คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : กวินฟ้า4
ศึกเทพอสูรมหาสงคราม ภาคพิเศษ ๑
ภาคงานแต่งของกวินฟ้า ๔
“เจ้าพวกบ้า บังอาจนัก กล้าทำเช่นนี้กับข้าเชียวหรือ? หึ่มมมมม”
พระโอรส จากต่างเมือง แทบจะกินเลือดกินเนื้อคนทั้งสี่
“ซวบบบบ”
กวินฟ้ามิได้สนใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทานอาหารที่อยู่ตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย
“หนอย...ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาเลยหรือไง ดีล่ะเห็นทีว่าวันนี้ข้าจะต้องสั่งสอนพวกเจ้าให้รู้สำนึกบ้างเสียแล้ว”
เจ้าชายเกเรเหวี่ยงหมัดเข้าไปที่ใบหน้าของนาคลมอย่างแรงหากแต่ทว่า...
“หมับบบบ”
“โอ๊ยยยยยยยยยยยยย”
ก่อนที่หมัดจะถูกตัวของ กวินฟ้า หมัดของอีกฝ่ายกลับถูกนิลจับเอาไว้อย่างเหนียวแน่นที่สำคัญยังเพิ่มแรงบีบเข้าไปยังผลให้ชายหนุ่มร่างสูงต้องคุกเข่าลงไปด้วยความเจ็บปวดอย่างช่วยไม่ได้
“โอ๊ยยยย ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ เจ้าไพร่ชั้นต่ำ เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงบังอาจทำร้ายข้า.....”
ยังไม่ทันจบประโยคดี มุก ที่นั่งฟังอยู่นานก็ประเคนเท้าเข้าให้เต็มปาก
“ผลัวะ”
“อ๊อคคคค”
เจ้าชายเซถลาไปทางด้านหลังก่อนที่จะล้มคะมำไปกับพื้นทั้งยังกวาดข้าวของที่วางอยู่ล้มระเนระนาดตามลงไปด้วย ส่วนที่มุมปากมีเลือดไหลย้อยออกมาเป็นทาง
“โครมมมมมมมมมม”
“โอ๊ยยยย....ตายแล้ว ร้านข้าพังแน่ๆ”
เสียงของเจ้าของร้านที่หลบอยู่อีกด้านหนึ่งพร้อมกับลูกจ้างสามสี่คนดังขึ้น ไม่คิดว่าวันนี้เขาจะดวงซวยถึงขนาดนี้เปิดร้านยังไม่ถึงครึ่งวันดีก็มีคนทำท่าจะทะเลาะวิวาทกันเสียแล้ว
“อย่าคิดแม้แต่จะแตะต้องคุณชายของพวกข้า ไม่เช่นนั้นเจ้าไม่ได้ตายดีแน่”
“เจ้าพวกบ้า วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะรอดมือข้าไปได้เลย ย๊ากกกกกกกก”
เจ้าของเสียงเอามือปาดเลือดที่ไหลออกมาก่อนเตรียมจะกระโจนเข้าใส่กลุ่มของกวินฟ้าอีกครั้งหมายเอาคืนให้ได้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ รณวงศ์”
เสียงอันทรงพลังของใครคนหนึ่งร้องห้ามอยู่ทางเบื้องหลัง
“หืมมมมมม
.”
เสียงของคนผู้นี้ทำเอาทั้งห้าคนต้องหันไปมองดู
“....อ๋อ.....นึกว่าใครที่ไหนที่แท้ก็เจ้าเองหรอกหรือเจ้าชายทรงกลด เจ้ามาห้ามข้าเอาไว้ทำไม นี้มันเรื่องของข้าไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
เจ้าชายรณวงศ์รู้สึกขัดใจไม่น้อยที่จู่ๆมีคนเข้ามาขวางทางโดยเฉพาะคนผู้นั้นเป็นหนึ่งในบรรดาคู่แข่งของตนเองด้วย
“ถึงจะเป็นเรื่องของเจ้าก็จริง แต่การที่จะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับผู้อื่นในที่สาธารณะเช่นนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่บังควรสำหรับเชื้อสายกษัตริย์เช่นเรา”
“แต่คนพวกนี้มันลบหลู่ข้า ข้าจะต้องสั่งสอนพวกมันให้รู้สึกนึก”
“ฮะๆๆ น่าขำ คิดจะสั่งสอนพวกข้าอย่างนั้นหรือ ดูสภาพตัวเองก่อนดีกว่ามัง ขนาดพวกข้ายั้งมือเอาไว้เจ้าชายอย่างท่านยังย่ำแย่ถึงเพียงนี้ หากเอาจริงท่านมิร่อแร่ปางตายหรอกหรือ?”
มุกกล่าวเยาะหยันอย่างไม่สะทกสะท้าน
“....เจ้า......เจ้าคิดว่าตัวเองแน่นักใช่ไหม.....ได้วันนี้ไม่ใช่เจ้าก็ข้าที่ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง........”
รณวงศ์ โมโหโกรธาเป็นยิ่งนัก ถึงกับเอามือชี้หน้าฝ่ายตรงข้าม ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครหยามเกียรติเขาถึงเพียงนี้
“รณวงศ์ เจ้าอย่าหาเรื่องใส่ตัวเลยดีกว่า อย่าลืมว่าทั้งเจ้าและข้าต่างมาเข้าร่วมพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยเช่นกัน หากเรื่องวิวาทในครั้งนี้ล่วงรู้ไปถึงข้างในวังเข้า ไม่แน่ว่าเจ้าเองอาจจะหมดสิทธิ์เข้าร่วมพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยก็ได้”
ถึงแม้จะยังคงเคียดแค้นชายหนุ่มทั้งสี่อยู่แต่พอได้ยินสิ่งที่พระโอรสทรงกลดกล่าวถึงตัวเขาเองถึงกับชะงัก การที่พระโอรสรณวงศ์มาที่นี้ก็เพื่อหวังว่าจะได้อภิเษกสมรสกับพระธิดาของเจ้าผู้ครองนครโรมพัตร ถ้าเกิดมีเรื่องมีราวขึ้นจริงๆแล้วคนที่จะดูไม่ดีในสายตาของผู้อื่นก็คือตัวของเขาเองมากกว่าพวกไพร่ชั้นต่ำเช่นนี้ เมื่อชั่งความหนักเบาแล้ว หากเกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้นจริง ย่อมไม่เป็นผลดีต่อตนเองเป็นแน่
“..ก็ได้ทรงกลด วันนี้ข้าจะรามือก่อนก็ได้ แต่อย่าคิดนะที่ข้ารามือในวันนี้เป็นเพราะข้าเกรงกลัวเจ้า เจ้าเองก็เหมือนกันระวังตัวเอาไว้ให้ดีอย่าให้ถึงทีข้าบ้างก็แล้วกัน แล้วในวันงานพิธีข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นว่าผู้ที่เหมาะสมจะเป็นราชบุตรเขยของนครโรมพัตรแห่งนี้มีเพียงข้า เจ้าชายรณวงศ์ เพียงผู้เดียวเท่านั้น”
รณวงศ์ กล่าวอาฆาตพลางจ้องหน้ามองคนโน้นทีคนนี้ที ก่อนเรียกมหาดเล็กคนสนิทกลับไป
“เจ้าจ้อย กลับกันได้แล้ว หากอยู่ที่นี้นานอีกนิด ข้าอาจจะยั้งใจเอาไว้ไม่อยู่”
“หยู....พระเจ้าข้า”
มหาดเล็กคนสนิทขานรับก่อนพาสังขารที่สะบักสะบอม คลานหมอบกราบผ่านบรรดาฝ่าเท้าของแม่พวกสาวๆที่ล้อมวงเขาอยู่ไป
“โอ้โห เจ้าหมอนี้โลภมากไม่เบา คิดจะแต่งทั้งพี่ทั้งน้องเชียวหรือ?” มุกว่าพลางมอง รณวงศ์ ที่เดินจากไป
“เฮอะ...ขืนเจ้าหมอนี้ได้เป็นราชบุตรเขยจริง ก็น่าสงสารพระธิดาทั้งสองพระองค์แย่ ว่าไหมพี่มรกต”
“พอได้แล้ว พวกเจ้าสองคนพูดมากเกินไปแล้วนะรู้ไหม?” มรกตปรามน้องทั้งสองเพราะรู้สึกทั้งสองคนจะออกความคิดเห็นมากจนเกินไปอีกทั้งเรื่องที่ใครจะได้เป็นราชบุตรเขยนั้นก็มิใช่หน้าที่กงการอะไรที่พวกเขาทั้งหมดจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
ด้านเจ้าชายทรงกลด ส่ายหน้าด้วยความระอาในนิสัยของ รณวงศ์ ก่อนหันมามองคนทั้งสี่
‘คนนี้เป็นใครกันนะดูมีสง่าราศี ไม่เหมือนสามัญชนคนธรรมดาทั่วไป คงจะไม่ใช่แค่บัณฑิตหรือลูกขุนนางธรรมดาเป็นแน่ แต่น่าแปลกองครักษ์ของเขาทั้งสามคนดูท่าทางอ้อนแอ่นชอบกลไม่เหมาะจะเป็นคนคุ้มกันเอาเสียเลย แต่กลับมีพละกำลังมหาศาล แม้กระทั่งรณวงศ์เองก็ยังเสียท่าโดยง่าย เห็นทีข้าคงต้องลองเข้าไปพูดคุยกับพวกเขาหน่อยเสียแล้ว’
คิดแล้วก็ให้สงสัยนัก จึงลองเขาไปทักทายทั้งสี่ดู
“ขออภัยท่านทั้งสี่ ไม่ทราบว่าให้ข้าร่วมโต๊ะได้หรือไม่?”
กวินฟ้า มองหน้าผู้มาใหม่ พลางคิดในใจว่า
‘เจ้าชายผู้นี้ดูมีอัธยาศัยดี ไม่ถือตัวไม่แน่ว่าหากข้าสนิทสนมกับเขา ก็อาจจะเข้าไปในเขตพระราชวังในฐานะพระสหายได้’
คิดแล้วก็รีบคลี่พัดเชื้อเชิญในทันที
“เชิญเจ้าชายทรงกลด ประทับก่อนพระเจ้าข้า”
แม้กิริยาจะดูให้เกียรติแต่ทว่าลักษณะท่าทางสูงศักดิ์ราวกับกษัตริย์จากแคว้นเมืองใหญ่ก็ไม่ปาน ทำเอาเจ้าชายทรงกลดอดคิดไม่ได้กำลังสนทนาอยู่กับเจ้าชายจากนครใดนครหนึ่งอยู่
“พวกท่านก็เช่นกันเชิญ” เจ้าชายทรงกลดตอบพลางเชื้อเชิญให้อีกสามคนนั่งลงเช่นกัน
“ขอถามท่านทั้งสี่ ไม่ทราบว่าพวกท่านมีนามใด?”
“นายของข้ามีนามว่า กวินฟ้า เป็นบัณฑิตจากต่างเมืองออกแสวงหาความรู้ในศาสตร์ด้านปกครอง ส่วนตัวข้ามีนามว่ามรกต ส่วนสองคนนี้ชื่อ มุก และ นิล พวกเขาต่างเป็นน้องของข้า พวกเราทั้งสามคนได้รับมอบหมายให้ตามมาอารักขาคุณชายขณะเดินทาง”
ฟังจากที่พูดก็พอจะคาดเดาได้ว่าพวกเขาคิดที่จะเข้ามาร่วมงานพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยเป็นแน่
“ถ้าเช่นนั้น ท่านก็คงมาร่วมงานพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยด้วยกระมัง”
กวินฟ้า หัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยตอบว่า
“หามิได้ ข้าไม่ได้คิดที่จะมาร่วมงานพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยแม้แต่น้อย”
พระโอรสทรงกลด ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าพระทัยว่าเหตุใด กวินฟ้า ถึงไม่สนใจการคัดเลือกราชบุตรเขยในครั้งนี้ทั้งๆที่ชายทั่วทั้งนครโรมพัตรและแว่นแคว้นแดนไกลต่างก็หมายใคร่อยากได้พระธิดาทั้งสองเป็นคู่ครอง
“ชายทั่วทั้งนครโรมพัตรในเวลานี้ต่างมีแต่ผู้หมายปองพระธิดาทั้งสองพระองค์อยู่ แล้วเหตุใดท่านถึงได้ไม่สนใจในพิธีการคัดเลือกราชบุตรเขยในครั้งนี้เล่า โปรดไขความกระจ่างให้ข้าด้วย”
กวินฟ้าลุกขึ้นคลี่พัดวี่ไปมา พลางกล่าวว่า
“ข้ามาที่นี้เพียงแค่อยากจะรู้เท่านั้นเองว่า คู่ครองของพระธิดาทั้งสองพระองค์จะสง่าและทรงความรู้เพียงใด ในคราวแรกดูเหมือนว่าข้าคงมาเสียเที่ยวเปล่าๆเสียแล้ว”
“เพราะเหตุใดท่านถึงคิดเช่นนั้น” เจ้าชายทรงกลดถาม
“ดูจากพระโอรส รณวงศ์ ผู้นั้นเป็นตัวอย่างไรเล่า หากมีคนเช่นนี้อยู่มากมายในพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยเช่นนี้แล้วเห็นทีคงจะไม่มีใครคู่ควรกับพระธิดาทั้งสองเป็นแน่ แต่พอข้าได้พบกับท่าน เจ้าชายทรงกลดข้าจึงได้เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ ไม่แน่ว่าเวลานี้ข้าเองอาจกำลังสนทนาอยู่กับว่าที่ราชบุตรของนครโรมพัตรอยู่ก็เป็นได้”
เจ้าชาย
“ดูท่านคงประเมินข้าสูงจนเกินไปแล้ว ยังมีเจ้าชายอีกมากมายที่มาในคราวนี้ พวกเขาเองก็มีสิทธิ์และอาจจะเหมาะสมยิ่งกว่าข้า”
“แต่ข้าคิดว่าสายตาของข้าคงมองดูไม่ผิดแน่ โปรดอย่าได้ทรงถ่อมตนไปเลย”
นาคลม กล่าวยกย่องหวังให้เจ้าชายเกิดความรู้สึกที่ดีกับตนเอง
“แล้วท่านบัณฑิตน้อยไม่คิดที่จะประเมินตัวเองบ้างหรอกหรือ?”
เสียงของชายหนุ่มรุ่นใหญ่ดังแทรกขึ้นมา จนทุกคนต้องเหลียวหันไปมองดู
“อ้าว!...ท่านอำมาตย์วิชาญ ท่านก็อยู่นี้ด้วยหรือ?”
เจ้าชายทรงกลดเอ่ยทักทายเมื่อเห็นชายร่างใหญ่เดินเข้ามา ดูเหมือนว่า อำมาตย์วิชาญจะอยู่ที่นี้นานแล้วเพียงแต่เจ้าชายทรงกลดไม่ได้ทันสังเกตเห็น
อำมาตย์ใหญ่แห่งนครโรมพัตรและลูกชายพร้อมทหารคนสนิทถวายบังคับพระโอรสทรงกลด ก่อนกราบทูลว่า
“พระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้า ได้รับพระบัญชาจากองค์เหนือหัว ให้มาค้นหาชายหนุ่มทั่วทั้งนครเพื่อดูว่าพวกเขาพอจะมีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยได้หรือไม่ ข้าพระพุทธเจ้าเอง ก็ไม่คิดด้วยว่าจะได้พบกับพระโอรสที่นี้ด้วยเช่นกัน”
“ถ้าเช่นนั้นก็แสดงว่า ท่านอำมาตย์เองก็คงหมายตา กวินฟ้า เอาไว้ด้วยแล้วกระมัง?”
พระโอรสกล่าวด้วยความยินดี เพราะส่วนตัวแล้วรู้สึกชอบนิสัยใจคอกวินฟ้าไม่น้อย แม้จะไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหนก็ตาม
“พระเจ้าข้า” อำมาตย์วิชาญ กราบทูลตามตรง
นาควายุได้ฟังแทบจะเผ่นหนีในทันที
“ท่านอำมาตย์ ท่านพูดผิดพูดใหม่ได้นะ ข้านะหรือมีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมพิธีได้ด้วย”
กวินฟ้าชี้หน้าตัวเอง พลางพูดขอความเห็น เผื่อว่าจะมีคนไม่เห็นด้วยบ้าง
“ด้วยความรู้กว้างขวางอย่างเช่นท่านบัณฑิตน้อยยังมีคุณสมบัติไม่คู่ควรเข้าร่วมในพิธีแล้ว เช่นนั้นชายหนุ่มทั่วๆไปก็คงไม่มีสิทธิ์ยิ่งกว่าอีกหรือ” อำมาตย์วิชาญว่า
“ไหนๆท่านบัณฑิตเอง ก็ศึกษาเล่าเรียนมาตั้งนานแล้ว ทำไมไม่คิดจะนำความรู้มาใช้ประโยชน์บ้าง ข้าคิดว่างานพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยในครั้งนี้ท่านบัณฑิตคงได้แสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์เป็นแน่” วิชุกร บุตรชายของท่านอำมาตย์กล่าวเสริมอีกแรง
“ข้าเห็นด้วยกับท่านอำมาตย์นะ กวินฟ้า เจ้าน่าจะลองเข้าร่วมพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยในครั้งนี้ด้วย ข้าเองก็อยากให้เจ้าร่วมในงานนี้ด้วยเช่นกัน” เจ้าชายทรงกลด เองก็ทรงเห็นด้วยเช่นกัน อีกทั้งจะยินดียิ่งหากกวินฟ้าได้เป็นราชบุตรเขยของนครโรมพัตรเพราะมองเห็นว่า กวินฟ้า เป็นผู้มีความรู้ความสามารถสูงผู้หนึ่งน่าจะช่วยทำให้ นครโรมพัตรยิ่งใหญ่เกรียงไกรขึ้นอีกได้
‘กรรมของเวร เวรของกรรมแล้ว ไม่ซวยคราวนี้จะไม่ซวยคราวไหน ข้าหวังคิดตามเจ้าชายทรงกลดเข้าไปในวังเฉยๆ แล้วไหงให้ข้าเข้าร่วมพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยด้วยเล่า แล้วนี้ทำไมถึงเห็นดีเห็นงามอะไรกันหนักหนานะถึงได้คะยั้นคะยอให้ข้าเข้าร่วมพิธีขนาดนี้ แล้วนี้ข้าควรจะทำอย่างไรดี?’
กวินฟ้า กลุ้มหนักอยู่ในใจ มิคาดว่าเหตุการณ์จะกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
“เอ้อ...ข้าคิดว่า อย่างไรเสียข้าคงไม่เหมาะกระมังท่านอำมาตย์ เรื่องเข้าไปคัดเลือกราชบุตรเขยอะไรนี้ เจ้าเห็นด้วยกับข้าใช่ไหมมรกต...” กวินฟ้า ดึงชายเสื้อเพื่อนเพื่อหาแนวร่วมคัดค้านด้วย
“คุณชาย ข้าว่าท่านลองดูหน่อยก็ดีนะ” มรกตกลับสนับสนุนแทน
เพียงได้ยินคำพูดของมรกต กวินฟ้า ถึงกับสะดุ้งถลึงตามองในทันที รีบดึงมรกตเข้ามาใกล้พลางกระซิบถามเร็วจี๋
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือไงมรกต ข้าต้องการเข้าไปในวังเฉยๆนะไม่ได้อยากเข้าร่วมพิธีบ้าบออะไรนี้เสียหน่อย แล้วคิดอย่างไรถึงยุให้ข้าเข้าไปคัดเลือกเป็นราชบุตรเขยกับเขาด้วยเล่า?”
“เรื่องนั้นข้ารู้อยู่แล้ว แต่มันช่วยไม่ได้นี้น่า ในเมื่อโอกาสมาถึงแล้วเราก็ต้องรีบคว้าไว้ก่อนเถอะ เกิดชวดไปมันจะแย่”
“แล้วถ้าเกิดข้าดวงซวยได้เป็นราชบุตรเขยขึ้นมาเจ้าจะว่าไง?” กวินฟ้าถามออกอาการสยองนิดๆ
“เจ้าคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นมัง.......แต่ถ้าเกิดเป็นจริงขึ้นมา เราก็ค่อยหาวิธีแก้ไขกันทีหลังเอาก็แล้วกัน”
กวินฟ้า ครุ่นคิดอยู่นิดหนึ่งไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้วอย่างไรก็คงต้องลองเสี่ยงดวงดู
“.....เอาก็เอา....เอาไงก็เอากัน อย่างไรข้าก็บอกท่านอาเอาไว้แล้วว่าจะต้องจัดการเจ้าครุฑชั่วนั้นให้ได้ ต่อให้ลุกน้ำกรดฝ่าขุมนรกข้าก็ต้องเสี่ยงดูแล้วล่ะคราวนี้”
“ว่าอย่างไรท่านบัณฑิต ปรึกษากับองครักษ์คนสนิทของท่านแล้ว ไปถึงไหนแล้ว?”
อำมาตย์วิชาญถาม เมื่อเห็นพวกเขากระซิบกระซาบกันอยู่นาน
กวินฟ้า ซูดลมหายใจเข้าไปแรงๆก่อนกลั้นใจตอบว่า
“เอาละในเมื่อท่านอำมาตย์ออกปากถึงเพียงนี้แล้วข้าคงไม่ขัดอะไรอีก แต่ข้าของนำคนของข้าเข้าไปในงานพิธีคัดเลือกด้วยได้หรือไม่”
“ย่อมได้แน่นอน”
อำมาตย์ใหญ่ มีสีหน้ายินดีในขณะที่ กวินฟ้า แอบทำสีหน้าพะอืดพะอมชอบกล
‘หวังว่าข้าคงไม่ซวยจริงๆได้เป็นราชบุตรเขยหรอกนะ ไม่อย่างนั้นเท่ากับหนีเสือปะจระเข้แน่’
นาควายุ คิดอยู่ในใจพลางเหล่มองเจ้าของความคิดที่ยืนอยู่ข้างๆ โดยหวังว่ามรกตเองก็คงฉลาดพอที่จะคิดหาวิธีเอาตัวรอดได้ในยามคับขัน ไม่เช่นนั้นคงไม่ยุให้เขาเข้าร่วมพิธีด้วยเป็นแน่
มุกและนิล ต่างรู้สึกว่าการที่กวินฟ้าเข้าไปเป็นหนึ่งในพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยนี้รู้สึกออกจะผิดแผนไปจากที่คาดคิดเอาไว้แต่แรก จึงแอบถามมรกตว่า
“ทำไมท่านพี่ถึงยุให้ กวินฟ้า เข้าร่วมพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยด้วยล่ะ”
“แล้วเจ้าคิดหรือว่าเราจะเข้าไปวังได้โดยวิธีอื่นนะ” มรกตตอบ
คำตอบของมรกต ทำเอาทั้งสองถึงกับอ้าปากค้าง
“ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่า????”
“ใช่พี่กะให้เป็นแบบนี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว”
ทั้งสองไม่คิดเลยว่า มรกต คิดเอาไว้แบบนี้ตั้งแต่แรก เพราะไม่เห็นบอกอะไรทั้งสองคนเลย
“แล้วทำไมท่านพี่ถึงไม่บอกกวินฟ้าก่อนล่ะ?”
“ขืนบอกความจริง กวินฟ้า ก็ไม่เล่นด้วยนะสิ” มรกตว่า
“แล้วท่านพี่ไม่กลัวหรือว่า กวินฟ้า อาจจะได้เป็นราชบุตรเขยจริงๆก็ได้” มุกถาม
“ทำไมจะไม่กลัวแต่มันไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้น่า”
“แล้วท่านพี่ไม่มีแผนการสำรองเตรียมไว้บ้างหรือเผื่อเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา?” นิลถาม เพราะทุกครั้งที่มีปัญหา มรกต จะสุขุมและเยือกเย็นที่สุดและคิดอ่านหาวิธีแก้ไขได้อย่างรอบคอบ
มรกต ส่ายหน้าก่อนตอบว่า
“ไม่มีหรอกงานนี้เสี่ยงดวงล้วนๆ”
ทั้งสองได้ฟังแทบจะลมจับ
“อึ๋ย...ตายแน่ ถ้ากวินฟ้ารู้เข้าคงโมโหพวกเราน่าดู” มุกโอยครวญ
“ก็ไม่แน่นะท่านพี่ ถ้ามองในแง่ดีถ้า กวินฟ้า ได้เป็นราชบุตรเขยจริง ถึงตอนนั้นอาจจะมาขอบใจพวกเราก็ได้” นิลว่า
“มะเหงกให้นะสิไม่ว่า เจ้าเองก็รู้อยู่นี้ว่า กวินฟ้า ไม่อยากแต่งงาน ดูสีหน้าเขาตอนนี้บ้างสิว่าเป็นอย่างไร”
มุกบอกให้นิลดู กวินฟ้า ที่แอบทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ในเวลานี้
“คงเป็นเพราะว่ายังไม่ได้เห็นพระธิดาทั้งสองพระองค์อยู่มั๊งถึงได้ทำหน้าแบบนี้ ข้าได้ยินมาว่าทรงสิริโฉมงดงามนัก” นิลยังคงมองในแง่ดีอยู่
“ขนาดสวยๆน่ารักจิ้มลิ้มอย่างนางโจรห้าร้อยนั้น กวินฟ้า ยังไม่คิดจะชอบเลย แล้วอย่างนี้เจ้ายังคิดว่า กวินฟ้า อยากจะเป็นราชบุตรเขยอีกหรือเปล่าล่ะ?”
“ นี้มันอะไรกันนักหนานะ ทำไม กวินฟ้า ถึงไม่อยากแต่งงานนักนะ ข้าชักสงสัยแล้วสิว่านอกจากเรื่องฐานะของเขาแล้ว เขายังปกปิดอะไรบางอย่างอยู่อีกเป็นแน่” นิลพูดออกมาด้วยความไม่เข้าใจและสงสัยมากยิ่งขึ้น
“พวกเจ้าสองคนเลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว เห็นไหมว่ากวินฟ้ามองพวกเราอยู่นะ?”
มรกตตัดบทเมื่อมองเห็น กวินฟ้า จ้องมายังทั้งสามคนตาเขม็งด้วยความสงสัยว่าพวกเขากำลังแอบกระซิบกระซาบพูดคุยอะไรกันอยู่
‘กำลังคิดวางแผนอะไรกันอยู่หรือเปล่าเนี๊ยะ หวังว่าคงไม่ให้ข้าหาเรื่องอะไรใส่ตัวอีกนะ’
กวินฟ้าคิดในใจพลางแอบเคืองนิดๆ
“เช่นนั้นท่านบัณฑิตจงรับป้ายสัญลักษณ์นี้เอาไว้ นี้คือสิ่งที่แสดงถึงการเข้าร่วมในงานพิธี”
อำมาตย์วิชาญ ยื่นป้ายสัญลักษณ์ประจำนครให้กับกวินฟ้า
“ขอบคุณท่านอำมาตย์”
นาควายุ รับป้ายมาอย่างเสียมิได้ ทั้งๆที่ในใจไม่อยากจะแตะต้องเลยแม้แต่น้อย
“อีกห้าวันจะถึงงานพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยแล้ว ขอให้ท่านบัณฑิตถนอมตัวด้วย ข้าคงต้องขอตัวก่อน”
อำมาตย์วิชาญ ขอตัวกลับก่อนถวายบังคมลา เจ้าชายทรงกลด
“ข้าพระพุทธเจ้า ถวายบังคมลา พระเจ้าข้า”
“ตามสบายเถอะท่านอำมาตย์”
เมื่อเห็นท่านอำมาตย์ไปแล้ว เจ้าชายทรงกลดก็พูดกับกวินฟ้าว่า
“หลังจากนี้แล้วพวกเจ้าจะไปที่ไหนต่ออีก”
“พวกข้ายังไม่ได้คิดเอาไว้พระเจ้าข้า?”
“ถ้าเช่นนั้นสนใจที่จะไปสนทนาในตำหนักของข้าหรือไม่? ข้าเองกำลังคิดว่าจะหาเพื่อนคุยอยู่พอดี”
เพียงได้ฟังกวินฟ้าถึงกับตาลุกวาวจนลืมเรื่องที่กลุ้มใจแต่แรกจดหมดสิ้น ในเมื่อโอกาสมาถึงขนาดนี้แล้วมีหรือกวินฟ้าจะไม่รีบคว้า
“ถ้าเช่นนั้นคงต้องรบกวนเจ้าชายแล้ว”
กวินฟ้าตอบก่อนที่จะบอกให้ มุก จ่ายเงินค่าอาหารรวมทั้งค่าเสียหายให้กับเจ้าของร้าน
“จ่ายค่าอาหารรวมทั้งค่าเสียหายให้กับเจ้าของร้านด้วย เราจะไปกันแล้ว”
“ขอรับคุณชาย”
มุกรับคำ ก่อนวางเงินถุงใหญ่ไว้ ส่วนกวินฟ้าและเจ้าชายทรงกลดก็ค่อยๆก้าวออกจากร้านไป
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด คุณชายยยยย คุณชายยยยยยยยยยย”
“....พวกนางยังไม่กลับไปกันอีกเหรอ?”
นิล ส่งสายตาให้ทุกคนมองไปยังพวกผู้หญิงที่ยังคงห้อมล้อมอยู่นอกร้านอย่างเหนียวแน่น
“เอ้อ....มีความอดทนกันจริงๆเลยนะ....”
นาควายุเองก็อึ้งไม่น้อยเช่นกันไม่คิดว่าพวกนางยังจะอยู่รอเขาอยู่อีก
“รู้สึกเจ้าเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆเมืองนี้ไม่น้อยนะ กวินฟ้า สงสัยข้าคงเจอคู่แข่งที่ร้ายกาจเข้าแล้ว ฮะๆๆๆ”
เจ้าชายทรงกลดกล่าวชมพร้อมกับหัวเราะ
กวินฟ้า ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ก่อนที่ มรกต มุก และนิล จะเป็นคนเปิดทางให้กับทั้งสอง
“หลีกทางให้หน่อยนะ เจ้าชายทรงกลดและคุณชายของข้าจะกลับแล้ว”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด คุณชายยยยยยยยยยยยย”
แต่กว่าจะฝ่าวงล้อมออกมาได้ก็กินเวลานานอยู่พอควร หลังจากนั้นทั้งหมดก็เดินทางมาได้อีกครู่ใหญ่ก็เริ่มเข้าสู่เขตประตูวังแล้ว เหล่าทหารที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่ต่างถวายบังคมพระโอรสทรงกลดก่อนจะนำเสด็จไปสู่ตำหนักที่ประทับ เมื่อมาถึงหน้าพระตำหนักก็มองเห็นนางกำนัลสามคนยืนเฝ้าอยู่ทางด้านนอก ครั้นเจ้าชายทรงกลดเสด็จมาถึงนางกำนัลทั้งสามก็รีบถวายบังคมทันที
“พวกเจ้ามาทำอะไรที่หน้าตำหนักของเรา”
นางกำนัลทั้งสามทูลตอบว่า
“ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันทั้งสามตามเสด็จเจ้าหญิงเกตุวดีมาเพคะ เวลานี้พระธิดาทรงรอพระองค์อยู่ที่ห้องโถงเพคะ”
“อะไรนะน้องหญิงมาอย่างนั้นหรือ?”
เจ้าชายทรงกลดมีสีหน้ายินดียิ่งที่รู้ว่าเจ้าหญิงเกตุวดีเสด็จมาหาพระองค์
ด้าน กวินฟ้า เมื่อเห็นว่าเจ้าเจ้าชายมีแขกอยู่ก็คิดว่าคงไม่สะดวกเป็นแน่ที่จะพูดคุยกันในเวลานี้ ครั้นจะพยายามอยู่ที่นี้ต่อก็อาจเป็นที่สงสัยขึ้นมาได้จึงคิดที่จะทูลลากลับ อย่างน้อยการที่ได้เข้ามาถึงในเขตพระราชวังเช่นนี้ก็ถือว่าก้าวหน้ามาอีกขั้นหนึ่งแล้ว
“ในเมื่อเจ้าชายทรงมีธุระ พวกข้ากลับก่อนคงจะดีกว่า”
เจ้าชายทรงกลดได้ยินกวินฟ้าพูดเช่นนั้นก็ตอบว่า
“ไม่เป็นไรหรอก น้องหญิงเกตุวดีใช่ใครอื่นไกล อีกอย่างข้าเองก็อยากแนะนำเจ้าให้นางรู้จักด้วย”
ในเมื่อเจ้าชายทรงกลดพูดเช่นนั้นทั้งสี่จึงตามเจ้าชายทรงกลดเข้าไปในพระตำหนัก โดยมีสายตาของนางกำนัลทั้งสามแอบมองดูอยู่
“พ่อรูปหล่อนั้นใครนะ?”
“นั้นสิ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ไม่ยักรู้ว่าพระโอรสทรงกลดทรงมีพระสหายรูปงามถึงเพียงนี้”
“ข้าเห็นผู้ชายมานักต่อนักแล้วยังไม่เคยเห็นใครรูปงามเท่าพ่อหนุ่มคนนี้เลย” นางว่าพลางทำสีหน้าเคลิ้มๆ
“น่าตาหน้ารักจิ้มลิ้มอย่างนี้ ถ้าได้มาเป็นคู่แม่จะยิกจะหอมทั้งวันเชียว” อีกนางพูดอย่างมันเขี้ยว
“ดีนะที่มีพวกเรากันแค่สามคน ถ้าแม่พวกฝ่ายในมาเห็นเข้ามีหวังคงตามเสด็จพระธิดามาบ่อยๆแน่”
นางกำนัลทั้งสามซุบซิบพูดคุยกันถึง กวินฟ้า ไม่ขาดปาก
เมื่อเจ้าชายทรงกลดเข้าไปในห้องโถงใหญ่ก็พบเห็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยนั่งรอพระองค์อยู่
“น้องหญิง”
เสียงเรียกของเจ้าชายทรงกลด ทำให้พระธิดาต้องหันมามองดู
“เจ้าพี่”
เจ้าหญิงเกตุวดี สรวลยิ้มเมื่อเห็นเจ้าชายทรงกลดเสด็จเข้ามาหานางแต่ก็แปลกพระทัยที่นอกจากเจ้าชายทรงกลดแล้วยังมีบุรุษแปลกหน้าที่นางไม่รู้จักตามมาด้วยอีกสี่คน โดยเฉพาะบุรุษหนุ่มชุดขาวฟ้าที่แต่งตัวคล้ายบัณฑิตรูปงามปานเทพบุตรมิมีผิดเพี้ยนจนนางถึงกับตะลึงงันชั่วขณะ
“เจ้ามาหาพี่มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
เจ้าชายทรงกลดตรัสถาม แต่พระธิดาก็ยังทรงนิ่งอยู่ จนต้องตรัสถามขึ้นอีกถึงสองสามครั้งเมื่อเห็นเจ้าหญิงไม่ตอบประการใด
“น้องหญิง น้องหญิง
.”
“เพคะ...”
เจ้าหญิงเกตุวดีทรงตกพระทัย
“เจ้าไม่สบายหรือเปล่าทำไมถึงเงียบไปล่ะ”
“เปล่าเพคะเจ้าพี่....”
พระธิดาทรงตอบก่อนยกสำรับกระยาหารขึ้นมาและทูลว่า
“เสด็จพ่อทรงให้น้องนำพระกระยาหารมาถวายเจ้าพี่เพคะ”
“โธ่...เรื่องแค่นี้เอง เจ้าไม่ต้องลำบากก็ได้”
เจ้าชายทรงกลด ยิ้มให้กับนาง
“เจ้าพี่เพคะ........เอ้อ...........”
เกตุวดี ชี้ไปยังคนทั้งสี่ ทำให้เจ้าชายทรงกลดรู้ว่า ยังไม่ได้แนะนำ กวินฟ้า ให้เจ้าหญิงได้รู้จักเลย
“อ๋อ.....พี่ลืมเสียสนิทไปเลย......ทั้งสี่นี้เป็นเพื่อนของพี่เอง นี้กวินฟ้า มรกต มุก และ นิล”
“ถวายบังคมองค์หญิงพระเจ้าข้า”
กวินฟ้า ก้มตัวลงอย่างสง่างาม
เกตุวดี เพิ่งพิศมองดูชายหนุ่มรูปงามอย่างไม่รู้ตัวเกิดความรู้สึกเขินอายยิ่งนัก แม้นางจะมีเจ้าชายทรงกลดอยู่ในพระทัยแล้วก็ตามแต่การมาพบกับหนุ่มรูปงามเช่นนี้ก็อดที่จะสะเทิ้นตามประสาหญิงไม่ได้
‘ข้ายังไม่เคยพบใครรูปงามเช่นนี้มาก่อนเลย’
กิริยาท่าทางของกวินฟ้าดูสง่าและอ่อนโยนทำเอา เจ้าหญิงเกตุวดี ถึงกับหัวใจเต้นแรง
“นี้กวินฟ้า ก็จะเข้าร่วมงานพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยด้วยนะ”
“อะไรนะเพคะ!!!!”
“กวินฟ้า นี้เจ้าหญิงเกตุวดี พระราชธิดาขององค์เหนือปราการ ผู้ครองนครโรมพัตร”
กวินฟ้า ถึงกับตะลึงไม่คิดว่าเจ้าชายทรงกลดจะพระทัยกว้างถึงเพียงนี้
‘งั้นก็แสดงว่านางก็คือคนที่จะต้องเลือกคู่ในงานพิธีนะสิ อะไรจะบังเอิญถึงเพียงนี้’
“จุดไต้ตำตอชัดๆ”
มุกเปรยออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ชักจะยุ่งแล้วสิ ท่านพี่ รู้สึกว่า เจ้าหญิงเกตุวดี ชักมีอาการแปลกๆอย่างไรแล้วสิ” นิลว่า
“สงสัยจะหลงเสน่ห์ กวินฟ้า เข้าให้อีกคนแล้ว”
มรกตเองชักเริ่มกลุ้มใจเช่นกัน เพราะรู้สึก กวินฟ้า จะหว่านเสน่ห์ให้กับสาวๆโดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว
“ท่านเป็นบัณฑิตอย่างนั้นหรือ?”
เกตุวดี ถามเมื่อเห็นการแต่งกายของเขาคล้ายผู้ศึกษาเล่าเรียน
“พระเจ้าข้า”
แม้จะตอบสั้นๆแต่น้ำเสียงก็ไพเราะน่าฟังเป็นอย่างยิ่ง
“แล้วท่านมาจากเมืองใด”
“เมืองของหม่อมฉันเป็นเมืองเล็กๆและก็ห่างไกลจากที่นี้พอควร เกรงว่าพระธิดาคงจะอาจจะไม่รู้จัก”
พระธิดาแห่งนครโรมพัตรมองดูบัณฑิตหนุ่มผู้นี้แล้วให้รู้สึกพึงใจเป็นยิ่งนักด้วยรูปร่างหน้าตาและกริยาช่างต้องใจนางอย่างมิอาจห้ามได้ แต่ครั้นพอนึกอีกทีก็ให้รู้สึกกระดากพระทัยอยู่ไม่น้อยด้วยเหตุว่านางนั้นมีใจให้กับเจ้าชายทรงกลดอยู่ก่อนหน้า พอได้มาพบหน้าหนุ่มรูปงามกลับเผลอไผลไปหลงใหลราวกับสตรีที่มีจิตใจรวนเร นึกแล้วก็ให้รู้สึกผิดนัก
“เอ้อ.....เจ้าพี่เพคะนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้วเสวยพระยาหารก่อนเถอะเพคะ”
พระธิดาทรงตรัสบอกเจ้าชายทรงกลด
“จริงสิ....พี่เองก็ชักจะหิวแล้ว”
เจ้าชายทรงกลดตอบก่อนหันมาบอกกวินฟ้าว่า
“พวกเจ้าเองก็มากินกับเราสิ เดี๋ยวเราจะให้นางกำนัลจัดอาหารมาเพิ่มอีก”
“พระเจ้าข้า”
กวินฟ้าตอบแบบไม่ต้องคิดอะไร
‘อา....ได้กินอีกแล้ว....’
แค่คิดน้ำลายก็แทบสอขึ้นมาทันที ใบหน้าเปี่ยมยิ้มโดยไม่รู้ตัว
“ไม่คิดถึงเรื่องอื่นบ้างหรือไงนะ?”
มุกพูดขึ้นเบาๆพร้อมทั้งเอาปิดหน้านิดๆด้วยความปลงเพราะรู้ถึงนิสัยการกินของ กวินฟ้า ดีว่าเป็นโรคที่รักษาได้ยากยิ่ง แต่คนที่ดูมีสีหน้าหนักใจมากกว่ากลับเป็น มรกต แทนเพราะมองออกว่าขณะนี้เจ้าหญิงเกตุวดีกำลังแอบมองดู กวินฟ้า อยู่อย่างเงียบๆ บางครั้งยังเห็นนางเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย
‘เฮ้อ....ให้ตายสิ....งานเข้าอีกแล้ว....หมั่นไส้จริงๆเลย...พ่อคนเสน่ห์นี้....’
มรกตรรู้สึกหงุดหงิดนิดๆหมั่นไส้หน่อยๆที่นาควายุเผลอหว่านเสน่ห์จนทำให้เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์แอบชอบโดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว ดูท่าว่างานนี้นอกจากเรื่องการกำจัดครุฑที่เป็นเป้าหมายหลักแล้ว การออกจากนครโรมพัตรที่เป็นเป้าหมายรองก็คงจะต้องมีอุปสรรคตามไปด้วยเป็นแน่
ความคิดเห็น