คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #40 : #Sp.02 _______ตะวัน_______ [1]
#Sp.02 _______ตะวัน_______ [1]
“สวัสดีครับ ผมชื่อเหมือนฝัน...เรียกว่าว่านก็ได้ครับ”
ผมยกมือไหว้หัวหน้างานพยาบาลที่ยกมือไหว้รับ ก่อนอีกฝ่ายจะเอ่ยปากเสียงทุ้ม
“สวัสดีค่ะคุณหมอ ยินดีต้อนรับสู่โรงพยาบาลของเรานะค่ะ ป้าชื่อธิดาค่ะ”
“ครับป้าธิดา ว่าแต่...คนไข้ของผมอยู่ห้องไหนเหรอครับ ?”
ผมถามเรื่องงานก่อนจะมองย้ายขวาไปตามห้องต่างๆ ป้าธิดาอมยิ้มก่อนจะตอบผมกลับมาว่า
“เดี่ยวก็ได้เจอค่ะ ตอนนี้ ‘พระอาทิตย์’ ตกดินไปแล้ว...ไว้พรุ่งนี้เช้าแล้วกันนะค่ะ”
ป้าธิดาทิ้งคำพูดไว้เพียงเท่านั้น ก่อนแกจะส่งเอกสารทั้งหมดไว้ให้ผมเกี่ยวกับคนไข้รายหนึ่งซึ่งผมได้รับโอนเคสมาจากคุณหมอรุ่นพี่คนก่อนที่ไปศึกษาต่อปริญญาเอกที่นิวยอร์ก ข้อมูลเบื้องต้นที่ผมได้รับมาก็เพียงแค่ว่าคนไข้ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆและอาการหนักมากจนน่าเป็นห่วงก็เท่านั้น
‘ร่าเริง ปัญญาสว่างเลิศ’
นั้นคือชื่อที่ผมได้อ่านจากในแฟ้มประวัติคนไข้
.... น่าแปลกที่ในนั้นกลับไม่มีรูปถ่ายอย่างที่ควรจะเป็นตามปกติ
ผมเอนตัวพิงเบาะในห้องส่วนตัว ก่อนจะวางแฟ้มไว้เงียบๆแล้วลุกออกไปทานอาหารค่ำ...ซึ่งควรจะเรียกว่ามื้อดึกมากว่า
คนเป็นหมอก็แบบนี้ล่ะครับ ไม่ได้กินไม่ได้นอนตรงเวลาหรอก เพราะเป็นอาชีพที่เรียกได้ว่าขาดแคลนทรัพยากรบุคคล หรือถ้าจะพูดให้ถูกกว่านั้นคือความต้องการกับปริมาณมันสวนทางกัน ที่สำคัญคือมีหมอจำนวนไม่น้อยที่จบหมอแต่ก็ไม่ได้ประกอบอาชีพหมอ
ผมชื่อว่าน ชื่อจริงชื่อเหมือนฝัน นายแพทย์ธรรมดาๆคนหนึ่ง ชีวิตของผมก็เหมือนหมอทั่วๆไป คือครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยมาตั้งแต่เกิดและต้องดิ้นรนหาทางส่งตัวเองเรียนจนกระทั้งจบโทฯ...
แต่นั้นเป็นเพียงอดีตไปแล้ว
ผมถูกย้ายมายังโรงพยาบาลแห่งหนึ่งตามคำขอของพี่ชายซึ่งจริงๆแล้วเป็นเหมือนเพื่อนมากกว่า ที่อยากให้ผมได้รับเคสของคนไข้ของเขาโดยตรง เขาบอกกับผมว่าจริงๆแล้วตัวเองก็ไมได้อยากจะไป แต่เพราะโอกาสของความก้าวหน้าในชีวิตไม่ได้มีมาบ่อยๆ ผมเห็นด้วยกับเขาแล้วยอมย้ายมาตามคำขอ
ตีหนึ่งกว่าๆแล้ว....วันนี้คงดึกเกินกว่าจะเจอคนไข้......
“โจ๊กหมูหนึ่งถุงครับ”
ผมว่ากับคนขายโจ๊กหน้าโรงพยาบาล ตอนนี้เป็นเวลาตีสองกว่าๆแล้ว แต่เพราะอะไรๆที่หอยังไม่เรียบร้อยผมเลยเลือกที่จะค้างคืนที่โรงพยาบาลในห้องทำงานคงจะง่ายกว่า อีกทั้งวันนี้ผมรู้สึกอยากอ่านหนังสือต่อแบบแปลกๆ เป็นอารมณ์ที่นานๆครั้งจะ
เกิด
“เพิ่งย้ายมาเหรอค่ะ ?”
ป้าคนขายถาม ผมย่นคิ้วงงนิดหน่อยก่อนจะตอบกลับไป
“ครับ ป้ารู้ได้ยังไงเหรอ ?”
“โอ๊ย...ป้าขายโจ๊กมาตั้งแต่สมัยยังสาวๆ ที่นี้นะคุณหมอทุกคนป้ารู้จักหมด นี้ถ้าเดาไม่ผิดคุณหมอคงย้ายมาแทนคุณหมอนัดใช่ไหมค่ะ ?”
ผมพยักหน้ารับคำแก ก่อนป้าเขาจะยิ้มแฉ่งแล้วยื่นโจ๊กให้ผมสองถุง
“คือ...ผมสั่งไปหนึ่ง....”
“ไม่เป็นไรค่ะ ป้าเลี้ยงถือซะว่าเป็นของต้อนรับคุณหมอแล้วกันนะค่ะ แต่แปลกดีเหมือนกัน ปกติหมอที่นี้จะย้ายกันมาตอนเช้ามากกว่า เพิ่งมาเจอคุณหมอเนี้ยแหละค่ะที่ย้ายมาตอนดึก”
“ผมไม่ค่อยชอบแสงสว่างนะครับ....”
ผมตอบ...ไม่รู้ว่าสีหน้าตัวเองทำไมถึงต้องหม่นลงทุกครั้งที่พูดแบบนี้
“ฮ่าๆ เหรอค่ะ ว่างๆมาอุดหนุนป้าอีกนะ”
ป้าแกยิ้มอารมณ์ดี ผมยิ้มตอบก่อนจะเดินกลับขึ้นมาชั้นบน โจ๊กหมูร้อนๆถูกเทใส่ชามถุงหนึ่ง ก่อนผมจะยกชามไปนั่งกินตรงระเบียง เหม่อมองท้องฟ้ายามดึกที่แม้จะมือแค่ไหนก็มองไม่เห็นดวงดาว อีกทั้งแสงสว่างจากหลอดไฟนีออนของมหานครที่ไม่มีการหลับทำให้ดาวหมดลงไปจากฟากฟ้า
“คุณ.....”
ผมชะงักช้อน คิดว่าตัวเองคงหูฟาดไปก่อนจะยกช้อนขึ้นตักข้าวต้มขึ้นปาก
“คุณโว้ยยย”
เสียงเล็กๆเสียงเดิมที่ผมได้ยินดังออกมาอีกหน่อย ผมขมวดคิ้วก่อนจะลงจากคานระเบียงแล้วมองซ้ายมองขวา...
...อย่าบอกนะว่าย้ายมาวันแรกก็โดนเลย
“ทางซ้ายครับ”
เสียงเดิมบอกผม ก่อนสายตาจะเลือนไปตามคำบอก...
....ถ้าพรุ่งนี้ข่าวหน้าหนึ่งพาดว่าหมอหนุ่มตกตึกตาย คงไม่ต้องบอกนะว่าผมเห็นอะไรที่มันไม่ใช่คน
เพียงแต่สิ่งที่ผมเห็นยังเป็นคนแหะ...เด็กเล็กๆคนหนึ่ง คะเนแล้วอายุไม่น่าจะเกิน12 ไม่รู้สิ เด็กสมัยนี้บางคนก็โตเร็วเกินไปจนผมแทบจะแยกอายุด้วยตาเปล่าไม่ได้อีกต่อไป
ใบหน้าจิ้มลิ้มยื่นออกมานอกหน้าต่างจากทางฝั่งซ้ายมือ เจ้าตัวลังเลไปอึกหนึ่งก่อนจะพูดออกมา แม้ระยะทางจะห่างพอสมควรแต่เพราะเป็นกลายดึกที่เงียบสงัดผมเลยได้ยินเสียงนั้นชัดเจน
“ผมอยากกินโจ๊กอ๊ะ.....”
“................”
“ก็คือ...ผมก็รู้ มันคงจะแปลกๆใช่ไหมล่ะ แต่แบบ.....”
“................”
“นี้มันก็เกือบจะตีสองแล้วไง แล้วคุณก็กินผ่านระเบียงแล้วกลิ่นมันก็โชย ผมก็เลย.....”
“หิว ?”
ผมต่อคำ อีกฝ่ายพยักหน้ารับอย่างอายๆ ใบหน้ากลมแดงระเรื่อนขึ้นมานิดๆ
นั้นคือภาพสุดท้ายที่ผมเห็น.....
....ก่อนตัวเองจะปิดหน้าต่างตรงระเบียงลง
”โอ๊ย คุณใจร้าย ไอ้คุณบ้า มากินยั่วกันแล้วปิดหน้าต่างหนี ”
“......................”
“ไอ้บ้า ไอ้คนบาป ไม่รู้รึไงว่าเขาห้ามกินของกลายดึก มันยั่วคนอื่นนะเว้ย”
“.......................”
“ไอ้คนใจบาป ผมหิวจะตายอยู่แล้วเนี้ย...ไอ้...”
เสียงก่นบ่น(ด่า)ผมยังคงดังแบบนั้น ผมขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะยกชามตัวเองไปไว้บนโต๊ะแล้วเดินเข้าไปตรงโต๊ะวางของ จำได้ว่าตัวเองเห็นชามพลาสติกอีกใบคว่ำไว้อยู่ตอนเอาข้าวของมาเก็บ และมันก็ยังอยู่ที่เดิมซะด้วย ผมหยิบก่อนจะเทโจ๊กที่ได้มาเป็นของแถมใส่ชามพร้อมช้อน แล้วยกขึ้นมาพร้อมกับถ้วยตัวเองใส่ลงไปในถาด
....ปลายทางคือห้องๆหนึ่งที่ถัดออกไปจากห้องตัวเองสามห้อง
ผมเคาะประตูเบาๆเพราะกลัวรบกวนคนไข้ห้องอื่น หูของผมได้ยินเสียงย้ำเท่าเบาๆก่อนประตูห้องจะเปิดออก ไอ้เด็กที่บ่นว่าหิวโจ๊กยื่นหน้าออกมาก่อนจะทำสีหน้าแปลกๆใส่ผมแต่คิดว่าคงเป็นในเชิงขอบคุณมากกว่า
“โจ๊กของนาย”
ผมว่า ก่อนจะยื่นชามโจ๊กไปให้อีกฝ่ายก่อนจะเตรียมปิดประตู หากแต่มือเล็กๆกลับรั้งชายเสื้อผมไว้
“กินเป็นเพื่อนผมหน่อย......”
“..................”
“เหงา”
อีกฝ่ายว่าเสียงอ้อน ดวงตากลมสะท้อนความต้องการออกมาชัดเจน ถึงผมจะเป็นคนใจยักษ์ใจมากขนาดไหนแต่ก็แพ้ลูกอ้อนสายตาของอีกฝ่ายอยู่ดี สุดท้ายก็ก้าวเข้าไปในห้องของอีกฝ่ายก่อนจะปิดประตูลง
“คุณหมอเพิ่งย้ายมาเหรอครับ ?”
อีกฝ่ายว่าก่อนจะนั่งลงบนเตียง ผมกวาดตามองรอบๆห้องก่อนจะตอบไปว่า
“ใช่...แล้วทำไมเพิ่งเรียกว่าหมอ...”
“ก็เพราะเพิ่งแน่ใจว่าเป็นหมอ.....สารรูปคุณมัน.....”
ไอ้เด็กนั้นว่าก่อนจะมองผมจรดศีรษะ
“ผมไม่เหมือนหมอ ?”
“มากๆ ...อย่างน้อยๆหมอที่ผมเคยเจอก็ไม่ได้เจาะหูแบบคุณ”
“ผมก็แค่ใส่ไว้เฉยๆ”
“และหมอที่ผมเคยเจอก็ไม่ได้ใส่เสื้อยืดเก่าๆ กับกางเกงยีนส์สีตุ่นๆแน่ๆ ...โอเคนั้นมันสีดำ”
ไอ้เด็กนั้นรีบบอกประโยคหลัง เพราะมองเห็นสายตาค้อนจากผม
“พูดเก่งจังเด็กน้อย อายุเท่าไหร่เนี้ย”
ผมถาม ก่อนจะตักโจ๊กเข้าปากเงียบๆ
“12....หรือไม่ก็13มั่ง ผมลืมอายุตัวเองไปแล้วล่ะ”
“คนบ้าอะไรลืมอายุตัวเอง”
“คนใกล้ตายครับ....”
“.............”
“คุณหมอล่ะ อายุเท่าไหร่”
อีกฝ่ายถามผมบ้างหลังเห็นผมเงียบไป
“มากกว่าคุณเกินรอบหนึ่งแล้วกัน”
พอไม่รู้จะถามอะไรอีกบรรยากาศในห้องก็เงียบลงไปถนัด ผมนั่งกินโจ๊กเงียบๆแล้วเหม่ออกไปนอกหน้าต่าง น่าแปลกที่เป็นท้องฟ้าผืนเดียวกันแท้ๆแต่พอมองอีกด้านหนึ่งก็กลับเปลี่ยนมุมมองผมไปถนัดตา ผมเหม่อไปพักหนึ่งก่อนจะได้ยินอีกฝ่ายถาม
“คุณหมอชื่ออะไรครับ ?”
“มีใครเคยบอกนายไหมว่า ก่อนจะถามอะไรใครควรบอกคำตอบของคำถามนั้นๆก่อน”
“โอเคๆ.....ผมชื่อร่าเริง จะเรียกเริงร่าหรือร่าเริงก็ได้ ความหมายเหมือนๆกัน”
ผมขมวดคิ้ว ในหัวนึกถึงข้อมูลที่ได้อ่านจากแฟ้มประวัติ
“วางชามโจ๊กลงเดี่ยวนี้”
ผมสั่งเสียงเรียบ อีกฝ่ายทำหน้างงก่อนจะเหวออกมาเล็กน้อย
“ผมเพิ่งกินไปได้นิดเดี่ยวเองนะ”
“แล้วกินเนื้อหมูไปบ้างรึยัง ?”
ผมว่าเสียงเครียด ก่อนจะวางชามโจ๊กตัวเองไว้บนเก้าอี้แล้วย่างสามขุมเข้าหาไอ้เด็กนี้ จากในประวัติแล้วสิ่งแรกที่ผมต้องระวังคือ
เรื่องอาหารการกิน ผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกินอะไรเข้าไปบ้างในวันนี้ และได้รับเพียงพอรึยัง ไอ้ขาดนะไม่เท่าไหร่หรอกครับแต่ถ้ามาก
เกินไปนั้นแหละมันจะเกิดปัญหา
“กินหมูไปกี่ชิ้นแล้ว ?”
ผมถาม อีกฝ่ายทำหน้านึกก่อนจะชูนิ้วชี้สั้นๆให้ผมเห็น
“กินไปหนึ่ง ?”
“เหลือแค่หนึ่ง....จากสี่”
ผมกุมขมับ แทบอยากจะยกมือตบศีรษะเล็กๆนั้นแรงๆสักที่ แต่การทำแบบนั้นอาจจะเป็นอันตรายแก่อีกฝ่ายมากกว่าเดิม
“นายรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าตัวเองในตอนนี้ไม่ควรจะกินของแบบนั้น”
“อย่าห้ามผมเลย.......”
“...................”
“ผมจะกินหรือไม่กิน......เดี่ยวก็ตายอยู่ดี”
ร่าเริงพูดเงียบๆ น้ำเสียงที่พูดออกมาไมได้แสดงความรู้สึกยินดียินร้าย ผมถอดหายใจเล็กๆก่อนจะนั่งลงข้างๆ
“ถ้าฉันเป็นนาย ฉันจะไม่ทำแบบนั้น.....”
“..........”
“ไอ้ความรู้สึกที่ว่าเดี่ยวก็ต้องตายนะ...มันสำหรับพวกขี้แพ้”
“...........”
“ต่อให้รู้ว่าจะต้องตาย แต่ยังไงก็จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด....”
“วันนี้พี่จะให้เล่ากินก็ได้ แต่ครั้งต่อไปต้องควบคุม...ตกลงนะครับ”
ไม่ทราบทำไมเหมือนกันผมถึงได้เปลี่ยนสรรพนามอีกฝ่าย ร่าเริงพยักหน้านิ่งๆก่อนจะตักโจ๊กในชามเข้าปากต่อ ผมนั่งข้างๆมองน้องมันกินโจ๊กไปพลางสลับกับมองผมไปพลาง
“ผมมีเรื่องจะถาม....”
“ครับคุณหมอ ?”
มันว่า ทั้งๆที่โจ๊กยังเปื้อนปาก
“เรียกว่าพี่ก็ได้...พี่หมอนะ....”
“อ่า...โอเคครับพี่หมอ”
“ทำไมคุณธิดาถึงเรียกคุณว่า ‘ตะวัน’ ล่ะ ?”
ผมยังคงข้องใจกับคำพูดของป้าธิดา จะว่าเป็นชื่อก็ไม่ใช่เพราะเจ้าเด็กนี้ชื่อร่าเริงทั้งชื่อจริงและชื่อเล่น
ไอ้ตัวเล็กทำหน้าคิด ดวงตากลมโตมองขึ้นข้างบนก่อนรอยยิ้มบางๆจะคลี่ออกมาให้ผมเห็น...
“ไม่รู้สิครับพี่หมอ...เขาบอกว่าผมอบอุ่นล่ะมั่ง”
รอยยิ้มบางๆส่งมาให้ผม เป็นรอยยิ้มธรรมดาทั่วๆไปที่ผมเคยพบเห็น หากแต่ความต่างของมันคือความรู้สึกที่ส่งผ่านมา ผมรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้เกราะน้ำแข็งในใจหวั่นไปแปลกๆ
“พี่หมอครับ ?”
“ว่า”
“ถ้าพี่จะให้ผมเรียกพี่หมอ งั้นพี่ก็อย่าเรียกผมว่าคุณสิครับ”
ร่าเริงกินโจ๊กเสร็จแล้วก่อนจะดันชามไปข้างๆ ดูภายนอกแล้วแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าตัวป่วยหนัก
“ผมถนัดเรียกทุกคนแบบนั้น”
“งั้นก็ยกเว้นผมสิ....”
“................”
“นะ....”
“แล้วจะให้ผมเรียกอะไร ?”
“แบบนี้ก็ไม่เอา ขนาดพี่นิดเขายังแทนตัวเองว่าพี่นิดเลย พี่หมอเรียกตัวเองว่าผมแล้วมันดูห่างเหินอ่า....ส่วนเรียกผมเรียกอะไร
ก็ได้..แหะๆ”
ไอ้เด็กนั้นบอกก่อนจะหัวเราะออกมา เป็นมนต์คลังแปลกๆที่ผมละสายตาออกไม่ได้
“โอเคผมจะ....เฮ้อ....พี่จะแทนตัวเองว่าพี่หมอ และจะเรียกเราว่าร่าเริงดีไหม ?”
“โอเคครับพี่หมอ ยังงั้นแหละ”
“ครับ งั้นกินเสร็จแล้วก็นอนเถอะ พรุ่งนี้สายๆเดี่ยวนี้เขามาตรวจสุขภาพ”
ผมว่า ก่อนจะหยิบชามพลาสติกที่พร่องโจ๊กลงไปเยอะวางไว้บนถาดแล้วเตรียมจะเดินออกไปจากในห้อง
“พี่หมอครับ....”
“...........”
“ขอบคุณนะ”
“พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวของเราทั้งนั้น”
ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นไม่ได้หันกลับไปมอง เสียงเล็กๆสดใสดังออกมาเป็นประโยคสุดท้ายก่อนประตูจะปิดลง
“ฝันดีครับ...พี่หมอ”
ผมส่ายหัวให้กับตัวเองเบาๆ จะว่าไปแล้วหลังจากตอนนั้นมาผมเองก็ไม่เคยให้ใครเรียกว่าพี่ และก็ไม่คิดจะเรียกใครโดยใช้คำพูดแบบนั้นอีกมาวันแรกก็ได้น้องชายซะแล้วเรา.....
ผมยกชามพลาสติกไปวางไว้ตรงอ่านล้างมือ ก่อนจะเดินไปนั่งตรงโต๊ะทำงาน แล้วเริ่มต้นตรวจดูเอกสารบางอย่างที่ยังค้างคา ไปๆมาๆก็เกือบตีสี่ พอเห็นว่าได้เวลานอนแล้วก็เอนตัวลงไปกับเบาะก่อนจะหลับตานอนลงไป พร้อมๆกับคำพูดของใครบางคนที่ลอยมา
ฝันดีครับ....
TBC.
ความคิดเห็น