ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic Fairy Tail] Fairy Hotter

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter III :: หางแห่งภูติพราย

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.พ. 59



    Chapter III

    :: หางแห่งภูติพราย ::

     

     

     

    “อรุณสวัสดิ์”

     

                น้ำเสียงสดใสร่าเริงของเจ้าของเรือนผมสีฟ้าเอ่ยทักทายสมาชิกใหม่ทั้ง 5 ของกิลด์ที่ตอนนี้นั่งรวมตัวกันอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง  ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีปฏิกิริยาตอบรับคำทักทายของเธอแตกต่างกันออกไป  บางคนก็ยิ้มสดใสเป็นการทักทายกลับมา  บางคนก็แค่ยิ้มให้ตามมารยาท  บางคนก็เมินหน้าหนี  บางคนก็หาวใส่หน้าเธอเลยก็ว่าได้  เรียกได้ว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นอาการที่แสดงออกไปในทางที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่นัก

               

                “แล้วนี่มีอะไร?  ให้ตื่นซะเช้าเชียว” นัตสึเอ่ยถามพลางเปิดปากหาวอีกรอบ  ใบหน้าที่ล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีชมพูนั้นดูไม่สดใสเท่าสีของเรือนผมเลยแม้แต่น้อย  อาจเพราะยังอยู่ในอาการง่วงซึมอยู่ก็เป็นได้

     

                “วันนี้พวกนายจะได้รับการประทับตราสัญลักษณ์ของกิลด์น่ะสิ  เพื่อเป็นการยืนยันว่าพวกนายได้กลายเป็นสมาชิกของแฟรี่เทลอย่างเต็มตัวแล้ว” เลวี่อธิบายด้วยรอยยิ้ม

     

                “แล้วมันจำเป็นต้องตื่นแต่เช้าแบบนี้ด้วยรึไงเล่า?” กาซิลเอ่ยถาม  สภาพของเขาเองก็ถือว่ายังไม่ตื่นดีนัก  เนื่องจากผมเผ้ายังคงยุ่งเหยิงไม่ได้หวีจัดทรงให้เรียบร้อยอย่างที่ควรจะเป็น

     

                “ก็จะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่นด้วยไงล่ะ” เกรย์เดินเข้ามาสมทบที่โต๊ะตัวนั้น  ก่อนจะกล่าวทักทายเหล่าเด็กใหม่ทั้งหลาย  ซึ่งก็แน่นอนว่ามีเพียงแค่เวนดี้กับโรมิโอเท่านั้นที่ยิ้มและเอ่ยทักทายตอบ  ส่วนคนที่เหลือก็...นะ

     

                แล้วเมื่อคุยกันเรียบร้อยดีแล้ว  เลวี่และเกรย์(ที่ท่าทางไม่ค่อยจะเต็มใจนัก)ก็นำเหล่านักเรียนใหม่ไปยังเคาท์เตอร์บาร์  ซึ่งที่ตรงนั้นมีสาวสวยประจำกิลด์ยืนประจำการทำหน้าที่อยู่  เธอมีเรือนผมยาวสีขาวสวย นัยน์ตาสีฟ้าสุกใส  และรูปร่างอรชรสมส่วนส่งยิ้มหวานมาให้ 

     

                “ยินดีต้อนรับเด็กใหม่ของแฟรี่เทลทุกคนนะจ๊ะ  ฉันชื่อมิร่าเจน  สตราอุส” เธอกล่าวแนะนำตนเองสั้นๆ  ก่อนจะผายมือเชื้อเชิญให้เด็กใหม่ทั้ง 5 คนนั่งลงตรงเก้าอี้ที่อยู่หน้าเคาท์เตอร์บาร์  ซึ่งเด็กใหม่ทั้ง 5 ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย  แล้วจากนั้นมิร่าเจนจึงอธิบายรายละเอียดต่อ “เดี๋ยวฉันจะประทับตาสัญลักษณ์ให้กับพวกเธอทุกคนนะ  โดยสัญลักษณ์ประจำกิลด์ของพวกเราก็คือ...หางแห่งภูติพราย  หรือแฟรี่เทลนั่นเอง”

     

                “ว้าว  อยากได้ตราประทับเร็วๆ จังเลยครับ” โรมิโอตอบรับคำของมิร่าเจนอย่างตื่นเต้น

     

                “งั้น...ฉันให้เวลาพวกเธอคิดกันสักหนึ่งนาทีก็แล้วกัน  ว่าอยากจะประทับตราสัญลักษณ์ของกิลด์ไว้ตรงส่วนไหนของร่างกาย” สาวสวยกล่าวพลางยิ้มหวานตามเคย “แล้วก็...เรียงลำดับกันมานะว่าใครจะประทับตราเป็นคนแรก”

     

                “ฉัน” นัตสึตอบขึ้นมาอย่างที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยสักนิด  เขาลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้แล้วหันตัวไปด้านซ้าย  เพื่อให้มิร่าเจนประทับตราสัญลักษณ์ของกิลด์ให้  “ตรงนี้เลย” ว่าพร้อมชี้นิ้วมาที่ต้นแขนขวาของตนเอง

     

                มิร่าเจนมองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจเล็กน้อย  ก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมา  ท่าทางเด็กใหม่คนนี้จะไม่ใช่เล่นๆ เพราะจากประสบการณ์ที่เธอเคยได้ต้อนรับเด็กใหม่  พวกเขาเหล่านั้นมักจะตื่นเต้นกันเป็นพิเศษจนทำอะไรไม่ถูก “ได้สิ” เธอรับคำ  ก่อนจะนำตราสัญลักษณ์ของกิลด์ไปประทับไว้ ณ ตำแหน่งที่นัตสึต้องการ “เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วจ้ะ”

     

                “โอ้...” เจ้าของเรือนผมสีชมพูเหลือบมองสัญลักษณ์ หางแห่งภูติพรายสีแดงที่มองเห็นเด่นชัดบนต้นแขนของตนเอง ก่อนจะหันไปขอบคุณหญิงสาวผู้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า “ขอบคุณนะ”

     

                “เอาล่ะต่อไปก็ฉัน” กาซิลลุกขึ้นมาและบอกตำแหน่งที่ตนเองต้องการเช่นกัน  เมื่อเสร็จเรียบร้อย  คนต่อๆ ไปก็เรียงเข้ามาเพื่อรับการประทับตราสัญลักษณ์กันจนครบ  ซึ่งสมาชิกใหม่ของบ้านทั้ง 5 ล้วนแล้วแต่ประทับตราไว้บนต้นแขนด้วยกันทั้งสิ้น

     

                “เอาล่ะ  ตอนนี้พวกเธอก็กลายเป็นสมาชิกของกิลด์แฟรี่เทลกันอย่างเต็มตัวแล้ว” หญิงสาวผู้ประทับตรากล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ยินดีต้อนรับเข้าสู่แฟรี่เทลอย่างเป็นทางการนะจ๊ะ”

     

                เลวี่และเกรย์ที่ยืนมองอยู่ไม่ไกลปรบมือให้เพื่อเป็นการต้อนรับพวกเขาด้วย  ก่อนที่เลวี่จะเดินเข้ามาไหว้วานบางสิ่งกับมิร่าเจน  ซึ่งสาวเจ้าก็พยักหน้ารับอย่างยินดี

     

                “เอาล่ะ  ฉันจะขออธิบายเกี่ยวกับกิลด์ให้พวกเธอรู้กันหน่อยนะ” มิร่าเจนหันมากล่าวกับเด็กใหม่ด้วยน้ำเสียงชวนฟัง  เพื่อให้เด็กใหม่ทั้ง 5 คนสนใจในคำพูดของเธอ  และมันได้ผล  พวกเขาหันมองเธออย่างสนอกสนใจในส่งที่เธอจะพูด  หญิงสาวรุ่นพี่จึงกระแอมเล็กน้อย  แล้วเอ่ยต่อ “ในแต่ละกิลด์จะมีศาสตราจารย์ที่คอยดูแลกิลด์นั้นๆ อยู่  เราเรียกพวกเขาว่า มาสเตอร์’  โดยมาสเตอร์ของกิลด์แฟรี่เทล คือ ศาสตราจารย์มาคาลอฟ  เดรเยอร์   

     

                ส่วนสมาชิกในกิลด์ก็จะเป็นนักเรียนระดับทั่วๆ ไป  แต่จะมีเด็กระดับพิเศษอยู่ด้วย  พวกนั้นคือ นักเรียนระดับ S ซึ่งการจะเป็นระดับ S ได้นั้นจะต้องผ่านการทดสอบของกิลด์ก่อน  ในแฟรี่เทลเองก็มีฉัน  เอลซ่า  ลักซัส  มิสกันคุง  แล้วก็อาจารย์กิลดาร์ซ  S class ที่จบจากกิลด์แฟรี่เทล  พวก S class จะมีความสามารถสูงกว่านักเรียนทั่วไป  ถ้าพวกนายอยากเรียนวิชาอะไรเพิ่มเติมก็สามารถสอบถามจากพวก S class ได้  อย่างฉันเองก็จะถนัดในวิชาแปลงกาย  ส่วนเอลซ่าก็พวกวิชาการใช้ศาสตราวุธ  ศิลปะการป้องกันตัว  และการเต้นรำ  มิสกันคุงก็วิชาการพรางตัวหรือหายตัว  และลักซัสก็วิชาทางพวกดนตรีน่ะจ้ะ

     

                แล้วก็นะ...กฎของโรงเรียนมีอยู่ว่าห้ามแต่ละกิลด์มีเรื่องต่อสู้หรือทะเลาะวิวาทกันเด็ดขาด  ไม่อย่างนั้นกิลด์ที่มีเรื่องกันจะต้องถูกทำโทษ”

     

                ฟังมาถึงตรงนี้  ทั้งนัตสึและกาซิลก็ต้องทำหน้าเสียดายสุดๆ  เพราะพวกเขาทั้งสองคนอุตส่าห์อยากจะไปท้าประลองกับมังกรคู่แห่งเซเบอร์ทูธเสียหน่อย

     

                “อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิจ๊ะ” มิร่าเจนพูดอย่างรู้ทันในความคิดของเด็กใหม่ทั้งสอง “ในแต่ละปีทางโรงเรียนจะจัดการแข่งขันแกรนด์ เมจิก ขึ้น  โดยจะให้แต่ละกิลด์ส่งนักเรียนตัวแทนเข้าร่วมต่อสู้เพื่อหากิลด์ที่แข็งแกร่งที่สุด”

     

                สองดราก้อนสเลเยอร์หนุ่มที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้าตาตื่นเต้นกันขึ้นมาทันที  ทำให้เลวี่ที่ยืนอยู่ใกล้กันได้แต่ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ  เธออธิบายต่อจากมิร่าเจนทันที  เพราะเห็นว่าสาวรุ่นพี่พูดมาเยอะมากพอสมควรแล้ว เกรงว่าจะหายใจไม่ทันเอาได้

     

                “ภายในกิลด์จะมีการทำภารกิจด้วยนะ  ซึ่งจะได้รับค่าตอบแทนภารกิจเป็นคะแนนสะสม  เพราะจะมีการให้รางวัลกิลด์ที่ได้คะแนนรวมสูงสุดในแต่ละปี  โดยการทำภารกิจอาจจะไปทำคนเดียวหรือทำกันเป็นทีมก็ได้  อย่างตัวฉันเองก็รวมทีมกับเจ็ตและดรอย  เพื่อให้ง่ายต่อการทำภารกิจ  พวกเธอเด็กใหม่จะรวมทีมกันทั้งหมดเลยก็ได้นะ  หรืออาจจะแยกกันเลยก็ได้” สาวร่างเล็กอธิบายเสียงเจื้อยแจ้ว  ก่อนจะเพิ่งนึกถึงเรื่องสำคัญได้  “อ้อ! อีกอย่างที่ควรรู้ไว้ก็คือ...ห้ามลงไปชั้นใต้ดินของกิลด์นี้เด็ดขาด  รวมทั้งชั้นใต้ดินของโรงเรียนนี้ด้วย  แล้วก็ส่วนในของหอสมุด  เพราะพื้นที่เหล่านั้นถือเป็นเขตหวงห้ามของโรงเรียน  ที่สำคัญที่สุด...ใช้ชีวิตกันอย่างระมัดระวังนะ”

     

                เวนดี้หน้าซีดขึ้นมาทันที  เด็กสาวพยักหน้ารับโดยเร็วไวพร้อมบอกกับตัวเองในใจว่าเธอจะไม่ล่วงเข้าไปในเขตพื้นที่หวงห้ามเด็ดขาด  เพราะมันคงจะน่ากลัวไม่ใช่น้อย  ดูได้จากคำพูดทิ้งท้ายของเลวี่ 

     

                ซึ่งการแสดงออกของเด็กใหม่ที่เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวช่างแตกต่างกับทางฝ่ายชายลิบลับ  โดยเฉพาะกับนัตสึและกาซิลนั้น  ยิ่งได้ฟังแบบนี้  พวกเขาก็ยิ่งอยากจะบุกไปในพื้นที่หวงห้ามเหลือเกิน  เพราะคงจะมีอะไรน่าสนใจไม่น้อยซ่อนอยู่แน่ๆ

     

                หลังจากที่ประทับตราสัญลักษณ์และอธิบายอะไรต่างๆ นานาเกี่ยวกับโรงเรียนและกิลด์ให้เด็กใหม่ฟังเรียบร้อยแล้ว  เลวี่ก็ปล่อยให้พวกเขาไปพักผ่อนตามอัธยาศัย  เพราะเธอเองก็อยากจะไปทำธุระของตัวเองเช่นกัน

     

                “พวกนายไปพักผ่อนกันตามสบายเลยนะ  เดี๋ยวค่อยมาเจอกันช่วงเย็นก็แล้วกัน” เธอว่าพลางโบกมือขอตัวไปทำอย่างอื่นต่อ   

     

     

     

                “พวกเราเด็กใหม่จะรวมทีมกันไหมคะ?”

     

                เวนดี้เอ่ยถามเด็กใหม่คนอื่นๆ ทันทีเมื่อเลวี่เดินจากไปแล้ว  เรียกให้เหล่าเด็กใหม่ฝ่ายชายหันมาสนใจกับคำพูดของเธอ

     

                “ผมยังไงก็ได้ครับ” โรเมโอตอบคำถามเป็นคนแรก

     

                “ยังไงก็ได้  แต่เอาจริงๆ แล้วท่าทางพวกเราจะเข้ากันไม่ได้เลยสักคน” แม็กซ์ตอบ  อันที่จริงคือน่าจะเป็นเขาต่างหากที่เข้ากับใครในเด็กใหม่ไม่ได้เลย  เพราะเวนดี้กับโรเมโอก็เด็กเกินไป  คงจะลำบากให้เขาต้องคอยดูแล  ส่วนนัตสึกับกาซิล...สองรายนี้เข้ากันไม่ได้สุดๆ เลยล่ะ

     

                กาซิลและนัตสึหันมามองหน้ากัน  ก่อนที่ทั้งคู่จะส่ายหน้าตอบปฏิเสธพร้อมกัน “ไม่เอาดีกว่า”

     

                “งั้นก็ลงความเห็นว่าไม่รวมก็แล้วกันนะคะ” เวนดี้กล่าวสรุปเมื่อได้ฟังคำตอบของแต่ละคน  ถึงจะรู้สึกเสียดายนิดๆ ก็ตามที  แต่แบบนี้อาจจะดีแล้วก็เป็นได้  เพราะหากเป็นทีมที่มีแต่เด็กใหม่  ก็จะกลายเป็นว่าในทีมล้วนมีแต่มือใหม่ทั้งสิ้น  อีกทั้งก็ไม่มีใครรู้กฎกติกามารยาทของกิลด์และโรงเรียนเป็นอย่างดีเลยด้วย 

     

                แล้วทั้งหมดก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัย

     

     

                “อาหารอร่อยเป็นบ้าเลยเนอะแฮปปี้”

     

                “ไอล์”

     

                สองคู่หูคนและแมวเดินคุยกันถึงเรื่องอาหารที่พวกเขาเพิ่งไปนั่งรับประทานกันมาเมื่อครู่นี้ที่ห้องโถงใหญ่ของโรงเรียน  เพราะเป็นเวลาเช้ามากเกินไปจึงมีนักเรียนของกิลด์อื่นๆ มากันยังไม่มากนัก  นั่นจึงทำให้นัตสึและแฮปปี้ตักอาหารมารับประทานอย่างมากมายโดยไม่ต้องนึกเกรงใจใคร (อันที่จริงต้องบอกว่าสำหรับเรื่องการกินแล้ว  ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่คิดจะเกรงใจใครทั้งนั้นแหละ)

     

                “ปะ  ปุ้ง”

     

                เสียงประหลาดอะไรบางอย่างเรียกให้นัตสึและแฮปปี้ที่กำลังหัวเราะอย่างสนุกสนานมองไปทางต้นเสียง 

     

                ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก  เบื้องหน้าของทั้งคู่ปรากฏร่างเล็กตัวสีขาวๆ ที่มีจมูกยาวยื่นออกมา  ถึงจะไม่เข้าใจว่ามันคือตัวอะไร  เนื่องจากว่าตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเห็นตัวพรรค์นี้มาก่อน  แต่นัตสึก็พอจะนึกออกได้ว่ามันช่างคลับคล้ายคลับคลากับ...ตุ๊กตาสโนว์แมน

     

                “ปุ้ง  ปุ้ง” เจ้าตัวเล็กนั่นส่งเสียงร้องออกมา  ขณะที่หัวมันก็สั่นไปด้วย 

     

                “หืมม์ ?” นัตสึเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ  ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปใกล้เจ้าตัวประหลาดนั่น  โดยมีแฮปปี้บินตามหลังมาติดๆ ด้วยความฉงนสงสัย 

     

                “ปุ  ปุ้ง”

     

                เจ้าสัตว์ประหลาดตัวน้อยเงยใบหน้าของมันขึ้นเมื่อเห็นว่ามีร่างสูงของใครบางคนหยุดยืนอยู่เบื้องหน้ามันในระยะชิดใกล้  มันเห็นเขาขมวดคิ้วสงสัย  ก่อนจะย่อตัวลงมาจ้องมองมันให้ชัดเจนยิ่งขึ้น  ทว่าเจ้าตัวน้อยก็ออกจะตื่นกลัวกับสายตาคู่นั้นไม่น้อย  มันกำลังจะหันตัวหนีไปทางอื่น  แต่กลับถูกมือหนาคว้าเข้าที่จมูกอันยื่นยาวของมันเสียก่อน “ปุ ปุ้งๆ”

     

                นัตสึไม่ได้สนใจเสียงร้องของเจ้าตัวเล็กนั่นสักเท่าไหร่  เขาหันมาบอกกับแฮปปี้ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น  “ดูนี่สิแฮปปี้  เจ้านี่มันร้องใหญ่เลยว่า ปล่อยนะๆน่ะ”

     

                “เอ๋!!” แฮปปี้มองอย่างไม่เข้าใจ  เขาไม่เห็นจะได้ยินอย่างเสียงร้องอย่างที่นัตสึว่าเลยสักนิด  ได้ยินแค่ปุ้งๆ “เราไม่เห็นจะได้ยินแบบนั้นเลยสักนิด”

     

                “จะไม่ได้ยินแบบนั้นได้ไงล่ะแฮปปี้  เจ้านี่ร้องดังจะตาย  อ้าว...เฮ้ย!!” ยังไม่ทันอธิบายให้แฮปปี้ได้เข้าใจ  นัตสึก็ต้องตกใจเมื่อมองเห็นว่าตอนนี้จมูกของเจ้าตัวเล็กสีขาวที่ยาวอยู่แล้วกำลังยืดยาวออกมากกว่าเดิม  “ดะ  ดูนี่สิแฮปปี้  จมูกเจ้านี่มันยืดได้ด้วยแหละ  เหมือนยางเลย”

     

                “นี่นัตสึ  เราว่าอย่าไปดึงจมูกตัวอะไรก็ไม่รู้แบบนั้นสิ  เกิดมันเป็นสัตว์ประหลาดขึ้นมา  เราจะซวยเอาได้นะ” แฮปปี้เอ่ยเตือน  เพราะตอนนี้เขารู้สึกกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก  หากแต่นัตสึก็หาฟังไม่  เขายังคงดึงจมูกของเจ้าตัวสีขาวให้ยาวยืดมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

     

                “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!” เสียงตวาดแว้ดดังมาแต่ไกล  พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่วิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ  นัตสึและแฮปปี้หันไปมองก็เห็นหญิงสาวผู้มีเรือนผมสีบลอนด์ประกายกำลังวิ่งเข้ามา  เพียงครู่เดียวเธอก็มาหยุดยืนหอบอยู่ต่อหน้าพวกเขา  นัตสึมองหน้าเจ้าหล่อนอย่างพิจารณา  แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยอะไร  เธอก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน “หยุดดึงจมูกพลูเดี๋ยวนี้นะ  ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย  ไม่รู้รึไงว่าพลูไม่ชอบให้ใครมาดึงจมูกเล่นน่ะ”  ไม่ว่าเปล่า  มือบางของเธอยื่นมาตีมือของนัตสึอย่างแรง  จนเขาต้องยอมปล่อยมือตัวเองออกจากจมูกของเจ้าตัวประหลาด  แล้วตอนนั้นเอง  ร่างบางก็อาศัยจังหวะนั้นอุ้มเจ้าตัวประหลาดขึ้นกอดไปไว้แนบอก  ก่อนจะต่อว่าเขาอีกคำรบ 

     

                “ถ้าฉันเห็นว่านายมาแกล้งพลูอีก  คราวหน้าฉันจะเอาคืนด้วยการถลกขนเจ้าแมวสีฟ้าตัวนั้นให้เกลี้ยงเลยคอยดู”  พูดจบเธอก็วิ่งหนีไปทันที  ไม่รอให้นัตสึหรือแฮปปี้ที่กำลังหน้าหวาดเสียวตอบอะไรกลับไปเลย

     

                “ยัยนั่นขี้โวยวายชะมัดเลย” นัตสึบ่นออกมาเสียงเบา  ก่อนจะยกหลังมือของตนเองขึ้นมาดู  มันปรากฏเป็นรอยแดงเถือกหลังจากที่ยัยผู้หญิงคนนั้นฟาดมือเขา  ซึ่งมันค่อนข้างเจ็บใช้ได้เลยทีเดียว “เจ็บเป็นบ้าเลยแฮะ”

     

                “ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้พูดจาโหดร้ายเป็นบ้าเลย” แฮปปี้ว่า  เขายังรู้สึกขนลุกไม่หายตั้งแต่ได้ฟังคำที่พูดว่าจะถลกขนของเขาให้หมดทั้งตัว

     

                “อืมมม” นัตสึตอบรับด้วยน้ำเสียงในลำคอ  เมื่อครู่นี้ถ้าเขาสังเกตไม่ผิด  เขาทันได้เห็นว่าหลังมือขาวบางคู่นั้นมีตราสัญลักษณ์สีชมพูประทับอยู่  ซึ่งมันเป็นตราสัญลักษณ์แบบเดียวกับที่ประทับอยู่บนต้นแขนขวาของเขา “อยู่แฟรี่เทลงั้นเหรอ...?”

     

                @@@@@@@@@@@

     

     

                ร่างบางเดินหายใจฮึดฮัดออกมาด้วยความไม่พอใจ  แม้จะเดินห่างออกมาไกลมากพอสมควรแล้วก็ตาม  แต่เธอกลับไม่รู้สึกใจเย็นขึ้นเลยสักนิด  ผู้ชายคนเมื่อครู่ไร้มารยาทเหลือเกิน  เขากล้าดีอย่างไรมาดึงจมูกสัตว์เลี้ยงของเธอได้  ขนาดเธอเองที่เลี้ยงพลูมาตั้งนานยังไม่เคยดึงจมูกของเจ้านี่เลยสักครั้ง 

     

                ใบหน้าหวานก้มลงมองสัตว์เลี้ยงของตัวเองที่ส่งเสียงร้องเบาๆ ด้วยแววตาสงสารจับใจ  แต่ก็แอบจะตลกไม่ได้เมื่อเห็นจมูกยืดยาวนั้นเหี่ยวเฉาไม่ตั้งตรง  “ไม่เป็นไรนะพลู  อีกไม่นานมันก็เป็นเหมือนเดิมแล้วล่ะ”

     

                “ปะ  ปุ้ง” เจ้าตัวเล็กร้องตอบ

     

                “หิวไหม?  ไปกินข้าวกันดีกว่า” เธอบอกกับสัตว์เลี้ยงของตนเอง  พลางจะหันเลี้ยวไปยังทางเดินที่จะนำไปสู่ห้องโถงใหญ่  ทว่ากลับต้องหยุดชะงักเมื่อพบว่าตอนนี้มีร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีดำอมน้ำเงินยืนขวางหน้าเธออยู่

     

                “เกรย์” เธอเอ่ยเรียกชื่อของเขา

     

                “ไง  เธอสามารถออกมาข้างนอกได้แล้วอย่างนั้นเหรอ?  ลูซี่” เกรย์ทักทายพลางเอ่ยถามในสิ่งที่เขาสงสัย  เพราะเขาได้ยินมาว่าคนตรงหน้าถูกสั่งกักบริเวณเป็นเวลา 3 วัน

     

                “ก็แน่ล่ะ  ครบ 3 วันแล้วนี่นา” ลูซี่ตอบ

     

                “ดีแล้วล่ะ  เพราะเอลซ่ามอบหน้าที่ให้เธอน่ะ” เกรย์ว่าพลางยกมือขึ้นเสยผมอย่างเซ็งๆ ก่อนจะพูดต่อเมื่อเห็นว่าอีกคนกำลังรอฟังอยู่ “...ดูแลเด็กใหม่”

     

                “ทำไมล่ะ?” ลูซี่ถามออกมาด้วยสีหน้าสงสัยสุดๆ  ลำพังยังเอาตัวเองไม่รอดเลย  จะให้เธอไปดูแลเด็กใหม่ได้อย่างไรกัน

     

                “มีปัญหารึไงลูซี่?” อยู่ดีๆ คนที่กำลังพูดถึงก็โผล่เข้ามา  ทำให้ทั้งเกรย์และลูซี่สะดุ้งตกใจ  ก่อนทั้งสองจะพร้อมใจหันไปมองเอลซ่าที่กำลังเดินเข้ามาหา “ว่าแต่เธอเถอะ  เกิดอะไรขึ้น  ทำไมถึงได้ถูกกักบริเวณได้ล่ะ ?”

     

                คำถามของเอลซ่าทำให้เกรย์หันมามองหน้าเธอด้วยความอยากรู้เช่นกัน  ซึ่งมันก็ทำให้ลูซี่รู้สึกลำบากใจที่จะต้องพูดออกมา  เพราะกลัวว่าจะมีพวกอาจารย์เดินเข้ามาได้ยิน  และหากเป็นอย่างนั้นล่ะก็...คราวนี้ไม่เพียงแค่เธอเท่านั้น  แต่เกรย์และเอลซ่าอาจจะโดนกักบริเวณไปด้วย “มันไม่ใช่เรื่องที่จะพูดในที่สาธารณะแบบนี้ได้หรอกนะ”

     

                “สำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ?” เอลซ่าเลิกคิ้วถาม

     

                “อื้ม” ร่างบางเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์พยักหน้าตอบ “ไม่อย่างนั้นฉันจะโดนทำโทษเหรอ?”

     

                “แต่ฉันได้ยินมาว่าเธอแค่ไปอ่านหนังสือในห้องสมุดเองนี่นา  แค่อ่านหนังสือน่ะ...มันถึงกับต้องโดนทำโทษเลยเหรอ?” หากแต่เอลซ่าก็ยังคงยิงคำถามกลับมา  แม้จะรู้ว่าเพื่อนลำบากใจที่จะตอบ  แต่เธออยากรู้นี่นา  ทำไงได้ล่ะ?

     

                ลูซี่กรอกตาไปมา  ก่อนจะถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้  แล้วบอกให้เพื่อนทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ๆ  พร้อมหันมองซ้ายขวาจนแน่ใจว่าบริเวณนี้ปลอดคน  เธอจึงมาเอ่ยกระซิบเสียงเบากับเพื่อน “หนังสือที่ฉันหยิบมาน่ะ  เป็นหนังสือของสภาเวทมนตร์  ซึ่งบันทึกเรื่องของหม้อไฟในตำนานที่สร้างขึ้นมาจากพลังของจอมเวทย์ดำ  คนที่คุณก็รู้ว่าใครนั่นแหละ  เขาสร้างมันขึ้นมาเพื่อเอาไว้ใช้เก็บสะสมพลังเวทย์ของตัวเอง  แล้วในอีกไม่นานเขาจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาและตามหามันอย่างแน่นอน  ดังนั้น...จะต้องมีใครสักคนตามหามันให้พบและรีบทำลายมันทิ้งก่อนที่จอมเวทย์ดำผู้นั้นจะพบมันและนำมันไปใช้สร้างหายนะให้กับโลกเวทมนตร์แห่งนี้”

     

                ได้ฟังถึงตรงนี้  ทั้งเอลซ่าและเกรย์ต่างก็ต้องเบิกตากว้าง  เพราะสิ่งที่ลูซี่ได้พูดออกมานั้นเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว  เพราะหากจอมเวทย์ดำฟื้นคืนชีพและตามหาเจ้าหม้อไฟในตำนานนั่นพบ  นั่นหมายความว่าจุดจบแห่งโลกเวทมนตร์จะต้องมาถึงอย่างแน่นอน

     

                “แน่ใจนะว่าที่พูดมาเป็นเรื่องจริง” เอลซ่าเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเพิ่งได้ฟังนัก

     

                “โธ่เอลซ่า  ถ้ามันเป็นเรื่องโกหก ฉันจะถูกอาจารย์ใหญ่ลงโทษเหรอ” ลูซี่พูดย้ำในเรื่องที่เธอถูกลงโทษเพราะไปได้ข้อมูลที่พูดให้เพื่อนฟังเมื่อครู่อีกครั้ง  เพื่อยืนยันให้เอลซ่ารู้ว่าเธอไม่ได้พูดเล่น

     

                “ถ้าอย่างนั้น  ทำไมทางโรงเรียนหรือแม้แต่สภาเวทมนตร์ถึงได้ปิดเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับล่ะ  ถ้าประกาศออกมาตามตรง  ทุกคนจะได้ช่วยกันตามหามันให้พบ  แบบนั้นไม่ง่ายกว่าเหรอ?” เกรย์ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด  แม้จะไม่น่าเชื่อ  แต่เขาคิดว่ามันก็คงจะเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน

     

                “อันผู้ใดมีมันไว้ในครอบครอง  ผู้นั้นจักยิ่งใหญ่คับแผ่นฟ้าและปฐพีหล้า  กลับกัน...พวกเขาก็จักดับดิ้นด้วยฤทธาของมัน” ริมฝีปากสีชมพูเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยความตึงเครียด

     

                เอลซ่าพิจารณาคำพูดนั้น  ก่อนจะเอ่ยสรุปตามความเข้าใจของตนเอง “อย่างนี้นี่เอง  ถ้าประกาศออกมา  ผู้คนจำนวนไม่น้อยอาจจะหลงใหลในพลังอำนาจของมันจนนำไปใช้ในทางที่ผิดสินะ”

     

                “แต่ถ้าไม่มีใครตามหา  แล้วจอมเวทย์ดำฟื้นขึ้นมาตามหามันพบก่อนล่ะ?” เกรย์ยังคงยิงคำถามกลับมา

     

                “ฉันคิดว่าอาจารย์ใหญ่กับพวกคณาจารย์ในโรงเรียน  และทางสภาเวทมนตร์น่าจะส่งคนออกตามหามันมาตลอดนั่นแหละ  ” ลูซี่ตอบคำถาม  เธอมีสีหน้ากังวลขึ้นมาทันทีเมื่อคิดถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้  “แต่สิ่งที่ฉันกังวลน่ะ...คือเรื่องการกำจัดหม้อไฟใบนั้นต่างหาก”

     

                .

                .

     

                ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก  นัตสึและแฮปปี้กำลังหลบอยู่ที่ซอกทางเดินหนึ่ง  พวกเขาจะกลับกิลด์ตั้งแต่ตอนที่แยกกับผู้หญิงผมบลอนด์คนนั้นแล้ว  แต่กลับหลงทางเสียได้  เพราะโรงเรียนเวทมนตร์ศาสตร์อะไรนี่ก็กว้างขวางและมีเส้นทางซับซ้อนเหลือเกิน  พอเดินมาถึงตรงนี้ก็มองเห็นผู้หญิงผมบลอนด์นั่นกำลังยืนคุยกับเกรย์และเอลซ่าอยู่ ตอนแรกก็คิดจะเดินเข้าไปทัก แต่พอเห็นว่าทั้งสามมีสีหน้าเคร่งเครียด  เขาจึงรีบหลบเข้าที่มุมทางเดินอย่างช่วยไม่ได้

     

                “ทำไมเราต้องหลบด้วยล่ะนัตสึ” แฮปปี้เอ่ยถามเบาๆ

     

                “เงียบก่อนแฮปปี้” นัตสึออกคำสั่งคู่หู  เขาเหลือบสายตามองไปทางทั้งสามคนที่ยังคงพูดคุยกันอยู่  ก่อนคิ้วเรียวจะขมวดมุ่นเมื่อได้ยินในสิ่งที่คาดไม่ถึง

     

                ...หม้อไฟในตำนานกับจอมเวทย์ดำอย่างนั้นเหรอ..? 

     

                อยู่ๆ นัตสึก็รู้สึกว่ารอยแผลเป็นที่คอของเขามันกำลังร้อนและปวดแปลบขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ  มือหนารีบกดรอยแผลเป็นนั่นไว้เพื่อให้มันช่วยบรรเทาอาการปวด “อึก”

     

                “เป็นอะไรไปนัตสึ?” แฮปปี้ร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นท่าทีของคู่หู  แต่นัตสึก็ทำเพียงยกมือห้ามและบอกว่าเขาไม่เป็นอะไร

     

                มือที่กดรอยแผลเอาไว้ค่อยๆ คลายออกเมื่อตอนนี้อาการปวดแสบหายไปแล้ว แม้จะสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าทำไมแผลเป็นถึงได้สร้างความเจ็บปวดให้เขาได้  แต่นัตสึก็ต้องสงสัยไปกับสิ่งอื่นมากกว่าเมื่อเขาได้ยินคำพูดของร่างบางเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์

     

                .

                .

     

                “การจะกำจัดหม้อไฟใบนั้น...จะต้องใช้ลมหายใจมังกรเพลิงของเด็กชายผู้รอดชีวิต”

     

                “หา!!” เอลซ่าและเกรย์ส่งเสียงดังออกมาอย่างตกใจสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่  ก่อนที่ทางชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวจะเอ่ยต่อ “แสดงว่าจะต้องให้นัตสึเป็นคนกำจัดมันอย่างนั้นเหรอ?”

     

                ลูซี่หันมามองหน้าเกรย์ “นัตสึ ?  ใครเหรอเกรย์”

     

                “ก็....” เกรย์กำลังจะอธิบาย  แต่ก็ต้องหยุดเสียงลงเมื่อได้ยินเสียงของบุคคลผู้ไม่ได้ถูกรับเชิญให้เข้าร่วมการสนทนาครั้งนี้ดังแทรกขึ้นมา

     

                “พูดถึงฉันอยู่อย่างนั้นเหรอ?”

     

                ทั้งสามหันขวับไปมองด้วยความตกใจ  ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าใครคนนั้นไม่ใช่พวกคณาจารย์  ไม่อย่างนั้นมีหวังทั้งสามอาจถูกสั่งทำโทษก็เป็นได้  หากแต่ลูซี่ก็ไม่ได้คลายความกังวลลงไปมากนิ่งเมื่อเห็นว่าคนที่โผล่มาคือชายไร้มารยาทที่บังอาจมากระทำการล่วงเกินพลูของเธอ “นาย...”

     

                เกรย์มองคนทั้งคู่อย่างสงสัย  เพราะทั้งสองคนทำราวกับว่าเคยพบกันมาแล้ว “เคยเจอกันแล้วงั้นเหรอ?”

     

                “ใช่  หมอนี่มาดึงจมูกของพลูน่ะ” ลูซี่ว่า  น้ำเสียงนั้นแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างไม่คิดปิดบัง

     

                หากแต่นัตสึก็ไม่ได้สนใจกับท่าทีเหล่านั้นของเธอ  เขาหันไปมองด้านหลังก็เห็นว่าตอนนี้แฮปปี้กำลังบินตามเข้ามา  เพราะเมื่อครู่ที่เขาได้ยินว่า ต้องใช้ลมหายใจมังกรเพลิงของเด็กชายผู้รอดชีวิตก็เกิดความอยากรู้จนต้องวิ่งออกมาถึงตรงนี้เพื่อจะถามทันที  จึงเผลอทิ้งแฮปปี้เอาไว้ตรงนั้น “โทษทีนะแฮปปี้  ที่ไม่ได้รอนาย” นัตสึโบกมือให้เจ้าแมวสีฟ้า  ก่อนจะหันกลับมามองหน้าทั้งสามคนที่กำลังจ้องเขาอยู่ตอนนี้ “ว่าแต่เมื่อกี้พวกนายพูดถึงฉันกันสินะ?”

     

                “ใครพูดถึงนาย?” ลูซี่ย้อนกลับอย่างไม่เข้าใจ “เราไม่ได้พูดอะไรถึงนายซักหน่อย  ว่าแต่นายนั่นแหละเป็นใครกัน  อยู่ดีๆ ก็โผล่พรวดเข้ามาแบบนี้  มันไร้มารยาทนะไม่รู้เหรอ?”

     

                “ใจเย็นก่อนลูซี่” เอลซ่าดึงเพื่อนสาวไว้  พลางรีบเอ่ยอธิบายก่อนที่ลูซี่จะพูดอะไรไปมากกว่านี้  หรือก่อนที่ฝ่ายนัตสึจะทนไม่ไหวแล้วโต้ตอบออกมา “นี่คือนัตสึ  ดรากูนีล  เด็กใหม่ของกิลด์แฟรี่เทล”

     

                “นัตสึ  ดรากูนีล” ลูซี่ทวนชื่อของอีกฝ่ายไปมาอย่างกำลังขบคิด  ก่อนมือบางจะยกขึ้นมาปิดปากของตนเอาไว้อย่างไม่อยากจะเชื่อ “เด็กชายผู้รอดชีวิตอย่างนั้นเหรอ?”

     

                ปกติแล้วนัตสึไม่ค่อยชอบใจนักหรอกที่ใครๆ ต่างก็พากันเรียกเขาว่า เด็กชายผู้รอดชีวิตแต่การที่ได้เห็นผู้หญิงขี้โวยวายตรงหน้ากำลังทำสีหน้าตกใจกับสิ่งที่เธอได้รับรู้  เขาจึงยิ้มกว้างพลางยักคิ้วให้เธอ “ใช่! ฉันเอง”

     

                “แล้วนายก็เป็นดราก้อนสเลเยอร์สินะ?” ลูซี่ยิงคำถามใส่อีกฝ่าย ซึ่งนัตสึก็ยักคิ้วให้เป็นการตอบรับ  นั่นจึงทำให้เธอหน้าซีดขึ้นมาเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้น...นายก็ได้ยินที่พวกฉันคุยกันทั้งหมดเลยสิ?”

     

                คราวนี้ไม่เพียงแค่ลูซี่เท่านั้น  แต่ทั้งเอลซ่าและเกรย์ต่างก็หน้าซีดขึ้นมาทั้งคู่  เพราะถ้านัตสึนำบทสนทนาของพวกเขาทั้งสามไปบอกให้คนอื่นรับรู้  มีหวังพวกเขาซวยแน่ๆ 

     

                “ก็ใช่น่ะสิ” นัตสึตอบโดยที่ไม่ได้รับรู้ถึงสายตากดดันของเอลซ่าที่ส่งมาเลยแม้แต่  เขายังคงถามพวกเธอด้วยคำถามเดิม “ว่าแต่ที่พูดก่อนหน้านี้มันหมายความว่ายังไงกัน?  ที่ว่าต้องใช้ลมหายใจมังกรเพลิงของ...” พูดยังไม่ทันจะจบประโยค  มือของเอลซ่าก็ยื่นมาปิดปากของนัตสึเอาไว้เสียก่อน  เธอจ้องหน้าเขาด้วยสายตาข่มขู่

     

                “ขืนนายพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาแม้แต่นิดเดียว  ชีวิตนายจบสิ้นแค่วันนี้แน่” น้ำเสียงเย็นๆ ถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากบางของเจ้าของมือที่ปิดปากเขาอยู่  ซึ่งนัตสึได้แต่ลอบกลืนน้ำลาย  เพราะรู้สึกได้ว่าสายตาที่จ้องมองมา...มันสามารถฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ “เข้าใจไหม?”

     

                “ค...ครับ” พยักหน้ารับรัวเร็วอย่างเข้าใจ  เอลซ่าจึงยอมปล่อยมือออก 

     

                “เข้าใจง่ายๆ แบบนี้ก็ดี” เอลซ่าว่า  แล้วหันมาหาเพื่อนอีกสองคน “ฉันว่าพวกเรากลับไปที่กิลด์กันเถอะ  มีเรื่องที่จะต้องให้พวกนายไปทำกับเด็กใหม่น่ะ”

     

                ทั้งสามตอบตกลงทันทีเพราะยังนึกกลัวกับแววตาเมื่อครู่ของเอลซ่าอยู่  ก่อนจะเดินตามเอลซ่าที่ตอนนี้ออกเดินนำหน้าพวกเขาไปแล้ว

     

                @@@@@@@@@@@

     

               

                ณ กิลด์แฟรี่เทล

     

                เอลซ่าประกาศเรียกให้พี่เลี้ยงเด็กใหม่  ทีมชาโดว์เกีย  และเด็กใหม่ทั้ง 5 คน มาพบกันที่ห้องโถงนั่งเล่นของกิลด์  นัตสึที่มาพร้อมกับพวกเธอจึงเดินไปนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่ง  ก่อนจะตามมาด้วยเวนดี้  โรเมโอ แม็กซ์  และกาซิลที่เดินตามมาเป็นคนสุดท้ายด้วยสภาพที่บ่งบอกได้ว่าเขาเพิ่งจะตื่น  (ซึ่งก็คงจะหนีไปนอนต่อตอนที่ปล่อยให้พักผ่อนตามอัธยาศัยสินะ)

     

                “เรียกมาอีกแล้ว  มีอะไรงั้นเหรอ?” กาซิลเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย  ทำให้เอลซ่าหันขวับมามองด้วยแววตาคมกริบราวกับจะบาดผิวของเขาได้   ซึ่งกาซิลก็รีบหลบตาเธอทันที

     

                เอลซ่ายิ้มให้เด็กใหม่ทั้งห้า  ก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวพี่เลี้ยงเด็กใหม่ที่ไม่ได้มาทำความรู้จักกับทำคนอย่างลูซี่ “นี่คือลูซี่  พี่เลี้ยงเด็กใหม่อีกคน”

     

                “สวัสดีนะทุกคน  ฉันชื่อลูซี่  ฮาร์ทฟิเลีย”  ร่างบางเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ประกายเอ่ยด้วยรอยยิ้มและสายตาที่เป็นประกายดั่งเส้นผมของเธอ “ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะ”

     

                “คร้าบบบ” โรเมโอยิ้มรับตามประสาของเขา  ส่วนแม็กซ์เองก็ยิ้มแบบเพ้อฝันให้กับลูซี่ 

     

                “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณลูซี่” เวนดี้เด็กผู้มีมารยาทก็เอ่ยทักเธอตอบ  ส่วนกาซิลกับนัตสึนั้น  คนแรกก็แค่มองเธอเท่านั้นก่อนจะหันไปสนใจกับอย่างอื่น  แต่ฝ่ายคนหลัง...กลับเอาแต่จ้องเธออย่างสงสัย

     

                 เมื่อเห็นว่าแนะนำตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว  เจ้าของเรือนผมสีสการ์เล็ตเดินเข้ามาใกล้โต๊ะที่เด็กใหม่กำลังนั่งอยู่  หากแต่สายตาของเธอกลับมองไปที่พวกพี่เลี้ยงของเด็กใหม่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลกันมากนัก “ฉันจะให้พวกนายรับผิดชอบพาเด็กใหม่ไปทำภารกิจ  โดยที่ฉันได้จับคู่ให้แล้ว  คือ ลูซี่ – นัตสึ  กาซิล – เลวี่  เกรย์ – เวนดี้  เจ็ต – โรเมโอ  และคู่สุดท้าย  ดรอย – แม็กซ์”

     

                “เอ๋!!??”  พี่เลี้ยงเด็กใหม่ทั้งสองสาวอย่างลูซี่และเลวี่ร้องเสียงหลงทันทีเมื่อได้ฟังคำประกาศของเอลซ่า  ทั้งสองสาวรีบเดินเข้ามาพูดคุยกับเอลซ่าทันทีว่าพวกเธออยากจะไปกับเวนดี้หรือโรเมโอมากกว่า  เพราะการที่ให้เธอไปกับนัตสึหรือกาซิล  มันออกจะน่ากลัวเกินไปสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ บอบบางแบบพวกเธอ  อีกอย่างฝ่ายลูซี่เองก็ไม่ค่อยจะชอบหน้านัตสึสักเท่าไหร่นัก  พวกเธอคิดว่าให้เกรย์ไปกับสองคนนั้นจะไม่เป็นการดีกว่าอย่างนั้นหรือ

     

                “ฟังนะ...การที่ฉันไม่ให้เกรย์ไปกับนัตสึหรือกาซิล  ก็เพราะฉันเห็นว่ามันจะต้องมีปัญหายุ่งยากตามมาทีหลังแน่ๆ  เพราะอย่างนั้นเลยส่งให้เกรย์ไปกับเด็กผู้หญิงแทน  ส่วนเจ็ตกับดรอยก็ท่าทางจะเอาเจ้าสองคนนั้นไม่อยู่  ดีไม่ดีจะสร้างปัญหาเอาได้เหมือนกัน” เอลซ่าให้เหตุผล “เพราะฉะนั้น...ฉันได้เลือกเธอทั้งสองคนให้ไปกับนัตสึและกาซิลยังไงล่ะ  เพราะฉันคิดว่าพวกเธอน่าจะแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้  เธอสองคนฉลาดและรู้จักรับมือกับปัญหาอยู่แล้วนี่”

     

                “ก็พอจะเข้าใจอยู่นะ  ถ้าอย่างนั้น...ขอสลับคู่กับเลวี่จังได้ไหม?” ลูซี่ขอร้องอีกครั้ง  แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับมีเพียงแค่แววตาดุดัน  ซึ่งก็ทำให้ลูซี่ต้องพยักหน้ารับอย่างจำยอม  พลางคิดไปว่าการที่เอลซ่าจับคู่เธอกับนัตสึ  คงจะต้องมีเหตุผลบางอย่างให้เธอจัดการแน่ๆ  และก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องเมื่อตอนก่อนหน้านี้  “...เข้าใจแล้ว”

     

                “ดีมาก” เอลซ่ายิ้มกว้าง  แล้วจึงหยิบกระดาษภารกิจออกมาวางไว้บนโต๊ะของเด็กใหม่ “นี่เป็นใบภารกิจ  ซึ่งทั้ง 5 ใบนี้เป็นภารกิจตามหาของหายเหมือนกันหมด  จะต่างกันก็แค่สถานที่เท่านั้น  พวกนายจงไปตามที่อยู่ของผู้ว่าจ้างและทำภารกิจให้สำเร็จซะ  อย่าลืมล่ะว่าตอนนี้พวกนายคือแฟรี่เทลแล้ว  อย่าทำให้กิลด์เสียชื่อซะล่ะ” เอลซ่าว่าพลางส่งรอยยิ้มท้าทายให้กับพวกเด็กใหม่

     

                “ได้เลย” นัตสึว่าพร้อมคว้าใบภารกิจมาหนึ่งใบ  แม้จะน่าเบื่ออยู่ไม่น้อยที่จะต้องไปตามหาของหาย  แต่เขาก็ไม่คิดจะยอมแพ้รอยยิ้มท้าทายของเอลซ่านั่นหรอก  ทำให้คนอื่นๆ คว้าใบภารกิจตามคนละหนึ่งใบเช่นกัน

     

                “ถ้างั้นก็ไปทำภารกิจกันได้เลย”

     




     

    -TBC-



     

    ถึงจะชื่อตอนหางแห่งภููติพราย แต่ก็ดูไม่ค่อยเกี่ยวเท่าไหร่เลยแฮะ
    แถมตอนนี้ดูเรียบๆ ซะด้วย เอาเป็นว่าพบกับการทำภารกิจครั้งแรกของนัตสึในตอนหน้ากันนะ บายย


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×