คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : chapter III:: rhyme dream
3-
ครืด ครืด
เสียงโทรศัพท์สั่นปลุกให้ตื่นจากภวังค์แห่งฝันเมื่อครู่ เหม่อมองไปที่ปลายสาย กลับเป็นคนที่ไม่อยากจะเจออีกเลยชั่วขีวิต ยิ่งนับวันก็ยิ่งไม่เข้าใจที่เพื่อนชายคนนี้ทำ เขาจงใจแกล้งเล่นๆ หรืออย่างไรกัน นานทีปีหนแทบจะไม่เคยเป็นฝ่ายโทรมาหาเธอก่อน แต่หมู่นี้เขามักจะโทรมาหาเธอบ่อยจนเรียกว่าถี่มาก จะมีเรื่องอะไรให้พูดคุยกันหนักหนาเนี่ย
...รัสตี้...
“ฮัลโหล”
(ไง ...เพิ่งตื่นเหรอ)
“เปล่านี่ มาทำธุระข้างนอก”
(ฮ่ะๆๆ ๆ ล้อเล่นน่า ...เห็นโทรไปหลายสายแล้วไม่รับ กะว่าจะโทรชวนมากินข้าว) แค่โทรมานี่ก็ว่าแปลกแล้ว มาชวนไปกินข้าวก็ยิ่งประหลาดเข้าไปใหญ่ กี่วันแล้วเนี่ยที่รัสตี้เข้ามาในชีวิตเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“อือ”
(เอ้าว่าไงล่ะ)
“ก็ได้”
(อืม งั้นไปเจอกันที่เอสพลานาตนะ)
บ้าไปแล้วจริงๆ เรื่องอย่างนี้มันเกิดขึ้นกับได้ไงเนี่ย ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ เธอเอามือขยี้หัวตัวเองเผื่อว่าจะตื่นขึ้นมาหลายตลบ แต่ก็ไม่กลับทำให้อะไรดีขึ้น ยิ่งทำให้เธอเป็นยายเพิ้งคนหนึ่งนั้นเอง
********************
ก่อนออกจากบ้าน แพตตี้คิดว่าจะไปที่โรงพยาบาลประจำก่อน เพราะคิดว่าจะไปเอาของสำคัญที่ลืมทิ้งไว้ ขณะที่ขออนุญาตคุณแม่เพื่อที่จะออกไปธุระกับรัสตี้ ซึ่งคุณแม่เองกลับไม่ได้ว่าอะไร ทั้งยังเห็นดีงามด้วย ปกติแล้วแม่จะไม่อนุญาตให้ออกจากบ้านไม่ว่าจะเหตุผลใดใดทั้งสิ้น นับตั้งแต่รัสตี้มาบ้านบ่อยๆแค่นั้น
...นายรัสตี้แอบไปหว่านสเน่ห์อะไรแม่ไว้หรือเปล่าเนี่ย...
ระหว่างทางที่ไปถึงหน้าโรงพยาบาล แพตตี้กลับลืมธุระที่แท้จริงของตัวเองไว้ที่พาตัวเองมาที่โรงพยาบาลประจำ เธอเดินออกมาอย่างงงๆ และคิดที่จะไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินไปหารัสตี้ที่นัดกันไว้ที่เอสพลานาตรัชดาภิเษก จนกระทั่งมีพยาบาลสาวคนหนึ่งที่เคยดูแล ก็เลยรู้จักมักคุ้นกันดี วิ่งปรี่ตรงเข้ามา พลางยื่นตุ๊กตาหมีตัวหนึ่งมาให้
“คุณค่ะ ...ตอนนั้นที่คุณลืมทิ้งไว้นะคะ” แพตตี้ที่ตั้งท่าจะเดินออกจากโรงพยาบาลไป หันกลับมามองตุ๊กตาหมีก็นึกถึงธุระสำคัญที่กะจะมาเอาวันนี้ขึ้นได้ เพราะเธอลืมมันไว้ที่โต๊ะข้างเตียงผู้ป่วยนั่นเอง เธอรับมันไว้ในอ้อมกอดหลังจากขอบคุณพยาบาลคนนั้น
"ดีจังนะคะ อาการน่าจะค่อยๆดีขึ้นแล้ว"
"ขอบคุณพี่สาวอีกครั้งนะคะ"
แพตตี้ไม่รีรอรีบล้วงเข้าไปในกระเป๋าหน้าท้องของหมีโคอาล่าที่มีลูกน้อยของมันอยู่ข้างในอีกที ค้นๆหาในที่สุดก็เจอกับกระดาษโน้ตสีขาวของทางโรงพยาบาลที่ใช้มันเขียนที่อยู่ของใครบางคนเอาไว้
“ขอบคุณนะคะ นึกว่าจะหายไปซ่ะแล้ว” เธอโค้งตัวงามเป็นเชิงกล่าวขอบคุณพยาบาลสาวที่ช่วยกระหืดกระหอบเอามาให้
“งั้นก็แสดงว่า ความทรงจำของคุณค่อยๆกลับมาแล้วสินะคะ ยินดีด้วยค่ะ ค่อยๆจำไปนะคะอย่าหักโหมให้มาก ...”
พยาบาลสาวยิ้มหวานๆในท่วงท่านางฟ้าในชุดขาวให้ ทำให้รู้สึกว่าอยากเป็นนางฟ้าอย่างนี้บ้างจัง อยากจะช่วยคนอื่นอย่างนี้ได้บ้าง
“ฉันควรจะกลับไปหาเขาไหม แล้วถามให้ชัดๆไปเลย” ริมฝีปากบางเม้มแน่น พึมพำกับตัวเองพลางมองไปที่นามบัตรนั้น ขณะกำลังจะก้าวออกประตูเลื่อนอัตโนมัติ แต่ว่านี่ก็ใกล้เวลานัดกับรัสตี้ไว้แล้วด้วย เมื่อเหลือบมองไปที่นาฬิกาข้อมือก็ต้องตกใจรีบวิ่งไปลงรถไฟใต้ดินที่ด้านหน้าโรงพยาบาลนี่เอง
“ไว้ค่อยกลับมาหาเขาแล้วกันนะ คงได้พบกันอีกแหละ” เธอมีความรู้สึกอย่างนั้น ว่าเธอกับเขาเหมือนมีอะไรบางอย่างมาผูกพันกันเอาไว้อย่างตัดกันไม่ขาด
********************
++ณ เอสพลานาต++
นี่เราเป็นบ้าอะไรไปเนี่ย อยู่ๆก็พูดไปแบบนั้น ...
รัสตี้รู้สึกหัวเสียตงิดๆ ที่ตัวเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับแพตตี้ ทั้งที่อุตส่าห์วางแผนซ่ะดิบดี กลับความรู้สึกตัวเองที่เป็นฝ่ายทำลายไปโดยที่ตัวเองไม่รู้สึกตัว
"แต่ก็อาจจะจริงก็ได้ล่ะมั้ง" รัสตี้เอ่ยเสียงราบเรียบขึ้นมาแผ่วๆ รอยยิ้มผุดที่มุมปากเพราะดันไปคิดถึงดวงหน้าใสซื่อที่หารู้เรื่องรู้ราว และเพราะใบหน้านั้นเองที่ทำให้เขาเผลอใจหลุดปากสารภาพรักออกไป
"อะไรจริงเหรอ รัสตี้" เสียงที่คิดถึงอยู่ๆก็ลอยมาข้างหู เป็นเหตุให้รัสตี้กระโดดตัวลอยห่างออกไปไกลจากเด็กสาวที่ยื่นหน้าเกือบจะใกล้กัน
"เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก" ผู้หญิงคนนี้ชักจะอย่างไรกันแน่เนี่ย ทำไมส่งผลให้หัวใจเราเต้นไม่เป็นสับอย่างนี้ล่ะ รัสตี้หลับตา สะบัดศีรษะขับไล่ความคิดฟุ้งเฟ้อออกไปแรงๆ
“อ่ะๆ ขอโทษที่มาสายนะ แบบว่า...” แพตตี้ยังคงหอบแฮ่กๆในทันทีที่มาถึงหน้าเอสพลานาตสถานที่นัดพบกับรัสตี้ครั้งแรก หลังจากที่ไม่ได้ไปไหนด้วยกันมานาน รัสตี้ลอบมองใบหน้าคลี่ยิ้มน่ารักจนจำต้องหัวเราะกลบเกลื่อน เปลี่ยนท่าทีเมื่อครู่
“ฮ่ะๆๆ ไม่เป็นไร พักสักหน่อยดีกว่านะ” รัสตี้พาไปนั่งตรงบริเวณซุ้มเกาหลีที่ๆมีโซฟานุ่มๆ เหมือนครั้งหนึ่งที่เราสองคนเคยมาด้วยกัน ครั้งแรกที่ได้มาสัมผัสที่แห่งนี้ อดคิดไม่ได้ว่าเขาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ แค่ยั่วเล่นๆหรือไง
...นายทำอย่างนี้ ไม่กลัวว่าความทรงจำฉันจะกลับคืนมาหรือไงนะ พามาแต่ละที่ ที่เราเคยมาด้วยกันทั้งนั้นเลย...
“หายเหนื่อยหรือยัง จะได้ไปหาอะไรกินกัน เพราะมัวแต่รอเธอ ฉันจึงไม่ได้กินอะไรมาจวนจะเย็นแล้วนี่” รัสตี้พลิกหน้าหนังสือไป พลางแอบมองเพื่อนสาวคนที่มาเปลี่ยนหัวใจเขากะทันหันที่ชายตามองมาด้วยสายตาครุ่นคิด แล้วก็งุดหน้าหลบไปเมื่อสายตาดันสบประสานกัน เหลือบไปมองนาฬิกา แสร้งทำเป็นขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่เพราะรัสตี้นัดไว้แต่เที่ยง นี่จะห้าโมงเย็นแล้ว
“วันนี้ฉันจะเลี้ยงเอง เพื่อเป็นการไถ่โทษที่มาสายนะ”
“อืม...ไม่เอาอ่ะ จะให้แฟนเลี้ยงให้ได้ยังไง ผู้ชายต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงดิ จริงป่ะ” รัสตี้ยิ้มกรุ่มกริ่มที่ทำเอาเดาความรู้สึกไม่ออก เธอนิ่งเงียบมองตามหลังเขาไปติดๆ ไม่เข้าใจจริงๆนี่เขาคิดจริงหรือแค่แกล้งเล่นกันแน่
“...”
“เดินเร็วๆหน่อยสิ หิวแล้ว” รัสตี้ทำเนียนคว้าข้อมือเธอไว้ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นจับมือกัน เธอทำอะไรไม่ถูกก็เลยต้องให้เขาพาร่างแบบบางไปทั้งอย่างนั้น เวลาที่เราอยู่ด้วยกันมันช่างผ่านไปเนิ่นนานเสียจริงๆ
“...”
“ไม่หิวเหรอ เห็นไม่ค่อยจะกินเลยอ่ะ” รัสตี้เอ่ยถามเสียงเรียบๆ ขณะที่เธอค่อยๆคีบผักจิ้มน้ำจิ้ม แล้วจิ้มๆ ในใจนึกดูแคลนตัวเอง จะให้กินลงได้อย่างไรล่ะ เจ้าบ้าเอ้ย นี่ถ้าเกิดความจำเสื่อมไปจริงๆก็คงเชื่อว่านายเป็นแฟนจริงๆล่ะน่ะ
“อืม” ดูท่าเขาจะไม่แยแสกับความมึนงงสับสนของเธอเลย เวลาที่เธอแอบมองเขาก็มักจะยิ้มให้เธอทุกครั้ง จนระเบิดอารมณ์หงุดหงิด หัวเสียเพราะความไม่เข้าใจอยู่ร่ำๆ
...นายนี่ ต้องการอะไรจากเรากันแน่น่ะ...
“เอานี่สิ อร่อยนะ” รัสตี้คีบลูกชิ้นสาหร่ายยื่นมาเกือบจะถึงปากอยู่แล้ว เธอส่ายหน้าก่อนที่จะทำแสร้งไปลุกหยิบของอย่างอื่นมาเพิ่มอีก โอ๊ยไม่ชอบแบบนี้เลย ....ทำไมรัสตี้ต้องทำแบบนี้ด้วยนะ จงใจแกล้งกันหรือไง ไหนจะพามากินข้าวตรงที่เคยมากินด้วยกันอีก ไม่เข้าใจรัสตี้เลยจริงๆ แบบนี้เขาเรียกว่า จงใจยั่วโมโหชัดๆ ....
********************
น่าเบื่อสุดๆ ...
ในห้องสีชมพูหวานแหวว
แพตตี้กลับมาฝังร่างตัวเองให้จมอยู่กับฟูกนิ่มๆภายในห้องของตัวเองอีกครั้ง เสียงเพลงที่ดังกึกก้องอยู่ไม่ได้ดึงความสนใจไปเลยสักนิด
Some people believe love is sacrifice
Some believe it is kind of possession
Some believe it is just a joke for the fool
….but some believe it is the fate, no one can escape
....เมื่อพบคนที่ใช่เราจะรู้แต่วินาทีแรก ว่าเขาคือคนที่ใช่....
นั่นเป็นวลีสั้นๆ ท่อนสุดท้ายของเนื้อเพลงทีถูกตีความไว้อย่างนั้น หลังจากที่หัวใจเธอจะดิ่งวูบ เปล่ากลวง เหงาหงอย แล้วบรรเลงความรู้สึกตามใจตัวเองก็แย่พอแล้ว วันนี้ไม่ขอกลับไปเป็นแบบนั้นอีก ในเมื่อไม่ใช่ก็คือไม่ใช่
ร่างบางพลิกหงาย ก่อนเอามือก่ายหน้าผาก ดวงตาเบิกโพลง ...ขึ้นมองเพดาน ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่รายล้อมตัว ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอทั้งสิ้น นับแต่หลังจากเกิดอุบัติเหตุ อะไรที่เป็นไปไม่ได้ กลับพลิกเหนือความคาดหมาย
ดวงตาคู่งามได้ปิดลงอีกครา นึกอยากจะหลบหนีปัญหาที่รบกวนจิตใจ กลับถาโถมเข้ามาครอบงำซ่ะงั้น โสตประสาทได้ยินเสียงกระดิ่งลมดังกรุ๊งกริ๊งผสานเป็นทำนองที่เคยได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่ง ทำให้สัมผัสได้ถึงหมอกหนาที่มาปกคลุมรอบกาย ...และทันใดนั้นพลันรู้สึกถึงสัมผัสของใครบางคนโอบกอดมาจากทางด้านหลัง เป็นบทเพลงที่ผุดขึ้นมาในหัว
ตุ้บ!
เสียงหมอนตกลงบนพื้น ทำเอาภาพฝันดับสลาย ร่างบางกระตุกวูบเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง วินาทีแรกที่รู้สึกตัว หน้าร้อนผ่าว มือกุมหัวใจที่สั่นไหว เธอรับรู้ได้ทันทีภาพฝันนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก ...ชายหนุ่มหน้าหวาน ผมสีเงินคนนั้น....
*****************
“เวิ่นเว้อจริงๆนะแกเนี่ย ไม่เปลี่ยนไปเลย ฮ่ะๆๆ” นั่นคือคำแรกที่เธอไปเล่าให้ปันหยีฟัง ทั้งๆที่คิดไว้แล้วอาจจะถูกมองว่าเพี้ยน ที่คิดจะหาทางไปพบกับเขาในความฝันอีกครั้ง
“เฮ้ยทำไมพูดงี้อ่ะ” ไม่แปลกใจหรอก แต่ก็อดงอนๆไม่ได้
“แต่ก็ ...สมกับเป็นแกดีแล้วล่ะ ถึงสมองจะกระเทือนแต่ความคิดอ่านไม่ได้กระเทือนตามไปเลยนะ ฮ่าๆๆๆ” ปันหยีแอบยิ้มดีใจที่เพื่อนรักกลับไปเป็นเหมือนเดิม น่ารักใสซื่อ ไร้เดียงสาดังเดิม ....ยิ้มจิเป็นแบบนี้ก็น่ารักพอแล้ว ไม่ต้องเป็นตัวตนแบบที่ใครต้องการหรอก หลังจากวันนั้นถึงปันหยีได้สงสัยการกระทำของรัสตี้สุดๆ คืนนั้นจึงได้โทรไปถามเพื่อน
(อืม...ปันหยีเองหรือ)
"ไม่ต้องมาปันหยีหรือเลย ทำไมนายต้องไปทำร้ายจิตใจเขาด้วยล่ะ"
(เขา...? ใครเหรอ)
"นายนี่มันเซ่อหรือโง่กันนะ"
(มาว่าเราทำไมอ่ะ ก็ไม่รู้จริงๆนี่)
"แพตตี้ไงเล่า !!! นายนี่กวนอารมณ์จริงๆให้ตายสิ"
(อ่อ ทำไมล่ะเราไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย)
"ไอ้เจ้าบ้า ป่านนี้ยังคิดว่าไม่ทำอะไรอีกเหรอ นายคิดว่าตัวเองหล่อเลือกได้แล้วจะทำอะไรตามใจชอบแบบนี้ได้หรือไง ไม่เห็นใจคนอื่นเขาบ้าง อย่างน้อยก็ขอแค่คนที่เคยใส่ใจนายมากหน่อยก็พอ" ปันหยีเดือดดาลสุดๆ กับความเฉยชาของเขา ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของเพื่อนสาวเลย แล้วยังจะมากวนประสาทเธออีก
(อืม แล้วฉันทำอะไรไม่ดีล่ะ เธอถึงได้ไม่พอใจ)
"ฉันไม่อยากพูดกับนายแล้ว แค่นี้นะ" เมื่อสายถูกตัดไป พร้อมกับสติสตังกลับคืนมาอีกครั้ง
“ชิช่ะ...” ปันหยีมองหน้าที่เบือนไปด้านข้างแล้วรู้สึกเจ็บใจแทนจริงๆ ที่รัสตี้ทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้ แพตตี้สะบัดหน้าไปทางอื่น ทำเป็นไม่สนใจ แต่ในเบื้องลึกของหัวใจคิดว่า มันไม่ได้เป็นแค่ความฝันหรอก
“อ่ะจ้า น่ารักจริงๆเลย” ยัยปันหยีเดินปรี่เข้ามาควงแขน ก่อนที่จะเดินไปซื้อซอฟครีมกินกันคนละโคน เดินไปกินไปก็นึกถึงเสียงเปียโนของชายหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง มันทำให้รู้สึกสบายขึ้นจริงๆ
“แต่มันงดงามมากเลยรู้ไหม ฉันอยากให้แกได้ไปเห็นจริงๆ กระเบื้องดินเผาสีแดงสด ทอดยาวไปตามระเบียงแมกไม้ เสียงนกร้องผสานกับเสียงเปียโน ทั้งยังมีกลิ่นหอมๆของขนมอบกับชาร้อนๆสักแก้ว” แพตตี้ยังคงละเมอเพ้อพกถึงภาพในฝันที่มีอยู่จริง
“เพี้ยนแล้วเพื่อนเรา” ปันหยีอดไม่ได้ที่จะเหน็บแนม พลางกัดกินไอติมอย่างไม่สนใจในสิ่งที่เพื่อนซี้พูดมากนัก
“จริงๆนะ สถานที่แห่งนั้น วันหลังฉันจะพาแกไป ชะอุ้ย ..” แพตตี้มัวแต่ถกเถียงกับปันหยี จนเดินไปชนใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง ไอศกรีมที่ถืออยู่ป้ายเต็มเสื้อสูทเขาเลย
“ยัยซุ่มซ่ามเอ้ย ...นอกจากจะเวิ่นแล้วยังจะซุ่มซ่ามอีกนะ ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้” ปันหยีตอกย้ำราวกับเหยียบย่ำคนที่เดินล้มแล้วข้าม เอ้ย กระทืบซ้ำอย่างไรอย่างนั้น
“ขะ ขอโทษจริงๆค่ะ” แพตตี้กุลีกุจอหยิบเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเสื้อที่เปื้อนให้ แต่เขากลับปฎิเสธแล้วตั้งท่าจะถอนตัวออกไป ทั้งที่เสื้อยังเลอะอยู่อย่างนั้น
“ไม่เป็นไรครับ” คนโชคร้่ายคนนั้นกล่าวอย่างนอบน้อมและสุภาพเป็นที่สุด แพตตี้เงยหน้ามองชายหนุ่มผู้โชคร้ายคนดังกล่าว แล้วก็ต้องอึ้ง เมื่อแวบแรกที่เห็นหน้าค่าตาเขา เหมือนกับ ผู้ชายหน้าหวาน ผมเงินคนนั้นที่พบกันตอนนั้นเลย เพียงแต่ว่าเขามีผมสีดำสนิท
“นี่แกๆ เขาไปแล้วล่ะ” ปันหยีสะกิดเพื่อนให้ตื่นจากภวังค์
“หือ?”
“ฉันบอกว่าเขาไปแล้ว”
“อือ ฉันรู้แล้วล่ะ ...แค่คิดอะไรนิดหน่อย” มันไม่ใช่แค่เหมือนนะ แต่ยังกับถอดพิมพ์กันมาเลย
“อืม ..ฉันว่าแกไปคบกับรัสตี้ดีกว่านะ ยังไงเขาก็คงชอบแกจริงๆนะแหละ” คำพูดของปันหยีทำเอาเธอโยนซอฟครีมในมือทิ้งทันที “ดีกว่าแกไปพร่ำเพ้อถึงคนที่ไม่มีตัวตนนะ”
“ไม่เอา ฉันเคยบอกแกแล้วว่า ฉันชอบรัสตี้แบบเพื่อน ไม่อยากจะเป็นมากกว่านั้น” เมื่อรู้สึกตัว จึงก้มลงเก็บซอฟครีมที่ตั้งใจทำหล่น เมื่อภาพรัสตี้ขึ้นมาในบัดดล โทสะจึงกำเริบก็แค่นั้นเอง ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นนามบัตรตกอยู่ จึงหยิบมันขึ้นมาด้วย
“อะไรน๊ะ” ปันหยีชะเง้อคอเข้ามาดูนามบัตรในมือเธอ
“อาจจะเป็นชื่อของผู้ชายคนนั้นก็ได้นะ”
“แล้วไง จะไปตามหาชายในฝันของแกหรือไง” ปันหยีทำสีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทำเป็นล้อเล่นกับเพื่อน
“อือใช่ ...ฉันจะไถ่ถามเขาให้รู้เรื่องไปเลย”
“เพี้ยนแล้ว” แพตตี้ไม่ใส่ใจคำพูดของเพื่อนสาวเพราะเกิดความคิดดีๆฉุกขึ้นมาในหัว และยังรู้สึกว่าก็ยังดีกว่าจมปลักอยู่กับรัสตี้ล่ะน่ะ เมื่อแพตตี้พยักหน้าขึงขังโดยไม่คิดจะเปลี่ยนใจ ส่วนปันหยีก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับท่าทีของเด็กสาวใสซื่อเยี่ยงนี้
****************
ในภวังค์อันเลื่อนลอย แพตตี้เหม่อมองไปที่นามบัตรนั้นสักพักใหญ่ แล้วก็สะดุ้งเฮือกทันทีที่ได้ยินเสียงกล่องเพลงดังเป็นทำนองที่แปลกไปกว่าที่เคยเป็น จะว่าเสียงเพี้ยนก็ไม่ใช่ แต่มันดังเป็นทำนองเพลงที่ชายหนุ่มผมสีเงินบรรเลงในภาพฝัน
“ที่อยู่ในนามบัตรคุ้นๆนะ” แล้วก็ฉุกคิดถึงตุ๊กตาหมีตัวนั้น ที่ตอนนี้ถูกวางอยู่บนหัวเตียง รีบปรี่เข้าไปล้วงในกระเป๋าหน้าท้องดู ได้พบกับกระดาษสีขาวยับยู่ยี่ใบหนึ่ง เมื่อคลี่ออกดูก็ต้องตกใจเพราะเป็นที่อยู่ที่เดียวกันเป๊ะกับในนามบัตรนั้น
“ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญแล้วล่ะ นายมีตัวตนอยู่จริงๆด้วย” เธอใช้มือกุมหัวใจที่เต้นรัวทุกขณะจิต หลับตาเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ฝันไปอีก เมื่อตัดสินใจได้แล้ว จึงรีบสาวเท้าเร็วๆขึ้นแท๊กซี่ไปตามที่อยู่นี้ทันที
...ไม่รู้ว่าเผลองีบ ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่อาจทราบได้ จนฉันมาถึงจุดหมายปลายทางในที่สุด ...
จนมาหยุดยืนอยู่หน้ากำแพงตั้งตระหง่าน ล้อมรอบไปด้วยเครือเถาวัลย์จนดูรกหน้าบ้านไปหมด มองไม่เห็นข้างในบ้านเลย แต่ที่แน่ๆ คือ มีระบบกล้องวงจรปิดครอบคลุมทุกพื้นที่ เหลียวซ้ายแลขวา ตรวจตราบ้านเลขที่แล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด ที่นี่แหละ ...ที่ๆทำให้เธอได้พบกับเขาอีกครั้ง
“ขอโทษค่ะ มีใครอยู่ไหมคะ” สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดใส่ลำโพงข้างๆประตูที่อยู่ติดกับกริ่ง
“ค่ะๆๆๆ ...นั้นใครคะ” เสียงหญิงสาวสูงวัยคนหนึ่ง เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง
“คือขอพบกับ ...” เธอล้วงหยิบนามบัตรขึ้นมาดู แล้วอ่านไปตามชื่อของชายหนุ่มผมดำคนนั้น “...คุณกุญแจฟาค่ะ คือแบบว่าฉันเป็นเพื่อนเขาค่ะ” เธอแสร้งทำเป็นเพื่อนเขาไปก่อน เพื่อจะได้ขอเข้าไปในตัวบ้านง่ายๆ เพราะดูจากสภาพบ้านแล้ว คิดว่าคงไม่ได้เข้าไปง่ายๆหรอก
“คุณชายฟาเหรอค่ะ ตอนนี้ท่านไม่อยู่ค่ะ มีอะไรจะฝากไว้ไหมคะ”
“คือ ...” เอาไงดีล่ะ หรือว่าจะขอตัวกลับไปก่อนแล้วมาใหม่วันหลัง ขณะที่กำลังคิดหาทางอยู่นั้น ก็มีเสียงบีบแตรรถดังมาจากรถสปอร์ตคันงามเรียกดังมาจากทางด้านหลัง ร่างบางสะดุ้งสุดตัว หันไปมองตามที่มาของเสียงนั่น
“คุณมีธุระอะไรกับที่บ้านผมหรือเปล่าครับ”
“!!!!”ตายแล้ว ตัวจริงมา ทำอย่างไรดีล่ะ ทีนี้ เธอถอยจนหลังติดกับประตูรั้ว จนร่างนั้นเผลอไปกดออดส่งเสียงดังลั่นทุ่ง “ขะ ขอโทษค่ะ เออ คือ... แบบว่า”
“ครับ เอ๊ะ...คุณ ที่เข้ามาชนผมตอนนั้นนี่” อัยย่ะ แพตตี้ที่ทำท่าร้อนรนระคนตกใจจนตั้งสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อชายหนุ่มผู้มีนามว่า กุญแจฟา เกิดจำหน้าค่าตาเธอได้ แย่แล้วๆ ทำไงดี เธอร้อนตัวจนควบคุมอาการไม่อยู่ จึงได้แต่ก้มหัวกล่าวขอโทษแบบไม่ยั้งอยู่อย่างนั้น
“เออคือว่า ตอนที่ชนคุณตอนนั้นต้องขอโทษจริงๆค่ะ ...”
“อ่อ เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอกครับ” กุญแจฟายิ้มให้อย่างเป็นกันเอง ท่วงท่าไม่ได้ต่างไปจากเขาคนนั้นเลย นอบน้อมและสุภาพเป็นที่สุด
“แต่ว่า ...ฉันทำเสื้อคุณเลอะหมดเลยนี่”
“อ่อเสื้อนี่ ผมมีสำรองไว้ในรถอีกครับ ไม่ต้องห่วงไปหรอก” ว่าแล้วเขาก็ชี้ไปทางเบาะหลังรถที่นั่งอยู่ “ว่าแต่คุณรู้จักบ้านผมได้ไงครับเนี่ย เออผมว่า เราเข้าไปคุยกันข้างในดีกว่าไหม คุยที่นี่เห็นจะไม่เหมาะ”
“เออ ...ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่จะมาคืนสิ่งที่คุณทำตกไว้นะคะ” แล้วด้วยความตื่นตกใจก็ดันยื่นนามบัตรของเขาส่งให้เฉย ทำเอาเขาเบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจกับสิ่งที่เธอทำ ตามมาถึงบ้านเพื่อเอานามบัตรมาคืนแค่ใบเดียวเนี่ยนะ จะเป็นการลงทุนที่ไม่ค่อยคุ้มเสียล่ะมั้ง ชายหนุ่มแอบยิ้มที่มุมปากกับการกระทำซื่อๆของเด็กสาวแปลกหน้า
“...” แพตตี้อายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีไป ณ จุดๆนี้
“แต่ฉันไม่ได้แค่จะมาเอานามบัตรมาคืนให้คุณเท่านั้นนะคะ ฉันมีเรื่องจะถามคุณด้วย ....” เธอรู้สึกหน้าร้อนผ่าว เลยแสร้งทำเป็นพูดเรื่องอื่น น่าอับอายจริงๆ “คือว่า ...”
“เข้าไปคุยกันข้างในดีกว่าครับ” กุญแจฟาพูดขึ้นยิ้มๆ เพราะรู้ดีว่าการที่เด็กสาวคงไม่ได้แค่มาคืนนามบัตรที่เขาทำหล่นอย่างเดียวเป็นแน่แท้ เมื่อเขาขับรถเข้าไปในตัวบ้าน ทิ้งให้เธอยืนเอ๋ออยู่ข้างนอกในสภาพที่อยากจะเอาหัวหมุดลงไปในดินเป็นขอมดำดิน แล้วหลบไปจากที่ตรงนี้เหลือเกิน แต่ก็เท่ากับเธอมาเสียเที่ยวสิ เมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น
“คุณหนูค่ะ ...คุณชายบอกว่าให้เข้าไปข้างในได้ค่ะ” เสียงแหบแห้งนั้นเป็นของคุณยายคนนั้นนะเอง เธอยกมือขึ้นไหว้งามๆตามกาลเทศะ ก่อนจะขอตัวเข้าไปด้านในบ้าน ไม่สิน่าจะเรียกว่าคฤหาสถ์มากกว่า มันใหญ่โตกว่าบ้านละแวกนี้เกือบสองเท่า
“ไม่ต้องไหว้ป้าหรอกจ๊ะ ป้าเป็นแค่แม่บ้านนะ”
ฉับพลันพอได้เดินเข้าไปตามเส้นทางที่ทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งที่สายตามันใกล้แค่เอื้อม แต่ทำไมหนทางการเดินไปช่าวยาวไกลเหลือเกิน สองเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่ง ในไม่ช้าก็มาถึงประตูใหญ่เชื่อมทางเข้าบ้านที่ยิ่งดูก็ยิ่งโออ่า เหมือนตัวเองเหลือตัวเท่ามด เสียงหอบหายใจเหนื่อยที่ใกล้สายตาแค่นี้กลับไกลระยะทาง
“ทำไมคุณไม่นั่งรถกอล์ฟมาล่ะ” ชายหนุ่มที่มีนามว่า กุญแจฟา เอ่ยเสียงเรียบๆ “เห็นใกล้อย่างนี้ ความจริงแล้วมันไกลกว่าที่คิดนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” อ้าวมีรถกอล์ฟด้วยเหรอ แล้วใครจะไปรู้ล่ะ เมื่อเธอหันกลับไปมองด้านหลังเห็นคุณป้า ไม่สิน่าจะ รุ่นยายมากกว่าคุณยายแม่บ้านขับรถกอล์ฟเข้ามาจอดพอดี
“เมื่อกี้ป้าเรียกแล้ว หนูไม่ได้ยินเหรอจ๊ะ” คุณยายลงจากรถ เดินเข้ามาสมทบกับพวกเรา
“แห่ะๆ.... แบบว่ามัวแต่ชมนกชมไม้อยู่นะคะ แบบบ้านสวยมากค่ะ” เธอหันไปตอบคุณยายที่เรียกตัวเองว่าป้า พลางหัวเราะแห้งๆด้วยความซื่อบื้อของตัวเอง อายยกกำลังสองจริงๆ
“อืมเข้ามานั่งในบ้านก่อนสิ” กุญแจฟาเชื้อเชิญเด็กสาวที่ยืนกระสับกระส่ายให้เข้าไปในตัวบ้าน
“เออไม่เป็นไรค่ะ คุยกันตรงนี้ก็ได้ แบบว่าสวนสวยดีค่ะ”
“อือได้ เดี๋ยวป้าช่วยยกน้ำชามาให้ที่สวนทีนะ” กุญแจฟาไม่ปฏิเสธคำขอของเธอ หันไปสั่งคุณยายแม่บ้านคนนั้น ก่อนจะนำพาเธอไปที่สวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ เธอเร่งฝีเท้าก้าวเข้าไปอย่างไม่รีรอ กลิ่นหอมอ่อนๆโชยมากระทบฆานประสาทช่วยให้จิตใจสงบอย่างน่าประหลาด
“คุณมีเรื่องอะไรจะถามผมเหรอ” มัวแต่ชมความงามตามธรรมชาติอยู่ เลยไม่ได้สังเกตุว่ามีคนอยู่ข้างๆด้วย เธอหันหน้าไปยิ้มแห้งๆให้กับบุคคลตรงหน้า ก่อนจะมุ่งตรงเข้าประเด็นเลย
“คือว่า ...คุณรู้จักผู้ชายที่มีผมสีเงินแล้วอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ไหมคะ” เธอไม่รีรอถามแบบอ้อมๆ พุ่งเข้าเรื่องเลยดีกว่า พอถามไปแบบนั้นดู ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก ก่อนทำท่าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ดูเหมือนว่าเขาลำบากใจที่จะพูด เพราะดูจากสีหน้าที่ดูร้อนรน “ถ้าลำบากใจก็ ไม่...”
“คุณคงหมายถึง กุญแจซอลสินะ” เขาก้มหน้านิ่ง สีหน้าที่ดูขึงขัง แววตาไม่ต่างจากชายหนุ่มผมสีเงินเลยที่พบในฝันเลย เธอกุมหัวใจที่เต้นรัวนับแต่ได้คิดถึงเขา ซึ่งความรู้สึกมันต่างจากที่เคยคิดถึงรัสตี้ เพื่อนชายคนสนิท
“กุญแจซอลเหรอคะ?” เธอเอียงคอเป็นเชิงถาม
“อืม...เขาเป็นน้องชายฝาแฝดผมเอง” ฉับพลันทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงทำนองเพลงลอยมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เป็นเสียงบรรเลงเปียโนของชายหนุ่มผมเงินคนนั้นแน่ๆ
It is only with the heart
that one can see rightly
what is essential is invisible to the eye
“เสียงนั้นไง คุณได้ยินไหมคะ” เธอเงี่ยหูฟัง แล้วก้าวเท้าฉับๆตามเสียงนั้นไปอย่างไม่รู้สึกตัว
“เอ๊ะนั่น...คุณนั้นจะไปไหนครับ” เธอไม่ได้ยินแม้แต่เขาจะเรียกให้หยุด เหมือนทำนองเพลงนี้มีเวทมนตร์อย่างไรอย่างนั้น เด็กสาวยังคงเดินตามเสียงเพลงไปอย่างไร้ล่องลอย จนเขาคว้าข้อมือเธอเอาไว้ เรียกสติทุกอย่างกลับคืนมา
“...”
“ไม่เห็นมีเสียงอะไรเลยนี่ครับ”
“แต่ฉันได้ยินจริงๆนะ อยู่บนนั้น” เธอชี้นิ้วไปที่ระเบียงชั้นสอง ที่ตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยพรรณไม้เลื้อยยั้วเยี้ยไปหมด แทบจะบดบังห้องนั้นไปจนหมด ชายหนุ่มเหงื่อแตกพลั่กในวันที่ลมพัดโชยน่าเย็นสบายเช่นนี้
“...”
“คุณคะ?” เธอเป็นฝ่ายเรียกสติเขากลับมาบ้าง เมื่อเห็นเขานิ่งเงียบไปราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“เขาไม่อยู่ที่นี่แล้วครับ” ชายหนุ่มปาดเหงื่อที่ท่วมตัว แล้วนั่งลงไปกองกับพื้นโดยไม่ใส่ใจเสื้อสูทอย่างดีจะเลอะคราบโคลนหรือไม่
“หมายความว่ายังไงค่ะ” เธอไม่เข้าใจการกระทำของเขาจริงๆ ทั้งที่เมื่อกี้บอกว่าเป็นน้องชาย แต่ตอนนี้กลับบอกว่าไม่อยู่
“คุณอาจจะฝันไป เพราะเขาไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ...” เธอจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แล้วภาพที่เห็นอยู่บ่อยๆล่ะ จะให้อธิบายว่าอย่างไร เธอเข่าอ่อนยวบลงไปนั่งแหมะกับพื้นเช่นเดียวกันกับเขา
....หมายความว่าอย่างไรที่บอกว่า เขาคนนั้นไม่มีชีวิตอยู่แล้ว งั้นที่ผ่านมาสิ่งที่ฉันเห็นคืออะไรกันล่ะ ????....
ความคิดเห็น