คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter III :: หางแห่งภูติพราย
Chapter III
:: หางแห่งภูติพราย ::
“อรุณสวัสดิ์”
น้ำเสียงสดใสร่าเริงของเจ้าของเรือนผมสีฟ้าเอ่ยทักทายสมาชิกใหม่ทั้ง 5 ของกิลด์ที่ตอนนี้นั่งรวมตัวกันอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีปฏิกิริยาตอบรับคำทักทายของเธอแตกต่างกันออกไป บางคนก็ยิ้มสดใสเป็นการทักทายกลับมา บางคนก็แค่ยิ้มให้ตามมารยาท บางคนก็เมินหน้าหนี บางคนก็หาวใส่หน้าเธอเลยก็ว่าได้ เรียกได้ว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นอาการที่แสดงออกไปในทางที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่นัก
“แล้วนี่มีอะไร? ให้ตื่นซะเช้าเชียว” นัตสึเอ่ยถามพลางเปิดปากหาวอีกรอบ ใบหน้าที่ล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีชมพูนั้นดูไม่สดใสเท่าสีของเรือนผมเลยแม้แต่น้อย อาจเพราะยังอยู่ในอาการง่วงซึมอยู่ก็เป็นได้
“วันนี้พวกนายจะได้รับการประทับตราสัญลักษณ์ของกิลด์น่ะสิ เพื่อเป็นการยืนยันว่าพวกนายได้กลายเป็นสมาชิกของแฟรี่เทลอย่างเต็มตัวแล้ว” เลวี่อธิบายด้วยรอยยิ้ม
“แล้วมันจำเป็นต้องตื่นแต่เช้าแบบนี้ด้วยรึไงเล่า?” กาซิลเอ่ยถาม สภาพของเขาเองก็ถือว่ายังไม่ตื่นดีนัก เนื่องจากผมเผ้ายังคงยุ่งเหยิงไม่ได้หวีจัดทรงให้เรียบร้อยอย่างที่ควรจะเป็น
“ก็จะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่นด้วยไงล่ะ” เกรย์เดินเข้ามาสมทบที่โต๊ะตัวนั้น ก่อนจะกล่าวทักทายเหล่าเด็กใหม่ทั้งหลาย ซึ่งก็แน่นอนว่ามีเพียงแค่เวนดี้กับโรมิโอเท่านั้นที่ยิ้มและเอ่ยทักทายตอบ ส่วนคนที่เหลือก็...นะ
แล้วเมื่อคุยกันเรียบร้อยดีแล้ว เลวี่และเกรย์(ที่ท่าทางไม่ค่อยจะเต็มใจนัก)ก็นำเหล่านักเรียนใหม่ไปยังเคาท์เตอร์บาร์ ซึ่งที่ตรงนั้นมีสาวสวยประจำกิลด์ยืนประจำการทำหน้าที่อยู่ เธอมีเรือนผมยาวสีขาวสวย นัยน์ตาสีฟ้าสุกใส และรูปร่างอรชรสมส่วนส่งยิ้มหวานมาให้
“ยินดีต้อนรับเด็กใหม่ของแฟรี่เทลทุกคนนะจ๊ะ ฉันชื่อมิร่าเจน สตราอุส” เธอกล่าวแนะนำตนเองสั้นๆ ก่อนจะผายมือเชื้อเชิญให้เด็กใหม่ทั้ง 5 คนนั่งลงตรงเก้าอี้ที่อยู่หน้าเคาท์เตอร์บาร์ ซึ่งเด็กใหม่ทั้ง 5 ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย แล้วจากนั้นมิร่าเจนจึงอธิบายรายละเอียดต่อ “เดี๋ยวฉันจะประทับตาสัญลักษณ์ให้กับพวกเธอทุกคนนะ โดยสัญลักษณ์ประจำกิลด์ของพวกเราก็คือ...หางแห่งภูติพราย หรือแฟรี่เทลนั่นเอง”
“ว้าว อยากได้ตราประทับเร็วๆ จังเลยครับ” โรมิโอตอบรับคำของมิร่าเจนอย่างตื่นเต้น
“งั้น...ฉันให้เวลาพวกเธอคิดกันสักหนึ่งนาทีก็แล้วกัน ว่าอยากจะประทับตราสัญลักษณ์ของกิลด์ไว้ตรงส่วนไหนของร่างกาย” สาวสวยกล่าวพลางยิ้มหวานตามเคย “แล้วก็...เรียงลำดับกันมานะว่าใครจะประทับตราเป็นคนแรก”
“ฉัน” นัตสึตอบขึ้นมาอย่างที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยสักนิด เขาลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้แล้วหันตัวไปด้านซ้าย เพื่อให้มิร่าเจนประทับตราสัญลักษณ์ของกิลด์ให้ “ตรงนี้เลย” ว่าพร้อมชี้นิ้วมาที่ต้นแขนขวาของตนเอง
มิร่าเจนมองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมา ท่าทางเด็กใหม่คนนี้จะไม่ใช่เล่นๆ เพราะจากประสบการณ์ที่เธอเคยได้ต้อนรับเด็กใหม่ พวกเขาเหล่านั้นมักจะตื่นเต้นกันเป็นพิเศษจนทำอะไรไม่ถูก “ได้สิ” เธอรับคำ ก่อนจะนำตราสัญลักษณ์ของกิลด์ไปประทับไว้ ณ ตำแหน่งที่นัตสึต้องการ “เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วจ้ะ”
“โอ้...” เจ้าของเรือนผมสีชมพูเหลือบมองสัญลักษณ์ ‘หางแห่งภูติพราย’ สีแดงที่มองเห็นเด่นชัดบนต้นแขนของตนเอง ก่อนจะหันไปขอบคุณหญิงสาวผู้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า “ขอบคุณนะ”
“เอาล่ะต่อไปก็ฉัน” กาซิลลุกขึ้นมาและบอกตำแหน่งที่ตนเองต้องการเช่นกัน เมื่อเสร็จเรียบร้อย คนต่อๆ ไปก็เรียงเข้ามาเพื่อรับการประทับตราสัญลักษณ์กันจนครบ ซึ่งสมาชิกใหม่ของบ้านทั้ง 5 ล้วนแล้วแต่ประทับตราไว้บนต้นแขนด้วยกันทั้งสิ้น
“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเธอก็กลายเป็นสมาชิกของกิลด์แฟรี่เทลกันอย่างเต็มตัวแล้ว” หญิงสาวผู้ประทับตรากล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ยินดีต้อนรับเข้าสู่แฟรี่เทลอย่างเป็นทางการนะจ๊ะ”
เลวี่และเกรย์ที่ยืนมองอยู่ไม่ไกลปรบมือให้เพื่อเป็นการต้อนรับพวกเขาด้วย ก่อนที่เลวี่จะเดินเข้ามาไหว้วานบางสิ่งกับมิร่าเจน ซึ่งสาวเจ้าก็พยักหน้ารับอย่างยินดี
“เอาล่ะ ฉันจะขออธิบายเกี่ยวกับกิลด์ให้พวกเธอรู้กันหน่อยนะ” มิร่าเจนหันมากล่าวกับเด็กใหม่ด้วยน้ำเสียงชวนฟัง เพื่อให้เด็กใหม่ทั้ง 5 คนสนใจในคำพูดของเธอ และมันได้ผล พวกเขาหันมองเธออย่างสนอกสนใจในส่งที่เธอจะพูด หญิงสาวรุ่นพี่จึงกระแอมเล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อ “ในแต่ละกิลด์จะมีศาสตราจารย์ที่คอยดูแลกิลด์นั้นๆ อยู่ เราเรียกพวกเขาว่า ‘มาสเตอร์’ โดยมาสเตอร์ของกิลด์แฟรี่เทล คือ ศาสตราจารย์มาคาลอฟ เดรเยอร์
ส่วนสมาชิกในกิลด์ก็จะเป็นนักเรียนระดับทั่วๆ ไป แต่จะมีเด็กระดับพิเศษอยู่ด้วย พวกนั้นคือ นักเรียนระดับ S ซึ่งการจะเป็นระดับ S ได้นั้นจะต้องผ่านการทดสอบของกิลด์ก่อน ในแฟรี่เทลเองก็มีฉัน เอลซ่า ลักซัส มิสกันคุง แล้วก็อาจารย์กิลดาร์ซ S class ที่จบจากกิลด์แฟรี่เทล พวก S class จะมีความสามารถสูงกว่านักเรียนทั่วไป ถ้าพวกนายอยากเรียนวิชาอะไรเพิ่มเติมก็สามารถสอบถามจากพวก S class ได้ อย่างฉันเองก็จะถนัดในวิชาแปลงกาย ส่วนเอลซ่าก็พวกวิชาการใช้ศาสตราวุธ ศิลปะการป้องกันตัว และการเต้นรำ มิสกันคุงก็วิชาการพรางตัวหรือหายตัว และลักซัสก็วิชาทางพวกดนตรีน่ะจ้ะ
แล้วก็นะ...กฎของโรงเรียนมีอยู่ว่าห้ามแต่ละกิลด์มีเรื่องต่อสู้หรือทะเลาะวิวาทกันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นกิลด์ที่มีเรื่องกันจะต้องถูกทำโทษ”
ฟังมาถึงตรงนี้ ทั้งนัตสึและกาซิลก็ต้องทำหน้าเสียดายสุดๆ เพราะพวกเขาทั้งสองคนอุตส่าห์อยากจะไปท้าประลองกับมังกรคู่แห่งเซเบอร์ทูธเสียหน่อย
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิจ๊ะ” มิร่าเจนพูดอย่างรู้ทันในความคิดของเด็กใหม่ทั้งสอง “ในแต่ละปีทางโรงเรียนจะจัดการแข่งขันแกรนด์ เมจิก ขึ้น โดยจะให้แต่ละกิลด์ส่งนักเรียนตัวแทนเข้าร่วมต่อสู้เพื่อหากิลด์ที่แข็งแกร่งที่สุด”
สองดราก้อนสเลเยอร์หนุ่มที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้าตาตื่นเต้นกันขึ้นมาทันที ทำให้เลวี่ที่ยืนอยู่ใกล้กันได้แต่ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ เธออธิบายต่อจากมิร่าเจนทันที เพราะเห็นว่าสาวรุ่นพี่พูดมาเยอะมากพอสมควรแล้ว เกรงว่าจะหายใจไม่ทันเอาได้
“ภายในกิลด์จะมีการทำภารกิจด้วยนะ ซึ่งจะได้รับค่าตอบแทนภารกิจเป็นคะแนนสะสม เพราะจะมีการให้รางวัลกิลด์ที่ได้คะแนนรวมสูงสุดในแต่ละปี โดยการทำภารกิจอาจจะไปทำคนเดียวหรือทำกันเป็นทีมก็ได้ อย่างตัวฉันเองก็รวมทีมกับเจ็ตและดรอย เพื่อให้ง่ายต่อการทำภารกิจ พวกเธอเด็กใหม่จะรวมทีมกันทั้งหมดเลยก็ได้นะ หรืออาจจะแยกกันเลยก็ได้” สาวร่างเล็กอธิบายเสียงเจื้อยแจ้ว ก่อนจะเพิ่งนึกถึงเรื่องสำคัญได้ “อ้อ! อีกอย่างที่ควรรู้ไว้ก็คือ...ห้ามลงไปชั้นใต้ดินของกิลด์นี้เด็ดขาด รวมทั้งชั้นใต้ดินของโรงเรียนนี้ด้วย แล้วก็ส่วนในของหอสมุด เพราะพื้นที่เหล่านั้นถือเป็นเขตหวงห้ามของโรงเรียน ที่สำคัญที่สุด...ใช้ชีวิตกันอย่างระมัดระวังนะ”
เวนดี้หน้าซีดขึ้นมาทันที เด็กสาวพยักหน้ารับโดยเร็วไวพร้อมบอกกับตัวเองในใจว่าเธอจะไม่ล่วงเข้าไปในเขตพื้นที่หวงห้ามเด็ดขาด เพราะมันคงจะน่ากลัวไม่ใช่น้อย ดูได้จากคำพูดทิ้งท้ายของเลวี่
ซึ่งการแสดงออกของเด็กใหม่ที่เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวช่างแตกต่างกับทางฝ่ายชายลิบลับ โดยเฉพาะกับนัตสึและกาซิลนั้น ยิ่งได้ฟังแบบนี้ พวกเขาก็ยิ่งอยากจะบุกไปในพื้นที่หวงห้ามเหลือเกิน เพราะคงจะมีอะไรน่าสนใจไม่น้อยซ่อนอยู่แน่ๆ
หลังจากที่ประทับตราสัญลักษณ์และอธิบายอะไรต่างๆ นานาเกี่ยวกับโรงเรียนและกิลด์ให้เด็กใหม่ฟังเรียบร้อยแล้ว เลวี่ก็ปล่อยให้พวกเขาไปพักผ่อนตามอัธยาศัย เพราะเธอเองก็อยากจะไปทำธุระของตัวเองเช่นกัน
“พวกนายไปพักผ่อนกันตามสบายเลยนะ เดี๋ยวค่อยมาเจอกันช่วงเย็นก็แล้วกัน” เธอว่าพลางโบกมือขอตัวไปทำอย่างอื่นต่อ
“พวกเราเด็กใหม่จะรวมทีมกันไหมคะ?”
เวนดี้เอ่ยถามเด็กใหม่คนอื่นๆ ทันทีเมื่อเลวี่เดินจากไปแล้ว เรียกให้เหล่าเด็กใหม่ฝ่ายชายหันมาสนใจกับคำพูดของเธอ
“ผมยังไงก็ได้ครับ” โรเมโอตอบคำถามเป็นคนแรก
“ยังไงก็ได้ แต่เอาจริงๆ แล้วท่าทางพวกเราจะเข้ากันไม่ได้เลยสักคน” แม็กซ์ตอบ อันที่จริงคือน่าจะเป็นเขาต่างหากที่เข้ากับใครในเด็กใหม่ไม่ได้เลย เพราะเวนดี้กับโรเมโอก็เด็กเกินไป คงจะลำบากให้เขาต้องคอยดูแล ส่วนนัตสึกับกาซิล...สองรายนี้เข้ากันไม่ได้สุดๆ เลยล่ะ
กาซิลและนัตสึหันมามองหน้ากัน ก่อนที่ทั้งคู่จะส่ายหน้าตอบปฏิเสธพร้อมกัน “ไม่เอาดีกว่า”
“งั้นก็ลงความเห็นว่าไม่รวมก็แล้วกันนะคะ” เวนดี้กล่าวสรุปเมื่อได้ฟังคำตอบของแต่ละคน ถึงจะรู้สึกเสียดายนิดๆ ก็ตามที แต่แบบนี้อาจจะดีแล้วก็เป็นได้ เพราะหากเป็นทีมที่มีแต่เด็กใหม่ ก็จะกลายเป็นว่าในทีมล้วนมีแต่มือใหม่ทั้งสิ้น อีกทั้งก็ไม่มีใครรู้กฎกติกามารยาทของกิลด์และโรงเรียนเป็นอย่างดีเลยด้วย
แล้วทั้งหมดก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัย
“อาหารอร่อยเป็นบ้าเลยเนอะแฮปปี้”
“ไอล์”
สองคู่หูคนและแมวเดินคุยกันถึงเรื่องอาหารที่พวกเขาเพิ่งไปนั่งรับประทานกันมาเมื่อครู่นี้ที่ห้องโถงใหญ่ของโรงเรียน เพราะเป็นเวลาเช้ามากเกินไปจึงมีนักเรียนของกิลด์อื่นๆ มากันยังไม่มากนัก นั่นจึงทำให้นัตสึและแฮปปี้ตักอาหารมารับประทานอย่างมากมายโดยไม่ต้องนึกเกรงใจใคร (อันที่จริงต้องบอกว่าสำหรับเรื่องการกินแล้ว ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่คิดจะเกรงใจใครทั้งนั้นแหละ)
“ปะ ปุ้ง”
เสียงประหลาดอะไรบางอย่างเรียกให้นัตสึและแฮปปี้ที่กำลังหัวเราะอย่างสนุกสนานมองไปทางต้นเสียง
ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก เบื้องหน้าของทั้งคู่ปรากฏร่างเล็กตัวสีขาวๆ ที่มีจมูกยาวยื่นออกมา ถึงจะไม่เข้าใจว่ามันคือตัวอะไร เนื่องจากว่าตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเห็นตัวพรรค์นี้มาก่อน แต่นัตสึก็พอจะนึกออกได้ว่ามันช่างคลับคล้ายคลับคลากับ...ตุ๊กตาสโนว์แมน
“ปุ้ง ปุ้ง” เจ้าตัวเล็กนั่นส่งเสียงร้องออกมา ขณะที่หัวมันก็สั่นไปด้วย
“หืมม์ ?” นัตสึเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปใกล้เจ้าตัวประหลาดนั่น โดยมีแฮปปี้บินตามหลังมาติดๆ ด้วยความฉงนสงสัย
“ปุ ปุ้ง”
เจ้าสัตว์ประหลาดตัวน้อยเงยใบหน้าของมันขึ้นเมื่อเห็นว่ามีร่างสูงของใครบางคนหยุดยืนอยู่เบื้องหน้ามันในระยะชิดใกล้ มันเห็นเขาขมวดคิ้วสงสัย ก่อนจะย่อตัวลงมาจ้องมองมันให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทว่าเจ้าตัวน้อยก็ออกจะตื่นกลัวกับสายตาคู่นั้นไม่น้อย มันกำลังจะหันตัวหนีไปทางอื่น แต่กลับถูกมือหนาคว้าเข้าที่จมูกอันยื่นยาวของมันเสียก่อน “ปุ ปุ้งๆ”
นัตสึไม่ได้สนใจเสียงร้องของเจ้าตัวเล็กนั่นสักเท่าไหร่ เขาหันมาบอกกับแฮปปี้ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ดูนี่สิแฮปปี้ เจ้านี่มันร้องใหญ่เลยว่า ‘ปล่อยนะๆ’ น่ะ”
“เอ๋!!” แฮปปี้มองอย่างไม่เข้าใจ เขาไม่เห็นจะได้ยินอย่างเสียงร้องอย่างที่นัตสึว่าเลยสักนิด ได้ยินแค่ปุ้งๆ “เราไม่เห็นจะได้ยินแบบนั้นเลยสักนิด”
“จะไม่ได้ยินแบบนั้นได้ไงล่ะแฮปปี้ เจ้านี่ร้องดังจะตาย อ้าว...เฮ้ย!!” ยังไม่ทันอธิบายให้แฮปปี้ได้เข้าใจ นัตสึก็ต้องตกใจเมื่อมองเห็นว่าตอนนี้จมูกของเจ้าตัวเล็กสีขาวที่ยาวอยู่แล้วกำลังยืดยาวออกมากกว่าเดิม “ดะ ดูนี่สิแฮปปี้ จมูกเจ้านี่มันยืดได้ด้วยแหละ เหมือนยางเลย”
“นี่นัตสึ เราว่าอย่าไปดึงจมูกตัวอะไรก็ไม่รู้แบบนั้นสิ เกิดมันเป็นสัตว์ประหลาดขึ้นมา เราจะซวยเอาได้นะ” แฮปปี้เอ่ยเตือน เพราะตอนนี้เขารู้สึกกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก หากแต่นัตสึก็หาฟังไม่ เขายังคงดึงจมูกของเจ้าตัวสีขาวให้ยาวยืดมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!” เสียงตวาดแว้ดดังมาแต่ไกล พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่วิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นัตสึและแฮปปี้หันไปมองก็เห็นหญิงสาวผู้มีเรือนผมสีบลอนด์ประกายกำลังวิ่งเข้ามา เพียงครู่เดียวเธอก็มาหยุดยืนหอบอยู่ต่อหน้าพวกเขา นัตสึมองหน้าเจ้าหล่อนอย่างพิจารณา แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยอะไร เธอก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน “หยุดดึงจมูกพลูเดี๋ยวนี้นะ ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย ไม่รู้รึไงว่าพลูไม่ชอบให้ใครมาดึงจมูกเล่นน่ะ” ไม่ว่าเปล่า มือบางของเธอยื่นมาตีมือของนัตสึอย่างแรง จนเขาต้องยอมปล่อยมือตัวเองออกจากจมูกของเจ้าตัวประหลาด แล้วตอนนั้นเอง ร่างบางก็อาศัยจังหวะนั้นอุ้มเจ้าตัวประหลาดขึ้นกอดไปไว้แนบอก ก่อนจะต่อว่าเขาอีกคำรบ
“ถ้าฉันเห็นว่านายมาแกล้งพลูอีก คราวหน้าฉันจะเอาคืนด้วยการถลกขนเจ้าแมวสีฟ้าตัวนั้นให้เกลี้ยงเลยคอยดู” พูดจบเธอก็วิ่งหนีไปทันที ไม่รอให้นัตสึหรือแฮปปี้ที่กำลังหน้าหวาดเสียวตอบอะไรกลับไปเลย
“ยัยนั่นขี้โวยวายชะมัดเลย” นัตสึบ่นออกมาเสียงเบา ก่อนจะยกหลังมือของตนเองขึ้นมาดู มันปรากฏเป็นรอยแดงเถือกหลังจากที่ยัยผู้หญิงคนนั้นฟาดมือเขา ซึ่งมันค่อนข้างเจ็บใช้ได้เลยทีเดียว “เจ็บเป็นบ้าเลยแฮะ”
“ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้พูดจาโหดร้ายเป็นบ้าเลย” แฮปปี้ว่า เขายังรู้สึกขนลุกไม่หายตั้งแต่ได้ฟังคำที่พูดว่าจะถลกขนของเขาให้หมดทั้งตัว
“อืมมม” นัตสึตอบรับด้วยน้ำเสียงในลำคอ เมื่อครู่นี้ถ้าเขาสังเกตไม่ผิด เขาทันได้เห็นว่าหลังมือขาวบางคู่นั้นมีตราสัญลักษณ์สีชมพูประทับอยู่ ซึ่งมันเป็นตราสัญลักษณ์แบบเดียวกับที่ประทับอยู่บนต้นแขนขวาของเขา “อยู่แฟรี่เทลงั้นเหรอ...?”
@@@@@@@@@@@
ร่างบางเดินหายใจฮึดฮัดออกมาด้วยความไม่พอใจ แม้จะเดินห่างออกมาไกลมากพอสมควรแล้วก็ตาม แต่เธอกลับไม่รู้สึกใจเย็นขึ้นเลยสักนิด ผู้ชายคนเมื่อครู่ไร้มารยาทเหลือเกิน เขากล้าดีอย่างไรมาดึงจมูกสัตว์เลี้ยงของเธอได้ ขนาดเธอเองที่เลี้ยงพลูมาตั้งนานยังไม่เคยดึงจมูกของเจ้านี่เลยสักครั้ง
ใบหน้าหวานก้มลงมองสัตว์เลี้ยงของตัวเองที่ส่งเสียงร้องเบาๆ ด้วยแววตาสงสารจับใจ แต่ก็แอบจะตลกไม่ได้เมื่อเห็นจมูกยืดยาวนั้นเหี่ยวเฉาไม่ตั้งตรง “ไม่เป็นไรนะพลู อีกไม่นานมันก็เป็นเหมือนเดิมแล้วล่ะ”
“ปะ ปุ้ง” เจ้าตัวเล็กร้องตอบ
“หิวไหม? ไปกินข้าวกันดีกว่า” เธอบอกกับสัตว์เลี้ยงของตนเอง พลางจะหันเลี้ยวไปยังทางเดินที่จะนำไปสู่ห้องโถงใหญ่ ทว่ากลับต้องหยุดชะงักเมื่อพบว่าตอนนี้มีร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีดำอมน้ำเงินยืนขวางหน้าเธออยู่
“เกรย์” เธอเอ่ยเรียกชื่อของเขา
“ไง เธอสามารถออกมาข้างนอกได้แล้วอย่างนั้นเหรอ? ลูซี่” เกรย์ทักทายพลางเอ่ยถามในสิ่งที่เขาสงสัย เพราะเขาได้ยินมาว่าคนตรงหน้าถูกสั่งกักบริเวณเป็นเวลา 3 วัน
“ก็แน่ล่ะ ครบ 3 วันแล้วนี่นา” ลูซี่ตอบ
“ดีแล้วล่ะ เพราะเอลซ่ามอบหน้าที่ให้เธอน่ะ” เกรย์ว่าพลางยกมือขึ้นเสยผมอย่างเซ็งๆ ก่อนจะพูดต่อเมื่อเห็นว่าอีกคนกำลังรอฟังอยู่ “...ดูแลเด็กใหม่”
“ทำไมล่ะ?” ลูซี่ถามออกมาด้วยสีหน้าสงสัยสุดๆ ลำพังยังเอาตัวเองไม่รอดเลย จะให้เธอไปดูแลเด็กใหม่ได้อย่างไรกัน
“มีปัญหารึไงลูซี่?” อยู่ดีๆ คนที่กำลังพูดถึงก็โผล่เข้ามา ทำให้ทั้งเกรย์และลูซี่สะดุ้งตกใจ ก่อนทั้งสองจะพร้อมใจหันไปมองเอลซ่าที่กำลังเดินเข้ามาหา “ว่าแต่เธอเถอะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้ถูกกักบริเวณได้ล่ะ ?”
คำถามของเอลซ่าทำให้เกรย์หันมามองหน้าเธอด้วยความอยากรู้เช่นกัน ซึ่งมันก็ทำให้ลูซี่รู้สึกลำบากใจที่จะต้องพูดออกมา เพราะกลัวว่าจะมีพวกอาจารย์เดินเข้ามาได้ยิน และหากเป็นอย่างนั้นล่ะก็...คราวนี้ไม่เพียงแค่เธอเท่านั้น แต่เกรย์และเอลซ่าอาจจะโดนกักบริเวณไปด้วย “มันไม่ใช่เรื่องที่จะพูดในที่สาธารณะแบบนี้ได้หรอกนะ”
“สำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ?” เอลซ่าเลิกคิ้วถาม
“อื้ม” ร่างบางเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์พยักหน้าตอบ “ไม่อย่างนั้นฉันจะโดนทำโทษเหรอ?”
“แต่ฉันได้ยินมาว่าเธอแค่ไปอ่านหนังสือในห้องสมุดเองนี่นา แค่อ่านหนังสือน่ะ...มันถึงกับต้องโดนทำโทษเลยเหรอ?” หากแต่เอลซ่าก็ยังคงยิงคำถามกลับมา แม้จะรู้ว่าเพื่อนลำบากใจที่จะตอบ แต่เธออยากรู้นี่นา ทำไงได้ล่ะ?
ลูซี่กรอกตาไปมา ก่อนจะถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ แล้วบอกให้เพื่อนทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ๆ พร้อมหันมองซ้ายขวาจนแน่ใจว่าบริเวณนี้ปลอดคน เธอจึงมาเอ่ยกระซิบเสียงเบากับเพื่อน “หนังสือที่ฉันหยิบมาน่ะ เป็นหนังสือของสภาเวทมนตร์ ซึ่งบันทึกเรื่องของหม้อไฟในตำนานที่สร้างขึ้นมาจากพลังของจอมเวทย์ดำ คนที่คุณก็รู้ว่าใครนั่นแหละ เขาสร้างมันขึ้นมาเพื่อเอาไว้ใช้เก็บสะสมพลังเวทย์ของตัวเอง แล้วในอีกไม่นานเขาจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาและตามหามันอย่างแน่นอน ดังนั้น...จะต้องมีใครสักคนตามหามันให้พบและรีบทำลายมันทิ้งก่อนที่จอมเวทย์ดำผู้นั้นจะพบมันและนำมันไปใช้สร้างหายนะให้กับโลกเวทมนตร์แห่งนี้”
ได้ฟังถึงตรงนี้ ทั้งเอลซ่าและเกรย์ต่างก็ต้องเบิกตากว้าง เพราะสิ่งที่ลูซี่ได้พูดออกมานั้นเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว เพราะหากจอมเวทย์ดำฟื้นคืนชีพและตามหาเจ้าหม้อไฟในตำนานนั่นพบ นั่นหมายความว่าจุดจบแห่งโลกเวทมนตร์จะต้องมาถึงอย่างแน่นอน
“แน่ใจนะว่าที่พูดมาเป็นเรื่องจริง” เอลซ่าเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเพิ่งได้ฟังนัก
“โธ่เอลซ่า ถ้ามันเป็นเรื่องโกหก ฉันจะถูกอาจารย์ใหญ่ลงโทษเหรอ” ลูซี่พูดย้ำในเรื่องที่เธอถูกลงโทษเพราะไปได้ข้อมูลที่พูดให้เพื่อนฟังเมื่อครู่อีกครั้ง เพื่อยืนยันให้เอลซ่ารู้ว่าเธอไม่ได้พูดเล่น
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมทางโรงเรียนหรือแม้แต่สภาเวทมนตร์ถึงได้ปิดเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับล่ะ ถ้าประกาศออกมาตามตรง ทุกคนจะได้ช่วยกันตามหามันให้พบ แบบนั้นไม่ง่ายกว่าเหรอ?” เกรย์ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด แม้จะไม่น่าเชื่อ แต่เขาคิดว่ามันก็คงจะเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน
“อันผู้ใดมีมันไว้ในครอบครอง ผู้นั้นจักยิ่งใหญ่คับแผ่นฟ้าและปฐพีหล้า กลับกัน...พวกเขาก็จักดับดิ้นด้วยฤทธาของมัน” ริมฝีปากสีชมพูเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยความตึงเครียด
เอลซ่าพิจารณาคำพูดนั้น ก่อนจะเอ่ยสรุปตามความเข้าใจของตนเอง “อย่างนี้นี่เอง ถ้าประกาศออกมา ผู้คนจำนวนไม่น้อยอาจจะหลงใหลในพลังอำนาจของมันจนนำไปใช้ในทางที่ผิดสินะ”
“แต่ถ้าไม่มีใครตามหา แล้วจอมเวทย์ดำฟื้นขึ้นมาตามหามันพบก่อนล่ะ?” เกรย์ยังคงยิงคำถามกลับมา
“ฉันคิดว่าอาจารย์ใหญ่กับพวกคณาจารย์ในโรงเรียน และทางสภาเวทมนตร์น่าจะส่งคนออกตามหามันมาตลอดนั่นแหละ ” ลูซี่ตอบคำถาม เธอมีสีหน้ากังวลขึ้นมาทันทีเมื่อคิดถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ “แต่สิ่งที่ฉันกังวลน่ะ...คือเรื่องการกำจัดหม้อไฟใบนั้นต่างหาก”
.
.
ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก นัตสึและแฮปปี้กำลังหลบอยู่ที่ซอกทางเดินหนึ่ง พวกเขาจะกลับกิลด์ตั้งแต่ตอนที่แยกกับผู้หญิงผมบลอนด์คนนั้นแล้ว แต่กลับหลงทางเสียได้ เพราะโรงเรียนเวทมนตร์ศาสตร์อะไรนี่ก็กว้างขวางและมีเส้นทางซับซ้อนเหลือเกิน พอเดินมาถึงตรงนี้ก็มองเห็นผู้หญิงผมบลอนด์นั่นกำลังยืนคุยกับเกรย์และเอลซ่าอยู่ ตอนแรกก็คิดจะเดินเข้าไปทัก แต่พอเห็นว่าทั้งสามมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาจึงรีบหลบเข้าที่มุมทางเดินอย่างช่วยไม่ได้
“ทำไมเราต้องหลบด้วยล่ะนัตสึ” แฮปปี้เอ่ยถามเบาๆ
“เงียบก่อนแฮปปี้” นัตสึออกคำสั่งคู่หู เขาเหลือบสายตามองไปทางทั้งสามคนที่ยังคงพูดคุยกันอยู่ ก่อนคิ้วเรียวจะขมวดมุ่นเมื่อได้ยินในสิ่งที่คาดไม่ถึง
...หม้อไฟในตำนานกับจอมเวทย์ดำอย่างนั้นเหรอ..?
อยู่ๆ นัตสึก็รู้สึกว่ารอยแผลเป็นที่คอของเขามันกำลังร้อนและปวดแปลบขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ มือหนารีบกดรอยแผลเป็นนั่นไว้เพื่อให้มันช่วยบรรเทาอาการปวด “อึก”
“เป็นอะไรไปนัตสึ?” แฮปปี้ร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นท่าทีของคู่หู แต่นัตสึก็ทำเพียงยกมือห้ามและบอกว่าเขาไม่เป็นอะไร
มือที่กดรอยแผลเอาไว้ค่อยๆ คลายออกเมื่อตอนนี้อาการปวดแสบหายไปแล้ว แม้จะสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าทำไมแผลเป็นถึงได้สร้างความเจ็บปวดให้เขาได้ แต่นัตสึก็ต้องสงสัยไปกับสิ่งอื่นมากกว่าเมื่อเขาได้ยินคำพูดของร่างบางเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์
.
.
“การจะกำจัดหม้อไฟใบนั้น...จะต้องใช้ลมหายใจมังกรเพลิงของเด็กชายผู้รอดชีวิต”
“หา!!” เอลซ่าและเกรย์ส่งเสียงดังออกมาอย่างตกใจสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ ก่อนที่ทางชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวจะเอ่ยต่อ “แสดงว่าจะต้องให้นัตสึเป็นคนกำจัดมันอย่างนั้นเหรอ?”
ลูซี่หันมามองหน้าเกรย์ “นัตสึ ? ใครเหรอเกรย์”
“ก็....” เกรย์กำลังจะอธิบาย แต่ก็ต้องหยุดเสียงลงเมื่อได้ยินเสียงของบุคคลผู้ไม่ได้ถูกรับเชิญให้เข้าร่วมการสนทนาครั้งนี้ดังแทรกขึ้นมา
“พูดถึงฉันอยู่อย่างนั้นเหรอ?”
ทั้งสามหันขวับไปมองด้วยความตกใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าใครคนนั้นไม่ใช่พวกคณาจารย์ ไม่อย่างนั้นมีหวังทั้งสามอาจถูกสั่งทำโทษก็เป็นได้ หากแต่ลูซี่ก็ไม่ได้คลายความกังวลลงไปมากนิ่งเมื่อเห็นว่าคนที่โผล่มาคือชายไร้มารยาทที่บังอาจมากระทำการล่วงเกินพลูของเธอ “นาย...”
เกรย์มองคนทั้งคู่อย่างสงสัย เพราะทั้งสองคนทำราวกับว่าเคยพบกันมาแล้ว “เคยเจอกันแล้วงั้นเหรอ?”
“ใช่ หมอนี่มาดึงจมูกของพลูน่ะ” ลูซี่ว่า น้ำเสียงนั้นแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างไม่คิดปิดบัง
หากแต่นัตสึก็ไม่ได้สนใจกับท่าทีเหล่านั้นของเธอ เขาหันไปมองด้านหลังก็เห็นว่าตอนนี้แฮปปี้กำลังบินตามเข้ามา เพราะเมื่อครู่ที่เขาได้ยินว่า ‘ต้องใช้ลมหายใจมังกรเพลิงของเด็กชายผู้รอดชีวิต’ ก็เกิดความอยากรู้จนต้องวิ่งออกมาถึงตรงนี้เพื่อจะถามทันที จึงเผลอทิ้งแฮปปี้เอาไว้ตรงนั้น “โทษทีนะแฮปปี้ ที่ไม่ได้รอนาย” นัตสึโบกมือให้เจ้าแมวสีฟ้า ก่อนจะหันกลับมามองหน้าทั้งสามคนที่กำลังจ้องเขาอยู่ตอนนี้ “ว่าแต่เมื่อกี้พวกนายพูดถึงฉันกันสินะ?”
“ใครพูดถึงนาย?” ลูซี่ย้อนกลับอย่างไม่เข้าใจ “เราไม่ได้พูดอะไรถึงนายซักหน่อย ว่าแต่นายนั่นแหละเป็นใครกัน อยู่ดีๆ ก็โผล่พรวดเข้ามาแบบนี้ มันไร้มารยาทนะไม่รู้เหรอ?”
“ใจเย็นก่อนลูซี่” เอลซ่าดึงเพื่อนสาวไว้ พลางรีบเอ่ยอธิบายก่อนที่ลูซี่จะพูดอะไรไปมากกว่านี้ หรือก่อนที่ฝ่ายนัตสึจะทนไม่ไหวแล้วโต้ตอบออกมา “นี่คือนัตสึ ดรากูนีล เด็กใหม่ของกิลด์แฟรี่เทล”
“นัตสึ ดรากูนีล” ลูซี่ทวนชื่อของอีกฝ่ายไปมาอย่างกำลังขบคิด ก่อนมือบางจะยกขึ้นมาปิดปากของตนเอาไว้อย่างไม่อยากจะเชื่อ “เด็กชายผู้รอดชีวิตอย่างนั้นเหรอ?”
ปกติแล้วนัตสึไม่ค่อยชอบใจนักหรอกที่ใครๆ ต่างก็พากันเรียกเขาว่า ‘เด็กชายผู้รอดชีวิต’ แต่การที่ได้เห็นผู้หญิงขี้โวยวายตรงหน้ากำลังทำสีหน้าตกใจกับสิ่งที่เธอได้รับรู้ เขาจึงยิ้มกว้างพลางยักคิ้วให้เธอ “ใช่! ฉันเอง”
“แล้วนายก็เป็นดราก้อนสเลเยอร์สินะ?” ลูซี่ยิงคำถามใส่อีกฝ่าย ซึ่งนัตสึก็ยักคิ้วให้เป็นการตอบรับ นั่นจึงทำให้เธอหน้าซีดขึ้นมาเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้น...นายก็ได้ยินที่พวกฉันคุยกันทั้งหมดเลยสิ?”
คราวนี้ไม่เพียงแค่ลูซี่เท่านั้น แต่ทั้งเอลซ่าและเกรย์ต่างก็หน้าซีดขึ้นมาทั้งคู่ เพราะถ้านัตสึนำบทสนทนาของพวกเขาทั้งสามไปบอกให้คนอื่นรับรู้ มีหวังพวกเขาซวยแน่ๆ
“ก็ใช่น่ะสิ” นัตสึตอบโดยที่ไม่ได้รับรู้ถึงสายตากดดันของเอลซ่าที่ส่งมาเลยแม้แต่ เขายังคงถามพวกเธอด้วยคำถามเดิม “ว่าแต่ที่พูดก่อนหน้านี้มันหมายความว่ายังไงกัน? ที่ว่าต้องใช้ลมหายใจมังกรเพลิงของ...” พูดยังไม่ทันจะจบประโยค มือของเอลซ่าก็ยื่นมาปิดปากของนัตสึเอาไว้เสียก่อน เธอจ้องหน้าเขาด้วยสายตาข่มขู่
“ขืนนายพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาแม้แต่นิดเดียว ชีวิตนายจบสิ้นแค่วันนี้แน่” น้ำเสียงเย็นๆ ถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากบางของเจ้าของมือที่ปิดปากเขาอยู่ ซึ่งนัตสึได้แต่ลอบกลืนน้ำลาย เพราะรู้สึกได้ว่าสายตาที่จ้องมองมา...มันสามารถฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ “เข้าใจไหม?”
“ค...ครับ” พยักหน้ารับรัวเร็วอย่างเข้าใจ เอลซ่าจึงยอมปล่อยมือออก
“เข้าใจง่ายๆ แบบนี้ก็ดี” เอลซ่าว่า แล้วหันมาหาเพื่อนอีกสองคน “ฉันว่าพวกเรากลับไปที่กิลด์กันเถอะ มีเรื่องที่จะต้องให้พวกนายไปทำกับเด็กใหม่น่ะ”
ทั้งสามตอบตกลงทันทีเพราะยังนึกกลัวกับแววตาเมื่อครู่ของเอลซ่าอยู่ ก่อนจะเดินตามเอลซ่าที่ตอนนี้ออกเดินนำหน้าพวกเขาไปแล้ว
@@@@@@@@@@@
ณ กิลด์แฟรี่เทล
เอลซ่าประกาศเรียกให้พี่เลี้ยงเด็กใหม่ ทีมชาโดว์เกีย และเด็กใหม่ทั้ง 5 คน มาพบกันที่ห้องโถงนั่งเล่นของกิลด์ นัตสึที่มาพร้อมกับพวกเธอจึงเดินไปนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่ง ก่อนจะตามมาด้วยเวนดี้ โรเมโอ แม็กซ์ และกาซิลที่เดินตามมาเป็นคนสุดท้ายด้วยสภาพที่บ่งบอกได้ว่าเขาเพิ่งจะตื่น (ซึ่งก็คงจะหนีไปนอนต่อตอนที่ปล่อยให้พักผ่อนตามอัธยาศัยสินะ)
“เรียกมาอีกแล้ว มีอะไรงั้นเหรอ?” กาซิลเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ทำให้เอลซ่าหันขวับมามองด้วยแววตาคมกริบราวกับจะบาดผิวของเขาได้ ซึ่งกาซิลก็รีบหลบตาเธอทันที
เอลซ่ายิ้มให้เด็กใหม่ทั้งห้า ก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวพี่เลี้ยงเด็กใหม่ที่ไม่ได้มาทำความรู้จักกับทำคนอย่างลูซี่ “นี่คือลูซี่ พี่เลี้ยงเด็กใหม่อีกคน”
“สวัสดีนะทุกคน ฉันชื่อลูซี่ ฮาร์ทฟิเลีย” ร่างบางเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ประกายเอ่ยด้วยรอยยิ้มและสายตาที่เป็นประกายดั่งเส้นผมของเธอ “ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะ”
“คร้าบบบ” โรเมโอยิ้มรับตามประสาของเขา ส่วนแม็กซ์เองก็ยิ้มแบบเพ้อฝันให้กับลูซี่
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณลูซี่” เวนดี้เด็กผู้มีมารยาทก็เอ่ยทักเธอตอบ ส่วนกาซิลกับนัตสึนั้น คนแรกก็แค่มองเธอเท่านั้นก่อนจะหันไปสนใจกับอย่างอื่น แต่ฝ่ายคนหลัง...กลับเอาแต่จ้องเธออย่างสงสัย
เมื่อเห็นว่าแนะนำตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าของเรือนผมสีสการ์เล็ตเดินเข้ามาใกล้โต๊ะที่เด็กใหม่กำลังนั่งอยู่ หากแต่สายตาของเธอกลับมองไปที่พวกพี่เลี้ยงของเด็กใหม่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลกันมากนัก “ฉันจะให้พวกนายรับผิดชอบพาเด็กใหม่ไปทำภารกิจ โดยที่ฉันได้จับคู่ให้แล้ว คือ ลูซี่ – นัตสึ กาซิล – เลวี่ เกรย์ – เวนดี้ เจ็ต – โรเมโอ และคู่สุดท้าย ดรอย – แม็กซ์”
“เอ๋!!??” พี่เลี้ยงเด็กใหม่ทั้งสองสาวอย่างลูซี่และเลวี่ร้องเสียงหลงทันทีเมื่อได้ฟังคำประกาศของเอลซ่า ทั้งสองสาวรีบเดินเข้ามาพูดคุยกับเอลซ่าทันทีว่าพวกเธออยากจะไปกับเวนดี้หรือโรเมโอมากกว่า เพราะการที่ให้เธอไปกับนัตสึหรือกาซิล มันออกจะน่ากลัวเกินไปสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ บอบบางแบบพวกเธอ อีกอย่างฝ่ายลูซี่เองก็ไม่ค่อยจะชอบหน้านัตสึสักเท่าไหร่นัก พวกเธอคิดว่าให้เกรย์ไปกับสองคนนั้นจะไม่เป็นการดีกว่าอย่างนั้นหรือ
“ฟังนะ...การที่ฉันไม่ให้เกรย์ไปกับนัตสึหรือกาซิล ก็เพราะฉันเห็นว่ามันจะต้องมีปัญหายุ่งยากตามมาทีหลังแน่ๆ เพราะอย่างนั้นเลยส่งให้เกรย์ไปกับเด็กผู้หญิงแทน ส่วนเจ็ตกับดรอยก็ท่าทางจะเอาเจ้าสองคนนั้นไม่อยู่ ดีไม่ดีจะสร้างปัญหาเอาได้เหมือนกัน” เอลซ่าให้เหตุผล “เพราะฉะนั้น...ฉันได้เลือกเธอทั้งสองคนให้ไปกับนัตสึและกาซิลยังไงล่ะ เพราะฉันคิดว่าพวกเธอน่าจะแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เธอสองคนฉลาดและรู้จักรับมือกับปัญหาอยู่แล้วนี่”
“ก็พอจะเข้าใจอยู่นะ ถ้าอย่างนั้น...ขอสลับคู่กับเลวี่จังได้ไหม?” ลูซี่ขอร้องอีกครั้ง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับมีเพียงแค่แววตาดุดัน ซึ่งก็ทำให้ลูซี่ต้องพยักหน้ารับอย่างจำยอม พลางคิดไปว่าการที่เอลซ่าจับคู่เธอกับนัตสึ คงจะต้องมีเหตุผลบางอย่างให้เธอจัดการแน่ๆ และก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องเมื่อตอนก่อนหน้านี้ “...เข้าใจแล้ว”
“ดีมาก” เอลซ่ายิ้มกว้าง แล้วจึงหยิบกระดาษภารกิจออกมาวางไว้บนโต๊ะของเด็กใหม่ “นี่เป็นใบภารกิจ ซึ่งทั้ง 5 ใบนี้เป็นภารกิจตามหาของหายเหมือนกันหมด จะต่างกันก็แค่สถานที่เท่านั้น พวกนายจงไปตามที่อยู่ของผู้ว่าจ้างและทำภารกิจให้สำเร็จซะ อย่าลืมล่ะว่าตอนนี้พวกนายคือแฟรี่เทลแล้ว อย่าทำให้กิลด์เสียชื่อซะล่ะ” เอลซ่าว่าพลางส่งรอยยิ้มท้าทายให้กับพวกเด็กใหม่
“ได้เลย” นัตสึว่าพร้อมคว้าใบภารกิจมาหนึ่งใบ แม้จะน่าเบื่ออยู่ไม่น้อยที่จะต้องไปตามหาของหาย แต่เขาก็ไม่คิดจะยอมแพ้รอยยิ้มท้าทายของเอลซ่านั่นหรอก ทำให้คนอื่นๆ คว้าใบภารกิจตามคนละหนึ่งใบเช่นกัน
“ถ้างั้นก็ไปทำภารกิจกันได้เลย”
ถึงจะชื่อตอนหางแห่งภููติพราย แต่ก็ดูไม่ค่อยเกี่ยวเท่าไหร่เลยแฮะ
แถมตอนนี้ดูเรียบๆ ซะด้วย เอาเป็นว่าพบกับการทำภารกิจครั้งแรกของนัตสึในตอนหน้ากันนะ บายย
ความคิดเห็น