คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Part I : ผู้เฝ้ามอง : CH4 : ห้วงอันผ่านเลย
Part I : ผู้เฝ้ามอง : CH4 : ห้วงอันผ่านเลย
หลังจากนั้น พวกเขาสองคนก็บอกบุพการีของพวกตนว่าจะแต่งงานกัน จะอยู่ด้วยกันในหมู่บ้านแห่งนี้ ซึ่งก็ไม่มีใครคัดค้านแต่อย่างใด เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นพิสูจน์แล้วว่าทั้งสองคนรักกันและให้เกียรติกันมากเพียงใด และแม้แต่พ่อของหยิงสาวที่ไร้อัธยาศัย ก็ยังต้องยิ้มบางๆ อย่างสุขใจที่ลูกสาวของตนกำลังจะได้สามีที่ดี
ไม่นานนัก ข่าวลือเรื่องนี้ก็แพร่ไปทั่วหมู่บ้านเล็กๆ ของพวกเขา พร้อมการแสดงความยินดีของผู้คนที่รักชายหนุ่มและหญิงสาว พวกเขาถามกันว่าจะแต่งวันไหน ให้ข้าทำนายฤกษ์ไหม จะจัดงานเช่นไร ข้าจะมาช่วย และคำถามอีกมากมายที่เกี่ยวกับงานแต่งงานของพวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขาหัวเราะด้วยความขวยเขิน ทว่ายิ้มด้วยความสุขใจ
นั่นเป็นช่วงเวลาที่ความสุขสันต์ครอบคลุมไปทั่วทั้งหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้น ยกเว้นแต่ตัวผมเอง
ถึงอย่างนั้น…ผมก็พยายามหลอกตัวเอง หลอกตัวเองว่าถ้าเขามีความสุข ผมเองก็มีความสุข…เพราะว่าเขาเป็นสิ่งสำคัญของผม เพราะว่าผมเกิดมาเพื่อเขา
แต่จริงๆ แล้ว..ผมถามตัวเองมาตลอด ผมเกิดมาเพื่อเขา..แต่เพื่อทำอะไรกันแน่?
เพื่อคอยตามติดอย่างไร้ค่า เพื่อคอยหลงใหลโดยที่เขาไม่รู้แบบนี้หรือ?
เพื่อรอคอยวันที่จะสัมผัสเขาอย่างนั้นหรือ? ..แค่เท่านั้น…ทั้งที่เขาอาจรังเกียจและไม่ต้องการอย่างนั้นหรือ?
ความคิดนั้นเพิ่มพูนขึ้นทุกวินาทีที่เวลาผ่านไป กระทั่งสุดท้ายความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในความคิดของผม
‘ถ้าอย่างนั้น..ให้ผมสลายหายไปไม่ดีกว่าหรือ…
…ในเมื่อผมแสนไร้ค่าเช่นนี้..ในเมื่อผมอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่ต่างกัน…ไม่ใช่หรือ…แล้วจะให้ผมอยู่ข้างๆ เขาไปทำไมกันนะ’
เสียงของผมที่หลุดจากริมฝีปากนั้นสั่นไหวและแผ่วเบา ว้าเหว่และอ่อนไหว ดูคล้ายกับจะลอยหายไปในสายลมโดยไร้ผู้ใดได้ยิน
แต่ในเมื่อสิ่งนั้นไม่มีวันเป็นไปได้ ผมจึงได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกนั้นไว้ในใจ
ดวงตาของผมมองไปที่ชายหนุ่มคนสำคัญของผม…กับหญิงสาวคนสำคัญของเขาซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่รายล้อมพวกเขา รอยยิ้มของผมยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เสียงของผมจะดังขึ้นอีกครั้ง
‘ผมขอให้พวกเธอมีความสุขนะ..ขอให้ได้อยู่ด้วยกันตลอดไป…นะ’
ผมพูดออกไปอย่างงนั้น ทว่าด้วยน้ำเสียงที่โศกเศร้า ไร้ด้วยร่องรอยของความยินดี
แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็คิดแบบนั้นจริงๆ
พยายาม…จะคิดแบบนั้นจริงๆ
++++++++++++++++
.
.
.
ทว่า…ดูเหมือนคำขอนั้นจะไม่เป็นความจริง
..หรือบางที คำขอที่ถูกตอบสนอง อาจเป็นความคิดสกปรกที่ซ่อนอยู่ข้างใน
คำพูดที่ผมปฏิเสธจะยอมรับมัน
.
.
.
ในตอนนั้น ประเทศของเขากำลังเปิดศึกกับนครข้างเคียง ชายหนุ่มในวัยฉกรรจ์ไม่ว่าจะจากแห่งหนใดต่างถูกเกณฑ์ไปเข้ารบเว้นแม้แต่เขา ดังนั้นทั้งที่ยังไม่ได้จัดงานแต่งงาน แต่เขาก็จำเป็นต้องยกเลิกความคิดนั้นเพื่อเตรียมตัวออกรบ
ในวันนั้น ทั่วทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยความโศกเศร้า บิดามารดาต่างกอดลูกชายพร่ำร้องไห้ ภรรยาจับมือสามีและขอให้รอดปลอดภัย ส่วนเหล่าชายหนุ่มผู้ออกรบก็ฝากฝังทุกสิ่งไว้กับคนที่เหลืออยู่ในหมู่บ้าน…เพราะการรบครั้งนีไม่มีอะไรรับประกันว่าจะได้กลับคืนมา
ผมยืนมองพวกเขาที่อยู่ในบรรยากาศโศกเศร้า มองใบหน้าของชายหนุ่มคนสำคัญของผมที่ฝืนยิ้ม…บอกคนรักของเขาว่าไม่เป็นไร ซักวันเขาจะกลับมา จะกลับมาแต่งงานและมอบแหวนที่สวยที่สุดให้ และหญิงสาวก็บอกเขาว่าจะรอ...จะรอจนกว่าเขาจะกลับมา จะไม่รักหรือยอมรับใครนอกจากเขาเด็ดขาด
หลัวจากนั้น…เขาก็ออกสู่สนามรบพร้อมสหายในหมู่บ้านของเขา แน่นอนว่ามีผมร่วมไปด้วย
ทว่า…ในฐานะเดิม
เพียงคอยอยู่เคียงข้างเขาอย่างไร้ตัวตนเท่านั้น….
+++++++++++++++++++++++
สงครามเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่าที่ผมคิด
ที่นั่นไม่มีคำว่าความหวัง ไม่มีผู้ชนะหรือผู้แพ้ มันมีแต่ความสูญเสีย ความโหยหา และความเหนื่อยล้าที่ไร้จุดสิ้นสุด
มีหลายคนในนั้นบอกว่าสงครามจะนำพาความรุ่งโรจน์มาให้ บอกว่าทหารที่ยืนอยู่ตรงนี้ทุกคนคือความหวัง บอกว่าการตายในสงครามคือเกียรติยศ คือการเสียสละเพื่อคนที่เขาปกป้อง
แต่สำหรับผมแล้ว สงครามเป็นแค่การพุ่งชนของคนเห็นแก่ตัวสองกลุ่มที่มีความเห็นไม่ตรงกัน และสิ่งที่ตามมาคือความสูญเสียและรอยแผลที่จารลึกลงในตัวผู้ที่ผ่านพ้นมันไป
สงครามยืดเยื้อ..เพราะทหารของฝ่ายตรงข้ามเก่งกาจเกินไป พวกเขามีคนน้อย ทว่ามีประสิทธิภาพ ในขณะที่ทหารเกือบครึ่งของประเทศฝ่ายนี้ก็เป็นแค่คนธรรมดาที่ถูกเกณฑ์มารบ..ไหนเล่าจะสู้ทหารกล้าที่ฝึกฝนมาทั้งชีวิตเพื่อสู้รบได้
กองทัพที่มีแต่พลเรือนต้องบุกฝ่าเข้าไปในป่าด้วยสภาพที่อาหารเริ่มร่อยหรอลงทุกที ความตึงเครียดแผ่ขยายจากคนหนึ่งไปคนหนึ่งจนสุดท้ายทหารก็ลุกขึ้นมาสู้กันเอง แม้สุดท้ายจะมีผู้ที่ยังคุมสติตัวเองได้ลุกขึ้นมาห้ามก็ตาม
…แต่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพราะหลังจากนั้น บรรยากาศอบอุ่นแสนสงบจากคนคนหนึ่งก็เข้าครอบคลุมคนทั้งหน่วยในวันต่อมา
ใช่..เขานั่นเอง
ชายหนุ่มคนสำคัญของผมเป็นทหารหนึ่งในนั้น เขาพยายามยิ้มและเอ่ยถึงสิ่งต่างๆ อย่างมีความหวัง เช่นบอกว่าจบสงครามตนจะกลับไปเป็นช่างแกะสลักและแต่งงานซักที ซึ่งคำพูดของเขาก็ทำให้เพื่อนทหารรู้สึกสนใจ ก่อนที่ต่างฝ่ายจะเล่าถึงที่มาและอดีตของตน รวมทั้งความต้องการที่อยากให้เป็นไปเมื่อถึงบ้าน ซึ่งบางครั้งเรื่องนั้นก็กลายเป็นความหวังที่ซึบซาบลงจิตใจ บางครั้งเป็นเรื่องขบขันที่ทำให้หัวใจที่หนักอึ้งเบาโหวง และเมื่อบทสนทนาดำเนินต่อไป ก็ก่อเกิดเป็นบรรยากาศที่แสนสนุกสนานครื้นเครงขึ้นมา
โดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง
++++++++++++++++++++++++
ความหวังวูบไหวเหมือนเปลวเทียว ประเดี๋ยวดับ ประเดี๋ยวโชติช่วง
พวกเขายังคงทำสงครามต่อไป คนต่อคน หน่วยต่อหน่วย ประเทศต่อประเทศ โรมรันยืดเยื้อไร้จุดสิ้นสุด
ไฟสงครามยิ่งทวีความร้นอแรง จากการโรมรันในป่าสู่ทุ่งร้าง…สถานที่ซึ่งทหารแต่ละหน่วยต่างมารวมกันเพื่อฆ่าฟันศัตรูของตน
ผมอยู่ในสถานที่แห่งนั้นด้วย ที่ซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและเสียงฟาดฟัน ทว่าโดยไร้บาดแผล
เพราะไม่มีใครสามารถสัมผัสผมได้ ไม่มีใครสามารถมองเห็นผมได้ ผมจึงเป็นเช่นอากาศธาตุที่เฝ้าดูโดยไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ แม้ใจปรารถนาเหลือเกินก็ตาม
ทหารหลายนายถูกฟันจนสิ้นชีวิต ร่วงหล่นลงกับพื้นราวกับดอกไม้ที่ถูกเด็ด และทับถมกันสูงขึ้นให้ผู้อื่นเหยียบย่ำผ่านไป เพื่อสงครามไม่รู้ว่ามีขึ้นเพื่ออะไร…
เพราะสิ่งเดียวที่เหล่าทหารคิด คือการรอดชีวิต
หลายคนในนั้นเริ่มสิ้นสติ ถือดาบเข้าทำร้ายศัตรูอย่างไร้ความคิดจนสุดท้ายก็ต้องตาย บางคนไม่อาจทนเห็นภาพเพื่อนร่วมทางที่ตายต่อหน้าต่อตาได้ สุดท้ายก็ปลิดชีวิตตนด้วยน้ำมือตัวเอง
สิ่งเหล่านั้นทำให้กำลังใจของทหารลดถอย เหนื่อยล้า และเบื่อหน่าย จริงอยู่…ชายหนุ่มคนสำคัญของผมมีส่วนช่วยทำให้เหล่าทหารมีความหวังและใจเย็นลง แต่ได้เพียงส่วนน้อยที่อยู่กับเขา สุดท้ายเมื่อหน่วยอื่นต่างแตกคอกัน หมดสิ้นซึ่งแรงและกำลังใจที่จะรบ ความสามัคคีก็แตกยับ และทำให้ประเทศฝ่ายศัตรูเอาชนะสงครามนี้ได้ในพริบตา
ใช่…เราแพ้
แพ้ให้สงครามที่เราก่อขึ้นเอง
พวกเขาจับทหารที่เหลืออยู่ของเราเป็นเชลย แน่นอนว่ารวมถึงชายหนุ่มคนสำคัญของผมด้วย ความเป็นอยู่ของพวกเขาไม่ดีนัก..เพราะไม่มีประเทศไหนจะรองรับเชลยเหมือนรองรับแขกของตน ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ชีวิตกันอย่างลำบากลำบน ผมยืนมองเขาด้วยความสงสารจับใจ ปรารถนาจะดึงรั้งเขากลับหมู่บ้านให้เร็วที่สุด เพราะตลอดเวลาที่อยู่ที่นี้ รอยยิ้มได้หายไปจากใบหน้าของเขาโดยที่มไม่อาจทำอะไรได้
ผมเกลียดสงคราม..ไม่ได้เกลียดเพราะมีแต่คนตาย ไม่ได้เกลียดเพราะมันไร้สาระ รวมทั้งไม่ได้เกลียดมันเพราะท้ายที่สุดเราก็แพ้ด้วย
ผมแค่เกลียดเพราะมันพรากรอยยิ้มของเขาไป ..แค่เท่านั้นเอง
+++++++++++++++
เวลาเดินผ่านไปเหมือนทรายที่ร่วงหล่นไหลผ่านฝ่ามือ
กี่เดือน กี่ปี ผมก็ไม่แน่ใจนัก กับช่วงเวลาสั้นๆ ในช่วงชีวิตของเขาและผมที่ถูกขังอยู่ในคุกของประเทศฝ่ายศัตรู
อันที่จริง…จะเรียกว่าคุกก็ไม่ถนัดนัก มันเป็นแค่พื้นที่เล็กๆ ที่ล้อมด้วยกำแพงสูงสำหรับให้ทหารเชลยอาศัยอยู่ ทหารฝ่ายศัตรูไม่ได้เลวร้ายมากนัก พวกเขาเพียงคุมตัวเขาคนนั้นและเหล่าทหารของเราไว้ ไม่ได้ทำร้ายเฆี่ยนตีหรอทรมาน ทว่าไม่ได้รับรองอย่างดี ซึ่งอันที่จริงก็ถือว่ากรุณามากแล้ว
การดำเนินชีวิตประจำวันของผมลำบากขึ้นกว่าเก่า จริงอยู่ ผมไม่จำเป็นต้องดื่มกิน นอน หรือขับถ่าย แต่สถานที่นอนซึ่งเป็นเพียงพื้นที่กว้างที่มีหลังคากำบังนั้น ก็ทำให้ผมซ่อนตัวจากเขาได้ลำบากพอสมควร
แต่ก็ดูเหมือนว่าการมองเห็นผมเพียงแค่ครั้งสองครั้งจะไม่เป็นผลให้เค้าระลึกหรือจดจำผมได้ ที่นั่นมีทหารเชลยเป็นจำนวนมาก มีทั้งที่เขารู้จักและไม่รู้จัก บางทีในวินาทีที่เขาเห็นผม…สำหรับเขาผมคงเป็นแค่เพื่อนทหารที่ไม่รู้จักกันเท่านั้น
..แค่คนไม่รู้จักกัน..
ในระหว่างที่ถูกกันไว้ในพื้นที่เล็กๆ นั้น ก็มีข่าวแว่วกันมาว่าพวกเขาเรียกร้องขอค่าเสียหายกับประเทศของเรา และจับทหารไว้เป็นตัวประกัน..ไม่มีใครคิดว่าเรื่องนี้จะสำเร็จ ทหารทุกคนในที่แห่งนี้เกือบจะมีเพียงเหล่าพลเรือน ไม่มีพระราชาที่ไหนจะเห็นว่าสำคัญพอหรอก เพราะหากเห็นว่าแสนสำคัญ จะบังคับให้คนที่ไม่เป็นวิชาการสู้รบออกสู้รบไปเช่นนี้หรือ?
ข่าวคราวนั้นไม่ชัดเจน เป็นเพียงข่าวลือที่ทหารเชลยได้ยินจากปากของทหารซึ่งเข้ามาดูแลพวกเรา ข่าวนั้นบ้างว่าพระราชายิยอมจ่ายค่าเสียหายแลกกับพวกเรา บ้างว่าเขาทอดทิ้งเราและไม่ตอบกลับมา งก็ว่าพระราชาตอบกลับมา..ทว่าบอกเพียงทหารเหล่านั้นไม่สำคัญ จะฆ่าทิ้งหรือทำเช่นไรก็เชิญ
ข่าวลือเหล่านั้นให้ทั้งความหวังและความสิ้นหวัง กระทั่งเมื่อถึงจุดหนึ่ง ทหารเชลยบางคนก็เริ่มเหนื่อยล้าที่จะรอ พวกเขาบางคนเลือกจะฆ่าตัวตายเช่นที่หลายคนเคยทำเมื่อครั้งอยู่ในสงคราม บางคนทะเลาะต่อยตีกับเชลยด้วยกันเอง
..ทว่าบางคนเลิกเฝ้ารออย่างท้อแท้ แล้วลุกขึ้นมาทำอะไรที่คนอื่นไม่คิดจะทำ
เช้าวันหนึ่ง ชายหนุ่มคนสำคัญของผมเดินไปหาผู้คุม เขาขอมีดสั้นกับไม้จากคนผู้นั้น แรกเริ่มเดิมทีทหารคนนั้นไม่ยอม เพราะไม่รู้ว่าชายหนุ่มจะฆ่าตัวตายหรือนำไปทำร้ายใครหรือไม่ ทว่าชายหนุ่มยืนยันด้วยน้ำเสียงและดวงตาอันมั่นคง ผู้คุมคนนั้นซึ่งทหารทุกคนรู้กันว่าใจอ่อนเพียงใดจึงนำมีดกับไม้มาให้แม้ไม่รู้จุดประสงค์นั้น
แต่ในตอนนั้นผมรู้แล้วว่าเขาต้องการทำอะไร รู้แล้วว่าเหตุใดเขาจึงขอสิ่งนั้นมาในเวลาเช่นนี้
ตอนนั้นเองที่ผมยิ้ม แล้วเฝ้ามองเขาอย่างกระตือรือร้น
ตอนนั้นเอง ที่เขายิ้มด้วยดวงตาเป็นประกาย เหม่อมองสิ่งที่ตนห่างเหินมานาน
ตอนนั้นเอง เขานั่งลงกับพื้น ใช้มีดฝานลงบนเนื้อไม้ ตอนแรกทุกคนต่างเพียงสงสัยว่าชายหนุ่มต้องากรทำอะไร ว่าเมื่อเลาผ่านไป พวกเขาก็เริ่มเห็นรูปร่างของมัน
[เจ้ากำลังแกะสลักอะไรอยู่หรือ?]
ทหารเชลยคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย ในขณะที่ผู้คนเริ่มล้อมรอบตัวเขามากขึ้นทุกที ผู้คุมหลายคนในนั้นตะโกนกร้าวให้พวกเขากระจายตัวออกไป ทว่าพวกเขาหลายคนเช่นกันตะโกนตอกกลับ..นี่เวลาพักไม่ใช่หรือ ให้ได้ทำอะไรตามใจบ้างเถิด
..ให้ได้สบายใจบ้างเถิด
ชายหนุ่มคนสำคัญของผมยิ้ม ตอบกลับไปโดยไม่สนสรรพเสียงโวยวายรอบกาย
[ข้ากำลังแกะสลักกระรอกน่ะ..จริงๆ แล้วก็อยากจะทำอย่างอื่น แต่ไม่มีอุปกรณ์มากพอ]
หลังจากนั้น เวลาก็ผ่านไป ผ่านไป แล้วตุ๊กตาไม้รูปกระรอกหยาบๆ ก็ปรากฏขึ้นในมือของชายหนุ่ม พร้อมเสียงร้องครางในลำคออย่างประหลาดใจ
หลังจากนั้น หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็กลายเป็นจุดศูนย์กลางของผู้คนอีกครั้ง
ทหารเชลยทุกคนเริ่มรู้จักเขา เริ่มพูดคุยกัน เริ่มมีความหวังผุดขึ้นพื้นที่แห้งผากอันแสนอึดอัดในดินแดนศัตรู พวกเขาเริ่มหัวเราะให้กัน เริ่มมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น ข่าวคราวหนาหูทั้งดีและร้ายยังคงดังเข้าหูแต่หลายคนในนั้นเริ่มเลือกที่จะไม่ใส่ใจ
เวลาผ่านไป ผ่านไป อาจเป็นปีหรือเพียงไม่กี่เดือน..ทว่านานพอให้รู้สึกว่าช่วงเวลานั้นเป็นอีกช่วงเวลาในชีวิตที่น่าพึงใจ
พวกเขาก็ถูกปล่อยตัวออกมา
ความคิดเห็น