ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทวิธรา

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 19 ธ.ค. 55


    บทที่  3

                    เวลาว่างของปัณรสหมดไปเรียบร้อยแล้ว  ดังนั้นวันนี้จึงเป็นวันแรกที่เธอเริ่มต้นเรียนภาษาเกาหลีอย่างจริงจัง  ความจริงแล้วหญิงสาวเริ่มเรียนด้วยตัวเองมาบ้างแล้ว  ทำให้เธอพอจะอ่านออก  พูดได้และเขียนได้บ้างเล็กน้อยแต่ถ้าเป็นเรื่องหลักภาษาหล่ะก็  ขนาดมีคนสอนแล้วยังไม่รู้ว่าเธอจะรู้เรื่องรึเปล่าเลย  เพราะขนาดเพื่อนสาวของเธอที่เรียนมนุษศาสตร์เอกภาษาอังกฤษและเลือกเรียนวิชาโทเกาหลียังออกปากบ่นเลยว่ายากแสนยาก  แล้วนับประสาอะไรกับตัวเธอที่ไม่ได้เรียนสาวภาษามาโดยตรง  คงจะยากเข้าไปใหญ่

                    “รสจะสายแล้วนะ”  เสียงหวาน ๆ ปลุกเธอให้ตื่นจากฝันแสนหวาน 

                    “ฮื่อ...รู้แล้ว ๆ กำลังจะไปแล้วจ้า”  ปัณรสบอกด้วยเสียงที่ยังงัวเงียไม่ต่างจากร่างกายของเธอที่ยังไม่ยอมขยับเขยื้อนออกจากที่นอนเลยแม้แต่นิดเดียว

                    “รสจ๋า  ตื่นเถอะจ่ะ  ถ้าไม่ตื่นวิจะลากรสจากเตียงแล้วนะ”  เสียงหวาน ๆ ในตอนแรกเริ่มทำเสียงเข้มขึ้น  เมื่อเห็นว่ายังไม่ได้รับผลตอบรับที่พึงพอใจ

                    “โอเคค่ะ ๆ คุณวิภาดาสุดสวย  ปัณรสจะรีบลุกเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”  ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นการประชดประชันแต่เธอก็ยอมขยับกายจากเตียงนอนเพื่อไปจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำทันที  ไม่ต้องให้หญิงสาวเสียงหวานได้บ่นซ้ำสอง

                    ตอนนี้ปัณรสไม่ได้อยู่คนเดียวในห้องแล้ว  เธอมีรูมเมทมาเพิ่มอีกหนึ่งคน  ซึ่งก็คือหญิงสาวหน้าหวาน  หน้าตาจิ้มลิ้ม  น่ารักที่เป็นคนปลุกเธอเมื่อสักครู  วิภาดา  เป็นนักเรียนทุนจากประเทศไทยเช่นเดียวกับเธอและที่สำคัญทั้งสองเรียนในยูเดียวกันด้วย  แต่แยกกันเรียนคนละคณะ  วิภาดามาเรียนต่อด้านการออกแบบส่วนตัวเธอเองเลือกมาเรียนต่อในด้านจิตวิทยา  วิภาดาเป็นหญิงสาวตัวเล็ก  หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก  ดูน่าทะนุถนอม  ไม่เหมือนกับตัวเธอซึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว  เธอดูสูงโปร่งและดูสวยมาดมั่นตามแบบฉบับของผู้หญิงยุคใหม่  เรียกได้ว่า  สวยคนละแบบ  และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอออกจะถูกใจเพื่อนใหม่คนนี้อยู่ไม่น้อย  เพราะว่าเธอถูกเลี้ยงมาอย่างลูกและน้องของทหาร  เธอจึงชอบที่จะทำตัวเข้มแข็งและกางปีกปกป้องผู้ที่อ่อนแอกว่า  กอปรกับที่เธอไม่เคยมีน้องสาว  ดังนั้นผู้หญิงที่น่ารักน่าทะนุถนอมอย่างวิภาดาจึงเปรียบเสมือนน้องสาวตัวน้อย ๆ ที่เธออยากจะคอยดูแล

     

                    “รส  เลิกเรียนแล้วไปไหนรึเปล่า”  เสียงหวาน ๆ ของวิภาดาดังขึ้น  หลังจากคลาสเรียนภาษาของพวกเธอจบลง

                    “เราว่าจะกลับเลยนะ  จะไปดูเรื่องรายละเอียดงานหน่อยน่ะ”

                    “โอเคจ่ะ  งั้นวิกลับด้วย  ไม่มีรสไปไหนมาด้วยแล้วมันไม่ค่อยอุ่นใจ”  หญิงสาวตัวเล็กพูดพร้อมเข้ามาเกาะแขนปัณรสอย่างขี้อ้อน  วิภาดาจะรู้ตัวรึเปล่านะ  ว่าเธอเป็นโรคแพ้ผู้หญิงน่ารัก

                    การเดินทางของทั้งสองคนจากยูมาถึงสถานทูตไม่ลำบากมากนัก  เนื่องจากปัณรสได้ขอยืมจักรยานมาจากสถานทูต  เพื่อที่เธอจะได้สำรวจเส้นทางไปด้วย  เพื่อที่เวลาไปไหนมาไหนจะได้ไม่หลงทางอีก

     

                    “ขอโทษค่ะ  พี่อิน  คือรสอยากมาขอดูรายละเอียดการทำงานพิเศษหน่ะค่ะ”  เมื่อมาถึงสถานฑูตปัณรสและวิภาดาก็ตรงมาหาเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องนี้ทันที  เธอเป็นหญิงสาวรูปร่างค่อนข้างสมบูรณ์  หน้าตาใจดีชื่ออินทิรา  อายุมากกว่าสองสาวสักราว ๆ 5 ปีได้

                    “รอเดี๋ยวนะค้ะน้องรส  พี่เตรียมไว้ให้แล้วหล่ะ”  สาวร่างท้วมหันหลังกลับไปยังตู่เอกสารของเธอ  พร้อมกับเอกสารปึกหนึ่งในมือยื่นกลับมาให้สองสาว

                    “นี่เป็นรายละเอียดงานพิเศษที่นี่นะจ๊ะ  ที่นี่เขามีกฎหมายกำหนดไว้ว่าห้ามชาวต่างชาติทำงานเกิน  20  ชั่วโมง / สัปดาห์ในช่วงเปิดเทอม  ส่วนปิดเทอมไม่จำกัดจ้า  ลองเอาไปศึกษาดูนะจ๊ะ  สนใจที่ไหนก็มาบอกพี่ได้จ่ะ”  สาวร่างท้วมเอ่ยแนะนำอย่างใจดี

                    “ขอบคุณมากค่ะพี่อิน”  สองสาวยกมือไหว้ขอบคุณสาวใหญ่ร่างท้วมอย่างดีใจและกำลังจะหันหลังเดินกลับที่พักของตนเองเพื่อศึกษารายละเอียดต่าง ๆ แต่แล้วสาวร่างท้วมก็เรียกเธอไว้อีกครั้ง

                    “น้องรสจ๊ะ  มีอันนี้เพิ่งเข้ามาใหม่วันนี้จ่ะ  พอดีว่าที่บริษัท เค กรุ๊ปอ่ะจ่ะ  เขากำลังต้องการที่ปรึกษาทางด้านจิตวิทยา  แล้วเชายื่นเรื่องมา  พี่คิดว่าน่าจะเหมาะกับหนู  ลองเอาไปศึกษาดูนะจ๊ะ  แต่อันนี้หนูต้องโทรไปสอบถามรายละเอียดกับเขาเอง  เพราะพี่ไม่รู้รายละเอียดมาก  รู้แต่ว่าบริษัทนี้เงินทุนหนามากจ้า”  สาวร่างท้วมแนะนำอย่างออกรสออกชาติ

                    “เค  กรุ๊ป เหรอค้ะ  บริษัทอะไรหล่ะค้ะ  ทำไมเขาถึงต้องการที่ปรึกษาด้านจิตวิทยา” 

                    “บริษัทวางโครงข่ายการสื่อสารและโทรคมนาคมข้ามชาติจ่ะ  มีบริษัทแม่อยู่ในเกาหลี  และมีสาขาลูกอยู่ในฝั่งยุโรป  เห็นว่ากิจการกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง  เขาก็เลยต้องการที่ปรึกษาด้านจิตวิทยาเพื่อมาช่วยให้คำปรึกษาเวลาจะรับพนักงานหรือตัดสินใจร่วมทุนประมาณนี้อ่ะจ่ะ”  ปัณรสพยักหน้าอย่างเข้าใจ  ความคิดนี้ไม่แปลกเลย  เพราะตอนอยู่ที่ประเทศไทยเธอก็เคยเป็นที่ปรึกษาเรื่องพวกนี้ให้กับบริษัทของเพื่อน ๆ อยู่บ่อย ๆ เพราะองค์ประกอบปลีกย่อยเหล่านี้ถือว่ามีส่วนสำคัญไม่น้อยต่อการดำเนินธุรกิจทั้งขนาดเล็กแขนาดใหญ่

                    “ขอบคุณอีกครั้งนะค้ะพี่อิน  แล้วรสจะลองศึกษาดูนะค้ะ”

     

                    หลังจากกลับมาถึงห้องพักทั้งสองคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำภารกิจของคนเอง  สำหรับวิภาดานั้นเธอเพิ่งมาถึงที่นี่ก่อนหน้านี้เพียงสองวัน  ดังนั้นจึงปรับตัวไม่ค่อยได้  เธอจึงเลือกใช้เวลาก่อนอาหารเย็นนี้สำหรับการพักผ่อน  ส่วนปัณรสเธอเลือกใช้เวลานี้ในการศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับงานพิเศษที่เธอได้มาจากอินทิราทั้งหมด  และลองขีดเส้นงานที่น่าสนใจไว้เพื่อไปถามรายละเอียดกับอินทิราอีกที  หลังจากนั้นเธอก็ได้หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัท เค กรุ๊ป  เพราะจะว่าไปแล้วงานที่ทางบริษัทนั้นเสนอมาน่าสนใจที่สุด  ทั้งค่าจ้างและสวัสดิการ  รวมถึงในรายละเอียดที่แจ้งมายังระบุอีกด้วยว่า  เวลาทำงานสามารถยืดหยุ่นได้  และงานทางด้านนี้ตรงกับสายงานของตัวเองที่สุด

                   

                    “พี่อินค้ะ  รสสนใจงานที่เค  กรุ๊ปนะค้ะ  รบกวนพี่อินช่วยสอบถามรายละเอียดให้รสหน่อยได้มั้ยค้ะ  พอดีว่าภาษาเกาหลีรสยังไม่แข็งแรงอ่ะค่ะ”  หญิงสาวทำน้ำเสียงออดอ้อนอย่างที่เคยทำมาแล้วได้ผลกับสาวร่างท้วม

                    “ได้สิจ๊ะ  ยังไงเดี๋ยวพี่จะโทรถามข้อมูลทางบริษัทให้  แล้วเย็นนี้น้องรสมาถามพี่อีกทีนะจ๊ะ”

                    “พี่อินนี่น่ารักเสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ เลยนะค้ะ  เดี๋ยวเย็นนี้รสซื้อขนมมาฝากค่ะ”  หญิงสาวยิ้มอย่างดีใจ

                    “วันนี้น้องวิไม่ไปด้วยกันเหรอจ๊ะ”  สาวร่างท้วมถาม  เพราะปกติแล้วถ้าปัณรสไปไหน  เธอจะต้องเห็นวิภาดาไปด้วยเสมอ

                    “พอดีวันนี้คลาสของวิเขาไม่มีเรียนน่ะค่ะ  ก็เลยขอทำการบ้านอยู่ที่ห้องค่ะ  เดี๋ยวรสไปก่อนนะค้ะพี่อินสุดสวย”

     

                    วันนี้ปัณรสมาถึงยูก่อนเวลา  เนื่องจากเมื่อคืนเธอเพลียมากจึงหลับตั้งแต่หัวค่ำ  วันนี้เธอก็เลยตื่นเช้าเป็นพิเศษ  เพื่อจะมาหาข้าวเช้าทานที่ยู  เธอหลีกเลี่ยงการทานอาหารเช้าที่สถานทูตหากไม่มีวิภาดา  เพราะเธอไม่อยากเจอกับคุณานนท์ตามลำพังให้รู้สึกอึดอัดใจ  ทันทีที่เธอจอดรถจักรยานก็มีช่อดอกไม้ยื่นมาตรงหน้าเธอทันที  เธอหันไปมองเพื่อจะดูหน้าคนให้อย่างแปลกใจ

                    “คุณคัง !!!”  หญิงสาวอุทานชื่อเขาอย่างแปลกใจ

                    “อรุณสวัสดิ์ครับ”  คัง  โซฮอนยิ้มรับจนดวงตายาวรีกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว

                    “คุณมาที่นี่ได้ยังไงค้ะ”  หญิงสาวรับดอกไม้จากเขาแล้วถามด้วยความแปลกใจ  เธอไม่เห็นชายหนุ่มเป็นคนแปลกหน้าอีกแล้วหลังจากอาหารมื้อนั้น 

                    “คิดถึงครับ”  คำพูดเรียบง่ายแต่กลับแฝงความนัยลึกซึ้งถูกส่งผ่านทางสายตาของชายหนุ่ม  ประกายแน่วแน่นั้นแรงกล้าจนหญิงสาวต้องเสหลบตาไปทางอื่น

                    “พูดเป็นเล่นไป  คุณโซฮอนก็”  หญิงสาวแก้เก้อ  ด้วยการเดินนำเขาไปยังศูนย์อาหาร  เธอเองก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้  ทั้งที่ท่าทีแบบนี้เธอไม่ใช่เพิ่งจะเคยได้รับจากเขาเป็นคนแรก  คอนอยู่ประเทศไทยทั้งรุ่นพี่  เพื่อนของเธอรวมถึงเพื่อนของพี่ชายก็แวะเวียนมาขายขนมจีบให้เธออยู่บ่อย ๆ แต่เธอเองก็ไม่เคยจะหวั่นไหวแม้แต่น้อย  แต่กลับชายหนุ่มลูกครึ่งตรงหน้าแค่คำพูดเพยงไม่กี่ประโยคก็สามารถทำให้ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวได้อย่างบอกไม่ถูก

                    “มาเรียนเช้าขนาดนี้  ผมว่าคุณยังไม่ได้ทานข้าวแน่ ๆ เลย  ไปครับ  มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง”  ชายหนุ่มตัดบท  ตัดสินใจไม่รุกเธอมาก  เพราะเขายังไม่แน่ใจว่าหากรุกเธอเร็วเกินไปมันจะเป็นผลดีหรือผลเสียกันแน่

                    “ให้คุณเลี้ยงได้ยังไงค้ะ  มื้อที่แล้วคุณก็เลี้ยงฉัน  มาคราวนี้จะเลี้ยงอีก  ที่นี่ยูฉันนะค้ะให้ฉันเลี้ยงเถอะ” 

                    “โอเคครับที่นี่ถิ่นคุณ  งั้นผมยอมให้คุณเลี้ยงก็แล้วกัน”

     

                    บรรยากาศในการทานอาหารเช้าเป็นไปอย่างสบาย ๆ ด้วยชายหนุ่มไม่ต้องการจะสร้างความอึดอัดให้กับหญิงสาว  เขาเลือกที่จะรักและทะนุถนอมในแบบของเขา  และให้เธอค่อย ๆ รู้จักความรู้สึกที่มีต่อเขาด้วยตัวเอง  เขาจะไม่เร่งรัด  จะเป็นฝ่ายสร้างให้และให้เธอพิจารณามันด้วยตัวของเธอเอง  เขารอเธอมาแล้ว  18  ปี  เธออยู่แค่เอื้อมแค่นี้  ทำไมเขาจะรอเธอไม่ได้  ชายหนุ่มจึงสร้างบรรยากาศความเป็นกันเอง  ด้วยการคุยเรื่องทั่วไป  ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเธอ  รวมถึงเล่าเรื่องตลกให้เธอฟัง

                    “อ้าวพี่โซฮอน  สวัสดีครับ”  ขณะที่กำลังนุ่งคุยกับหญิงสาวอยู่นั่นเอง  ก็มีชายหนุ่มหน้าตี๋อีกคนเดินมาทัก  ซึ่งตอนนี้ปัณรสพอฟังภาษาเกาหลีออกมากแล้ว

                    “อ้าวว่าไงเรา เรียนต่อโทเหรอ”

                    “ครับผม  แล้วพี่หล่ะครับไม่คิดจะต่อด็อกเตอร์เหรอ  ผลการเรียนออกจะดีขนาดนั้น  นี่ทุกวันนี้อาจารย์เขายังเอาพี่มาเปรียบเทียบกับพวกผมอยู่เลยนะเนี่ย”

                    “ฮ่า ๆ ๆ ไม่หล่ะ  เหนื่อยแล้ว”

                    “แล้วมากับใครเนี่ยพี่  แฟนพี่เหรอ”  ชายหนุ่มผู้มาใหม่ถาม

                    “เปล่านี่เพื่อนใหม่ที่พี่เพิ่งรู้จักหน่ะ  นี่คุณปัณรส  นักเรียนทุนประเทศไทย  เรียนต่อโทที่นี่”  ชายหนุ่มจัดการแนะนำหญิงสาวกับรุ่นน้องของตัวเอง

                    “สวัสดีครับ  ผม  ชิน  ลีวาน  รุ่นน้องของพี่โซฮอนครับ”  ชายหนุ่มยื่นมือให้หญิงสาวจับ  แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจัยื่นมือมาจับก็ต้องยื่นกลับเสียก่อนเนื่องจากสายตาของชายหนุ่มรุ่นพี่ของเขา

                    ไหนว่าเป็นเพื่อน  แต่ตาดุชะมัด  หวงขนาดนี้ไม่ใช่เพื่อนแหง ๆ’  ชิน  ลีวานได้แต่คิด  เมื่อเห็นปฏิกิริยาของรุ่นพี่

                    “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”  หญิงสาวยิ้มหวานให้ชายหนุ่มที่กลายเป็นเพื่อนคนใหม่ของเธอ  และหันกลับมาคาดโทษชายหนุ่มอีกคนที่กำลังนั่งทานอาหารเช้าอยู่หน้าตาเฉย

                    “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”  หนุ่มรุ่นน้องรู้สึกถึงบรรยากาศมาคุจึงเลี่ยงขาตัวไปก่อน  เพราะไม่อยากอยู่ท่ามกลางสงครามเย็น

                    “คุณเรียนจบที่นี่  ทำไมไม่บอกฉันแต่แรก  ปล่อยให้ฉันโม้อยู่ได้ตั้งนาน”  หญิงสาวพูดกับชายหนุ่มทันที  หลังจากที่ชิน  ลีวานเดินไปไกลแล้ว  ความจริงเธอไม่ได้โกรธเขาหรอก  แต่เธอายเสียมากกว่า  ไม่รู้ว่าปล่อยไก่ไปกี่ตัวแล้ว

                    “ก็คุณไม่ได้ถาม  ผมเห็นคุณพูดมาอย่างนั้นก็เลยไม่อยากจะขัด”  ชายหนุ่มตอบยิ้ม ๆ ไม่สะทกสะท้านกับท่าทีกรุ่นโกรธของหญิงสาวตรงหน้า  ตรงกันข้ามมันกลับยิ่งดูน่ารักน่าหยอกในสายตาของเขา

                    “ก็ได้ ๆ ฉันยอมแพ้แล้วค่ะ  ฉันผิดเองก็ได้”  หญิงสาวพาลประชด  เมื่อเห็นว่าไม่มีทางเถียงชนะ

                    “โอเคครับ  ผมขอโทษเพื่อเป็นการไถ่โทษ  มื้อนี้ผมจะเลี้ยงคุณในฐานะรุ่นพี่  และยอมอยู่เป็นคนขับรถให้คุณอีกหนึ่งอาทิตย์  โอเคมั้ยครับ”

    “ค่อยพอฟังได้หน่อย”  หญิงสาวตอบตกลง  เพราะเห็นว่าดีเหมือนกันเธอจะได้ให้เขาพาไปที่อื่นนอกจากยูด้วย  เพื่อที่เธอจะได้รู้เส้นทางมากขึ้น  ชายหนุ่มยิ้มรับกับความสำเร็จของตัวเอง  หญิงสาวเดินตกหลุมที่เขาขุดเอาไว้อย่างจัง

     

    หลังจากเลิกเรียน  ปัณรสเข้าใจว่าคัง  โซฮอนคงกลับไปแล้ว  เขาคงไม่ได้อยูรอตามที่บอกไว้  จึงเดินไปที่รถจักรยานเพื่อที่จะกลับสถานทูตทันที

    “รอนานแบบนี้ผมคิดค่ารอดีมั้ยเนี่ย”  เสียงทุ้มคุ้นหูเอ่ยขึ้น  เมื่อหญิงสาวเดินมาถึงที่จอดจักรยาน  ชายหนุ่มยังไม่ได้กลับเขานั่งรออยู่จนเธอเลิกเรียน

    “นี่คุณยังอยู่รออีกเหรอ  ฉันเข้าใจว่าคุณกลับไปแล้วซะอีก”

    “ก็ตามสัญญาไงครับ  ผมเป็นลูกผู้ชายนะคุณ  พูดคำไหนคำนั้น”  ชายหนุ่มมีน้ำเสียงเหมือนพูดเล่น  แต่สายตาจริงจังกลับส่งตรงไปที่หญิงสาว

    “ก็เพราะว่าคุณเป็นผู้ชายนี่แหละ  แถมไม่ใช่ผู้ชายธรรมดานะแต่เป็นผู้ชายแก่  ฉันถึงคิดว่าคุณจะกลับไปแล้ว  เพราะเห็นเขาบอกกันว่า  คนแก่มักจะชอบหลอกเด็ก”  หญิงสาวย้อนคำอย่างขำ ๆ เมื่อเช้าหลังจากที่เธอได้พูดคุยกับเขาจึงได้รู้ว่า  ความจริงแล้วชายหนุ่มที่เธอคิดว่าคงอายุยี่สิบปลาย ๆ ถึงสามสิบต้น ๆ แก่กว่าเธอถึง  15  ปี  ตอนนี้เธออายุ  23  นั่นหมายความว่าชายหนุ่มตรงหน้าอายุ  38  ผู้ชายอะไรหน้าเด็กชะมัด  เข้าตำรา ยิ่งแก่ยิ่งดูดี

    “รู้ว่าผมแก่ก็เรียกผมว่าพี่สักทีสิครับคุณรส”  ชายหนุ่มพูดยิ้ม ๆ พร้อมขึ้นประจำที่คนขับให้กับเธอ  แล้วก็ขับจักรยานออกไปทันที

    “เดี๋ยวช่วยแวะร้านขนมตรงหน้ายูก่อนะค้ะ” 

                    “ได้อยู่แล้วคร้าบ  เจ้าหญิง”  ชายหนุ่มพูดอย่างอารมณ์ดีขณะปั่นจักรยานให้เธอนั่งซ้อน  ความทรงจำครั้งก่อนระหว่างเขากับเธอกำลังจะกลับมา  เขาจะต้องทำให้มันกลับมาและรักษามันไว้ตลอดไปให้ได้

     

                    หลังจากเลือกซื้อขนมเป็นของฝากให้อินทิราเรียบร้อยแล้วหญิงสาวให้ชายหนุ่มพากลับสถานทูตทันที  เพราะเธอยากจะไปฟังข่าวเรื่องงานพิเศษของเธอจากอินทิรา 

                    “ขอบคุณนะค้ะที่มาส่ง”  หญิงสาวพูดหลังจากที่ชายหนุ่มนำจักรยานไปเก็บที่ของมันแล้ว

                    “ไม่เป็นไรครับ”

                    “แล้วคุณจะกลับยังไงค้ะ  จำได้ว่าบ้านของคุณไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ นี่เลย”  หญิงสาวจำได้จากเหตุการณ์ที่เจอกับเขาครั้งแรก

                    “เรื่องแค่นี้  สบายมากครับ  อย่าลืมสิคุณ  ที่นี่ถิ่นผมนะ”

                    “ค่ะ ๆ ๆ ไม่ลืมหรอกค่ะ  กลับบ้านดี ๆ นะค้ะ  ฉันเข้าไปข้างในก่อนนะค้ะ”  ชายหนุ่มยิ้มและพยักหน้ารับรอจนหญิงสาวเดินหายเข้าไปในสถานฑูตแล้วเขาจึงกลับ

     

                    “พี่อินค้ะ  ของฝากค่ะ”  ปัณรสทักทายอินทิราพร้อมยื่นขนมที่เธอตั้งใจเลือกซื้อมาให้ตอบแทนที่อินทิราช่วยเหลือเธอเรื่องงานพิเศษ

                    “แหม  น้องรส  ไม่เห็นต้องซื้ออะไรมาฝากเลย  ขอบใจมากนะจ๊ะ”  สาวใหญ่ร่างท้วมรับขนมจากมือหญิงสาว

                    “ทางเค  กรุ๊ป  เขาว่ายังไงมั่งค้ะพี่อิน”

                    “เขาให้น้องรสยื่นประวัติส่วนตัวไปได้เลยจ้า  ส่วนเรื่องภาษาไม่ต้องห่วง  เพราะว่าเป็นบริษัทข้ามชาติใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักจ้า  แต่รู้สึกว่าคนที่สัมภาษณ์เนี่ยจะพูดภาษาไทยได้นะ  เพราะว่าพี่คุยกับเขาแล้วจ้า  อันนี้เป็นสถานที่ที่น้องรสต้องไปสัมภาษณ์งานนะจ๊ะ  เขานัดวันมะรืนนี้น้องรสสะดวกมั้ยจ๊ะ”  สาวใหญ่ยื่นเอกสารและข้อมูลต่าง ๆ ให้ปัณรส

                    “ขอบคุณมากนะค้ะพี่อิน”  ถ้าไม่ติดว่านี่ยังเป็นเวลาราชการที่มีคนอยู่เต็มไปหมดแล้วล่ะก็  เธอคงกระโดดกอดคอแล้วหอมแก้มอินทิราไปแล้ว

                    “ไม่เป็นไรจ่ะ  เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสัมภาษณ์แล้วกันนะจ๊ะ”

     

                    โอกาสมาถึงแล้วปัณรส  เธอจะต้องพิสูจน์ให้แม่เห็นให้ได้ว่า  เธอสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง  ไม่จำเป็นต้องพึ่งผู้ชายคนไหนให้มาดูแลเหมือนอย่างที่แม่เธอคิด  และเธอก็จะไม่ยอมแต่งงานกับใครหน้าไหนโดยที่เธอไม่ได้รักเด็ดขาด  เธอจะต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่า  สิ่งที่เลือกและสิ่งที่เธอทำมันถูกต้องแล้ว


    .......................................................................................................................................................................................

    คนอ่านที่น่ารักขา  ไรเตอร์อยากได้คอมเม้นต์หน่อยค่ะ  ไม่ต้องโหวตก็ได้ค่ะ  อยากได้ข้อติชม  ข้อเสนอแนะ 
    จะได้รู้ข้อบกพร่องของตัวเองหน่ะค่ะ  ช่วยไรเตอร์หน่อยนะค้ะ จุ๊ฟ ๆ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×