้างในห้องรับแขกที่อยู่ทางซีกขวามือ
และไม่นานก็มีก้อนเล็กๆ โผล่มาให้เห็นหน้า โอมินอารีบวิ่งเข้ามาหาพี่ชายสุดที่รักทันที
เซฮุนต้องยิ้มขำๆ
อย่างเอ็นดูให้กับเด็กน้อยวัยหกขวบที่ตื่นเต้นกับการไปเที่ยวสวนสนุกเป็นพิเศษ
โอมินอาในสภาพเสื้อแขนยาวสีชมพูติดผ้ามุ้งสีดำที่มีเพชรแต้มรอบๆ
เหมาะกับสีผิวขาว ส่วนกางเกงก็เป็นกางเกงสกินนี่สีเทา ผมถูกเกล้าขึ้นไปทำให้เห็นใบหน้าน่ารักอย่างชัดเจน
แต่สิ่งที่ทำให้เซฮุนอดขำอย่างเอ็นดูไม่ได้คือแว่นตากันแดดที่อันใหญ่กว่าหน้า
และมันเป็นของเยริมด้วยถ้าจำไม่ผิด
สงสัยจะแอบเข้าไปรื้อของพี่สาวที่ไปโรงเรียนแน่ๆ เลย
“วันนี้น่ารักจังเลยนะตัวเล็ก
แต่ฮุนฮุนว่าตัวเล็กถอดแว่นดีกว่านะ”
พอร่างสูงอุ้มหนูน้อยมินอาขึ้นมาก็บอกให้เจ้าตัวถอดแว่นอันใหญ่ ซึ่งมินอาก็ไม่ดื้อ
(ขืนดื้อเซฮุนก็ไม่พาไปเที่ยวน่ะสิ) ยอมถอดให้แต่โดยดี
เขาเลยยื่นแว่นให้กับแม่บ้านเอาไปวางไว้ในห้องนั่งเล่น
“ว่าแต่พี่คนสวยคือใครเหรอคะ”
เด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเพิ่งสังเกตว่ามีแขกเข้ามาในบ้าน
และสวยซะด้วยจึงเอ่ยปากถามพี่ชายไป
“เรียกเขาว่า ‘คุณลุงลู่หาน’ นะ” โอเซฮุนหันหลังกลับไปให้หนูน้อยได้เห็นหน้าพี่หน้าหวานของเขา
“บ้า! เรียกลูลู่ก็ได้ครับ”
คนโดนแกล้งถลึงตาใส่พร้อมทั้งตีไปที่แขนซ้ายอย่างเบา (เหรอ) ก่อนจะหันมาคุยกับหนูน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มที่ดูเหมือนจะเป็นน้องสาวของโอเซฮุน
“ว่าแต่หนูชื่ออะไรครับ”
“ชื่อมินอาค่ะ ลูลู่เรียกเค้าว่าตัวเล็กเหมือนฮุนฮุนก็ได้นะ”
โอมินอาแนะนำตัวอย่างเป็นมิตร เป็นเรื่องแปลกที่มินอาทักทายอย่างเป็นมิตรกับลู่หาน
เพราะปกติเวลาเซฮุนพาเพื่อนผู้หญิงคนไหนมาทำงานที่บ้านมินอาจะทำหน้าไม่รับบุญอยู่ตลอด
ไปแกล้งเค้าบางอะไรบ้าง “ว้า...หน้าตาก็สวย ไม่น่าเป็นทอมเลย”
“ห๊ะ...?”
ประโยคที่มินอาเอ่ยพึมพำออกมาเอาคนที่ถูกพาดพิงถึงกินจุดไป
“ฮ่ะๆ ลูลู่เป็นผู้ชายครับตัวเล็ก แค่หน้าสวยเฉยๆ”
“อ้าวเหรอคะ...”
“ครับ...ลูลู่เป็นผู้ชาย” ลู่หานสนับสนุน
มิเช่นนั้นเขาคงจะกลายเป็นทอมในสายตาหนูน้อยโอมินอาแน่ๆ
“ว่าแต่ลูลู่จะไปกับเรามั้ยง่า”
มินอาในอ้อมแขนพี่ชายเอ่ยถาม
มินอาคิดว่ามันคงจะดีถ้ามีลูลู่ไปเป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกัน
“ไปสิครับ”
ลู่หานตอบกลับไปพร้อมส่งรอยยิ้มไปให้ก่อนจะขยี้หัวของหนูน้อยเบาๆ อย่างเอ็นดู
หน้าตาไม่ค่อยไปทางเซฮุนเท่าไหร่เลยสงสัยอาจจะมีใครได้พ่อ ส่วนอีกคนน่าจะได้แม่
เซฮุนปล่อยให้หนูน้อยมินอาลงยืนกับพื้นก่อนจะบอกให้ทั้งสองรอ
เพราะเขาจะไปเอากุญแจรถที่อยู่บนห้องนอน
หนูน้อยมินอาเดินเข้ามาหาพี่ชายหน้าหวานก่อนจะกระตุกชายเสื้อพร้อมกับเรียกเสียงหวาน
“ลูลู่”
“ครับตัวละ...”
“ลูลู่กับฮุนฮุนเป็นแฟนกันเหรอคะ”
หนูน้อยมินอาไม่รอให้พี่ชายหน้าหวานขานรับก็สวนกลับไปด้วยคำถามที่เล่นลู่หานไปไม่ถูกเลยทีเดียว
“เอ่อ...” ร่างเล็กจะตอบยังไงดีนะว่าพี่ชายของหนูมาจีบ
แต่หนูน้อยมินอาก็แค่ถามว่าเป็นแฟนกันรึเปล่านี่นา... จะคิดอะไรมาก “เปล่าครับ
เซฮุนเขาไปฝึกงานที่บริษัทลูลู่น่ะ”
“อ๋ออออ
ความจริงนะ...เค้ายอมให้ลูลู่เป็นแฟนกับฮุนฮุนเลยนะ เห็นว่าลูลู่น่ารักดี...”
ประโยคที่เด็กหกขวบกล่าวออกมาลู่หานไม่ค่อยเข้าใจหมดหรอก
แต่พอโดนชมก็ต้องเกาท้ายทอยแก้เขิน
ไม่นานร่างสูงก็กลับมาพร้อมกับกุญแจในมือ
ลู่หานจับมือมินอาให้เดินมากับเขา โดยมีเซฮุนเดินตามข้างหลังด้วยรอยยิ้ม
และเซฮุนก็เลือกจะโดยสารด้วยมาเซราติแกรนคาบริโอสีขาวคู่ใจ
เขาเดินไปประตูฝั่งคนนั่งให้ลู่หานได้ขึ้นไปและตามด้วยมินอาที่อยากนั่งหน้ากับพี่หน้าหวาน
ก่อนจะเดินไปฝั่งคนขับ
น่ารักเนอะ...เหมือนครอบครัวจริงๆ เลย
OHS’REASON
“โว๊ยยยยยย!”
มือหนาขัดจานเค้กทำเหมือนกับว่ามีคราบเลือดที่แห้งแล้วติดอยู่ทั้งที่ความจริงเป็นแค่คราบช็อคโกแลต
เพื่อระบายความแค้นที่เพื่อนผัวเมียตัวแสบทำไว้
วันนี้เลิกฝึกงานที่บริษัทของครอบครัวจื่อเทาเสร็จเร็ว เลยเหลือครึ่งวันก็ตัดสินใจจะมาช่วยงานที่ร้าน
แต่พอมาถึงก็ไม่เจอทั้งสองที่ขอมาก่อน
รอเป็นชั่วโมงแล้วก็ไม่เห็นคู่ผัวเมียโผล่เงากะลาหัวมาเสียที ไม่รู้ไปได้กันกี่น้ำแล้ว
ให้ตายเถอะ!!!
มีจานกองเป็นพะเนินเทินทึกให้ล้าง!!!
แล้ววันนี้เสือกเป็นวันที่คนเข้ามาเยอะอีก พอโทรตามก็ไม่ยอมรับสาย
แล้วยังมีหน้าส่งข้อความมาหาก่อนจะปิดเครื่องหนีอีกว่า
แบคกี้น้อยไม่น้อยเหมือนชื่อ : กูสองคนขอโทษนะเว้ย
แต่วันนี้วันเป็นวันครบรอบวันตายอาม่าของอาม่าของอาม่าจื่อเทาอ่ะ
เดี๋ยวพรุ่งนี้กูให้มึงพักเลย ไม่ต้องมาช่วยงาน ขอโทษนะอิปาร์ค
และขอบคุณที่เข้าใจนะ T-T
เข้าใจบ้านมึงจะมาหัวเสียอย่างนี้มั้ยหา!!!
“ขัดให้มันเบาๆ หน่อยก็ได้ เดี๋ยวจานก็แตกหรอก”
อู๋อี้ฟานที่เดินเข้ามาเห็นลูกจ้างกำลังจะทำลายข้าวของก็รีบปรามไว้ก่อน
เขาพอรู้ว่าเหตุที่ทำให้ลูกจ้างตัวสูงคนนี้หัวเสียคืออะไร
“เสือกจริง”
ด้วยความหงุดหงิดจึงทำให้ชานยอลเผลอพูดออกไป
คนที่ได้ยินอย่างเจ้าของร้านกรอกตาขึ้นลงอย่างระอา ช่วงหลังมานี่
ชานยอลไม่ค่อยพูดหยาบๆ ใส่เขาแล้วนะ แต่สงสัยจะหงุดหงิดจริงๆ
แต่ทำไมครั้งนี้มันแปลกไปล่ะ... มันรู้สึกแปลกๆ
กับคำด่าของชานยอล
“ชานยอล...ไปปิดร้านเถอะ”
อี้ฟานเดินเข้าไปหาใกล้ๆ ก่อนจะแย่งสก๊อตไบรท์มา
พอโดนสายตาสงสัยมองกลับมาก็อธิบายต่อ “จะไปซื้อของเข้าร้านเลยปิดเร็ว”
“อือ” คนที่อารมณ์ไม่ค่อยดีพยักหน้าแล้วล้างมือที่มีฟองน้ำยาล้างจานเต็มไปหมด
ต่อจากนั้นก็เดินไปข้างนอกครัวเพื่อไปล็อคประตูข้างหน้าแล้วกลับมาเคลียร์บัญชีของวันนี้ให้เรียบร้อย
ใช้เวลาไม่นานก็ทำเสร็จและพบว่าเจ้าของร้านอย่างอู๋อี้ฟานก็ล้างจานเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ชานยอลเองก็ต้องไปซื้อของเข้าร้านกับอี้ฟานด้วย
มันเป็นเรื่องปกติสำหรับชานยอลที่ต้องไปด้วย ระหว่างที่นั่งรถที่ร่างสูงเป็นคนขับ
บรรยากาศในรถช่างเงียบยังไงอย่างนั้น
ปกติจะมีเสียงของคนตัวสูงที่คอยพูดจาแหย่เขา
แต่วันนี้กลับเงียบแปลกๆ ชานยอลเผลอพูดอะไรไม่เข้าหูรึเปล่านะ...
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ชานยอลแคร์อยู่แล้ว
คนตัวสูงจะเงียบก็ไม่ใช่เรื่องที่ชานยอลต้องสนใจ ดีแล้ว
ไม่ต้องมาต่อล้อต่อเถียงด้วย
แต่มันก็เงียบแปลกๆ นะ .__.
ปาร์คชานยอลเริ่มปลงเรื่องสองผัวเมียนั้นแล้วล่ะ
อารมณ์ตอนนี้ก็เลยเป็นปกติ...แต่มันก็เริ่มไม่ปกติอีกแล้วอ่ะ ยิ่งในรถเงียบแค่ไหน
มันก็อึดอัดมากแค่นั้น หรือว่าอี้ฟานจะโกรธที่เขาพูดจาไม่ดีใส่เมื่อกี้
ก็คนมันโมโหนี่หว่า...
ตลอดหนึ่งเดือนที่ทำงานที่ร้านชานยอลเริ่มไม่ค่อยพูดจาหยาบๆ
ใส่อู๋อี้ฟานเท่าไหร่แล้ว ทำให้เงินที่บอกว่าจะหักครั้งละพันวอน โดนหักไปแค่เจ็ดพันวอนเอง
(บางครั้งก็เผลอ) จะว่าไปกลับมาสนใจคนที่นั่งขับรถไม่สนใจที่จะพูดอะไรออกมาดีกว่า
“นี่...”
แม้ชานยอลพยายามจะไม่คิดเรื่องที่อี้ฟานเงียบแล้ว แต่สุดท้ายมันก็อดไม่ได้
“...” ไม่มีสัญญาตอบรับจากบุคคลที่ท่านเรียก...
“...ขอโทษ” ชานยอลไม่กล้าหันไปมองคนที่ขับรถจึงหันมาทางกระจกแล้วเอ่ยขอโทษไป
“...”
“ขอโทษที่พูดไม่ดีเมื่อกี้”
“อื้ม” อี้ฟานแอบยิ้มกริ่มในใจ
เขาแค่อยากจะแกล้งเงียบดูบ้างว่าชานยอลจะรู้สึกและจะจัดการเรื่องพวกนี้อย่างไร
ซึ่งผลตอบรับก็เป็นที่พึงพอใจสำหรับอี้ฟานอย่างมาก
เมื่อมาถึงที่จอดรถของห้างสรรพสินค้า
ก็จอดรถไว้แล้วเดินเข้าไปในตัวห้าง
อี้ฟานตัดสินใจเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นให้กับชานยอลที่มาช่วยที่ร้าน
แม้ไม่นานแต่ก็เหนื่อยอยู่เหมือนกัน ซึ่งปาร์คชานยอลก็โอเคที่มีคนเลี้ยงมื้อเย็น
แถมยังเป็นอาหารญี่ปุ่นที่ชานยอลชอบอยู่
“เอาแค่นี้แหละครับ”
อี้ฟานเอ่ยจบให้กับการสั่งอาหารก่อนจะยื่นเมนูคืนไป
ไม่นานอาหารทุกอย่างที่สั่งไปก็มาเสิร์ฟ
ทำให้คนทั้งสองที่ตกอยู่ในห้วงเวลาของตนเองโดยการเล่นโทรศัพท์เงยหน้าขึ้นมามองอาหาร
ชานยอลทำตาลุกวาวกับสิ่งตรงหน้า เขาได้มากินสักพักแล้วล่ะ ปกติจะมากินกับที่บ้านแต่เพราะไม่ค่อยว่างบวกกับช่วยงานที่ร้านแล้วเลิกดึกด้วย
“ชอบอาหารญี่ปุ่นมากเลยเหรอ”
อี้ฟานที่คอยมองคนตรงข้ามตลอดอ้าปากถาม
ยิ่งชานยอลรีบจับตะเกียบแล้วคีบซูชิเข้าปากมันดูน่าเอ็นดูยังไงบอกไม่ถูก
“อื้อ...”
คนเคี้ยวแก้มตุ่ยครางในลำคอพร้อมทั้งพยักหน้า
อี้ฟานเห็นซูชิหน้ายำสาหร่ายดูน่าจะอร่อยจึงลองหยิบมาทานบ้าง
โดยละอูด้งตรงหน้าไปก่อน แต่พอชิมเข้าไปแล้วก็ต้องสำลักทันที
เพราะฤทธิ์ของวาซาบิที่ไม่รู้ติดมาตอนไหนมันขึ้นจมูก
มือหนาจึงต้องเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำชาเขียวขึ้นมาดื่มแก้เผ็ด
“ฮ่าๆๆๆๆ” ชานยอลที่นั่งตรงข้ามเห็นเหตุการณ์เลยหัวเราะออกมาอย่างตลก
อันที่จริงเขาวางเป้าหมายไว้ที่ชิ้นนั้นแล้วเลยเอาวาซาบิโปะจองไว้
ไม่รู้ว่าอี้ฟานถึงไม่เห็นว่ามีวาซาบิโปะอยู่บนซูชิหน้ายำสาหร่าย
สงสัยสีจะเหมือนกันล่ะมั้ง...
“นี่! จงใจแกล้งฉันใช่มั้ย?” เมื่อกระดกน้ำให้พอโอเคก็วางแก้วลงก่อนจะหยิบทิชชู่มาเช็ดรอบๆ
ปาก สายตาก็มองไปเห็นคนตรงข้ามกำลังหัวเราะอย่างชอบใจ จึงตีโพยตีพายใส่
“ก็เปล่า...ก็ยอลจะกินอันนั้นก็เลยวางวาซิบิไว้ก่อน
ฟ่านดันมาหยิบเองอ่ะ” คนตัวสูงโย่งพอๆ
กับอี้ฟานเล่นหูเล่นตาพลางบอกความจริงออกไป
ตอนนี้อี้ฟานไม่ได้สนใจคำแก้ตัวของอีกฝ่ายเลย
เขาแค่สนใจคำว่า ‘ฟ่าน’
ที่ออกมาจากปากบางสีชมพูอ่อนนั่น... ไม่บ่อยหรอกทีปาร์คชานยอลจะเรียกเขาว่า ‘ฟ่าน’ ถึงมันจะไม่มีคำว่า ‘พี่’
นำหน้า สำหรับใครหลายคนอาจจะคิดว่าชานยอลปีนเกลียวแต่สำหรับอี้ฟาน
เขาไม่คิดเช่นนั้น
แถมยังแทนตัวเองว่า ‘ยอล’ อีก... ไม่ค่อยได้ยินเลยแฮะ
จะบอกว่าน่ารักก็ไม่เชิง...
“เอ้อๆ ช่างมันเถอะ”
อี้ฟานเลิกคิดเรื่องพรรค์นั้น เรื่องที่ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ในใจ
เจ้าของร้านคาเฟ่ใช้ตะเกียบหยิบซาชิมิขึ้นมากินและตรวจดูดีๆ
แล้วว่าไม่มีวาซาบิอยู่
“ฟ่าน...คือ รับสมัครพนักงานเพิ่มจะดีมั้ย”
ชานยอลกลืนซูชิอีกชิ้นที่กินเข้าไปลงท้องก่อนจะเอ่ยแสดงความคิดเห็นที่เขาคิดมาสักพักแล้ว
“ทำไมอ่ะ”
อี้ฟานไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองคนหน้าหวาน (นิดๆ)
แต่กำลังสาละวนกับการคีบเส้นอูด้งขึ้นมากิน
“คือ...ที่ร้านดูยุ่งๆ แถมพวกเราสามคนก็มาช่วยทำงานแค่ตอนเย็น”
สามคนที่ชานยอลหมายถึงก็คือชานยอล แบคฮยอน และจื่อเทา
นอกจากต้องไปฝึกงานที่บริษัทของครอบครัวจื่อเทาทุกวันจันทร์ถึงศุกร์แล้วยังต้องมาช่วยร้านคาเฟ่ของอี้ฟานในตอนเย็นอีก
ดังนั้นตอนเช้าจึงไม่มีคนช่วยที่ร้านเลย
“ไม่เป็นไรหรอก เพราะตอนเช้าคนไม่ค่อยเยอะจนวุ่นวายมาก”
อี้ฟานเงยหน้าขึ้นมาอธิบายตามจริง
เขาก็รู้อยู่แล้วตั้งแต่รับสามคนนี้เข้ามาทำงานว่าจะมาช่วยที่ร้านได้แค่ตอนเย็นเท่านั้น
แต่เพราะเหตุผลบางอย่าง...เลยต้องรับเข้ามา
หลังจากจบประโยคอี้ฟาน ชานยอลก็ไม่คิดจะเอ่ยอะไรออกมาอีก
ก้มหน้าก้มตากินของตนเองไป อี้ฟานก็เช่นกัน
เจ้าของร้านไมรู้ว่าจะยกเรื่องอะไรขึ้นมาพูดกับลูกน้องดีเลยตั้งใจกินอูด้งในถ้วยต่อไป
เจ้าของร้านร่างสูงคีบเส้นที่แสนคีบยากขึ้นมาก่อนจะใช้ปากงาบไว้และดูดเข้าไป
แต่ก็ไม่รู้ทำไมเส้นนี้ถึงได้ยาวนัก เพื่อไม่อยากยืดเยื้อเวลาให้นานจึงดูดเข้าปากอย่างรวดเร็ว
และแล้วน้ำที่ติดมาก็กระเด็นไปโดนหน้าของคนฝั่งตรงข้าม
“อ๊ะ!”
ชานยอลสะดุ้งทันทีเมื่อมีน้ำคล้ายๆ น้ำซุปมาติดบนจมูก
พอเงยหน้าขึ้นไปจะด่าคนที่กินไม่มีมารยาทก็พบกับใบหน้ายิ้มแห้งๆ ให้
“แกล้งคืนป่ะเนี่ย”
“ขอโต๊ด...พอดีรีบไปหน่อย ไม่ได้จะแกล้ง”
แก้ตัวพร้อมกับยิ้มแห้งๆ
ส่งให้ก่อนจะพบว่าลูกน้องตนเองยังไม่ได้หยิบทิชชู่มาเช็ดคราบน้ำซุปที่ไปหยดอยู่บนจมูกและแก้มขาว
ด้วยความที่รู้สึกผิดที่ทำตัวไม่มีมารยาทจึงหยิบทิชชู่มาก่อนจะบรรจงเช็ดให้ที่จมูกโด่งอย่างค่อยๆ
จากนั้นก็ซับคราบน้ำซุปบริเวณแก้มขาว
และนั่นก็ทำให้ดวงตาคมของอี้ฟานต้องสบกับดวงตาโตของชานยอลที่จ้องมาอยู่ก่อนแล้ว
อีกแล้ว...ความรู้สึกแปลกๆ มันเกิดขึ้นอีกแล้ว
ดวงตาคมสำรวจใบหน้าน่ารักของชานยอลไปทั่ว...เมื่อได้มองอย่างนี้และในแบบที่ชานยอลไม่ได้เป็นเหมือนวันแรกๆ
ที่เจอกันแล้ว เขารู้สึกว่า...
ชานยอลน่ารักมาก...
ยิ่งตอนนี้แก้มขาวกำลังขึ้นสีแดงระเรื่อแล้ว
ยิ่งทำให้อวัยวะด้านซ้ายเต้นแรงขึ้นทุกที
“อะแฮ่ม”
ปาร์คชานยอลรู้ตัวว่าโดนจ้องนานไปแถมมือกร้านที่ใช้ทิชชู่เช็ดยังคาไว้ที่แก้มอยู่จึงร้องขัด
และนั่นก็ทำให้อี้ฟานหลุดออกจากภวังค์แล้วรีบเอามือออกจากแก้มของชานยอลก่อนจะสนใจอูด้งในถ้วยต่อ
ทั้งสองไม่พูดอะไรออกมาจนกระทั่งเช็คบิลก่อนจะเดินมาที่ซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อซื้อของเข้าร้านจึงจะพูดคุยกัน
บางที...อีกไม่นานอี้ฟานคงจะพบโรคที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้
- - - - - - - - - - - - - - - - -
ฮัลโหลลลลลลลลลลล
เอ้โย้วจีจี .______.
เรารู้สึกว่าตัวเองดำเนินเรื่องราวไปเร็วมาก55555555555
เพราะหลังจากนี้มันจะมีๆ หลายเรื่องเข้ามา เลยไม่อยากให้เรื่องมันยืดเยื้อเท่าไหร่
ตอนนี้เราเสียใจมากกก T_T มีแต่คนอ่านแล้วไม่ค่อยเม้นเลยงื้อออออ
ตอนนี้
ถ้าอ่านแล้วไม่เม้นต์
เราขออนุญาตให้แปะเมลล์เวลามีฉากนั้นนะคะ
เราขอโทษที่ต้องทำแบบนี้แต่คือ เราอยากได้กำลังใจในการแต่งบ้าง
บางทีคือ เราหัวไม่แล่นแต่พอมาอ่านคอมเม้นต์แล้วกำลังใจมันก็มา
และเราก็ขอบคุณทุกคนที่ติดตามและเม้นต์นะคะ
:D
ยังไงก็อย่าลืมคอมเม้นให้กำลังใจด้วยน้าาาา *-*
แล้วก็ฝากติดตามอีกเรื่องด้วยนะคะ
http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1383086
ความคิดเห็น