ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ ๔

    • อัปเดตล่าสุด 28 มิ.ย. 54


     ตอนที่๔

     

           สีเภาว่าสังหารเจียงหัมแล้วจะทำเช่นใดต่อ  กำฮอดและพะสินนิ่งอยู่   สีเภาว่าคนไทเราเองยังไม่สามัคคีเลยขุนส่าข้ารับใช้จิ๋นจากแคว้นข่านุไม่ร่วมข้างเราแน่นอน   เจ้าพลายแห่งแคว้นเงินยาง   แคว้นยุโร   ทองด้วงแห่งแคว้นลือ สามแคว้นใหญ่นี้มิรู้ว่าอยู่ข้างไหนแน่ชัด   ชาวจิ๋นต้องกลับมารุกรานเราอีกแน่นอนเมื่อถึงตอนนั้นสิบสองพันนาจะพินาศเป็นแน่แท้ด้วยเหตุที่ว่าเรายังไม่มีผู้นำเด็ดขาด    กำฮอดและพะสินเห็นด้วยแล้วว่าข้าทั้งสองผิดเอง    พะสินจึงว่าข้าจะกลับไปว่ากล่าวแก่เจ้าเมืองลือให้ช่วยชาวเชียงแสรบกับพวกจิ๋น   พวกสูทั้งสองจงคิดหาวิธีชักชวนแคว้นที่เหลือเถิด  กำฮอดจึงให้ผาเมืองที่มาจากแคว้นยุโรให้ไปว่ากล่าวกับเจ้าเมืองของตนให้ร่วมมือกับชาวเชียงแส   กำฮอดนั้นนอนคิดเรื่องผู้นำที่สีเภาว่าใครกันที่จะเหมาะสมจนเผลอหลับไป  และฝันไปว่า  มีผู้เฒ่าแขนเดียวแต่งกายสีขาวมาเรียกกำฮอดๆ  สูออกมาพบกับข้าเสียหน่อยเถิด    กำฮอดออกไปหน้าบ้านแล้วถามว่าผู้เฒ่าคือใครกันผู้    เฒ่าตอบข้าคืออสูรกายที่อยู่ ณ ทุ่ง ลาดขวัญข้าสิ้นใจในศึกปกป้องสิบสองพันนาข้าร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับบิดาสูแลข้าสละแขนไปพร้อมกับชีวิตข้า    แต่พวกข้าปกป้องดินแดนเราไว้ไม่ได้เพราะความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนไท   จนทำให้พวกสูเดือดร้อนจนทุกวันนี้  ข้ามาเพื่อจะบอกสูว่าพรุ่งนี้สูจงไปดักรอชายผู้นึงที่ประตูเมืองทิศเหนือ    และสูจะได้พบกับผู้นำของสู   และผู้ที่เฒ่าก็หายตัวไป   กำฮอดสะดุ้งตื่นและยินดียิ่งที่บรรพบุรุษชาวไทช่วยเหลือ

     

                   รุ่งขึ้นกำฮอดจึงชวนสีเมฆไปที่ประตูเมืองทิศเหนือตามคำที่ผู้เฒ่านั้นบอก  ทั้งสองคอยตั้งแต่เช้าจรดเย็นก็ไม่เห็นมีใครอื่นนอกจากชาวเมือง  พอทั้งสองกำลังจะกลับสีเมฆเหลือบไปชายผู้หนึ่งขี่เกวียนมาจากทิศเหนือหน้าตาไม่คุ้นเคยเสื้อผ้านั้นเก่าแต่สะอาดกว่าชุดใหม่ด้วยซ้ำท่วงท่ากิริยาดุจผู้มีความรู้   ทั้งสองจึงเข้าถามว่าสูคือใครกันไฉนจึงมิเคยเห็นหน้า   ชายผู้นั้นตอบว่าข้าชื่อกุมภวา  ข้าเป็นชาวเชียงแสแต่กำเนิด   แต่ข้าเที่ยวหาความรู้ในเมืองจิ๋นตั้งแต่ยังเล็ก  ข้านั้นมาช่วยสูรบกันชาวจิ๋น  กำฮอดดีใจยิ่งนักที่ได้พบผู้มีความรู้ตามคำของบรรพบุรุษจึงว่า   สูจงไปคุยกันที่บ้านข้าเถิดครั้นถึงบ้านกำฮอดและสีเมฆจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กุมภวาฟัง   กมุภวาจึงว่าพวกท่านทำถูกแล้วขอให้รอจนกว่าจะได้ข่าวจากผาเมืองและพะสินเสียก่อนเถิดจึงจะคิดการ

     

             ที่เมืองลือทองด้วงผู้เป็นเจ้าเมืองนั้นอยากประกาศเอกราชจากจิ๋นมานานแล้วแต่มิรู้จะทำประการใดพอได้ฟังเรื่องของพะสินจึงดีใจยิ่งนัก และกล่าวว่าตัวข้าคิดเช่นสู  พะสินเราควรช่วยเชียงแสแต่ตัวข้านี้ชรานักเห็นจะนำทัพมิได้ตัวข้ามีลูกสาวอยู่คนหนึ่งหากสิ้นพ่อแล้วเห็นทีจะไร้ที่พึ่งขอให้สูแต่งงานกับลูกสาวข้าแล้วขึ้นครองเมืองเถิด   สูจะได้ทำการสะดวกขึ้น  พะสินว่าข้ารับไม่ได้ตัวข้านี้ยังไม่ได้รับเลือกจากชาวเมืองลือและมิได้เป็นที่นับหน้าถือตาของชาวลือแต่อย่างใด  ทองด้วงว่า สิ่งที่สูกำลังทำนี่อยู่สิน่านับถือที่สุดแล้วคนไทจะได้เป็นไทเสียที   ทองด้วงจึงเรียกลูกสาวของตนแว่นทองออกมาพบกับพะสิน  พะสินนั้นเห็นนางแว่นทองงามยิ่งนักผิวพันขาวสะอาดดุจสำลีก็มิปานจึงตกลงรับข้อเสนอของทองด้วง   แต่มีข้อแม้ว่าจะมารับแว่นทองไปอยู่ด้วยก็ต่อเมื่อไม่มีชาวจิ๋นบนแผ่นดินไทแล้ว

               ฝ่ายผาเมืองที่ไปเมืองยุโรนั้นก็ไปเข้าพบที่ประชุมของเมืองยุโร   ได้ความว่าชาวยุโรจะมอบทหารแก่ผาเมืองเป็นจำนวน  5000 คน ผาเมืองยินดีนัก  จึงให้คนนำสารของตนไปแจ้งข่าวแก่กำฮอด  เมื่อสารของผาเมืองและพะสินมาถึงนั้นกำฮอดยินดีนักแลนำให้กุมภวาดู  กุมภวาดูแล้วจึงว่าคราวนี้ละคนไทจะได้เป็นไทจริงๆเสียที  การกวดขันของทหารจิ๋นถดถอยลงแล้วขนาดสารอันจะนำความพินาศมาสู่พวกมันเดินทางมาพร้อมกันถึงสองฉบับพวกมันยังหารู้ตัวไม่ข้าได้ข่าวจากคนที่ทำงานในจวนข้าหลวงว่าอีก3วันเจียงหำจะออกล่าสัตว์วันนั้นแลคือวันลงมือของเรา   กุมภวาจึงส่งสารให้ผาเมืองว่าอีสามวันสูจงยกทหารมาดักซุ้มรอเจียงหัมอยู่หลังเขาภูสันตองทางไปป่าขโมดถ้าเห็นขบวนของเจียงหำเมื่อใดให้โจมตีตัดกลางขบวนอย่าให้หัวท้ายช่วยกันได้ต้อนทหารจิ๋นไปทางแม่น้ำโขงเสียและให้ทัพของพะสินซุ้มรออยู่เหนือแม่น้ำขึ้นไปเพื่อตีกระนาบทัพของชาวจิ๋นให้ร่วงลงแม่น้ำไป    แล้วกุมภวาจึงว่าแก่กำฮอดว่า สูจงเกณชาวเมืองเชียงแสที่ใช้ดาบเป็นแลติดอาวุธเท่าที่จะหาได้เผาจวนข้าหลวงเสียเมื่อสูเห็นว่าถึงแก่เวลาคุมเชิงในเมืองเชียงแสอย่าให้ทหารจิ๋นออกไปช่วยเจียงหัมได้  กำฮอด สีเภา สีเมฆ สีหมอก  จึงแยกย้ายกันไปนัดหมายไพ่พล

     

                   ครั้นถึงกำหนดเจียงหัมจึงออกล่าสัตว์เจ้าป่าเจ้าเขารู้ในความชั่วของเจียงหัม   จึงบรรดารกวางป่าสีขาวดุจหิมะวิ่งตัดหน้าเจียงหัมไปตามเส้นทางที่ทัพของผาเมืองดักคอยอยู่    ส่วนเจียงหัมคิดว่ากวางสีเผือกเช่นนี้มิเคยเห็นชะลอยเทพยดาจะส่งมาให้เรากระมัง  จึงสั่งทหารมุ่งหน้าตามกวางเผือกตัวนั้นไป   ผาเมืองเห็นได้ที  จึงตะโกนไปว่าเจียงหัมสูมิต้องให้คนตามล่าข้าอีกแล้วแล้วแลนำทัพเข้าโจมตีทันทีทหารจิ๋นมิทันตั้งตัวจึงแตกหนีไปทางแม่น้ำโขง

     

                ฝ่ายกำฮอดรวมชาวไทได้พันเศษครั้นเห็นเจียงหัมยกออกไปจนเที่ยงแล้วยังไม่กลับจึงเผาจวนข้าหลวงจิ๋นตามที่นัดหมายแลนำทหารไทไล่ฟันทหารจิ๋นตายไปราวห้าร้อยแลยึดประตูเมืองทั้งหมดได้แต่ขณะนั้นมีนายทหารจิ๋นชื่อซุนเจ้งซุนเจียวสองพี่น้องสั่งการทหารจิ๋นอย่างเข้มแข็งนักให้ฝ่าทหารไทไปทางประตูทิศตะวันออกเพื่อไปพบทัพของเจียงหัม  สีเมฆสีหมอกเห็นจึงเข้ารบด้วยซุนเจ้งซุนเจียวแต่ทหารจิ๋นฝ่าประตูออกไปได้เสียก่อนกำฮอดจึงสั่งสีเภาสีเมฆสีหมอกติดตามไปส่วนตัวกำฮอดและกุมภวาจะอยู่รักษาเมืองเชียงแส 

     

                  พอซุนเจ้งซุนเจียวออกจากเมืองมาได้สั่งนับไพร่พลเหลือทัพม้า 700  พลเท้า 4000 เศษเดินทางมาตามหาเจียงหัมแต่ไม่พบ  ซุนเจียวผู้น้องจึงว่าทัพไทคงมาดักตีทัพของเจียงหัมเป็นแน่   ทันใดนั้นมีเสียงม้าควบมาข้างหน้าแลข้างหลังพร้อมกันข้างหน้าเป็นทหารของเจียงหัมถูกสั่งให้มาตามทัพไปช่วยเหลือด้านหลังคือทัพไท  ซุนเจ้งจึงบอกแก่ซุนเจียวว่าอย่างไรเสียเราก็เสียเมืองเชียงแสแล้วยกทัพไปช่วยท่านข้าหลวงก่อนเถิด ทัพของเจียงหัมน่าจะมีทหารไม่ต่ำกว่า 6000นายรวมกำลังได้เมื่อไหร่ค่อยวกกลับมาตีเชียงแสอีกครา

                 เจียงหำครั้นหนีมาถึงริมแม่น้ำโขงทหารจิ๋นนั้นวิ่งมาไว้ไม่หยุดกระหายน้ำอย่างหนักต่างคนต่างกรุกันดื่มน้ำ   แต่พักยังไม่ทันหายเหนื่อยดี    ทัพของผาเมืองและพะสินก็ยกมาโจมตีกระหนาบทัพจิ๋น    ฝ่ายจิ๋นนั้นได้เปรียบด้วยทหารฝึกมาอย่างดีแลอาวุธดีกว่าแต่ฝ่ายไทนั้นสู้ด้วยใจเพื่อความอิสระของตัวเองเมื่อตนอ่อนแรงเมื่อใดจะนึกถึงเพื่อนที่ร่วมรบอยู่ด้วยกันแลครอบครัวที่เมืองของตนทำให้แรงที่ฟาดฟันอ่อนลงนั้นกลับมาแรงยิ่งขึ้นไปอีกพร้อมตะโกนว่าเป็นอิสระๆ  ซากศพของทั้งไทแลจิ๋นก่ายกันดั้งขอนไม้เลือดไทแลจิ๋นทับถมกันจนแยกไม่ออกว่าศพไทหรือศพจิ๋นมากกว่ากัน

                 ซุนเจ้งซุนเจียวพอตามทัพเจียงหัมมาจนได้ยินเสียงการสู้รบ  จึงสั่งตีกระหนาบทัพไท  สีเภาสีเมฆสีหมอกที่ตามหลังมาก็สั่งบุกเช่นกันตะลุมบอนกันเอิกเกริก  ต่างฝ่ายต่างสู้กันจนหาได้สังเกตว่าน้ำในแม่น้ำโขงนั้นท่วมเท้าทุกคนอยู่   ทันใดนั้นทหารจิ๋นเริ่มรู้สึกว่าทัพไทมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกทีๆฝ่ายไทเองก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองนั้นมิรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและคนไทผู้หนึ่งตะโกนว่าสีเมฆๆข้าพบสร้อยทอง  สีเมฆจึงผละจากคู่ต่อสู้แล้วตามหาสร้อยทองทันที   แลกล่าวว่าไหนนางอยู่ไหน  แะลนางก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าสีเมฆ  แลกล่าวกับสีเมฆว่า  สูทำให้ข้าภูมิใจนักสูสู้เพื่อคนไท  ข้านั้นได้กลายเป็นภูตน้ำในแม่น้ำโขงเทพยดาฟ้าดินเห็นใจสูนักจึงให้ข้ามาช่วยสูและบัดนั้นเองแม่น้ำโขงก็ดึงร่างทหารจิ๋นทุกคนลงสูแม่น้ำโขงเหลือเพียงเจียงหัมซุนเจ้งซุนเจียวแลทหารจิ๋นบางส่วนที่มิเคยทำร้ายคนไท

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×