ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    #Heart of Destiny#Destiny of Life#

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 จดหมาย.....จากพี่ชาย

    • อัปเดตล่าสุด 20 มี.ค. 49


    บทที่ 5 จดหมาย.....จากพี่ชาย

     

    ทำให้ชายหนุ่มได้คิดว่า...สิ่งที่เขาจะทำต่อไปนี้...ไม่ว่ามันจะถูกหรือผิด...เขาก็จะทำต่อไป

     

                    ข้าคือ...

     

                    ไม่ทันที่มาร์คัสจะได้เอ่ยชื่อของตนออกมาให้กับเด็กสาวได้รู้จัก ประตูห้องของมาร์คัสซึ่งบัดนี้ยกให้กับแคเธอรีนก็เปิดออก พร้อมกับร่างสูงสง่างามของดยุคริชาร์ดที่ก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว...

     

                    มาร์คัสมองดูพี่ชายที่เดินตรงเข้ามายังเตียงนอน...เขาโค้งศีรษะให้พี่ชายของตนทีหนึ่งและได้รับการพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ....แววตาของริชาร์ดค่อนข้างเคร่งเครียดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น..แต่กระนั้นก็ยังดูอ่อนโยนเมื่อสายตาของเขามองไปยังบุตรสาวของเพื่อนรัก....

     

                    แคเธอรีน... ดยุคริชาร์ดเอ่ยชื่อของเธอ..เด็กสาวเงยหน้ามองดยุค ก่อนจะโผเข้ากอดเขา เมื่อจำได้ว่าชายผู้นี้คือเพื่อนรักของบิดาที่นางคุ้นเคย ....

     

                    มายลอร์ด ท่านพ่อล่ะคะ... แคเธอรีนเขย่าตัวดยุคริชาร์ดแล้วถามถึงบิดาที่ล่วงลับไปแล้วของนาง...

     

                    แคเธอรีนฟังข้านะ ดยุคริชาร์ดทรุดตัวนั่งลงบนเตียง มือลูบศีรษะของนางอย่างสงสาร พ่อของเจ้าตายแล้ว... ท่านดยุคตัดสินใจบอกความจริงแก่นาง.... ความจริงที่น่าเศร้าสลด...

     

                ไม่...!! ไม่จริง!! ท่านโกหก...ท่านโกหกทำไมกัน..แคเธอรีนปฏิเสธความจริง...ความจริงที่นางเองก็รู้อยู่เต็มอก..แต่นางกลัวที่จะยอมรับมัน....น้ำตาของนางไหลพรากลงมาตามแก้มนวล..

     

                    มาร์คัสมองเด็กสาวอย่างสงสารจับใจเช่นเดียวกับดยุคริชาร์ด.....มาร์คัสมองหน้าพี่ชายเหมือนกับจะถามว่าบอกนางทำไมกัน ทำไมไม่โกหกไป....แต่ดยุคริชาร์ดกลับไม่ใส่ใจน้องชาย....เขาเดินไปยังประตูแล้วตะโกนเรียกแอนนาพี่เลี้ยงบุตรสาวเขาเสียงดัง..เพียงชั่วครู่แม่นมก็ลนลานเข้ามาหาเข้าอย่างรวดเร็วเท่าที่ขาของนางจะอำนวย...

     

                    มีอะไรให้รับใช้คะมายลอร์ด.... นางก้มศีรษะรอรับคำสั่งจากนาย....

     

                    เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนนาง..ปลอบนางด้วย..ดูแลนางให้ดี.. ดยุคริชาร์ดชี้ไปทางแคเธอรีนซึ่งบัดนี้มาร์คัสได้เข้าไปกอดปลอบโยนให้เธออยู่.....

     

                    มาร์คัส.. ดยุคริชาร์ดเรียกน้องชายของตนเบาๆ..มาร์คัสหันไปมองหน้าพี่ชายตามเสียงเรียก..จึงเห็นสัญญาณของพี่ชายที่บอกให้เขาตามออกไปข้างนอก...ชายหนุ่มผละจากแคเธอรีนและยกหน้าที่ปลอบโยนเด็กสาวให้กับแม่นมแทน....

     

     

    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

                    พี่! ..พี่ไม่น่าบอกนางไปเช่นนั้นเลย... มาร์คัสเปิดฉากต่อว่าพี่ชายร่วมสายเลือดทันที ทำไม..ทำไมไม่โกหกไป..โกหกไปก็ได้นี่..

     

                    โกหกเพื่อได้อะไรน้องพี่... ดยุคริชาร์ดเอ่ยเสียงเรียบใบหน้าคมคายของเขามีรอยยับย่นจากความตึงเครียดและดวงตาที่คมกริบมีพายุเพลิงแห่งความแค้นปรากฏอยู่....

     

                     เจ้าจะให้พี่โกหกนางเพื่ออะไรกัน..ในเมื่อนางเองก็รู้อยู่แล้วว่าพ่อของนางตายไปแล้ว...ตายไปต่อหน้าต่อตานางด้วยซ้ำ!...เราโกหกไม่ได้หรอกมาร์คัส..ไม่มีประโยชน์..การโกหกอาจทำให้นางอยู่ในโลกเพ้อฝัน..แต่เมื่อต้องตื่นขึ้นมาพบกับความเป็นจริง...ไม่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่ต้องโกหก ประโยคหลังท่านดยุคเอ่ยเสียงอ่อนลงด้วยความสงสารบุตรสารของเพื่อนซึ่งบัดนี้ไร้แล้วซึ่งบิดาและมารดา...

     

                    นางกลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีญาติคนไหนต้องการเป็นแน่แท้เมื่อบิดาของนาง......ไวเคานท์วินเซนด์ด้วยสิ้นบุญลง...ริชาร์ดยิ่งกว่าแน่ใจ...เพราะสมบัติทั้งหมดต้องตกอยู่กับเฟรดเดอริคอย่างแน่นอน....เฟรดเดอริกที่ตอนนี้คงจะดีใจคิดว่าพี่ชายและหลานสาวตายไปแล้ว....

     

                    แล้วจะทำอย่างไรต่อไป...พี่พอจะรู้ไหมว่าใครกันที่ทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้... มาร์คัสถาม

     

                    แต่สิ่งที่พี่ชายเขาตอบกลับมากลับไม่ใช่คำตอบของสิ่งที่เขาถาม

     

                    พี่ฝากแคเธอรีนไว้ในกับเจ้าได้ไหมมาร์คัส....

     

                    ได้..ได้สิ

               

                เพื่อความปลอดภัย...เราจะต้องเปลี่ยนชื่อนาง....จะต้องไม่ให้ใครรู้ว่านางคือ เลดี้แคเธอรีน วินเซนด์....ต่อไปนี้ชื่อของนาง แคโรลีน่า...เดนบราวน์ไม่มีอีกแล้วแคเธอรีน วินเซนด์ เสียงของริชาร์ดราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจ

     

                    ถึงแม้มาร์คัสจะยังสงสัยกับคำสั่งของพี่ชายแต่เขาเองก็ไม่คิดที่จะถาม..เขาเองก็เห็นด้วย....จากที่เขาดูลักษณะแล้ว คนร้ายคงคิดที่จะฆ่าทั้งสองพ่อลูกให้ตายไปพร้อมกัน...แต่แคเธอรีนโชคดีที่ไม่ตายเท่านั้น...เพราะฉะนั้นการทำให้แคเธอรีน วินเซนด์ตายไปพร้อมกับไวเคานท์ผู้เป็นบิดาน่าจะหนทางที่ดีที่สุดสำหรับเด็กสาวที่น่าสงสารคนนี้

     

                    แล้วพี่ขอฝากบรอนเต้ไว้ที่นี่สักพัก..จนกว่าอะไรๆจะเสร็จสิ้น...แอนนาจะเป็นคนดูแลทั้งสองเอง เจ้าไม่ต้องห่วง..ไม่นานหรอก.... และนั่นคือประโยคสุดท้ายที่ริชาร์ดได้มีโอกาสพูดกับมาร์คัสผู้เป็นน้องชายของเขา.....

                   

                    หลังจากนั้นมาร์คัสก็ไม่ได้มีโอกาสพบพี่ชายของตนอีกครั้ง..แต่ที่เขาได้พบนั้น...ได้เหลือเพียงแค่ร่างไร้วิญญาณ....ดยุคริชาร์ดได้เสียชีวิตลงพร้อมกับเลดี้บริจเจ็ตผู้เป็นดัชเชสของเขา...เป็นการตายที่สร้างความแค้นและความสงสัยให้กับมาร์คัสเป็นยิ่งนัก.....

     

                    ร่างของทั้งคู่ถูกพบในกระท่อมของคนเฝ้าที่ดินทางตอนใต้ของบริเวณคฤหาสน์เดลฟินี ....บนร่างของริชาร์ดพี่ชายเขามีมีดสั้นสีเงินปักอยู่ที่แผ่นหลังกว้าง...ในขณะที่บริจเจ็ตเองก็ถูกยิงเข้าที่หน้าผาก....คาดว่าเป็นแผลจากปืนที่อยู่ในมือของริชาร์ด....ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ใดๆทั้งสิ้น...

     

                    ไม่มีผู้ใดเป็นพยานในการรู้เห็นเหตุการณ์ครั้งนี้ที่จะมาเป็นผู้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับมาร์คัสได้ฟัง...ชายหนุ่มรู้สึกมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้นๆ....

     

                    ไวเคานท์วินด์เซนที่ถูกฆ่าตายอย่างปริศนาในขณะที่อยู่กับบุตรสาวแคเธอรีน.....และแคเธอรีนก็ไม่พร้อมที่จะเล่าทุกสิ่งที่นางอยู่ในเหตุการณ์ให้เขาฟังได้...

     

                    พี่ชายของเขา...ดยุคริชาร์ดเสียชีวิตด้วยมีดสั้นพร้อมกับดัชเชสบริจเจ็ตที่เสียชีวิตด้วยพิษบาดแผลจากปืนที่ถืออยู่ในมือของพี่ชายเขา.......ไม่มีใครที่จะมาเล่าเหตุการณ์ให้มาร์คัสฟังเช่นกัน....

     

                    มาร์คัสรู้สึกเหมือนยืนเคว้งคว้างอยู่กลางหุบเหวที่ไม่สามารถบอกได้ว่าลึกเพียงใด...ล่องลอยอย่างไร้จุดหมายท่ามกลางความมืดมนที่ไร้ซึ่งคำตอบ...

     

                    แล้ววันหนึ่งแสงสว่างที่นำคำตอบมาพร้อมกับความแค้นที่ยากจะลืมก็ได้มาถึง....

                   

                    เมื่อคนสนิทของพี่ชายเขา..ได้มาหาเขาพร้อมกับจดหมายที่คนสนิทอ้างว่าพบอยู่ในสมุดรายงานบัญชี....

     

                    จดหมายที่พับอยู่ในซองสีขาวปิดสนิทอย่างเรียบร้อยถูกแกะอ่านอย่างรวดเร็วเมื่อถึงมือผู้รับ....ในจดหมายมีเนื้อความสั้นๆไม่กี่บรรทัดว่า.....

     

    ถึง มาร์คัสน้องรัก

     

    พี่คิดว่าจดหมายฉบับนี้ คงถึงมือนายไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่ง หลังจากที่เจ้าได้ขึ้นเป็นดยุคแห่งแองเกลียแทนที่พี่ ซึ่งได้จากโลกนี้ไปแล้วในตอนที่เจ้ากำลังอ่านจดหมายฉบับนี้  ซึ่งถ้าเจ้าได้อ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว พี่ก็อยากบอกให้เจ้าได้รู้ว่า...การตายของพี่นั้นเกิดจากคำสั่งของราอูล เลเวลตอฟดุ๊คแห่งเบอร์กันดี ผู้ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเขยของพี่เอง

     

    พี่รู้มานานแล้วว่าดุ๊คเลเวลตอฟคนนี้ไม่น่าไว้ใจ เขาส่งบริตเจ็ตให้มาแต่งงานกับพี่เพื่อทำลายพวกเรา...เขาต้องการสมบัติของพวกเรา...มาร์คัส...อย่าให้พวกมันได้ไป..ฝากบรอนเต้ไว้กับน้องด้วย

     

    รัก

    ริชาร์ด  แฮร์ริสัน แคซเซิล

                   

                มาร์คัสเชื่อในจดหมายฉบับนี้อย่างหมดใจ..เพราะมันคือลายมือของริชาร์ดอย่างแน่นอนเขาจำลายมือของพี่ชายได้ดี..

     

    จนกระทั่งบัดนี้ จดหมายจากพี่ชายฉบับสุดท้ายก็ยังคงถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี....มาร์คัสก็เก็บมันไว้ในตู้เซฟ..เขาไม่ได้บอกให้ใครได้ล่วงรู้ถึงเรื่องราวระหว่างครอบครัวของเขาและครอบครัวเลเวลตอฟ....แม้กระทั่งลูเธอร์ซึ่งเพื่อนสนิทของเขา...หรือแม้กระทั่งเบริต้าผู้เป็นน้องสาว

     

    กาลเวลาที่ผ่านไปทำให้มาร์คัสกลายเป็นคนเย็นชา...รอยยิ้มดึงดูดใจของเขาที่เคยมีเสมอๆนั้นหายไป..ยิ่งนับวันเขายิ่งเป็นคนยิ้มยาก..อารมณ์ของเขานั้นไม่มีผู้ใดบอกได้ว่าจะเป็นเช่นไร....จากหนุ่มเจ้าสำราญกลายเป็นผู้ปกครองคนอย่างเต็มตัว...เขารับช่วงต่อธุรกิจของพี่ชาย...ไม่มีผู้ใดที่ไม่ยอมรับว่าเขาคือนักธุรกิจมือหนึ่งของประเทศ...มาร์คัสใช้เวลาเพียงสองปีในการทำธุรกิจของพี่ชายให้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว..การเดินเรือที่จากเดิมไปถึงอิตาลีและฝรั่งเศส...ปัจจุบันนั้นการขนส่งไปถึงสเปน...เยอรมนี และไปถึงดินแดนใหม่ที่พวกเขาเคยเรียกมันว่าอาณานิคมแต่ชื่อเรียกของมันจริงๆคือ อเมริกา

     

     

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

     

    ต้นปี ค.ศ. 1789 (ปีแห่งการปฏิวัติอันยิ่งใหญ่แห่งฝรั่งเศส)

     

    คฤหาสน์เวสต์ฟรานซ์...

     

                แสงแดดอ่อนๆต้องประกายกับหยดน้ำบนกลีบอ่อนนุ่มของเหล่าดอกกุหลาบในสวน..สายลมอ่อนๆที่นำพาซึ่งกลิ่นหอมของธรรมชาติ...เซซิลเลียร์เดินเก็บดอกกุหลาบในสวนกับมาเรียสาวใช้อย่างใจลอย....ผู้เป็นสาวใช้แอบหัวเราะเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้เป็นนายพยายามตัดก้านดอกกุหลาบขาวด้วยสันมีด...

     

                    เสียงหัวเราะของมาเรียทำให้เซซิลเลียร์รู้ตัวว่ากำลังทำอะไร..นางยิ้มอย่างอายๆให้กับสาวใช้...ก่อนจะใช้คมมีดที่ถูกด้านตัดก้านกุหลาบอย่างเคอะเขิน...ลมที่พัดมาวูบหนึ่งทำให้เซซิลเลียร์สั่นเบาๆ...นางใส่ชุดที่ไม่ใช่ผ้าหนาอย่างสตรีทั่วไป...อันที่จริงเซซิลเลียร์มิได้นิยมชมชอบที่จะแต่งกายอย่างหรูหรา...เธอคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่สิ้นเปลือง..ในเมื่อตัวเธอก็มิได้ออกจากบ้านไปไหนมาไหน...ไม่จำเป็นต้องแต่งตัวอวดใคร...อีกทั้งใส่เสื้อผ้าแบบนี้ก็สบายกว่ามาก...และร่างกายของนางนั้นผอมบาง..คงจะรับน้ำหนักของเสื้อผ้าที่ทั้งหนักทั้งรัดแบบนั้นไม่ไหว...

     

                    มาเรียสาวใช้เหมือนจะรู้..นายคลี่ผ้าคลุมไหล่ที่หยิบติดมาด้วยขึ้นคลุมให้กับหญิงสาว...เซซิลเลียร์หันไปขอบใจนาง...เธอไม่เคยถือเรื่องชั้นวรรณะ....กับคนรับใช้ในคฤหาสน์นางรู้จักพวกเขาทุกคนภายในระยะเวลาที่นางมาอยู่ที่นี่ไม่กี่วันหลังจากที่สการ์เลตผู้เป็นพี่ส่งจดหมายไปหาบิดาของนาง...เหล่าบรรดาคนรับใช้ต่างพากันนิยมชมชอบในเจ้านายหญิงคนนี้...นางมีเมตตา...พูดคุยได้อย่างไม่ถือตัว อีกทั้งยังอ่อนโยน...ไม่เหมือนสการ์เลตผู้เป็นพี่....

     

                    เซซิลเลียร์เหลือบมองผ้าคลุมไหล่สีน้ำเงินเข้มที่ปักด้วยดิ้นเงิน...มองดูเหมือนสีของท้องฟ้ายามค่ำคืน...และเหมือนกับสีนัยน์ตาของใครคนหนึ่ง....ดยุคมาร์คัส แคซเซิล....

     

                    หลายวันก่อนเธอได้รับการแนะนำกับเขาอย่างค่อนข้างไม่เป็นทางการ....

     

                    มาร์คัสมาที่คฤหาสน์เวสต์ฟรานซ์เพื่อรับสการ์เลตไปงานเต้นรำ...ขณะที่เขากำลังยืนรอสการ์เลตอยู่นั้น เซซิลเลียร์ซึ่งกลับขึ้นมาจากการตัดดอกกุหลาบในช่วงเย็นก็ได้พบกับเขา.....

     

    ดวงตาสีน้ำเงินที่เคร่งขรึมสะดุดตาเธอตั้งแต่แรก..ใบหน้าเกลี้ยงเกลา..จมูกโด่งเป็นสัน...ผมสีดำสนิท..รูปร่างสูงโปร่งในชุดสูทอย่างหรู...มีผ้าพันคอสีขาวเนื้อดีที่ได้รับการผูกอย่างประณีต...อันที่จริงทั้งตัวของเขาบ่งบอกถึงความเอาใจใส่อย่างประณีตจริงๆไม่ใช่เฉพาะผ้าพันคอ....

     

                    เซซิลเลียร์ไม่เคยพบใครที่มีลักษณะสง่างามเช่นเขามาก่อน...อันที่จริงนอกจากพ่อของเธอและเหล่าคนรับใช้ในบ้านและเพื่อนของบิดาบางคน..เธอก็แทบจะไม่รู้จักชายใดนอกเหนือจากคนเหล่านี้....เธอมีชีวิตอยู่เหมือนแม่ชีในคอนแวนต์...ไม่เคยออกมาพบโลกภายนอกเหมือนกับเหล่าพี่ๆเธอเป็นบุตรสาวคนสุดท้องที่ถูกรักใคร่อย่างหวงแหนของบิดาที่คอยดูแลเธอเหมือนกับไข่ในหิน...แต่เซซิลเลียร์เองก็พอใจกับชีวิตอย่างนี้...สังคมภายนอกดูวุ่นวายและสับสน..เธอชอบชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่แต่ในบ้านมากกว่า...หลายครั้งที่สการ์เลตมักว่าเธอนั้นผิดพี่ผิดน้อง....

                   

                    เซซิลเลียร์รู้สึกถึงสายตาที่เขามองมาทางเธอ...หญิงสาวรู้สึกประหม่าเล็กน้อย..นางกระชับช่อดอกกุหลาบในอ้อมแขนแน่นขึ้น....นางมีความรู้สึกว่าเขาเดินเข้ามาใกล้นาง...และก็เป็นความจริงเพราะเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นเขาก็ยืนอยู่ข้างหน้านางเสียแล้ว..เซซิลเลียร์ถอยหลังไปก้าวหนึ่งและหลบสายตาของเขา...

                   

                    ยินดีที่ได้รู้จักเลดี้..... เขาละไว้เชิงถามชื่อเธออย่างสุภาพ...

    .

                    เซซิลเลียร์ค่ะนางเป็นน้องสาวของข้าเอง...เพิ่งมาจากฝรั่งเศส เสียงที่ตอบกลับมากลายเป้นเสียงของสการ์เลตที่เดินลงมาจากบันไดในชุดราตรีสีเขียวการะเวกคว้านคอจนเห็นร่องอกที่เอวมีผ้าซาตินสีขาวผูกห้อยชายเอาไว้...คอของนางมีสร้อยมรกตเม็ดใหญ่น้ำงาม..นางทำผมทรงเดียวกับที่มาร์คัสเคยเจอในงานเต้นรำครั้งแรก....มือของนางถือพัดจีบสีทองไว้ด้วย...

     

                    เซซิลเลียร์งั้นเหรอ....เป็นชื่อที่เพราะมาก.. มาร์คัสหันมาพูดกับเจ้าของชื่อ..เซซิลเลียร์เห็นประกายในตาของเขา...แก้มของเธอแดงระเรื่อย...สการ์เลตมองทั้งคู่อย่างจับผิดก่อนจะรีบเดินมาคล้องแขนมาร์คัสอย่างเป็นเจ้าของทันที..ท่าทางของสการ์เลตทำให้มาร์คัสไม่พอใจ...แต่เขาก็เก็บอาการได้อย่างดียิ่ง.....

                   

                    เราจะไปกันหรือยังคะมาร์คัส... สการ์เลตถาม..เพื่อดึงความสนใจของมาร์คัสที่จ้องมองน้องสาวอย่างไม่กระพริบตา....

     

                    แล้วพบกัน..เซซิลเลียร์ผู้งดงาม มาร์คัสบอกเธอ...ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับสการ์เลตที่ยืนอยู่เคียงข้าง

     

                    ขอบคุณค่ะ เมอร์ซิเออร์ สำเนียงของเธอค่อนไปทางฝรั่งเศสไม่ถูกต้องตามหลักของภาษาเหมือนดั่งพี่สาว....ก่อนจากกันเซซิลเลียร์ยิ้มให้เขา...ถึงแม้จะไม่ใช่รอยยิ้มที่ร่าเริงอย่างที่เขาเคยแอบมองเธอที่อยู่ในสวนกับบรรดาสาวใช้ผ่านทางหน้าต่างเวลามาเยี่ยมสการ์เกต..แต่มันก็ทำให้เขาใจเต้นได้เหมือนหนุ่มๆ.....

     

                อะแฮ่มๆ.. เสียงกระแอมดังขึ้นทำให้เซซิลเลียร์รู้สึกตัวขึ้นว่าตัวเองเหม่อลอยอีกแล้ว...แก้มขาวนวลแดงระเรื่อยขึ้นอีกรอบ...

     

                    จดหมายจากท่านฟรังซัวร์ขอรับท่านหญิง... คนรับใช้นำซองจดหมายสีทองมาให้เซซิลเลียร์...เธอรับมันมาอย่างตื่นเต้น..นี่คือจดหมายฉบับแรกจากพี่ชายนับตั้งแต่เธอย้ายมาอยู่ที่แองเกลีย...

     

                    พอแค่นี้ก่อนแล้วกันมาเรีย... หญิงสาวหันไปบอกกับสาวใช้และยิ้มอย่างร่างเริง...มาเรียเห็นว่าแววเศร้าในตาของนายสาวหายไปก็ดีใจและยิ้มให้นางเช่นกัน...

     

                    เมื่อกลับเข้ามาในห้องของตนเอง...สิ่งที่เซซิลเลียร์ก็รีบเปิดซองจกหมายของพี่ชายตนเองทันที..ถึงแม้ว่านางจะแกะซองอย่างรวดเร็วเพียงใด..แต่รอยที่ฉีกออกนั้นก็ตรงดั่งเอามีดมากรีดซองมากกว่าใช้มือฉีก.....แต่ทันทีที่เธอเปิดซองมาก็ต้องประหลาดใจ..เมื่อพบจดหมายอีกซองแนบอยู่ข้างในกับแผ่นกระดาษจดหมายของพี่ชาย....และไม่มีชื่อติดอยู่หน้าซอง...เซซิลเลียร์ระงับความอยากรู้ไว้..ก่อนจะดึงเอาจดหมายของพี่ชายมาอ่าน.....

     

    เซซิลเลียร์น้องรัก....

     

                    หลายสัปดาห์ที่น้องไม่อยู่กับพวกเราที่นี่ ท่านพ่อบ่นถึงน้องวันละหลายๆเวลา....จนเลดี้เบียงก้าเองยังถามท่านพ่อว่าแล้วทำไมไม่ไปกับน้องด้วย....แต่คำตอบก็ได้เหมือนเดิม..น้องก็รู้นิใช่ไหมว่าท่านพ่อของเราเกลียดแองเกลียเท่าไหน...ท่านเฝ้าเป็นห่วงน้องว่าน้องจะอยู่อย่างไรในบ้านป่าเมืองเถื่อนเช่นนั้น....แต่พอเมื่อวันก่อนข่าวการจับกุมท่านเคานท์คนหนึ่งดังมาเข้าหูท่านพ่อ...ท่านก็รู้ได้ทันทีว่าท่านคิดถูกแล้วที่ให้น้องไปอยู่กับสการ์เลต..เพราะพวกทหารที่เข้าไปจับกุมที่คฤหาสน์ของเคานท์คนนั้นได้ทำมิดีมิร้ายเหล่าลูกสาวของเคานท์คนนั้นด้วย...และให้พี่สัญญาว่าหากจะเขียนจดหมายถึงน้องก็ต้องบอกน้องด้วยว่าท่านรักและเป็นห่วงน้องมากเพียงใด.รวมถึงเศร้าโศกและเหงาเพียงใดยามไม่ได้เจอหน้าน้องทุกๆวันเช่นเคย......

     

                    ฝรั่งเศสที่เคยน่าพิสมัย...ตอนนี้ไม่เหลืออะไรดีแล้ว..นับวันสถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายลงทุกที...พี่ไม่คิดว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เหนือหัวของเราจะสู้กับสถานการณ์ของบ้านเมืองขณะนี้ได้เลย...พระองค์สนใจแต่ราชินีอังตัวเนตของพระองค์ อีกทั้งพระองค์ยังเชื่อแต่ความคิดของตนเองเป็นใหญ่....ถึงแม้ท่านพ่อกับเหล่าขุนนางที่จงรักภักดีจะเคยทูลเตือนพระองค์หลายครั้งแต่พระองค์ก็ยังไม่ฟังและยืนกรานที่จะทำตามความคิดขององค์เอง...

     

                    ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำอยู่ขณะนี้....พระเจ้าหลุยส์ทรงพยายามแก้ไขแต่ก็ไม่สำเร็จ...เมื่อสัปดาห์ก่อนพระองค์พยายามแก้ไขด้วยการเรียกเก็บภาษีจากพวกบาทหลวงและขุนนาง..ไม่ต้องบอกเลยว่าความพยายามของพระองค์นั้นไม่สำเร็จอย่างแน่นอน....มันล้มเหลวไม่เป็นท่า...มีเพียงไม่กี่รายที่ยอมส่งภาษีเข้าท้องพระคลัง...(ทำไมพระองค์ไม่คิดที่จะลดการใช้จ่ายของราชสำนักแทนก็ไม่รู้...แต่ละเดือนที่ใช้จ่ายเพื่อความหรูหราของราชินีออสเตรียคนนั้น ถ้าลดไปได้ เงินท้องพระคลังคงจะมีมากกว่าการเก็บภาษีจากพวกชนชั้นสูงและบาทหลวงอีกพี่ว่า.....)

     

                    พี่คิดว่าน้องคงรู้เรื่องความคิดของเหล่านักปรัญชาสาวคนนี้แน่นอน...มองเตสกิเออร์...วอลแตร์  และรุสโซ...สามคนนี้ที่เขียนถึงเรื่องเสรีภาพและความเสมอภาคของประชาชน (แน่นอนว่าเซซิลเลียร์รู้จักสามคนนี้...นางนั้นชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เล็ก..หนังสือทุกเล่มในบ้านไม่เคยมีเล่มไหนที่เธอไม่เคยอ่าน...และอีกทั้งนางยังมีความจำเป็นเลิศอีกด้วย) อิทธิพลจากความคิดของสามคนนี้ทำให้ประชาชนเริ่มตื่นตัวทางด้านการเมืองโดยเฉพาะเหล่าพวกชนชั้นกลางที่มีฐานะดี....

     

                พี่เองก็เป็นคนหนึ่งที่เห็นด้วยความคิดของนักปรัชญาทั้งสาม..พี่เองเคยคิดที่จะร่วมด้วย..พี่ไม่ชอบที่เห็นพวกชนชั้นสูงจะมาเอารัดเอาเปรียบคนยากคนจนที่ทำงานลำบาก.....แต่น้องก็รู้นิว่าท่านพ่อนั้นภักดีต่อองค์กษัตริย์เพียงใด...ความคิดของพี่เลยต้องถูกเก็บไว้..และพี่ก็หวังว่าน้องคงเก็บความลับนี้ไว้ด้วย....เพราะถึงยังไงพี่ก็คงไม่มีทางที่จะเป็นศัตรูของท่านพ่อ....

     

                    พูดถึงเรื่องเครียดๆมาเยอะแล้ว..พี่ก็อยากบอกเรื่องที่น่ายินดีกับน้องบ้าง...พี่กับเครยาตัดสินใจที่จะแต่งงานกันในเร็ววันนี้....อันที่จริงเครยาอยากให้น้องมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้...แต่ท่านพ่อยืนกรานที่จะไม่ให้น้องกลับมาฝรั่งเศสอีก..แต่ถึงอย่างไรก็ตามเราก็ได้เพื่อนเจ้าสาวแสนงามอย่างเลดี้เบียงก้ามาแทน..ถึงจะอายุมากไปสักนิดก็ตามทีฮ่ะฮะ....หวังว่าน้องคงอวยพรให้กับพี่และเครยาด้วย.....

     

                    และพี่เองก็หวังว่าน้องรักของพี่คงมีความสุขที่แองเกลีย....และหวังว่าสการ์เลตคงจะดูแลน้องเป็นอย่างดี...

                                                    รัก

                                                       ฟรังซัวร์  เลเวลตอฟ

     

                ป.ล. จดหมายอีกฉบับอาจทำให้น้องคลายเหงาได้บ้าง.....

     

                    เซซิลเลียร์พับจดหมายของพี่ชายลงเมื่ออ่านเสร็จ..รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวนมองของนาง....ตอนท้ายของจดหมายนั้นเรื่องดีจริงๆ เป้นหนึ่งในเรื่องน่ายินดีท่ามกลางความวุ่นวายในฝรั่งเศสตอนนี้.....เซซิลเลียร์ดีใจ.......ในที่สุดเลดี้เครเซย์ลาร์ เลอแตงเซ่ย์ก็จะแต่งงานกับพี่ชายของนาง...นางรู้มานานแล้วว่าทั้งคู่นั้นรักกันมาหลายปี....และนางเองก็ไม่เห็นว่าใครจะเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าสาวของพี่ชายไปมากกว่านี้...แม้ในใจจะเศร้าเล็กน้อยที่มิได้อยู่ร่วมงานแต่งงานของพี่ชาย..แต่นางก็ยินดีที่ได้ข่าวนี้...และอวยพรจากใจจริงให้ทั้งคู่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขหลอดไป....

     

                    นางดึงจดหมายอีกฉบับออกมาจากซอง..ในใจคาดเดาไปทั่วว่าจะเป้นจดหมายจากใคร...อาจเป้นจดหมายจากบิดา..แต่คงไม่ใช่เพราะฟรังซัวร์พี่ชายเขียนบอกไว้ว่าบิดาฝากบอกอะไรแก่นางแล้ว...หรือว่าจะเป้นเลดี้เครยาที่เขียนมาเล่าถึงความตื่นเต้นที่ฟรังซัวร์ขอนางแต่งงาน....และอาจเป็นเลดี้เบียงก้าแม่เลี้ยงที่แสนใจดีของนางก็เป็นได้....เลดี้เบียงก้าอาจจะเขียนจดหมายที่สอนถึงมารยาทต่างๆของพวกผู้ดีอังกฤษก็เป้นได้...เพราะก่อนที่นางจะมาที่นี่แม่เลี้ยงที่แสนจะใจดีคนนี้ก็พร่ำสอนนางให้รู้ว่าชาวอังกฤษนั้นมักจะปฏิบัติตัวกันอย่างไร..ซึ่งเซซิลเลียร์ก็คิดว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย..เนื่องจากนางมิได้ออกจากบ้านไปไหน..นางจึงไม่ได้ใช้สิ่งที่เลดี้เบียงก้าสอนมาเลยสักนิด....

     

                    หัวใจของเซซิลเลียร์เต้นแรงกว่าปกติ..เมื่อเห็นลายมือเป็นบรรจง...ทันทีที่เห็นตัวหนังสือในจดหมาย...เซซิลเลียร์ก็รู้ทันทีว่าใครเป็นเจ้าของจดหมายฉบับนี้.....

     

     

     

                    -------------------- To Be Continue -----------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×