คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : LayMin Chapter 4 Jul.-Aug.
July
ขณะที่สายฝนยังคงโปรยปรายอยู่เบื้องนอก ท่ามกลางไออากาศที่เต็มไปด้วยความชื้น เสียงกีต้าร์อันพลิ้วไหว สดใส เต็มไปด้วยพลัง และชีวิตชีวากำลังถูกบรรเลงขึ้นภายในห้องของคิมมินซอกด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยมบ่งบอกให้รู้ว่าจางอี้ชิงคนเดิมได้กลับมาแล้ว หลังจากที่มินซอกต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการปกป้องความฝันของเขา...
ความฝันของจางอี้ชิง ที่สำคัญสำหรับคิมมินซอก...
ในวันที่ฝนพรำเช่นเดียวกันกับวันนี้ วันที่ชายหนุ่มชาวจีนกำลังจะยอมแพ้ทุกอย่างและตัดสินใจที่จะยอมกลับไปเป็นนกภายในกรงของแม่ ชายหนุ่มร่างเล็กคนหนึ่งได้เหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่าง ความรู้สึกที่จางอี้ชิงรับมันมาแล้วด้วยจูบนั้น!
และตั้งแต่วันที่รับความรู้สึกนั้นมา มินซอกก็เหมือนจะกลายเป็นคนสำคัญคนหนึ่งชีวิตของอี้ชิงไปโดยปริยาย เพียงแค่ชั่วข้ามคืนท้องฟ้าที่เคยดูหม่นหมองเปลี่ยนแปรกลายไปเป็นท้องฟ้าที่สดใสขึ้น และในเช้าวันต่อมาขณะที่ช่วยกันทำอาหารอย่างมีความสุขจนจวนจะเสร็จแล้วคนตัวเล็กก็ตัดสินใจเอ่ยคำขอที่มีความหมายต่อความฝันของชายหนุ่มชาวจีนที่เขาใส่ใจเป็นอย่างยิ่งขึ้นมา
“อี้ชิง... ขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม” มินซอกเอ่ยขึ้นในขณะที่วางแผ่นขนมปังปิดลงตรงด้านบนของแซนวิชทูน่าสลัดที่ช่วยกันทำเสร็จเรียบร้อย
“นายจะขอให้ฉันอยู่กับนายที่นี่ตลอดไปแบบนั้นรึเปล่ามินซอก...” อี้ชิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใสในขณะที่มือคว้าแซนวิชที่พึ่งทำเสร็จไปหมาดๆ มากัดหนึ่งคำแล้วยื่นชิ้นเดียวกันนั้นป้อนให้กับคนด้วยเล็กด้วยรอยยิ้มสนุก
“ไม่ใช่แบบนั้นซักหน่อย...” มินซอกคว้าแซนวิชชิ้นนั้นออกจากมือชายหนุ่มแล้วก็ส่งกลับเข้าไปปิดปากเขาอย่างรำคาญนิดๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเอาเรื่องว่า “อย่าพึ่งเล่นได้ไหม คราวนี้... ฉันจริงจังมากนะอี้ชิง”
“ก็ได้ๆ” ชายหนุ่มกัดกินแซนวิชเข้าไปอีกหนึ่งคำก่อนจะหันมาตั้งใจฟังคำพูดของเพื่อนตัวเล็ก ที่เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ายังเป็นเพื่อนกันอยู่เหมือนเดิม หรือว่าได้กลายมาเป็นอย่างอื่นไปแล้ว “ไง... นายจะให้ฉันทำอะไรล่ะ”
“กลับไปทำในสิ่งที่นายรัก...” ถ้อยคำนั้นถึงกับทำให้จางอี้ชิงต้องเปลี่ยนสีหน้าไปในทันที
“...” ชายหนุ่มวางแซนวิชลงบนจานเซรามิกซ์แล้วก็เดินออกไปสูดอากาศข้างนอกระเบียงด้วยท่าทางอึดอัด มินซอกเห็นแบบนั้นแล้วก็เดินตามไป
“ขอร้องนะอี้ชิง... ถ้านายคิดจะกลับประเทศจีนจริงๆ ฉันก็รั้งนายไว้ไม่ได้หรอก แต่ก่อนที่จะกลับไป... ฉันอยากให้นายลองดูอีกครั้ง นะอี้ชิง... พิสูจน์ให้แม่ของนายเห็นว่านายทำได้”
“มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ทุกค่ายเพลงทั้งในประเทศจีนและเกาหลีพอเห็นชื่อฉันไปสมัครงานก็แทบไม่ดูโปรไฟล์อะไรอย่างอื่นเลยด้วยซ้ำ”
“เราไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อของนายก็ได้นี่นา แค่พิสูจน์เท่านั้นว่างานของนายมีคุณภาพ...”
“แล้วนายจะให้ฉันใช้ชื่อใคร คงไม่ใช่... ชื่อของนายหรอกนะ”
“ชื่อคิมมินซอกอาจจะช่วยให้โปรดิวเซอร์เก่งๆ ในค่ายเพลงใหญ่ๆ ยอมฟังและคอมเม้นท์เพลงให้นายไม่ได้หรอก แต่ฉันมั่นใจว่ามีอีกชื่อหนึ่งที่ต้องช่วยนายได้แน่...” มินซอกหยุดชั่งใจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะตัดสินใจพูดต่อให้จบว่า
“เจ้าของชื่อนั้นก็คือ... ปาร์คชานยอล...”
Day-Month-Year
นับเป็นเรื่องบ้าบอที่สุดเท่าที่คนมีน้ำใจอย่างชานยอลจะเคยรับช่วยเหลือมา แต่ก็นั่นล่ะนะ... มันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงเพราะว่าเขาเองก็เป็นคนที่อยู่ในวงการของนักแต่งเพลงอยู่แล้ว สิ่งที่ทำให้รู้สึกแย่จริงๆ ก็มีเพียงอย่างเดียวนั่นแหละซึ่งก็คือการอ้างสิทธิ์ในผลงานของคนอื่น ชานยอลไม่ชอบลอกเลียนงานของใคร แล้วนี่... คิมมินซอกกำลังจะให้เขาทำอะไร!
ชานยอลถอนหายใจเป็นครั้งที่ร้อยในขณะที่ก้าวเท้าเข้าไปในสำนักงานใหญ่ของค่ายเพลงหนึ่ง ชั่วขณะที่ยังคงลังเลชานยอลก็เหลือบไปเห็นร่างสูงของโปรดิวเซอร์หนุ่มชาวจีนกำลังยืนสั่งกาแฟอยู่ที่หน้าร้านคอฟฟี่ช็อปเล็กๆ บริเวณชั้นล่างสุดของสำนักงาน ชานยอลเริ่มรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีซะแล้วสิ
นั่นไง... ไอ้พี่คริสมันหันมาแล้ว
“อ้าวชานยอล... วันนี้เอาเพลงใหม่มาให้พี่ฟังเหรอ”
“อ้อ... ครับ แต่ถ้าพี่คริสงานยุ่ง ผมให้พี่โปรดิวเซอร์คนอื่นช่วยดูให้ก่อนก็ได้นะครับ ไม่เป็นไรเลยจริงๆ”
“เฮ้ย... ว่างสิ ทำไมจะไม่ว่างล่ะ มาสิ มาๆ เดี๋ยวพี่เลี้ยงกาแฟเลย เอาไร”
“คือ ผม... เอ้อ ครับ...”
ซวยชะมัด! ชานยอลอยากจะบ้าตายเสียให้ได้เพราะไอ้พี่คริส หรืออู๋อี้ฟานคนนี้แหละไม้เบื่อไม้เมาของเขาเลยล่ะ ทำงานด้วยแต่ละทีคุยกันเป็นดิบเป็นดีแล้วแท้ๆ อยู่ๆ ก็ชอบมาทำเป็นติสแตกใส่ แถมยังเยอะไม่เข้าเรื่องอีกต่างหาก แต่ก็แปลกนะ ชานยอลรู้สึกเหมือนหนียังไงก็ไม่เคยหนีพ้นจากไอ้พี่คริสคนนี้ไปได้เลยซักที
Day-Month-Year
July 20
ในขณะที่จางอี้ชิงกำลังใช้เวลาอยู่กับกีต้าร์ตัวเก่าที่ชานยอลหามาให้ยืมเล่น มินซอกก็กำลังนั่งจัดเอกสารอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือภายในห้อง แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือของคนตัวเล็กก็ดังขึ้น...
“ครับ แม่...” คิมมินซอกกดรับสายแล้วก็เดินออกไปคุยข้างนอกห้อง
“มินซอก... ไปดูสนามสอบมารึยัง”
“เอ้อ... คือผม กำลังจะไปครับ”
“ดีแล้วล่ะ แม่เอาใจช่วยนะมินซอก ทำให้เต็มที่นะจ๊ะลูกรัก...”
“...” มินซอกไม่อยากบอกให้แม่รู้เลยว่าเขายังไม่พร้อมสำหรับการสอบแข่งขันอะไรกับใครทั้งนั้นเพราะช่วงห้าหกเดือนที่ผ่านมานี้เขามัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับเรื่องอื่นมากจนเกินไป
“มินซอก... แม่เชื่อว่าลูกทำได้” น้ำเสียงของผู้หญิงที่น่าทึ่งที่สุดในชีวิตของมินซอกเปี่ยมล้นไปด้วยความหวัง ตั้งแต่เด็กแม่คือคนเดียวที่ทำงานหนักเพื่อเขามาโดยตลอด มินซอกได้ยินแบบนี้แล้วก็น้ำตารื้น เขารู้สึกผิดกับแม่เหลือเกินที่ทำตัวเหลวไหลจนรู้สึกเหมือนกับว่าจะตามฝันของตัวเองไม่ทัน
“ครับ...” ชายหนุ่มพยายามควบคุมน้ำเสียงของตัวเองไม่ให้สั่นเครือเพราะไม่อยากให้ผู้เป็นแม่จับสังเกตได้และเป็นห่วง “รักแม่นะครับ”
“จ๊ะ... แม่ก็รักลูก”
มินซอกวางสายแล้วเดินกลับเข้าห้องไปด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้งอยู่ในอก เขาวางมือถือลงบนโต๊ะแล้วหยิบเอาบัตรประจำตัวผู้เข้าสอบวัดระดับภาษาอังกฤษของตนขึ้นมาดูในขณะที่การมองเห็นกำลังพร่าเลือนไปเรื่อยๆ เพราะหยดน้ำตาขึ้นมาคลอขังบดบังอยู่เต็มไปหมด เขาไม่มีความมั่นใจอะไรเลย
ไม่สอบได้ไหม... รอให้พร้อมกว่านี้ก่อนจะดีรึเปล่า...
ตอนนี้คิมมินซอกสับสนไปหมด...
“มีอะไรรึเปล่ามินซอก” จางอี้ชิงวางมือจากกีต้าร์แล้วก็เดินมาเข้าถามด้วยความเป็นห่วง
“ฉัน คือว่า... ฉันต้องออกไปทำธุระข้างนอกหน่อยละล่ะ” ว่าแล้วคนตัวเล็กก็เดินไปหยิบซองเอกสารแล้วพรวดพราดออกไปโดยที่ไม่ได้กระเป๋าตังค์และโทรศัพท์มือถือติดตัวไปด้วย อี้ชิงมองตามด้วยความแปลกใจก่อนจะหันกลับมาเห็นโทรศัพท์มือถือและกับเป๋าตังค์ของมินซอกที่ถูกวางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะจึงตัดสินใจจะเดินออกตามออกไปเรียกเจ้าของให้กลับมาเอา
“มินซอก...” ชายหนุ่มชาวจีนร้องเรียกตามแต่แล้วก็ไม่ทันเพราะว่าคิมมินซอกได้กดลิฟท์ลงไปชั้นล่างแล้ว อี้ชิงจึงรีบวิ่งกลับมาที่ห้องแล้วหยิบของทั้งสองอย่างตามลงไปให้มินซอกข้างล่าง
จนแล้วจนรอดก็ไม่ทัน อี้ชิงลงมาถึงหน้าหอพักแล้วก็ไม่รู้ว่ามินซอกเดินไปทางไหน ชายหนุ่มยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่สุดท้ายก็ลองเสี่ยงเดินไปทางหนึ่งที่ดูท่าน่าจะเป็นทางสายหลักมากกว่าเผื่อจะเห็นหลังคนตัวเล็กไวๆ อยู่ แต่แล้วเมื่ออกเดินได้แค่ไม่กี่ก้าวชายหนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย เขายังคงจำได้ว่าเมื่อหลายวันก่อนที่ในขณะที่เดินอยู่ข้างๆ คนตัวเล็กบนถนนเส้นนี้ จู่ๆ ก็มีชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ สวมแว่นตาสีดำ แต่งด้วยด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมสูททับด้านนอกทำท่าเหมือนจะแอบสะกดรอยตามเขาอยู่ ตอนนั้นก็เลยตัดสินใจนับหนึ่ง สอง สาม แล้ววิ่งหนีไปคนละทางกันกับมินซอก อี้ชิงจำได้ว่าวันนั้นต้องหลบซ่อนตัวอยู่ตั้งนานกว่าจะกลับหอได้เพราะกลัวคนของแม่จะรู้ว่าเขาพักอยู่ที่ไหน หลังจากวันนั้นเวลาจะออกไปไหนมาไหนทีชายหนุ่มก็จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเสมอจนแทบจะกลายเป็นพวกชอบหวาดระแวงเช่นเดียวกันกับวันนี้
จางอี้ชิงเหลียวมองรอบตัวจนมั่นใจแล้วว่าไม่เห็นใครที่มีลักษณะแปลกๆ ตามมาก็เดินต่อแล้วมองหามินซอกอย่างใจเย็น ชายหนุ่มเริ่มก้าวเท้าไปเรื่อยๆ จนไกลจากหอพักพอสมควรแล้วก็ได้ยินเสียงเรียก
“นั่นไง คุณหนูจาง!”
แย่แล้ว... อี้ชิงวิ่งทันทีโดยที่ไม่ต้องหันไปดูเลยว่าคนที่เรียกเป็นใคร แล้วชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงฝีเท้าไล่ตามมาไม่น้อยกว่าสองคนแน่นอน
คราวนี้แม่คงหวังเอาตัวเขากลับไปให้ได้จริงๆ ก่อนหน้านี้เขาก็อยากกลับอยู่หรอกนะ แต่ตอนนี้อะไรๆ ก็กำลังไปได้ดีที่นี่ แล้วเรื่องอะไรล่ะถึงจะยอมให้จับง่ายๆ
ในขณะที่วิ่งหลบหลีกไปตามซอกซอยต่างๆ ของย่านการค้า อี้ชิงก็เจอที่หลบบริเวณซอกตึกสวยดีไซน์แปลกตาที่ด้านหน้าของตึกเป็นร้านอาหารหรูเปิดรับเฉพาะแขกที่มีระดับเท่านั้น ชายหนุ่มชาวจีนหลบเข้าไปอยู่ในซอกตึกเพื่อรอให้คนของแม่ที่วิ่งตามเขาวิ่งเลยผ่านไปก่อนแล้วจึงออกมา
เมื่ออยู่ในระยะที่ปลอดภัยแล้ว จางอี้ชิงก็พรูลมหายใจออกอย่างโล่งอก เขาถอยกลับไปเอนหลังพิงกำแพงแล้วหลับตาลงอย่างเหนื่อยๆ
ขออีกแค่โอกาสเดียว... ถ้าพิสูจน์ตัวเองไม่ได้เขาก็จะกลับไป...
ทันใดนั้นเสียงเตือนข้อความเข้าจากโทรศัพท์ของมินซอกก็ดังขึ้น อี้ชิงตกใจเล็กน้อยเพราะแรงสั่นจากโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นเหมือนจะทำให้เขารู้สึกใจหายวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ในชั้นแรกเขาก็ไม่อยากจะกดดูให้เสียมารยาทนักหรอก แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นชื่อผู้ส่งที่พิมพ์เป็นตัวอักษรฮันกึลว่า “ซองอึนนูน่า” ซะก่อน เมื่อเห็นว่าคนที่ส่งข้อความมาถึงคิมมินซอกคือพี่สาวตัวเองจางอี้ชิงก็เลยถือวิสาสะกดดู แล้วข้อความที่เห็นก็ทำให้เขาต้องตาค้าง
เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว... จางอี้ชิงรู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้าช็อต รู้สึกเหมือนฟ้าผ่าลงมาที่กลางหัวใจ ทุกอย่างมันกะทันหัน รวดเร็ว และเกิดขึ้นในชั่วระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือนที่เขาล้มป่วยลง ต้องใช่แน่ๆ เหตุผลนี้แน่ๆ ซองอึนนูน่ากับคิมมินซอกถึงไม่ต้องการให้เขากลับไปที่ประเทศจีน
รอไม่ได้อีกแล้ว... อี้ชิงต้องการคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้ และแน่นอนว่าจะต้องเป็น
เดี๋ยวนี้!
Day-Month-Year
Good friends
OPEN 10:30 AM CLOSE 08:30 PM
ในขณะที่ทุกอย่างกำลังสับสน ซองอึนเองก็สติแตกไม่แพ้กัน เธอกำลังพยายามกดโทรศัพท์มือถือเพื่อต่อสายไปหาใครบางคนอยู่อย่างร้อนใจ แล้วเสียงกระดิ่งที่ประตูก็ดังขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณตาครับนูน่า”
“อี้ชิง...” ซองอึนเรียกขึ้นอย่างตกใจ แล้วอยู่ดีๆ น้ำตาของเธอก็ไหลลงมาเสียอย่างนั้น เธอรีบวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะและเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ทันทีเพื่อเข้ามาประคองร่างน้องชายชาวจีนของเธอที่กำลังก้าวเข้ามาภายในร้านด้วยสภาพเหมือนกับคนไม่มีแรง ซองอึนมองเห็นถนัดว่าอี้ชิงกำลังน้ำตาคลอ เธอพูดอะไรไม่ออกได้แต่หลบหน้าเขา
“นูน่า... บอกผมสิครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณตาของผม” ชายหนุ่มเริ่มขึ้นเสียงพลางสะบัดไม้สะบัดมือของซองอึนออกก่อนคว้าร่างของเธอมาเขย่าให้ตอบคำถามด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจควบคุม
“อี้ชิง... หยุดก่อน...” ซองอึนเริ่มร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกอัดอั้น
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณตาทำไมนูน่าถึงไม่บอกผม...” ชายหนุ่มเริ่มบีบไหล่พี่สาวแรงขึ้นๆ ไปตามอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่าน
“อี้ชิง... เธอต้องฟังนูน่าก่อนนะ...”
“นูน่าก็บอกผมมาสิครับ... นูน่าทำแบบนี้กับผมได้ยังไง นูน่าก็รู้ว่าทั้งชีวิตของผมมีแต่คุณตาคนเดียวเท่านั้นที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ทำไมนูน่าถึงได้ใจร้ายแบบนี้ ทำไมนูน่าถึงได้ทำกับผมแบบนี้ ทำไม!”
ในขณะที่ชายหนุ่มกระแทกเสียงใส่พี่สาวน้ำตาของเขาก็ค่อยๆ ไหล เมื่อระเบิดอารมณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้วจางอี้ชิงก็อ่อนยวบลงไปในทันที ซองอึนรีบประคองร่างน้องชายที่เธอรักมากเหมือนจะเป็นลูกเลยด้วยซ้ำเอาไว้แต่ก็ไม่ไหวจึงนั่งลงแล้วกอดเขาเอาไว้แน่น
“จางอี้ชิง... นูน่าขอโทษ...”
ซองอึนลูบหัวน้องชายด้วยความสงสารในขณะที่เธอเองก็รู้สึกสะเทือนใจไม่แพ้กันเมื่อรู้ข่าวว่าอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารของคุณตากำลังกำเริบหนักขึ้นจนตอนนี้คุณตาไม่สามารถที่จะตอบสนองอะไรกับใครได้อีกแล้วเพราะต้องนอนเป็นผักอยู่ในโรงพยาบาลที่เมืองหลวงของประเทศจีน
เป็นใคร... ใครก็ช็อกรึเปล่ากับเรื่องอะไรแบบนี้
ในขณะที่ร่างกายของตัวเองก็ยังไม่ค่อยจะเข้าที่นัก จางอี้ชิงรู้สึกปวดหัวมากจนแทบจะระเบิด เป็นเวลาที่เขากำลังรู้สึกสับสน ร่มโพธิ์ร่มไทรเพียงหนึ่งเดียวของเขากำลังจะหักโค่นลงด้วยพายุร้าย คนตัวเล็กที่อยู่ข้างกายรู้เรื่องนี้มาโดยตลอดจึงไม่ยอมให้เขากลับประเทศจีนแล้วตกลงว่าเรื่องระหว่างเขากับใครคนนั้นมันคืออะไรกันแน่...
จริงรึเปล่าที่เขาเห็นในแววตานั้น...
อี้ชิงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกปวดหัวหนักขึ้นจนแทบจะทนไม่ได้ เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมากุมศีรษะตัวเองเอาไว้ ซองอึนนูน่าเห็นเช่นนั้นแล้วก็ตกใจ เธอเองก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
“เป็นอะไรรึเปล่าอี้ชิง...” ซองอึนพยายามเรียกในขณะที่อี้ชิงกำลังพยายามที่จะทรงตัวลุกขึ้นทำท่าเหมือนจะไปที่ไหนซักแห่ง “อี้ชิง... จะไปไหน” ซองอึนถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ปล่อยผมเถอะครับนูน่า” ชายหนุ่มสะบัดมือของพี่สาวคนสวยสายเลือดผสมจีนเกาหลีออกแล้วก็วิ่งออกไปนอกร้านทันที เขาต้องกลับประเทศจีน และไม่สามารถรอได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว และในช่วงนาทีนั้น... ซองอึนกลัวเหลือเกินว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับน้องชายชาวจีนที่กำลังป่วยอยู่เธอจึงรีบตัดสินใจวิ่งตามเขาออกไปก่อนที่น้ำฝนจะเทลงมาราวกับฟ้ารั่ว ซองอึนเผลอสะดุดล้มและเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็มองเห็นอะไรไม่ชัดแล้ว เธอรีบลูบหน้าลูบตาและมองหาน้องชายแต่ทุกอย่างก็สับสนเกินกว่าที่เธอจะคิดออกว่าอี้ชิงจะวิ่งไปทางใด ซองอึนได้แต่ออกตามหาไปเรื่อยๆ พร้อมกับภาวนาในใจ
ขออย่าให้มีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้นกับจางอี้ชิงอีกเลย...
Day-Month-Year
เมื่อหยาดฝนเริ่มขาดเม็ด ทันทีที่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นกับจางอี้ชิงมินซอกก็แทบจะนั่งไม่ติด หลังจากที่เขาต้องติดฝนอยู่ที่ไหนซักแห่งเป็นเวลานานโดยไม่มีทั้งกระเป๋าตังค์และโทรศัพท์มือถือ พอกลับหอได้ก็พบว่าซองอึนนูน่าได้มารอเจอเขาอยู่แล้วและเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังพร้อมกับนำของทั้งสองสิ่งมาคืนให้ นูน่าบอกว่าหาตัวอี้ชิงไม่พบ เจอแต่มือถือของมินซอกกับกระเป๋าตังค์ที่ตกอยู่ไม่ไกลจากร้าน Good friends เท่าไหร่ มินซอกเลยตัดสินใจออกไปตามหาอี้ชิงแถวๆ นั้นอีกครั้งแต่ก็คว้าน้ำเหลว ในขณะที่ซองอึนกำลังวิตกกังวลไปต่างๆ นานาจนเริ่มจะปวดหัว อีกอย่างวันนี้เธอตากฝนมาด้วยชายหนุ่มร่างเล็กจึงขอให้เธอกลับไปพักผ่อนที่ร้านก่อนและรับอาสาจะตามหาอี้ชิงให้พบด้วยตัวเอง จากนั้นมินซอกก็วิ่งไปอีกหลายที่จนกระทั่งฟ้ามืด และที่สุดท้ายที่ไปตามหาในวันนั้นก็คือสวนสาธารณะ
คนตัวเล็กวิ่งหาไปทั่วก็ไม่เห็นเลยแม้แต่เงาของจางอี้ชิง เขาวิ่งหาอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งฝนตกลงมาอีกรอบ ด้วยร่างกายที่เปียกเปื่อย เสื้อผ้าที่ชุ่มน้ำและหัวใจที่กำลังอ่อนล้า พรุ่งนี้คือวันที่เขาจะต้องก้าวเข้าห้องสอบวัดระดับภาษาเพื่อทำคะแนนให้ดีที่สุดสำหรับยื่นขอทุนเรียนต่อ แต่ตอนนี้เขาไม่มีอะไรเลยแม้แต่กะจิตกะใจจะไปเข้าห้องสอบ
“จางอี้ชิง... นายอยู่ไหน...”
มินซอกเริ่มน้ำตาไหลในขณะที่หัวใจกำลังทำงานอย่างหนัก ตอนนี้เขาคาดเดาอะไรเกี่ยวกับชายหนุ่มชาวจีนคนนั้นไม่ได้เลย แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับอี้ชิงล่ะ คิมมินซอกไม่อยากจะคิด...
ขณะที่ฝนเริ่มลงหนักมากขึ้นเรื่อยๆ มินซอกก็ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นคอนกรีตในสวนสาธารณะอย่างหมดแรง เขาร้องไห้อย่างบ้าคลั่งแล้วยกมือขึ้นทุบหัวใจตัวเองสองสามครั้งก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อ มินซอกล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบมันออกมามองดูด้วยสายตาที่พร่ามัว มันคือแผ่นกระดาษเปื่อยๆ ที่มินซอกเองก็รู้อยู่แก่ใจว่านั่นคือบัตรประจำตัวผู้เข้าสอบของเขานั่นเอง และสิ่งนั้นก็ชวนให้ตั้งคำถามได้ต่อไปอีกว่า
ครึ่งปีที่ผ่านมานี้เขากำลังทำอะไรอยู่...
ในขณะที่ความสับสับกำลังเข้าเกาะกุมหัวใจ มินซอกเลือกที่จะขยำกระดาษแผ่นนั้นลงในกำมือแล้วก็ทุบพื้นอย่างรุนแรงด้วยความรู้สึกอัดอั้น...
น้ำฝนที่ท่วมขังอยู่บนพื้นคอนกรีตสาดกระจายขึ้นมาเป็นละอองก่อนที่จะสูญสลายไปในบรรยากาศที่ฝนยังคงตกหนัก เช่นเดียวกับความฝันของคิมมินซอกที่เขาไม่อาจจะปกป้องมันได้!
Day-Month-Year
July 23
จางอี้ชิงลืมตาขึ้นมาบนเตียงนอนหนานุ่ม ในขณะที่แสงเช้ากำลังลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาภายในห้องกว้างชายหนุ่มพยายามลุกขึ้นนั่งพลางขยี้ตาเบาๆ เพื่อให้มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ชัดเจนขึ้น
“ตื่นแล้วเหรอค่ะ คุณหนูจาง” หญิงวัยกลางคนที่กำลังเลื่อนผ้าม่านปิดเพื่อบังแสงให้กับคุณหนูของเธอหันมาทักทายด้วยสิหน้ายิ้มแย้ม
“นมเหรอ...” อี้ชิงเรียกขึ้นพลางหันไปมองรอบๆ ตัว ห้องๆ นั้น เป็นห้องนอนขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้และเฟอร์นิเจอร์หรูราคาแพง ทั้งหมดนี้จางอี้ชิงจำได้ไม่เคยลืมเลยว่าทุกชิ้นล้วนแล้วแต่ถูกคัดสรรมาด้วยมือแม่ทั้งสิ้น
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ” แม่นมเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนจะเข้ามาโอบกอดร่างของชายหนุ่มเอาไว้แล้วก็หอมฟอดใหญ่กะจะให้หายคิดถึง
“พอได้รึยังจ๊ะนม... ให้ฉันกอดลูกรักฉันบ้างสิ” เสียงนี้เป็นเสียงที่คุ้นหูจางอี้ชิงยิ่งกว่าเสียงของผู้หญิงคนไหนๆ ในโลก
“แม่!” ชายหนุ่มเรียกขึ้นด้วยน้ำเสียงที่บอกไม่ถูก เป็นน้ำเสียงที่ยังมึนๆ งงๆ ปราศจากความรู้สึกใดๆ แล้วอยู่ดีๆ ผู้หญิงคนนั้นก็หัวเราะร่าขึ้นมาอย่างมีความสุข
“โอ๊ย ดูสิจ๊ะนม... ลูกของฉันเรียกฉันว่าแม่ด้วยแหละ”
จะบ้าตาย... ขืนอยู่แบบนี้ต่อไปเขาต้องประสาทเสียแน่ๆ
“คุณตา... คุณตาล่ะครับ คุณตาอยู่ที่ไหน” เมื่อนึกได้อี้ชิงเริ่มทำท่ากระวนกระวายจะลุกออกหาญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรักทันที
“ชู่ว์ ใจเย็นๆ ก่อนนะจ๊ะลูกรัก” แม่ยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะดันร่างของเขาไว้ให้นั่งอยู่ที่เดิมแล้วก็ก้มลงมากระซิบข้างๆ หู
“คุณตาอยู่กับหมอที่เก่งที่สุดแล้ว ส่วนลูกตอนนี้ยังไม่ค่อยสบาย พักผ่อนให้หายดีก่อนแล้วแม่จะพาไปเยี่ยมคุณตาเอง”
ว่าแล้วคุณนายจางก็เดินออกจากห้องนอนของลูกชายไปอย่างอารมณ์ดี ในวันที่ฝนตกหนักกลางกรุงโซล จางอี้ชิงได้รับรู้เรื่องราวสะเทือนใจบางอย่างจนอาการของโรคไมเกรนกำเริบ แล้วก็ไม่มีใครนึกฝันหรอกว่าอยู่ดีๆ จะเป็นเขาเองที่ตัดสินใจวิ่งกลับมาเข้ามาอยู่ในกรงของแม่เอง
คราวนี้แม่ชนะแล้ว... ยินดีต้อนรับกลับบ้านเป็นการถาวร!
Day-Month-Year
Aug 2
ขณะที่รถคันหรูกำลังแล่นลัดเลาะไปบนถนนสายใหญ่ใจกลางประเทศจีน ที่เบาะหลังของรถคันนั้น คุณหนูจาง หรือจางอี้ชิงดูดีมากทีเดียวในชุดสูทสีดำกับเน็คไทเรียบหรูที่แม่บรรจงเลือกและผูกให้เองกับมือ แม้ว่าจางอี้ชิงจะรู้สึกอึดอัดไม่น้อยที่แม่ทำเหมือนกับว่าเขายังเป็นเด็กๆ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ปริปากบ่นอะไร เหมือนเขากลับมาเป็นคุณหนูจางคนดีของแม่แล้ว แต่ทว่าไร้ชีวิตและจิตใจสิ้นดี
จางอี้ชิงเหม่อมองออกไปข้างนอกรถด้วยสายตาที่เลื่อนลอย ในที่สุดเขากลับมาอยู่ในแผ่นดินจีน แผ่นดินแม่ แล้วก็กลับมาอยู่ในกรงของแม่จนได้ อี้ชิงทอดถอนหายใจหนักหน่วง ลองคิดว่าถ้าป่านนี้เขายังอยู่ในประเทศเกาหลีเขาจะทำอะไรอยู่
แล้วรถก็หยุดจอดลงบริเวณลานกว้างด้านหน้าโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งกลางกรุงปักกิ่ง บอดี้การ์ดที่นั่งข้างคนขับลงจากรถก่อนเพื่อเดินมาเปิดประตูให้กับคุณหนูของเขา จางอี้ชิงก้าวลงมายืนอยู่หน้าโรงพยาบาลแล้วก็หันไปถามบอดี้การ์ดซึ่งรับหน้าที่เป็นคนติดตามคอยรับใช้ และ ‘คุม’ เขาไว้ไม่ให้คลาดสายตาตามคำสั่งของแม่ว่า
“คุณตาของฉันพักอยู่ที่ตึกไหน”
“ตึกนี้เลยครับคุณหนูจาง นายใหญ่พักรักษาตัวอยู่ที่ชั้นพิเศษ ที่นั่นมีหมอดีๆ คอยดูอาการอย่างใกล้ชิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ส่วนใหญ่ก็เป็นคนของตระกูลจางที่เคยให้ทุนการศึกษามาก่อนทั้งนั้น เชิญคุณหนูจางทางนี้ดีกว่าครับ” บอดี้การ์ดวัยแก่กว่าจางอี้ชิงราวๆ สี่ถึงห้าปีแนะนำแล้วก็ผายมือออกไปทางด้านหนึ่ง
อี้ชิงก้าวเข้าไปในตึกสูงใหญ่ระฟ้าของโรงพยาบาลแห่งนั้นโดยมีบอดี้การ์ดเดินตามไปติดๆ ไม่ช้าก็ขึ้นมาถึงชั้นพิเศษ ชั้นนั้นทั้งชั้นมีผู้ป่วยเข้าพักอยู่เพียงไม่กี่คนแต่เป็นชั้นที่เต็มไปด้วยแพทย์และพยาบาลมือหนึ่ง ในขณะที่อี้ชิงเดินผ่านห้องแพทย์เขามองเห็นเครื่องไม้เครื่องมือที่ดูทันสมัยมากมายเต็มไปหมด อี้ชิงได้รับข้อมูลจากผู้ติดตามว่าชั้นพิเศษนี้จะเปิดรับเฉพาะคนไข้ที่เป็นบุคคลสำคัญ หรือไม่ก็พวกเศรษฐีมีเงินเท่านั้น ในกรณีของคุณตาอดีตประมุขของตระกูลจางที่เด่นดังมากในทางธุรกิจชั้นพิเศษย่อมอ้าแขนโดยไม่มีข้อสงสัย ยิ่งโรงพยาบาลแห่งนี้ขับเคลื่อนไปด้วยเงินทุนหมุนเวียนที่ได้รับมอบมาจากคนแซ่จางตลอดทุกปีอาการป่วยของคุณตาก็ยิ่งจะต้องได้รับการรักษาที่ดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นโรคอะไร ระยะไหนก็ตาม
“นายท่านพักอยู่ในห้องนี้ครับ” ผู้ติดตามคุณหนูจางเอ่ยขึ้นก่อนจะจัดการเปิดประตูให้เสร็จสรรพ
“ให้ฉันอยู่กับคุณตาตามลำพังได้ไหม...” จางอี้ชิงหยุดถามก่อนราวกับเป็นการขออนุญาต บอดี้การ์ดหนุ่มคนนั้นจึงน้อมศีรษะลงเล็กน้อยแล้วพูดว่า
“เชิญเถอะครับคุณหนูจาง ผมจะรออยู่ที่หน้าประตูนี้”
“ขอบใจ”
อี้ชิงเดินล่วงเข้าไปภายในห้องเพียงคนเดียว อากาศในห้องพักของคุณตานั้นอุ่นสบาย การจัดวางเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งดูไม่แตกต่างอะไรกับคอนโดมิเนียม ต้องเดินเข้าไปอีกสักหน่อยจึงจะถึงห้องนอน ขณะที่ก้าวเข้าไปภายในห้องนั้น อี้ชิงเตรียมใจไว้อยู่ตลอดเพราะเขาไม่รู้ว่าจะได้มาเห็นคุณตาที่เคารพรักมากที่สุดในสภาพไหน และเมื่อเปิดประตูเข้าไปจางอี้ชิงก็มองเห็นร่างชายวัยกลางคนรูปร่างสันทัดผู้หนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ให้คุณตาฟังอยู่ที่ข้างเตียงคนไข้
“คุณหนูจาง...” เขาร้องทักขึ้นอย่างจำได้ และอี้ชิงก็จำได้เช่นกันว่าชายผู้นี้ก็คือคนสนิทของคุณตา เขาทำงานให้กับท่านมาตั้งแต่ยังหนุ่มแน่นและเรียกได้ว่าเป็นมือขวาของคุณตาเลยก็ว่าได้
“สวัสดีครับลุงเจิ้งหลี่” อี้ชิงทักทายคนสนิทของคุณตาอย่างเป็นกันเอง จะว่าไปแล้วลุงเจิ้งหลี่คนนี้ก็เหมือนญาติที่อี้ชิงคิดเสมอว่าถ้าขาดเขาไปสักคนหนึ่งแล้วล่ะก็ ธุรกิจต่างๆ ของคนแซ่จางอาจจะไม่เจริญงอกงามและยิ่งใหญ่ดั่งเช่นทุกวันนี้
“คุณหนูจางมาแล้วครับท่าน” ลุงเจิ้งหลี่หันไปบอกกับคุณตาที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงคนป่วยก่อนจะหลีกทางให้อี้ชิงเข้ามายืนอยู่ใกล้ๆ กับตาของเขา
“จาง อี้ ชิง” คุณตายิ้มให้ในดวงหน้าที่อิดโรยซึ่งอี้ชิงเห็นแล้วก็อดใจหายไม่ได้ ขณะนี้เส้นผมบนศีรษะของคุณตาได้ร่วงลงหมดแล้วจนต้องใส่หมวกหนาคลุมเอาไว้เพื่อให้เกิดความอบอุ่น ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าแต่จางอี้ชิงรู้สึกเหมือนว่าคุณตาของเขาได้แก่ลงไปอีกเป็นสิบปีหลังจากครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นหน้ากันในวีดีโอคอล อี้ชิงค่อยๆ ฉวยเอามือข้างหนึ่งผู้ชราขึ้นมากุมไว้แน่นหน้าแล้วน้ำตาก็ไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้ เขานั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ แล้วก็เอ่ยขึ้นเหมือนตัดพ้อว่า
“ทำไมคุณตาเป็นถึงขนาดนี้แล้วแต่กลับไม่มีใครบอกผม”
“ไงกัน หลานรัก... กลับมาแบบนี้ไม่กลัวพ่อของแกผิดหวังแย่หรอกเหรอ” คุณตาพยายามจะยิ้มคุยด้วยเหมือนกับตอนที่ท่านไม่ป่วยซึ่งอี้ชิงเห็นแล้วรู้สึกสะเทือนใจยิ่งนัก เขาไม่รู้เลยว่าเขาเป็นหลานประสาอะไร ทั้งๆ ที่คุณตาเป็นคนเดียวที่ช่วยประคับประคองชีวิตและจิตใจของเขามาโดยตลอด แต่ในยามที่คุณตาล้มป่วยลงเช่นนี้เขากลับไม่ได้มาอยู่ดูแลเลยแม้แต่นิด อันที่จริง... เขาไม่แม้แต่จะได้รับรู้อาการป่วยของคุณตาเลยด้วยซ้ำ อี้ชิงเสียใจกับข้อนี้มากแล้วเขาก็รู้สึกกลัวเหลือเกิน ว่าจะต้องเสียร่มโพธิ์ร่มไทรเพียงหนึ่งเดียวไปโดยที่แก้ไขอะไรไม่ได้เลย
“คุณตาครับ... ผมจะไม่กลับไปที่เกาหลีแล้วนะ ผมจะอยู่กับคุณตาที่นี่ ผมจะดูแลคุณตาเองนะครับ" อี้ชิงเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตาในขณะที่ผู้ชราเริ่มเปลี่ยนสีหน้าจากที่แย้มยิ้มอยู่เป็นครุ่นคิดฉับพลัน
“อะไรกันเจ้าเด็กนี่”
“ผมพูดจริง ผมไม่อยากได้ ไม่อยากเป็นอะไรแล้วนอกจากการเป็นหลานของคุณตาเท่านั้น”
“จางอี้ชิง... ถ้าอยู่ที่นี่แกจะไม่ได้เป็นแค่หลานของตา เพราะว่าแกจะต้องเป็นลูกของแม่ด้วย และแกรับได้แล้วเหรอที่แม่ของแกจะต้องเข้ามาบงการชีวิตของแกทุกอย่างเหมือนกับว่าแกยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ซักทีน่ะหลานรัก”
“ผม... ผมดิ้นรนไปก็ทำอะไรไม่ได้ซักที ผมเหนื่อย ผมไม่อยากสู้กับแม่อีกแล้วครับคุณตา”
“ได้ยินแบบนี้แล้วตาเสียดายเลือดพ่อของแกนัก”
“พ่อของผมท่านเสียไปนานแล้ว... เราควรจะก้าวไปข้างหน้าให้ได้...”
“เหมือนกับแม่ของแกนาเหรอ...” คุณตาสวนกลับทันควันทั้งๆ ที่จางอี้ชิงยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ แล้วชายหนุ่มก็ต้องนิ่งอั้นไป
“ฟังนะจางอี้ชิง ที่จริงแล้วจางชิงฮวาแม่ของหลานน่ะ ยังไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าเลยแม้แต่นิด!”
Day-Month-Year
Aug 8
ด้วยคำพูดของคุณตาเมื่อหลายวันก่อนทำให้จางอี้ชิงครุ่นคิดอยู่เสมอแม้ในยามที่กำลังนั่งรถจะไปเยี่ยม ความคิด... ทำให้เขาเหม่อลอยและไม่ได้สนใจอะไรกับสิ่งแวดล้อมสักเท่าไหร่ และในขณะที่รถกำลังจะเลี้ยวเข้าสู่เส้นทางสายหลัก อยู่ดีๆ ก็มีรถตู้คันหนึ่งวิ่งเข้ามาตัดผ่านหน้าแล้วก็จอดขวางทางเอาไว้ดื้อๆ เสียอย่างนั้น คนขับรถเหยียบเบรกจนมิดในขณะที่อี้ชิงกำลังตกอกตกใจ
“ไม่เป็นอะไรนะครับคุณหนู” บอดี้การ์ดหันมาถามด้วยความเป็นห่วงในสวัสดิภาพของเจ้านาย
“ฉันไม่เป็นอะไร แต่นี่มัน... เกิดอะไรขึ้น” จางอี้ชิงเอ่ยถามในขณะที่ชะเง้อมองออกไปด้านหน้ารถด้วยความฉงนสนเท่ห์
“ท่าทางจะไม่ปลอดภัยแล้วสิ ขับผ่านไปเลยได้ไหม...” บอดี้การ์ดหนุ่มเอ่ยขึ้นกับคนขับรถด้วยสีหน้าเครียดขรึม ขณะที่กำลังจะขับแซงไปอยู่ดีๆ ก็เหมือนจะมีควันเป็นสีๆ ลอยออกมาจากรถเจ้าปัญหาเต็มไปหมด ควันมากเสียจนมองไม่เห็นทางคนขับจึงต้องตัดสินใจจอดรถแล้วก็ออกมาสำลักควันอยู่ข้างนอก
“ลงจากรถเร็วครับคุณหนูจาง” บอดี้การ์ดหนุ่มร้องบอก อี้ชิงที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็รีบทำตาม บอดี้การ์ดหนุ่มกำลังพยายามที่จะมองหาทางเพื่อพาคุณหนูจางหนีแต่แล้วเมื่อต้องสูดอากาศที่เต็มไปด้วยควันแบบนั้นนานเข้าๆ สมองของเขาก็เริ่มมึนชาแล้วสุดท้ายก็หมดสติไป
จางอี้ชิงเห็นบอดี้การ์ดล้มลงไปแล้วก็เริ่มมองหาหนทางจะหนีเองแต่อยู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเขาพอดี ถึงแม้จะมองเห็นอะไรไม่ค่อยชัดแต่ร่างเล็กของใครคนนั้นก็ดูคุ้นตาเป็นพิเศษสำหรับลูกชายคุณนายจาง
“นั่น ใคร...” เป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่อนุสติของจางอี้ชิงจะหลุดลอย ร่างเล็กนั้นจึงนั่งลงกับพื้นฉับพลันพลางประคองร่างของชายหนุ่มเอาไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างมั่นคง
“เจอแล้ว อยู่ทางนี้...”
เขาร้องบอกพรรคพวกให้มาช่วยกันประคองร่างไร้สติของจางอี้ชิงเข้าไปภายในรถตู้ด้วยภาษาอังกฤษ จากนั้นเขาก็เข้าไปนั่งข้างๆ แล้วจัดท่าจัดทางให้อี้ชิงนั่งสบายขึ้น ก่อนที่พรรคพวกของเขาจะเลื่อนประตูปิดให้และทันทีที่รถแล่นออกมา ชายหนุ่มร่างเล็กก็ดึงเอาผ้าที่ปิดหน้าไว้กว่าครึ่งออกก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดได้อีกครั้งและร้องสั่ง
“รีบไปออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด”
“ครับ คุณมินซอก!”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พูดไปงั้นแหละ โผล่มาแค่แว้บเดียว แต่ตอนนี้เราย้ายโลเกชั่นกันไปบู๊ที่เมืองจีนแล้ว ใกล้จะสิ้นปีมาเรื่อยๆ แบบนี้ ไว้รอลุ้นกันน้าาา ว่าตอนหน้าจะมีฮุนฮานไหม
ขอบคุณทุกท่านที่กดเข้ามาอ่านนะคะ แค่ยอดวิวก็ทำให้คนแต่งมือใหม่คนนี้มีกำลังใจมากๆ แล้ว ผิดพลาดประการใด เราต้องขออภัยด้วยน้าาา^^
เจอกันนนน
ความคิดเห็น