ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [iKON] เล่ห์จิ้งจอก [DoubleB]

    ลำดับตอนที่ #5 : ๕.แย้มเผยเงื่อนงำ

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.ย. 58




    - แย้มเผยเงื่อนงำ -

     


                “ฮันบินอา...” เสียงร้องเรียกทุ้มนุ่มเสียงนั้นที่ระคายหูเหลือเกินแว่วดัง ทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียงขมวดคิ้วคราหนึ่งอย่างรำคาญใจ เลือกที่จะทำทีเป็นเมินเฉยไม่แยแส เพียงขยับเรียวแขนให้เจ้าตัวน้อยที่หลับสนิทอยู่นอนในท่าที่สบายมากขึ้นโดยไม่ขานตอบ

     

                ทว่าอีกฝ่ายก็ใช่จะยอมแพ้ง่ายดาย...ดื้อด้านเหมือนอย่างทุกที

     

                “ข้ารู้...ว่าเจ้ายังไม่ได้หลับ ฮันบิน”

     

                “...”

     

                “นี่...”

     

                ...เจ้าจิ้งจอกขี้รำคาญ ในที่สุดก็ยังคงตกหลุมกับวิธีเดิมๆ

     

                “อะไร”

     

                เสียงห้วนจัดอย่างนั้นกลับทำให้จีวอนขยับยิ้มที่มุมปาก ปั้นคำออดอ้อนตัดพ้อ

     

                “ใจคอจะให้ข้านอนพื้นอย่างนี้ทั้งคืนจริงๆ หรือ?”

     

                “...”

     

                อ่า...ใช่แล้ว

     

    นายท่านตระกูลคิมผู้สูงศักดิ์--- เวลานี้กำลังนอนอยู่บนพื้น โดยมีเพียงผ้าผืนหนาปูรองไว้ แม้ว่าจะไม่ถึงกับไม่สบายกาย และขณะเดินทางสัญจรก็ย่อมเคยผ่านเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากกว่านี้มามากนัก

     

    ทว่าในตอนนี้ทั้งที่อยู่ในเรือนตน--- ในห้องของตัว กลับยังถูกบังคับไล่ลงจากตั่งมาอยู่บนพื้น ด้วยคำอ้างที่ว่าบุรุษตัวโตสองคนไม่สามารถแออัดยัดเยียดกันอยู่บนตั่งคับแคบนั้นได้ ซ้ำยังมีเด็กทารกเยาว์วัยที่ต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกทับจนบี้แบน คำอ้างทั้งหลายล้วนรัดกุมสมเหตุสมผล--- หากไม่นับว่าตั่งเตียงคับแคบที่อีกฝ่ายพูดถึงสามารถให้คนสามคนนอนเรียงกันได้โดยไม่เบียดชิด

     

    “...” นี่--- ก็ออกจะน่าสงสารเห็นใจอยู่หลายส่วนทีเดียว

     

                “ข้าไม่ได้บังคับท่าน ไปนอนห้องอื่นเสียก็สิ้นเรื่อง”

     

                “ไม่ใช่ว่าเราเพิ่งสัญญากันเมื่อสาย ว่าเจ้าจะอยู่ไม่ห่างข้า จนกว่าจะถึงวันเพ็ญ?”

     

                ถูกยกคำอ้างสัญญา เจ้าจิ้งจอกก็สบถขุ่นใจออกมาแผ่วเบา ทว่าก็ยังแสร้งเงียบไปไม่ยินยอม

     

                จีวอนเลิกคิ้วใบหลิวของตนขึ้น ยินยอมถอยก้าวหนึ่งอย่างไม่เรื่องมาก

     

                “ข้าไม่นอนด้วยก็ได้...แต่ว่า ขอจับมือได้ไหม?”

     

                “...” ฮันบินไม่ทราบจะว่าอย่างไรกับข้อเรียกร้องของเจ้ามนุษย์หน้าด้านนี่ “...ท่านเป็นเด็กสามขวบหรือ?”

     

                “น่า...แค่จับมือเท่านั้นเอง”

     

                ปิศาจจิ้งจอกถอนหายใจยาว ทว่าด้วยเพราะง่วงงุนเต็มทีจึงขี้คร้านจะต่อล้อต่อเถียงต่อ เอื้อมมือออกไปให้อีกฝ่ายจับไว้อย่างไม่ใคร่เต็มใจ

     

                ขุนนางหนุ่มคลี่ยิ้มในความมืดของราตรี สานเกี่ยวปลายนิ้วพันพัวเรียวนิ้วงดงามของอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ สิ้นสุดการทุ่มเถียงระหว่างกันในคืนนี้...ด้วยลักษณะเช่นนั้น...

     

                ...เสียเมื่อไหร่เล่า

     

                มนุษย์จอมเจ้าเล่ห์แสร้งหลับใหลรอจนจังหวะชีพจรของเจ้าจิ้งจอกที่สัมผัสผ่านปลายนิ้วแผ่วช้าเนิบนาบ ...แสดงว่าเจ้าตัวกำลังหลับลึก เขาก็พลันลืมตาขึ้นมา แววพราวพรายในดวงตากระจ่างชัดเจน พริบพร่างราวกับดาวบนฟ้า ก่อนที่ร่างสูงจะขยับเคลื่อนไหว

     

                ...ปีนขึ้นเตียงอย่างแผ่วเบาเงียบกริบ ทิ้งตัวนอนซ้อนด้านหลังเจ้าปิศาจจิ้งจอกอย่างถือวิสาสะ

     

                “อือ...”

     

                แขนเรียวแข็งแกร่งสอดผ่านรองใต้ศีรษะได้รูป รั้งรัดร่างโปร่งประเปรียวให้แนบชิดแอบอิง สูดกลิ่นบัวกรุ่นจรุงอย่างอิ่มเอม พลางแอบหยอกเย้าแก้มยุ้ยนุ่มนิ่มของเจ้าตัวเล็กที่นอนอยู่ถัดไป ก่อนจะหลับตาลง...ปล่อยให้ตัวเองค่อยๆ จมลงสู่นิทราบ้างเช่นกัน

     

     

    คิกคิกคิก...

    ท่านว่าเมื่อเจ้าจิ้งจอกตื่นมาแล้วพบว่าตนถูกโอบกอดมาทั้งคืน จะทำอย่างไร

    ...ย่อมต้องโกรธกริ้วอย่างยิ่ง?

    คิก ใช่แล้ว...

    เจ้าจิ้งจอกเฒ่าโกรธเกรี้ยวจนหางชี้ ทำให้บนใบหน้าของมนุษย์จอมเจ้าเล่ห์คนนั้นมีรอยมือประดับอยู่ไปทั้งวัน

     

     

                “...อูย เจ้าไม่เห็นต้องโหดร้ายต่อข้าถึงเพียงนี้...”

     

                จีวอนกึ่งนั่งกึ่งนอนเอกเขนกอยู่บนตั่งเล็กๆ ในห้องหนังสือ ประคบใบหน้าที่มีรอยแดงห้านิ้วชัดเจนมองดูคนนั่งข้างกัน ที่กำลังจับบุตรชายนั่งตักป้อนอาหารให้ทีละช้อนด้วยสีหน้าตัดพ้อซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าแสร้งทำ

     

                ฮันบินเพียงเหลือบมองด้วยหางตา พ่นลมหายใจดังหึหนึ่งหนอย่างเย้ยหยัน นั่นยังไม่น่าน้อยใจเท่าเจ้าตัวเล็กที่หัวเราะเอิ้กอ้ากชอบใจเหมือนจะทับถมกัน ชายหนุ่มจึงแสร้งมุ่นคิ้ว เอื้อมมือออกไปหยิกดึงแก้มยุ้ยขาวน่าชังของเจ้ามารน้อย ดุอย่างไม่จริงจัง

     

                “ล้อเลียนข้าหรือ ประเดี๋ยวจะไม่ให้กินขนม”

     

                “บู้---”

     

                เด็กน้อยเหมือนฟังรู้ความ ใบหน้าจึงได้ขมวดมุ่นยับยุ่งแทบรวมกัน ริมฝีปากน้อยๆ เบะออก ส่งเสียงร้องประท้วงขัดใจ ปิศาจจิ้งจอกได้แต่ส่ายหน้าเหมือนทั้งระอิดระอาเหมือนเอ็นดู ว่าออกประโยคหนึ่งพลางใช้ผ้าเช็ดมุมปากที่เลอะเทอะจากการประท้วงของเจ้ามารน้อย

     

    “ตะกละนักเจ้าลูกหมู”

     

                ที่จริงจะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูกนัก มารน้อยตัวนี้แม้กึ่งหนึ่งเป็นมนุษย์ ทว่าแท้จริงก็ควรจะนับเป็นปิศาจจิ้งจอก เหตุนั้นจึงเติบโตรวดเร็ว ลืมตาดูโลกมาได้เพียงสิบวันครึ่งเดือนก็เติบใหญ่ราวกับเด็กมนุษย์อายุเกินครึ่งขวบเข้าไปแล้ว เพื่อที่จะตามให้ทันการเติบโตอย่างผิดปกติเช่นนี้ได้ก็ย่อมต้องกินมากกว่าเด็กมนุษย์เป็นธรรมดา ทว่าเห็นแก้มยุ้ยขาวเหมือนก้อนแป้งเช่นนี้ก็น่าชังเสียจนเขาอดไม่ได้ที่จะหยิกเบาๆ สักที

     

    ระหว่างที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการเช็ดทำความสะอาดใบหน้าน้อยๆ ไม่ทันระวังชามข้าวต้มในมือก็พลันได้ถูกฉกฉวยเอาไป

     

                “ท่านนี่นะ...” ฮันบินมองเจ้าของมือที่ยื้อแย่งชามไปถือไว้ เห็นขุนนางหนุ่มผู้ยังคงมีรอยมือประทับชัดเจนบนใบหน้าแย้มคลี่รอยยิ้มพริ้มพราย

     

    “ป้อนทั้งที่นั่งตักอย่างนี้ลำบากออกมิใช่หรือ ให้ข้าช่วยแล้วกัน”

     

                เถียงไปก็เปล่าประโยชน์ ดังนั้นปิศาจจิ้งจอกจึงถอนหายใจ จับเจ้าตัวเล็กนั่งดีๆ ให้อีกฝ่ายช่วยป้อนอย่างเสียมิได้

     

                “อ้า---” จีวอนหลอกล่อให้เจ้าตัวเล็กอ้าปากอวดแนวฟันที่เพิ่งจะเริ่มขึ้น ค่อยๆ ป้อนข้าวต้มให้ทีละคำอย่างอดทนใส่ใจ สีหน้าแววตาคล้ายมีความหมายมาดบางประการซ่อนไว้

     

                ฮันบินเองก็เห็นอยู่ ดังนั้นจึงมองระแวงอยู่ไม่คลาย ทว่าก่อนที่การณ์ใดจะทันได้เกิดขึ้น พ่อบ้านประจำตระกูลคิมก็ก้าวเข้ามาในห้องหนังสือ กล่าวคำขออภัยนอบน้อมก่อนสาวเท้าเข้าใกล้ ก้มลงกระซิบคำที่ข้างใบหูของผู้เป็นนาย

     

                เจ้าปิศาจจิ้งจอกแสร้งว่าไม่สนใจ ทั้งที่หูได้ยินครบถ้วนทุกคำ

     

                “องค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าขอรับ”

     

     

    จักรพรรดิหรือ?

    ใช่แล้ว เป็นจักรพรรดิ... ทายาทแห่งทันกุนวังกอม[1]

     

     

                แพทย์หลวงนั้นเดิมทีสมควรเป็นเพียงขุนนางชั้นปลายแถว เป็นตำแหน่งในราชการของพวกจุงอิน[2]   ทว่าคิมจีวอนที่ดำรงฐานะแพทย์ประจำพระองค์ กลับได้รับการอวยยศเทียบเท่ากับเจ้ากรม แม้ไร้ศักดินาด้านการปกครอง ทว่าก็เพียงรับคำสั่งขึ้นตรงจากองค์จักรพรรดิแต่ผู้เดียว ไม่จำเป็นต้องก้มศีรษะคำนับผู้ใด

     

                ฮันบินย่อมสังเกตเห็นท่าทีเกรงอกเกรงใจของขุนนางทั้งหลาย หมอสามัญผู้หนึ่งไฉนสามารถทำให้ขุนนางชั้นสูงยินยอมเบี่ยงทางหลบให้ยามเดินสวนกัน? ถึงแม้เขาจะไม่ใคร่เห็นศักดินาฐานะของพวกมนุษย์อยู่ในสายตา ทว่าก็ไม่ใช่ทราบถึงความไม่ปกตินี้ ดังนั้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ

     

                เขาเหลียวมองดูคนข้างตัวที่กำลังยื่นมือออกผลักดันบานประตูบุกระดาษไม้ไผ่ ความใคร่รู้สายหนึ่งก่อตัวขึ้นเชื่องช้า

     

                “เราใช่บอกว่าต้องการคุยกับเจ้าตามลำพัง?”

     

                เสียงที่ดังขึ้นฟังดูเยาว์วัยนุ่มนวลยิ่ง ทว่าคำขับไล่กลายๆ คำนั้นจากเงาร่างหลังม่านมุก ก็พลันทำให้ความคาดเดาใคร่รู้ทั้งสิ้นของเจ้าจิ้งจอกกระจัดกระจาย

     

                ฮันบินแม้รู้สึกไม่พอใจ ทั้งที่ก็เป็นคนอื่นบังคับจับแต่งตัวแล้วลากพามา ทว่าก็ยังหลุบดวงตาลงซ่อนความรู้สึก ประสานมือยอบกายหมอบต่ำแล้วยืดตัวขึ้นนั่งงามสง่าด้วยธรรมเนียมอย่างมนุษย์โดยไม่บกพร่องขาดเกิน

     

                จีวอนทราบว่าอีกฝ่ายยังไม่คิดหักหน้าตน ก็ขยับยิ้มจางๆ สายหนึ่ง ค้อมกายถวายคำนับพอเป็นพิธี ก่อนเอ่ยคำกราบทูลแก่เจ้าแผ่นดิน

     

                “ไม่เป็นไร... เรื่องใดที่จะรับสั่งกับกระหม่อม ย่อมสามารถบอกกล่าวต่อเขาเช่นกัน”

     

                องค์จักรพรรดิที่หลังม่านสดับแล้วเงียบอยู่ชั่วขณะ ไม่บ่อยนักที่แพทย์ประจำพระองค์ผู้นี้จะวางใจยินยอมบอกกล่าวเรื่องราวของตัวกับผู้ใด วันนี้กลับเอ่ยปากออกมาไม่ลังเลว่าไม่มีความลับต่อกัน ย่อมหมายถึงว่าคนผู้นี้สำคัญ

     

                ทว่าเจ้าของร่างสูงโปร่งในชุดขาวที่ยืนอยู่ตรงนั้น...จะมองอย่างไร ก็เป็นบุรุษมิใช่หรือ?

     

                “ไม่ใช่เมื่อหลายเดือนก่อนหน้า เจ้ายังประกาศตามหานางในดวงใจ”

     

                คำตรัสถามแสลงหูทำให้คนที่นั่งนิ่งอยู่เรียบๆ ร้อยๆ คิ้วกระตุก ฮันบินปรายตามองด้านข้างก็เห็นว่าคนข้างตัวกำลังพยายามกลั้นหัวเราะจนตัวสั่นให้ได้ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดกว่าเดิม ทว่าก่อนที่ริ้วความกรุ่นเกรี้ยวของเจ้าจิ้งจอกจะทำให้เจ้าตัวอาละวาดออกมา ขุนนางหนุ่มก็เอ่ยเปลี่ยนเรื่องไปก่อนอย่างนกรู้

     

                “คงไม่ได้มีรับสั่งให้กระหม่อมเข้าเฝ้าด้วยเรื่องนี้กระมัง?”

     

                คนฟังมีหรือไม่ทราบเจตนาที่จะหันเหความสนพระทัย ทว่าคำที่อีกฝ่ายกล่าวนั้นก็เป็นเรื่องจริง ดังนั้นองค์จักรพรรดิจึงทรงแสร้งกระแอมสองสามครั้ง ตรัสใหม่ด้วยสุรเสียงจริงจังขึ้นกว่าเดิม

     

                “คนของเราสืบทราบเรื่องในทางลับ เกี่ยวกับโรคระบาดที่ทางใต้ของแคว้น” ความหนักหนาของเรื่องราวทำให้สีหน้าของคนฟังทั้งสองเครียดขรึมลงไป เจ้าจิ้งจอกก็ยังถึงกับนั่งหลังตรงเครียดเกร็งขึ้นโดยไม่รู้ตัว

     

     “ทว่า...กลับไม่มีฎีกาจากทางขุนนางท้องถิ่นเข้ามาแม้สักฉบับ เราสงสัยว่าเรื่องนี้อาจมีปัญหา จึงอยากรบกวนให้เจ้าไปดูให้ที”

     

    เห็นทีคงจะมีปัญหาจริงๆ เสียด้วย...

     

    ขุนนางหนุ่มน้อมรับคำรับสั่ง ในแววตายังคงแฝงความครุ่นคิดบางประการไว้ข้างใน แต่ยังไม่ทันเอ่ยทูลลาเพื่อไปจัดการเรื่องราว องค์จักรพรรดิก็พลันเลิกม่านมุกที่ปกคลุมเบื้องพักตร์... ร้องเรียก

     

    “จีวอน”

     

    เรื่องงานก็พูดคุยรับสั่งเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเจ้าของชื่อจึงไม่ใคร่แน่ใจว่าตนถูกรั้งไว้ด้วยเหตุผลอันใด

     

    “กระหม่อม?”

     

    องค์กษัตริย์แย้มสรวลรอยหนึ่ง ดวงตาเรียวยาวภายใต้ขนงเข้มคมกลายเป็นเส้นโค้งนุ่มนวลน่าสนิทชิดใกล้

     

    ทว่าใครต่างก็ทราบว่าที่นั่งเหนือบัลลังก์มังกรเจ็ดเล็บนั้นจะอย่างไรก็ไม่ใช่สำหรับคนอัน นุ่มนวลอ่อนโยน ไปได้

     

    “เราทราบดีว่าที่จริงเจ้าเป็นหมอที่เก่งกาจยิ่งนัก...” ทรงเกริ่น...

     

    “แต่ว่าเรื่องผิวพรรณจะอย่างไรก็คงต้องยกให้พวกสตรี เอาอย่างนี้แล้วกัน...เดี๋ยวเราจะให้มเหสีจัดยาดีส่งให้เจ้าสักชุด น่าจะทันก่อนออกเดินทาง”

     

    ตรัสพลางและปลายหัตถ์ลงกับปรางขาวจัดขององค์เอง

     

    ...ตำแหน่งเดียวกันกับที่มีรอยแดงชาดรูปฝ่ามือประทับอยู่บนใบหน้าคมคายของท่านหมอ

     

    “...”

     

    “พรืด!

     

    ฮันบินฟังคำแล้วถึงกับหลุดหัวเราะออกมา เงยหน้าขึ้นสานสบสายตากับองค์จักรพรรดิ ต่างเห็นแววแพรวพราวในดวงตาของกัน ก่อนจะเหลือบมองดูคนข้างตัวซึ่งทำสีหน้าปั้นยาก อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

     

    “ฝ่าบาท...”

     

    รอยริ้วแดงก่ำถูกวาดขึ้นมาอย่างน่าสนใจ ขับเน้นให้รอยห้านิ้วรอยนั้นยิ่งแดงฉานชัดเจน

     

    เจ้าจิ้งจอกยกหลังมือขึ้นปิดปากซ่อนรอยยิ้ม สะกดกลั้นเสียงหัวเราะไว้เต็มท้อง รู้สึกดีขึ้นอักโขที่ว่าร่องรอยที่ตนประทับไว้ในที่สุดก็ได้ใช้งานเสียที ก็ตั้งแต่เข้ามาในเขตราชฐาน พบขุนนางน้อยใหญ่เมื่อใดก็ล้วนถูกหลบเลี่ยงหลีกทาง เพิ่งจะมีจักรพรรดิมนุษย์ผู้นี้ที่ออกปากทักให้ได้อับอายเสียบ้าง

     

    “ไม่ดีหรอกหรือ?”

     

    “ซง-ยุน-ฮยอง”

     

    แม้แต่นามเดิมขององค์จักรพรรดิก็ยังถูกขานออกมา เป็นทั้งการปรามเตือน และแสดงความบังอาจเหิมเกริม ทว่าคนบนบัลลังก์กลับไม่คล้ายติดใจเอาความ ละหัตถ์กลับคืนปล่อยให้ม่านมุกทิ้งตัวลงปิดกั้นระหว่างกันเช่นเดิม ก่อนจะเอ่ยวาจาด้วยสุรเสียงนุ่มนวลปานสายน้ำไหล

     

    “ถ้าหากจะสำนึกขอบคุณในมหากรุณาธิคุณล้นฟ้าของเรา เช่นนั้นก็ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก”

     

    ในที่สุดปิศาจจิ้งจอกก็อดรนทนไม่ไหว หัวเราะลั่นออกมาด้วยสาแก่ใจ

     

                คิมจีวอนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทูลลาเสียงเรียบแล้วดึงให้เจ้าของร่างสูงโปร่งในชุดขาวเดินตามออกจากห้องโดยไม่รอฟังคำอนุญาตเสียด้วยซ้ำ

     

                “คิก...คิก...”

     

                เจ้าจิ้งจอกยังไม่อาจหยุดหัวร่อ แม้ในยามที่ประตูบุเยื่อไม้ไผ่บานนั้นถูกเลื่อนปิดลง

     

                “ยังจะหัวเราะอีก”

     

                น้ำเสียงของอีกฝ่ายในที่สุดก็เจือความหงุดหงิดใจบ้างแล้ว

     

                ฮันบินเห็นเรียวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันจนแน่น รู้สึกว่าอีกฝ่ายค่อยดูเหมือนมนุษย์ผู้หนึ่งขึ้นมาบ้าง ดังนั้นจึงอมยิ้ม สีหน้าเจือความลำพองใจ แต่ได้ไม่ทันไร เจ้ามนุษย์สามหาวตรงหน้าก็ดันร่างเขาเข้าชิดกับผนังกำแพงไม้

     

    ...ประทับจุมพิตลงมา

     

    ฟันคมขาวขบลงแผ่วเบาบนกลีบปากอิ่มของเจ้าจิ้งจอกหลายหน หยอกเย้าเหมือนมันเขี้ยวหนักหนา ก่อนที่เรียวลิ้นร้อนจะล่วงผ่านลึกลง ลิ้มรสรุ่มร้อนในโพรงปาก

     

    “อื้อ!” ฮันบินประท้วงด้วยการทุบหมัดลงกับบ่าแข็งแกร่ง แต่จนเมื่ออีกฝ่ายละถอนจุมพิตออก บนดวงหน้าคมคายของจีวอนร่องรอยความไม่พอใจเล็กน้อยนั้นก็เลือนหาย ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มอย่างเดิมที่แสนคุ้นตา ...และชวนให้หงุดหงิดขัดเคืองใจ

     

    “ว่ายังไง ฮันบินอา...ไม่หัวเราะต่อแล้วรึ?”

     

    ปิศาจจิ้งจอกเม้มปากแน่น ไม่มีคำตอบโต้จะเอ่ยออก ได้แต่ผลักแผ่นอกของเจ้าของอ้อมแขนที่กักกันตนไว้ให้ถอยห่าง


    คนตัวสูงกว่ายินยอมถอยออกแต่โดยดี ทว่าก็ยังคว้าข้อมือเรียวของอีกฝ่ายเอาไว้ ค่อยๆ ก้าวเดินไปพร้อมกัน


    “ข้าจะพยายามกลับมาให้ทันก่อนวันเพ็ญ” ขุนนางหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังจากเดินกันไปได้ครู่หนึ่ง ทำให้เจ้าจิ้งจอกที่ทำหน้าตูมอยู่ต้องทวนคำเสียงสูง


    “ท่านว่าอะไร? จะไม่ให้ข้าไปด้วยหรือ?”


    ชายหนุ่มส่ายศีรษะเชื่องช้า


    “เรื่องโรคระบาดที่ฝ่าบาทตรัสเมื่อครู่นี้ ออกจะอันตรายอยู่บ้าง...”


    ได้ฟังเช่นนั้นเจ้าจิ้งจอกก็หยุดเดินเสียดื้อๆ ใบหน้าคมคายฉายริ้วความขุ่นเคืองใจจนจีวอนต้องหยุดฝีเท้าลงเช่นกัน และหมุนกายกลับหลังมาเผชิญหน้า


    ฮันบินเชิดหน้าขึ้น ให้ตัวเองที่เตี้ยกว่าอีกฝ่ายอยู่ครึ่งฝ่ามือได้สานสบสายตาประสาน เอ่ยเสียงขึงขัง


    “ประการแรก ข้าเองก็เป็นหมอ ฟังว่ามีโรคระบาดแรงร้ายเกิดขึ้นไม่อาจไม่ใส่ใจ”


    หากหมอผู้หนึ่งหวาดกลัวโรคภัย ไหนเลยจะสามารถรักษาผู้คนได้ ฮันบินมีชีวิตอยู่มาสามร้อยปี ศึกษาวิชาแพทย์จนแตกฉาน ทั้งปิศาจและมนุษย์ล้วนเคยช่วยให้พ้นผ่านความตายมานับไม่ถ้วน อีกฝ่ายอาศัยอันใดกีดกันเขาออก ไม่ให้ใช้ความรู้ที่มีช่วยเหลือผู้คนอย่างที่เคยทำมาเสมอ


    “แต่ว่า...”

     

    เห็นอีกฝ่ายยังไม่คล้อยตาม ฮันบินก็จำต้องยกคำอ้างอย่างอื่นขึ้นมา แต่คำที่กล่าวนั้น...ยิ่งเอ่ยไป กลับยิ่งแผ่วเบา


    “อีกข้อ...หรือไม่ใช่ว่าพวกเราได้ผูกสัญญา จากนี้จนถึงวันเพ็ญจะ...อยู่ด้วยกันตลอดเวลา


    จบประโยคอันน่าอับอาย เจ้าปิศาจจิ้งจอกยังเอ่ยคำอ้างอีกมากมาย แก้ต่างว่าตนไม่อยากเอาเปรียบทางนั้น แต่ก็ไม่ต้องการเลื่อนให้เวลาสัญญาต้องยืดยาวออกไปและต้องผูกติดอยู่กับอีกฝ่ายนานไปกว่าเดิม ทว่าสำหรับคนฟัง มีเพียงคำเดียวเท่านั้นที่ได้สลักลึกลง ทำให้ความรู้สึกอุ่นร้อนบางอย่างแผ่เข้าควบคุมหัวใจ...ให้เต้นผิดจังหวะไม่เหมือนอย่างเคย


    คิมจีวอนไม่เคยรู้...


    ที่แท้ คำว่า ข้ากับท่าน เมื่อกลายเป็นคำว่า เรา ก็สามารถทำให้ผู้คนรู้สึกดีถึงเพียงนี้ได้...


    อีกฝ่ายหรือใช้มนตราคาถาอันใด


    เหตุใดกับเรื่องเพียงเท่านี้...คำเพียงคำเดียวคำนั้น ก็เพียงพอจะฉุดรั้งผู้คนให้หลงใหลงมงายไม่อาจถอนตัว






    To be continue.


    ตั้งแต่เปิดเทอมมา ก็สอบติดๆ กันไม่ได้หยุดเลย

    แต่จะพยายามแบ่งเวลามาเขียนบ่อยๆ นะฮะ ไม่ทิ้งแน่นอน

    ทุกคนก็อย่าทิ้งเค้าไปเลยนะ

    พูดคุยกันได้ที่คอมเม้นท์ด้านล่าง หรือสามารถติดแท็ก #บาบิคนกินหมา ในทวิตเตอร์ได้เช่นเคย

    พบกันใหม่ตอนหน้านานๆ นี้นะครับ  ฮือออ ฮึก ฮึก ฮึก /จมกองชีท






    [1] กษัตริย์ผู้สถาปนาอาณาจักรโชซอนโบราณ (โกโชซอน)

    [2] ชนชั้นทางสังคมของโชซอนแบ่งออกเป็น 4 ชั้น คือยังบัน (ชนชั้นสูง) จุงอิน (ชนชั้นกลาง) ซังมิน (สามัญชน) และ ช็อนมิน (ทาส)


    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×