คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : วันเบาๆของคุณหนูมาเนีย
บทที่ 4
“เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ?”
“โครงงานศึกษาและวิเคราะห์ภาษาพูดของประธานนักเรียนค่ะ”
“...เอ่อ...”
อาจารย์ท่านหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าของฉันตอนนี้กำลังตีหน้ามึนแล้วมองมาที่ฉันอย่างสับสน.. แน่นอนว่าเธอเป็นอาจารย์ที่ฉันเคยเจอมาก่อนแล้วจากประสบการณ์สามปีในรั้วโรงเรียนแห่งนี้ แต่ฉันไม่เคยคุยด้วยมาก่อน และไม่รู้มาก่อนว่าเธอคืออาจารย์ที่ควบคุมวิชาโครงงานของสายชั้นมอห้า... ไม่สิ ต้องพูดว่าสายชั้นมอปลายสินะ...
“เธอไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยหรอ?”
“ไม่ค่ะ”
ไม่น่าเชื่อว่าอาจารย์ที่มีบุคลิกท่าทางอ่อนแอคนนี้จะเป็นเจ้าของวิชานี้ได้เลยจริงๆ เพราะดูท่าทางแล้วเธอจะไม่สามารถออกคำสั่งหรือควบคุมนักเรียนได้อย่างเด็ดขาดได้เลยด้วยซ้ำ แต่คงจะเป็นหนึ่งในข้อดีของเธอที่ทำให้เด็กนักเรียนหลายๆคนในโรงเรียนสามารถออกแบบโครงงานที่เรียกได้ว่าสร้างสรรค์แปลกใหม่ได้จนได้เป็นที่น่าสนใจอยู่ระดับหนึ่งสำหรับโรงเรียนภายในภูมิภาคเดียวกัน
“มันเป็นโครงงานประเภทไหนล่ะ...เอ่อ... จิตวิทยา?”
“ยังไม่ได้คิดรายละเอียดอะไรเท่าไหร่ค่ะ แต่น่าจะสำรวจ จดบันทึก แล้ววิเคราะห์ความหมายเอาน่ะค่ะ” ฉันตอบไปทันทีหลังจากที่อาจารย์ยิงคำถามมาด้วยท่าทีที่ดูสับสน “แต่หนูจะพยายามศึกษาตัวแปรคร่าวๆก่อนแล้วจะมาปรึกษาอีกทีนะคะ”ฉันกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วยื่นเอกสารเสนอโครงงานโดยมีแกมบังคับนิดๆว่า ‘เซ็นต์อนุมัติซะนะคะ’
“อาจารย์ว่า...เอ่อ.... หนูเพิ่งกลับมาอาทิตย์ที่แล้วใช่ไหม คงไม่ต้องรีบนำเสนอโครงงานก็ได้นะ อาจารย์ให้เวลาคิด” เธอกล่าวขึ้นแล้วดันเอกสารที่ถูกวางลงบนโต๊ะกลับเข้ามาทางฉัน “แล้วก็... เผื่อมีเพื่อนคนไหนยังไม่มีกลุ่ม เธอก็ไปรวมกลุ่มกับพวกเขาก็ได้นะ แล้วก็ช่วยกันคิด เพราะปีนี้จัดกลุ่มกันใหม่น่ะ...”
“หนูไม่ถนัดทำงานกลุ่มน่ะค่ะ” ฉันตอบกลับทันทีที่อาจารย์พูดถึงเรื่องงานกลุ่มขึ้นมา “หนูจะพยายามทำงานนี้ด้วยตัวเองค่ะ” จากนั้นฉันก็ดันเอกสารไปทางอาจารย์ที่อยู่ตรงหน้าอีกที
“ง่ะ...งั้น เธอก็น่าจะคิดเรื่องโครงงานให้ดีกว่านี้นะ พะ..เพราะเธอทำคนเดียวนี่นา” อาจารย์ที่ดูท่าจะสู้แรงกดดันไม่ไหวส่งเสียงตะกุกตะกักมาเพื่อสื่อสารกับฉัน “แล้วครูก็คิดว่าโครงงานนี้เนื้อหามันแปลกๆเนอะ?...ว่าไหม? ฮะๆๆ แล้วก็ไปเขียนข้อมูลเพิ่มเติมมาด้วย ไม่ใช่เขียนแต่ชื่อโครงงานและที่มาความสำคัญนะ” เอกสารบนโต๊ะถูกเลื่อนมาทางฉันอีกครั้ง เหมือนมันเป็นการบอกอย่างอ้อมๆว่า ‘ครูว่า...ไปคิดเรื่องใหม่มาเถอะ’ และเผลอๆมันอาจจะมีพวกคำประเภท ‘ขอร้อง’ ตามหลังมาด้วย
“หนูว่าไม่น่ามีปัญหาด้านเนื้อหานะคะ เพราะแค่ทำตัวโครงงานเสร็จก็ถือว่าผ่านไม่ใช่หรอคะ” แน่นอนว่าฉันเตรียมตัวมาดี ฉันรู้ดีว่ามันจะไม่มีการนำเสนอโครงงานให้ผู้อื่นฟัง ยกเว้นซะแต่อาจารย์ประจำวิชาและอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานเท่านั้น
แต่ในขณะที่ฉันกำลังจะเลื่อนเอกสารบนโต๊ะไปทางอาจารย์อีกครั้ง...
“อะ...เอ่อ! ใช่สิ เธอควรจะไปหาอาจารย์ที่ปรึกษามาก่อนนะ ... เผื่อว่าอาจารย์อนุมัติไปแล้วแต่ไม่มีคนเป็นที่ปรึกษาให้ อาจารย์ก็เป็นให้เธอไม่ได้หรอกนะ เพราะอาจารย์ต้องคุมเด็กที่จะเอาโครงงานไปประกวดน่ะ...” จากนั้นอาจารย์ก็เอานิ้วชี้ไปทางส่วนที่ให้หรอกชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาในเอกสาร แล้วค่อยๆดันเอกสารให้เข้ามาใกล้ฉันมากกว่าเดิม
(อา...นั่นสินะ ฉันลืมคิดเรื่องนั้นไป ลืมคิดไปว่าฉันต้องหาอาจารย์ที่ปรึกษาด้วย...) (อาจารย์เมฆก็ได้ล่ะมั้ง?)
“อ่า...ค่ะ งั้นเดี๋ยวจะมาใหม่นะคะ” น่าเสียดายจริงๆ ฉันไม่อยากเสียเวลาว่างมาที่นี่บ่อยๆเท่าไหร่ มันไกลจากห้องเรียนประจำอยู่พอสมควร แล้วดันอยู่ชั้นบนสุดของตึกอีก....แย่ชะมัด
ในขณะที่ฉันกำลังหยิบเอกสารอนุมัติโครงงานขึ้นมาจากโต๊ะ อาจารย์ที่นั่งอยู่ข้างหน้าฉันที่ก่อนหน้านี้ตัวสั่นหงึกๆก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่... บางทีฉันก็คิดว่าเธอดูเด็กไปที่จะมาเป็นอาจารย์ที่สอนวิชาเดียวซึ่งมีในทุกสายชั้นมอปลาย และเธอยังดูขาดความมั่นใจเกินไปสำหรับการเป็นอาจารย์โรงเรียนนี้ด้วยซ้ำ
“แย่เลยนะ มีเด็กคนนึงคิดจะทำโครงงานคล้ายๆแบบนี้ด้วยล่ะนะ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะหาอาจารย์ที่ปรึกษาได้รึยัง” วะ...ว่ายังไงนะ?! มีคนคิดจะทำโครงงานคล้ายๆแบบของฉันงั้นหรอ?!
“อะไรนะคะ”
“อ่า..เอ่อ คือมีเด็กมอสี่คิดจะทำโครงงานคล้ายๆเธอน่ะ อาจารย์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหาอาจารย์ที่ปรึกษาได้รึยัง”
อะไรกัน! มีคนใช้ความคิดนี้ไปแล้วงั้นหรอ คงเป็นแฟนคลับไอ้หมอนั่นแน่ๆ น่ารำคาญจริง ฉันกะว่าจะทำโครงงานที่ไม่เหมือนใครแล้วแท้ๆ
“แต่โครงงานของเด็กคนนั้นไม่ระบุตัวตนหรอกว่าจะเป็นแค่ประธานนักเรียนน่ะ” อาจารย์พูดเสริมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม(คงจะปลื้มเด็กคนนั้นอยู่ไม่น้อย) “แต่เป็นทั้งสภาเลย” (ห้ะ?!)
“จริงๆอาจารย์ก็อยากอนุมัตินะ เพราะอาจารย์ก็คุยกับคนทั้งสภาไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ส่วนใหญ่เป็นเด็กมอปลายด้วยสิ แต่เด็กคนนั้นคุยรู้เรื่องล่ะ ฮะๆ” “แต่อาจารย์ไม่อยากให้เด็กคนนั้นทำงานหนักไป เพราะอาจารย์จะส่งเธอไปประกวดโครงงานด้วยล่ะ” จากอาจารย์หงิมๆตอนแรก...ตอนนี้เธอกลายมาเป็นอาจารย์ที่ยิ้มหน้าบานเวลาพูดถึงลูกศิษย์ที่รักไปซะแล้ว
“จะเอาโครงงานนั้นไปประกวดหรอคะ”
“อ้อๆ เปล่าๆ เด็กคนนั้นเป็นเด็กที่จะทำโครงงานไปประกวดให้อาจารย์เองน่ะ แล้วเด็กคนนั้นก็อยากทำโครงงานส่วนตัวด้วยเลยต้องหาอาจารย์ที่ปรึกษาใหม่น่ะ” ฉันล่ะสงสัยจริงๆว่าไอ้เด็กคนนั้นนี่มันใคร
“เด็กคนนั้นนี่ใครหรอคะ” ถามตรงไปรึเปล่านะ?
“เอ่อ...อาจารย์จำชื่อไม่ได้น่ะ” นี่อาจารย์จะบอกว่าจำชื่อเด็กที่ตัวเองพูดถึงแล้วยิ้มหน้าบานไม่ได้เรอะ!! แล้วไอ้เด็กคนนั้นมันก็เป็นเด็กที่อาจารย์จะเอาไปส่งประกวดโครงงานเลยนะคะ!!
“งั้นหนูจะไปคิดโครงงานมาใหม่นะคะ” ชิ...ถึงจะเจ็บใจก็เถอะ แต่ถ้าโครงงานฉันไปซ้ำกับคนอื่นฉันก็ยอมรับมันไม่ได้เหมือนกัน ฉันอุตส่าห์ใช้เวลาก่อนนอนมาคิดเลยนะ!! แทบจะคิดตอนฝันเลยด้วยซ้ำ
‘ที่ไหนได้ ก็แค่ไม่อยากให้ฉันทำโครงงานเหมือนเด็กตัวเองว่างั้นเถอะ’
…..
แปลกจัง ทำไมฉันถึงรู้สึกโมโหกันนะ?
ครูลำเอียง?
ไม่อยากซ้ำใคร?
แฟนคลับของประธานนักเรียน?
หรืออะไรกันแน่....?
.....
วันนี้วันพุธ... วันพุธที่ฉันเทเวลาไปหาอาจารย์วิชาโครงงานและอาจารย์ท่านอื่นๆเพื่อเคลียร์และส่งการบ้านในเวลาคาบว่างช่วงคาบสามและสี่ ฉันล่ะเหนื่อยๆจริงๆ อย่างน้อยก็เหลือเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงในการพัก... ไปนอนโซฟาในห้องโถงสำหรับพักดีไหมนะ? แต่ถ้าไปที่นั่นคงนอนไม่หลับแหง เพราะต้องมีเด็กคนอื่นไปพักเหมือนกัน...คาบว่างนี่นา... หรือจะไปห้องพยาบาลดี?
ในระหว่างที่ฉันนั่งพักอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเอง... ฉันรู้สึกว่าวันนี้ฉันเหนื่อยเหลือเกิน ทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรมากแท้ๆ และจู่ๆก็เผลอหลับไป… (ช่วงนี้อยู่ที่บ้านแล้วนอนไม่ค่อยหลับเลยแฮะ)
“เนีย เที่ยงแล้วนะ ไปกินข้าวกัน” เสียงที่เหมือนดังมาจากด้านบนของฉันมาพร้อมกับการสะกิดไหล่เบาๆทำให้ฉันตื่นขึ้น.. (ใบไม้นี่เอง...)
“ไม่สบายหรอ นอนตรงนี้หน้าจะเป็นรอยนะ” เฮือก!! ลืมคิดเลย ถ้าหน้าสวยๆฉันเป็นรอยจ้ำแดงๆที่เกิดจากการเอาหน้าผากวางตรงแขนนี่จะเกิดอะไรขึ้น!!
“นะ...หน้าฉันแดงไหม!! มีรอยอะไรรึเปล่า!!”
“หึๆ ไม่มีหรอก” “ป่ะ ไปกินข้าวกัน โรงอาหารเปิดแล้วนะ” น่าสงสัยชะมัด
อันที่จริงฉันอดกังวลไม่ได้ว่าถ้าไปโรงอาหารแล้วจะเจอคนที่พูดถึงเวลาเที่ยงเป็น ’สิบสองโมง’ รึเปล่า แต่กังวลไปก็ไม่ได้อะไร เพราะยังไงซะฉันก็ต้องกินข้าวอยู่ดี แล้วอีกอย่าง ถ้าฉันมาช้ากว่านี้มีหวังคนเต็มโรงอาหารแน่ จะมาเร็วกว่านี้ก็ไม่ได้ เพราะมีกำหนดให้โรงอาหารเปิดตรงเวลาคือตอนเที่ยงตรงเท่านั้น แต่เอาเถอะ ถ้าเกิดอะไรแปลกๆก็แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปแล้วกัน
เมื่อเข้าโรงอาหารไปฉันก็อดไม่ได้ที่จะตามหาสิ่งนั้น... (แปลกแฮะ วันนี้ไม่เจอตั้งแต่เช้า)
“อ้าวไง มาเนีย!!” เสียงทักทายจากด้านหลังทำเอาฉันสะดุ้ง
“คิง!!” ทำไมรู้สึกเหมือนไม่ได้เจอกันนาน ทั้งๆที่เมื่อวานก็เจอกันแท้ๆ... ใช่ๆ แต่เหมือนตอนเจอกันฉันม่มีตัวตนเลย...
“กินข้าวหรอ” แน่นอนสิ มาโรงอาหารนี่คงไม่ได้มานั่งเล่นหรอก แออัดจะตาย
“อื้อ” ฉันตอบเสียงใส เพื่อเพิ่มความน่ารักให้กับตัวเอง
“งั้นไปละ เจอกันอีกนะถ้ามีโอกาส”
“อ่าว ไม่กินข้าวหรอ” ฉันนึกว่าเขาจะมากินข้าวด้วยซะอีก... จะรีบไปไหนของเขากันล่ะนี่
“ไม่กินอ่ะ” เขาตอบแล้วโบกมือลา แล้วเดินออกจากโรงอาหารทันที
แปลกคน... พวกผู้ชายนี่ใช้อะไรเลี้ยงสมองกันล่ะเนี่ย ถ้าไม่กินก็เรียนหนังสือไม่รู้เรื่องพอดี เพราะสมองน่ะต้องใช้พลังงานนะ ..ตะ...แต่ฉันจะไม่กินจนอ้วนหรอกนะ!
หลังจากคาบพัก...มีเรียนต่ออีกสามคาบ เป็นเคมีสองคาบ และคณิตอีกหนึ่ง (เหนื่อยจัง) แต่โชคดีหน่อยที่อาจารย์สอนคณิตแอบเลิกก่อนเวลา ถึงจะแค่ประมาณสิบนาที แต่มันก็ช่วยฉันไว้ได้เยอะเลย เพราะกว่ารถจะมาก็ประมาณอีกยี่สิบนาทีหลังจากนี้ แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงเป็นวันที่เหนื่อยสุดๆ แต่ทันทีที่เลิกเรียน หลังจากทำความเคารพอาจารย์ไปทุกคนก็คุยกันจ้อกแจ้กจนน่ารำคาญทันที มันทำให้ฉันรู้สึกอึดอัด
“อาจารย์แกรีบกลับบ้านไปเลี้ยงหมาอ่ะ” เพื่อนโต๊ะข้างๆเจ้าเดิมที่ดูเหมือนจะชอบนินทาอาจารย์บ่อยๆพูดขึ้นในขณะที่ฉันกำลังเก็บข้าวของเข้ากระเป๋าเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน (จะว่าไป ฉันจำชื่อเธอไม่ได้นี่นะ...)
“เอ่อ...เธอชื่ออะไรนะ”
“เอ่อ... ทราย ชื่อทรายอ่ะ” ถึงเธอจะตีหน้าอึ้งไปซักพักแต่ก็ตอบกลับมาอย่างดี... ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ก็ฉันไม่รู้ชื่อนี่ ก็ต้องถามสิ ถึงจะดูใจร้ายไปหน่อยที่นั่งข้างๆกันแล้วไม่รู้ชื่อ
“อ้อหรอ” ฉันตอบกลับเพื่อเป็นการตอบรับประมาณว่า ‘โอเค ฉันรู้แล้ว’ แล้วก็ตรวจเช็คของในกระเป๋าอีกทีก่อนจะกลับบ้าน “ฉันกลับบ้านละนะ บาย”
“อ่า... บายๆ”
เอาเถอะ ถึงจะไม่ใช่คนแบบที่ฉันชอบเท่าไหร่แต่ก็ถือว่าไม่เลว พวกที่ไม่จุ้นจ้านหรือปากมากฉันเข้าได้หมดแหละ เพราะฉันหน้าตาดี น่ารัก และเหมือนเป็นคนอัธยาศัยดีมากๆคนนึงด้วยล่ะนะ หึหึ
“เนีย กลับแล้วหรอ” เสียงแหลมที่คุ้นเคยทักขึ้นมาจากด้านหลังในตอนที่ฉันกำลังจะเดินออกจากห้อง
“อือ กลับละ”
“รถที่บ้านมารับแล้วหรอ” …ใบไม้เป็นคนนึงที่รู้ว่าฉันกลับโดยรถที่บ้านมารับเป็นประจำ และรถจะมาตรงเวลามาก
“เดี๋ยวออกไปรอ ฉันไม่ค่อยอยากอยู่ในที่คนเยอะๆน่ะ” (เสียงมันดังน่ารำคาญ) “จะออกไปด้วยกันไหม”
“อีกนานกว่าแม่จะมารับอ่ะ” …ตอบปฎิเสธตรงๆก็สิ้นเรื่อง..
ทำไมวันนี้ฉันถึงหงุดหงิดนักนะ ให้ตายสิ ฉันหงุดหงิดกับเรื่องทุกเรื่องเลย รวมทั้งหงุดหงิดตัวเองด้วย หรือว่าพักผ่อนไม่พออารมณ์เลยแปรปวนกันนะ?
“มาเนียกลับบ้านแล้วหรอ” เจ้าของเสียงทุ้มนุ่มทักขึ้นมาพร้อมกับเอามือมาแตะที่ไหล่ฉันเบาๆ
“ยังหรอก รถที่บ้านมารับฉันค่อนข้างตรงเวลาน่ะ ตอนบ่ายสามครึ่ง”
“โห อีกแค่ห้านาทีเอง”
ถ้าสังเกตเจ้าของเสียงดีๆ ‘คิง’ ตอนนี้เขากำลังใส่ชุดบาสหลวมๆ และบนตัวเขามีเหงื่อเยอะมากอย่างเห็นได้ชัด คงไม่แปลกเพราะดูเหมือนเขาเพิ่งจะวิ่งมาหาฉันเมื่อกี้จากทางสนามบาสที่แทบจะเรียกได้ว่าตั้งอยู่กลางแดดในตอนกลางวันแบบไม่มีร่มไม้เลยทีเดียว
(จะบอกว่ามันเซ็กซี่สุดๆเลยค่ะ!!) หนุ่มกีฬากับเสื้อที่เปื้อนเหงื่อนี่ดีจริงๆ เห็นแล้วสดชื่นขึ้นมาเลยแฮะ เพราะจะบอกว่าเห็นแล้วรู้สึกดีกว่าพวกที่นั่งเรียนไปวันๆแล้วไม่รู้จักพยายามทำอะไรอย่างอื่นบ้างจนตัวอ่อนปวกเปียกล่ะนะ
“ซ้อมบาสหรอ” ฉันถามไปทั้งๆที่น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่พอดีว่าไม่รู้จะคุยอะไรดี แต่ดันรู้สึกอยากคุยมากๆ
“อ่า อาจารย์พละขอคาบมาให้ซ้อม เพราะเดี๋ยวจะมีแข่ง” โอ้ สุดยอดไปเลย เขาเป็นตัวแทนโรงเรียนสินะ
“เก่งจัง สู้ๆนะ” แน่นอนว่าฉันไม่มีอะไรจะพูด แต่ก็อยากจะพูดอยู่เหมือนเดิม ...ฉันอยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้ก็ยังดี แล้วก็อีกอย่างนะ การบอกว่า ‘สู้ๆนะ’ เนี่ย มันดูน่ารักสุดๆไปเลยไม่ใช่หรอ?! นะ..นี่ฉันไม่ได้อ่อยหรืออะไรหรอกนะ!
“ไมกลับบ้านเร็วจัง อยากคุยต่ออ่ะ ไม่ค่อยได้เจอกันเลย” เขากล่าวขึ้นมาแล้วค่อยๆเอาผ้ารัดข้อมือขึ้นมาซับเหงื่อ (เมื่อกลางวันก็เจอแต่นายหนีไปก่อนแท้ๆ)
“ไม่เป็นไร เดี่ยวก็เจอกันอีก” ถึงจะเสียดายก็เถอะ แต่ฉันปฏิเสธไม่ได้ว่าฉันถูกเข้มงวดมากในชีวิต ฉันกลับบ้านช้าไม่ได้ ถ้าจะออกไปข้างนอกหลังกลับบ้านก็ต้องมีจีเซลล่า (แต่จีเซลล่าเริ่มอายุเยอะแล้วสิ...)
อะ? เดี๋ยวนะ เหมือนฉันจะนึกอะไรได้บางอย่าง...
“อ๊ะใช่สิ มือถือ! เอาเบอร์มือถือนายมา!! ฉันจะคุยกับนายผ่านมือถือ!!” ทำไมฉันไม่นึกให้ได้ตั้งนานนะ เรื่องใกล้ตัวแค่นี้...
‘ให้ตายสิ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันขอเบอร์มือถือผู้ชายหลังจากตอนนั้น นี่ฉันคิดจะทำอะไรกันแน่เนี่ย!!’
‘ปล่อยอดีตให้อยู่กับอดีตเถอะ’ มันเป็นความคิดหนึ่งที่ผุดออกมาจากหัวฉันในตอนนี้
“มีสาวขอเบอร์ด้วย เขินอ่ะ” ทะลึ่งละ “อ่ะ...เอ่อ 0x-xxxxxxxx” ถึงเขาจะดูสับสนนิดหน่อยแต่ก็ตอบมาแต่โดยดี
“ย-อย่าโทรมานะ!! แต่ส่งข้อความมานะ ...ขะ-เข้าใจนะ!!” (ฉ-ฉันไม่ได้พูดจาติดขัดหรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ!) จากน้นฉันก็กดโทรออกไปที่โทรศัพท์ของเขาแล้วตัดสายทิ้งเพื่อให้เบอร์ของฉันปรากฏขึ้น
“ครับผม!” เขาพูดเสียงดังและทำท่าวันทยหัตถ์
พอสังเกตได้ว่ารถของทางบ้านขับมาถึงประตูหน้าโรงเรียนแล้วฉันก็รีบผละตัวออกไปทันที ถึงแม้จะไม่อยากวิ่งเท่าไหร่เพราะมันคงจะเหนื่อยแม้จะเป็นการวิ่งช่วงสั้นๆ แต่ฉันไม่อยากถูกคนขับรถมองในทางไม่ดีอย่าง ‘คนอุตส่าห์มารอ ยังจะเดินมาช้าอีก’ ประมาณนั้น (ระแวงไปรึเปล่านะ) เพราะฉันเริ่มเกลียดขี้หน้าคนขับรถคนใหม่ขึ้นเล็กๆแล้วล่ะ
“บาย” ฉันกล่าวลาหนุ่มนักกีฬาข้างหน้าแล้วโบกมือให้เล็กน้อย แต่ตอนหันไปมองหน้า ฉันบอกได้เลยว่าหน้าเขาแดงสุดๆ ไม่แปลกใจเลย มันคงเป็นเพราะเขาใช้กำลังมากเกินไปทั้งจากการวิ่งมาหาฉันแล้วก็...ซ้อม? “ดูแลตัวเองดีๆหน่อยสิ หน้านายแดงแล้วนะ ออกกำลังมากเกินไปมันไม่ดีนะ” ปิ๊ง เป็นไงล่ะ ฉันนี่ฉลาดแถมยังน่ารักมีน้ำใจด้วยนะเนี่ย
“อ-อื้อ”
ทันทีที่กำลังจะเปิดประตูรถ... ฉันเพิ่งคิดได้ว่าปกติคนขับรถจะต้องออกมาเปิดรถให้ฉันไม่ใช่รึไง?! คราวที่แล้วก็ไม่ทำนะ ก็เข้าใจอยู่ว่าเป็นคนเพิ่งมาทำงานใหม่ แต่ฉันเป็นคุณหนูนะ(ไม่เกี่ยว) ทำไมไม่ลองถามคนที่บ้านว่าต้องทำอะไรยังไงบ้างล่ะ หรือถามคนขับรถพ่อก็ได้นี่นา ชิ!
*ปั่ก!!* .... ประตูรถที่ฉันกำลังจะเปิดมันพุ่งเข้ามาโดนตัวฉัน! แน่นอนว่ามันทำเอาฉันเซไปเลย จนทรงตัวไม่ไหวแล้วขาก็ค่อยๆพับลงไปกองกับพื้น
“หา?!” ฉันตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจ นี่มันน่าโรงเรียนนะ ฉันอายนะ ถึงเวลานี้จะมีคนไม่มากก็เถอะ (เจ็บจัง)
“แหม ขออภัยครับคุณหนู พอดีผมอยากทำมานานแล้ว” เรเวรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร “ก็คุณหนูเคยทำใส่ผมนี่ครับ” เรเวนทำหน้าออดอ้อน(เพื่อ!?) แล้วยังทำหน้าเหมือนเด็กจะร้องไห้แล้วค่อยๆพยุงตัวฉันขึ้นมา
“นายนี่ใจร้ายจริงๆ ทำรุนแรงกับฉันมากเลยนะ” ถึงฉันจะลืมไปแล้วว่าเคยทำอะไรไว้กับเรเวนเรื่องประตูรถหรืออะไรก็ช่าง แต่ฉันคิดว่าฉันเคยทำและยอมรับเลยว่าเขาเป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้นแบบเงียบๆตามที่จีเซลล่าเคยบอก...
“ไม่เอาน่าคุณหนู ที่คุณหนูทำมันเป็นแผลใจวัยเด็กของผมเลยนะครับ” เขายิ้ม(ท-ทำไมยิ้มหน้าสยดสยองอย่างงั้นล่ะ!) “ผมก็ต้องแก้แค้นเป็นธรรมดาสิ” เวรกรรม..
ฉันเริ่มสงสัยแล้วว่าฉันไปทำอะไรให้เขา แต่ฉันคิดว่าฉันทำนะ
เพราะตอนเด็กๆเขาเป็นเด็กที่ดูอ่อนแอและน่าแกล้งสุดๆเลยนี่นา!
แต่ทว่า...ดูเหมือนฉันคงจะต้องรับกรรมหนักน่าดู
‘เพราะตอนเด็กๆฉันก็ซนและดื้อสุดๆเลยนี่นา!’
ฉันเป็นคนที่ต่อต้านพ่อตั้งแต่เด็กๆ ต่อต้านก่อนจะโตมาถึงวัยต่อต้านซะอีก... แต่ในความต่อต้านนั้นมันก็แฝงไปด้วยความกลัว... ‘กลัว...กลัวจะเป็นเด็กที่ถูกทิ้งอีกครั้ง’ ‘กลัว...กลัวพ่อจะทิ้งฉันไปอีกคน’ ‘กลัว...กลัวว่าฉันจะไม่มีคนยอมรับ’ ‘กลัวเหลือเกิน...ฉันไม่อยากอยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว’
ซึ่งความกลัวนั้น...มันทำให้ฉันทำทุกอย่างที่เขาสั่งให้ฉันทำ หรือกระทั่งทุกอย่างที่เขาอยากให้ฉันเป็น
‘แต่ความกลัวนั้น...เป็นความกลัวที่แฝงอยู่ในความต่อต้าน’
..ความกลัวนั้น คงเป็นเส้นด้ายบางๆที่เชื่อมระหว่างฉันและตัวเขาอยู่..
“ว่าแต่เรเวน ทำไมนายถึงมารับฉันด้วยล่ะ” ฉันถามเรเวนที่นั่งอยู่เบาะหน้าของรถ
“เพราะในอนาคตผมจะมีหน้าที่มารับ-ส่งคุณหนูไงครับ”
“เดี๋ยวสิ นายไม่มีใบขับขี่ไม่ใช่รึไง”
“ใช่ครับ ในอนาคตที่ว่าผมหมายถึงอีกประมาณสามปี” โธ่! ตอนแรกที่นายพูดว่าในอนาคตมันเหมือนอนาคตอันใกล้มากกว่าในอนาคตสามปีนะยะ!
“นายต้องรีบเตรียมตัวขนาดนั้นเลยหรอ” นั่นมันสามปีเลยนะ นายจะเป็นคนรับ-ส่งฉันตอนเรียนมหาลัยงั้นสิ
“เปล่าครับ” อ้าว... “ที่จริงถ้าผมได้มาเรียนโรงเรียนนี้เมื่อไหร่ ผมก็ได้กลับบ้านพร้อมคุณหนูอยู่ดี” อะ...นายนี่มันกวน...---**
“หะ... แล้วตกลงนายมาทำไม” ฉันว่าหลังจากที่เขาไปอบรมมาหลายปีนี่...เขาดู...พิเรนทร์ขึ้นเยอะ... หรือเพราะว่าฉันไปอยู่เมืองนอกมานานเกินเลยลืมนิสัยคนที่นี่ไปกันล่ะเนี่ย
“อันที่จริงคุณชายสั่งให้ผมตามติดตัวคุณหนูตั้งแต่เมื่อวานเป็นต้นไปน่ะครับ” …ตามติดตั้งแต่กลับมาเลยว่างั้นเถอะ... คือนี่คุณพ่อเริ่มไม่ไว้ใจคนขับรถแล้วสินะ... กลับบ้านไปก็เจอเรเวนอยู่แล้วแท้ๆเชียว
“อ๋อ...หรอ”
‘อยากทำอะไรก็ทำ’
‘จะบงการชีวิตฉันรึไง’
สิ่งแรกที่ฉันทำหลังจากกลับบ้านมาคือการเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง และล้มตัวลงนอนบนเตียงทั้งๆที่ยังใส่เสื้อนักเรียนอยู่ (อยากนอนจัง)
“คุณหนูคะ คุณหนูน่าจะไปอาบน้ำก่อนนะคะ” เสียงจีเซลล่าผุดขึ้นมาจากทางหน้าประตูห้อง... เธอคงกำลังหิ้วกระเป๋าฉันไปวางที่โต๊ะในห้องแน่ๆ
(อา...นั่นสินะ ฉันควรจะไปอาบน้ำ) ฉันลุกขึ้นจากเตียงและตรงดิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อเลือกชุดที่จะเปลี่ยนหลังอาบน้ำ ถึงฉันจะไม่รู้ว่าจะเลือกไปทำไมเพราะยังไงซะฉันก็ใส่อยู่บ้านอยู่ดี
.............
.....
.
[กริ๊ง ....กริ๊งๆๆ...กริ๊งๆ กริ๊ง....กริ๊งกริ๊ง...] (หืม?...นาฬิกาปลุกหรอ?) (งืม....)
[07.00]
อ้ากกกก!! ฉันตื่นสาย!! เมื่อวานตอนเย็นหลังอาบน้ำฉันเผลอหลับไปเลยทำการบ้านไม่ทัน ทั้งๆที่งานค้างเยอะกว่าชาวบ้านเขาแท้ๆแล้วยังจะมัวหลับอีก ฉันนี่มันบ้าจริงๆเลย! [สุดท้ายก็ต้องมานั่งทำต่อถึงดึก...]
ฉันรีบวิ่งลงบันไดจากห้องลงมาในห้องอาหารหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ
“เรเวน ทำไมไม่ปลุกฉันล่ะ?!” ฉันทักคนคนแรกที่ฉันเจอหน้าหลังจากตื่นมา
“ผมเห็นคุณหนูกำลังนอนด้วยหน้าตาเคลิบเคลิ้มก็เลยไม่กล้าปลุกครับ” เขายิ้มตอบ... (ไม่ใช่ประเด็นเลยย่ะ!)
“ดิฉันก็พยายามปลุกแล้วนะคะ แต่คุณหนูหน้าตาน่ารักมากเลย ดิฉันเลยไม่อยากปลุกน่ะค่ะ” จีเซลล่าที่ยิ้มหน้าหลังคาเดินเข้ามาเสริม ทิ้งๆที่ส่วนใหญ่เธอจะเป็นคนมาปลุกฉันที่นานๆทีจะตื่นหลังนาฬิกาปลุก
“อื้ม ไม่เป็นไรจีเซลล่า ตื่นเจ็ดโมงถึงจะต้องรีบหน่อยแต่ก็น่าจะไปโรงเรียนทันล่ะนะ” ไม่รู้ทำไมฉันเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาแล้วล่ะ~
“แม่ครับ อย่ายอคุณหนูมากเกินไปสิครับ!” อ้าว?! “ถ้าคุณหนูเหลิงขึ้นมาจะทำยังไงล่ะครับ” เรเวนพูดขึ้นมาทันควันแล้วหันไปหาจีเซลล่าที่ยิ้มหน้าบานอยู่
“ฉันไม่เหลิงนะ!! ที่จีเซลล่าพูดน่ะมันมีเค้าโครงความจริงอยู่ ไม่ได้ยอซักหน่อย”
จากนั้นเรเวนก็เดินมาหาฉันที่โต๊ะแล้ววางจานแพนเค้กพร้อมน้ำชาให้... แต่เขามองฉันแปลกๆโดยการเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วชายตาลงมา... เหมือนกำลังจะสื่ออะไรบางอย่างที่เลวร้ายสำหรับฉันอย่างแรง... อย่างเช่น..’ให้มันจริงเถอะครับ’ หรือ ‘เหลิงอยู่ชัดๆ’ หรือ ‘อ๋อ~เหร๋ออออ~’
“นายมองฉันอย่างงั้นหมายความว่าไง”
“อ๋อ...เปล่าครับ ผมแค่คิดอยู่ว่าวันนี้คุณหนูน่ารักม๊ากกกมากน่ะครับ....หึ” ไอ้หึ นี่มันอะร๊ายยยยยย
แต่เอาเถอะ ก็ถือว่าเขาชมฉันละกัน ฮ่าๆๆๆ
(แพนเค้กนี่จะให้พลังงานพอสำหรับการเรียนวันนี้ไหมนะ?...)
หลังจากนั้นไม่นานฉันก็มาถึงโรงเรียนจนได้ ถึงเวลาจิบน้ำชาของฉันจะนานไปหน่อยแต่ก็มาโรงเรียนได้อย่างสันติภาพ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่มีเวลาพอที่จะเดินขึ้นไปบนห้องประจำแล้วเอากระเป๋าไปวางที่โต๊ะประจำเพื่อเรียนคาบแรก เพราะไม่อย่างนั้นฉันคงจะต้องวิ่งลงมาเข้าแถวในสภาพหอบแน่ๆ ฉันเลยตัดสินใจนั่งที่โต๊ะหินอ่อนอย่างสงบเพื่อรอสัญญาณเข้าแถว จะได้ไม่เมื่อยและต้องตากแดดด้วย
“(พึมพำ)....(พึมพำ)” หืม?
“@%^&&##...@$$^^*&” คุ้นๆนะ “(พึมพำ)....(พึมพำ)”
“ว้ากกกกกกกกกกกกกกก!!!” กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!
ไม่รู้ทำไมแต่ฉันหันไปมองต้นเสียงโดยไม่คิด แบบว่า...หันไปตามความอยากรู้อยากเห็น ....อาาา....ฉันเห็นคนใส่สูทยูนิฟอร์มโรงเรียน....กำลังอ่านกระดาษอะไรบางอย่าง....เขาใส่แว่น?
“ประ...ประธานนักเรียน!!”
เวรกรรม....เขาเห็นฉันแล้วสิ....
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กราบขอขมานักอ่านทุกท่าน(ถ้ายังมีนะ) ขออภัยที่ดองมานาน การปิดเทอมที่ช่างเป็นสิ่งที่แสนวิเศษจริงๆ
หมดช่วงแนะนำตัวละครแล้วจะเปลี่ยนแนวการตั้งชื่อเรื่องแล้วล่ะนะ=w=
แต่รู้สึกจะเน้นบทแนะนำเรเวนน้อยไปหน่อย...(ดันใส่ชื่อตอนของเรเวนเป็นของคนอื่น5555)
ขอให้มีความสุขกันถ้วนหน้า...(ถ้ายังมีคนอ่านจริงๆอ่ะนะ 5555)
แต่ก็เป็นอีกตอนที่คิดว่าแต่งออกมาแล้วเบื่อ (คนแต่งมันเบื่อเอง555)
แต่ต่อจากนี้จะได้เริ่มเนื้อเรื่องจริงๆแล้วนะ!!
ปล.ขี้เกียจแก้+หาคำผิดอ่ะ*-*
//โดนตบปลิว
ความคิดเห็น