คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ฟิคสั้น: แพ้คำว่ารัก (คิลxโร)
ฟิคเรื่องนี้เกิดขึ้นมาจากกานนี่น้องสาวผู้น่ารักคนหนึ่งขอให้เราเขียนฟิค คิลxโร ให้อ่านค่ะ แต่พอเราคิดไม่ออกไม่รู้จะเขียนอะไรเลยขอให้น้องเลือกเพลงที่ชอบมาเพลงนึง แล้วน้องก็เลือกเพลงแพ้คำว่ารักมาให้ ซึ่งเป็นเพลงที่...เอิ่มมม ทำให้เราช็อคอยู่เป็นวันเลยทีเดียว เพราะเนื้อเพลงมันเป็นอะไรที่ไม่เข้ากับนิสัยของไอ้คู่นี้มันมากกกกกก ทั้งคิลและโรไม่ใช่คนที่จะบอกรักใครได้ง่ายๆ นะ! TT.TT
แต่สุดท้ายเราก็เค้นทุกอย่างเขียนออกมาเป็นแบบนี้จนได้ เป็นมุมมองของการ "แพ้คำว่ารัก" ในอีกมุมหนึ่ง แพ้คำว่ารักในแบบของ คิลxโร อาจจะไม่ตรงกับอารมณ์เพลงมากนักก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ T.T สนุกไม่สนุกยังไงลองอ่านกันดูนะคะ ^^
แพ้คำว่ารัก...
ห้องนั่งเล่นของป้อมอัศวินในเวลาตีสองแลดูแปลกตาไป เมื่อไร้ซึ่งเสียงเอะอะโวยวายของเหล่าลิงทโมนประจำป้อมอย่างเคย คิล ฟิลมัสเปิดประตูเข้ามาข้างใน ก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างเนือยๆไม่คิดแม้แต่จะเปิดไฟให้ห้องที่มืดมิดสว่างขึ้นมาด้วยซ้ำ
“ถอนหายใจเฮ้อๆ แถมยังออกมาอยู่คนเดียวดึกๆดื่นๆแบบนี้ คราวนี้คุณนักฆ่าคนเก่งกลุ้มอกกลุ้มใจอะไรอยู่ล่ะเนี่ย?” เสียงทักที่ทำให้นักฆ่าคนเก่งต้องขยับตัวนิดๆในความมืด ก่อนที่ริมฝีปากจะระบายยิ้มน้อยๆเมื่อรับรู้ได้ว่าคนต้นเสียงนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกตัวไม่ไกลจากเขานัก
“โร เซวาเรส?” คำเรียกที่ทำให้คนถูกเรียกได้แต่ยิ้มรับแต่ก็ไม่คิดที่จะเอ่ยเสียงตอบกลับ ในขณะที่คนเป็นนักฆ่าเองก็ไม่คิดที่จะต่อบทสนทนาใดๆเช่นกัน ความเงียบดำเนินอยู่อย่างนั้นเรื่อยไปท่ามกลางความมืดที่ยังคงโรยตัวอยู่รอบๆ จนในที่สุดคนเป็นนักฆ่าก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายชวนคุยก่อน
“ก็ขนาดขอทานยังมีอารมณ์มานั่งเหม่ออยู่คนเดียวมืดๆได้ แล้วทำไมนักฆ่าจะออกมานั่งถอนหายใจตอนดึกๆบ้างไม่ได้ล่ะ?” ประโยคกวนๆที่ส่งให้ทำให้รอยยิ้มสวยปรากฏบนใบหน้าของคนตัวเล็กก่อนที่จะเอ่ยคำถาม
“รู้ได้ไงว่าฉันนั่งเหม่อ?”
“ก็…เดาเอา”
“ฮ่าๆ คำตอบไม่สมกับเป็นนายเลยแฮะ”
“ก็นะ”
“…”
“…”
“โร/คิล”
“นายพูดก่อนก็ได้ / นายพูดก่อนสิ” ประโยคสองประโยคที่ถูกกล่าวออกมาพร้อมๆกันทำให้เจ้าของคำพูดสองคนอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เสียงหัวเราะใสๆของคนตัวเล็กกับเสียงทุ้มๆของคนตัวใหญ่กว่าดังอยู่ท่ามกลางความมืดในห้องนั่งเล่นเล็กๆนั้นซักพัก ก่อนที่ความเงียบจะกลับมาทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง
“…”
“…”
“ไอ้คำว่า ‘ความรัก’ เนี่ยมันเป็นความรู้สึกยังไงกันนะ?”
“หือ?” ประโยคคำถามที่อยู่ๆก็ถูกส่งมาจากนักฆ่าทำให้คิ้วเรียวของคนเป็นขอทานต้องมุ่นขึ้นนิดๆ ใบหน้าหวานมองไปยังตำแหน่งของคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลนักแต่เพราะความมืดที่โรยตัวอยู่ในบรรยากาศทำให้ไม่อาจจะรู้ได้ว่านักฆ่าคนข้างๆเขากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ “ความรักกับนักฆ่า…ฟังดูไม่ค่อยจะเข้ากันเท่าไหร่นะ”
“ฮ่าๆ นั่นสินะ”
“…”
“…”
“ไปตกหลุมรักใครเข้าหรือไงคิล ฟิลมัส?” คนถูกถามยิ้มนิดๆก่อนที่จะส่งคำตอบกึ่งเย้ากึ่งยั่ว
“อืมมม ก็อาจจะใช่หรืออาจจะไม่ใช่” คำตอบที่ทำให้หัวใจของคนฟังแกว่งไหวอย่างที่เจ้าตัวเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ถึงอย่างนั้นบนใบหน้าสวยก็ยังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มในขณะที่ริมฝีปากบางเอ่ยคำถาม
“ใครกันนะที่ทำให้ทายาทนักฆ่าตระกูลดังหวั่นไหวได้แบบนี้?”
“แล้วขอทานผู้แสนฉลาดคิดว่าใครคนนั้นคือใครล่ะ?”
“อาจจะเป็น…เจ้าหญิงเรนอนคนสวย?...ล่ะมั้ง”
“แล้วทำไมต้องเป็นเรนอน?”
“ก็แล้วใครจะไปรู้ใจนักฆ่าได้ล่ะ?” คำตอบติดจะแข็งๆอย่างที่ทำให้คนเป็นนักฆ่าต้องหลุดเสียงหัวเราะขำๆ เสียงหัวเราะที่ทำให้โร เซวาเรสอยากจะสาปไอ้เจ้าของเสียงให้มันกลายเป็นโคมุสไปซะเดี๋ยวนั้น ขอทานหน้าหวานค้อนให้กับความมืดน้อยๆก่อนที่จะเอ่ยคำพูดแผ่วเบา
“ความรักน่ะ…ฟังแล้วมันอาจจะดูยิ่งใหญ่ก็จริงนะ” เสียงหัวเราะของใครอีกคนเงียบลงไปก่อนที่ใครคนนั้นจะค่อยๆหันมามองคนพูด…ถึงแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นว่านัยน์ตาสีเขียวคู่สวยนั้นกำลังฉายประกายแบบไหนอยู่…แต่ความมืดก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ขวางกั้นให้เขารับรู้ถึงอารมณ์ของคนพูดไม่ได้ “แต่จริงๆแล้วมันอาจจะเป็นสิ่งที่ร้ายกาจมากที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมาก็ได้…”
“พูดอย่างกับว่านายเคยมีความรักอย่างนั้นแหละ” คำดักคอที่ทำให้โรถึงกับต้องอมยิ้ม
“แล้วอะไรทำให้นายคิดว่าฉันไม่เคยมีล่ะ?”
“ก็…ไม่รู้สิ แต่ถ้านายมีความรัก…ฉันก็คงต้องยินดีด้วย” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาติดจะแผ่วเบานิดๆอย่างที่ทำให้คนฟังถึงกับต้องกลั้นยิ้มแต่มันก็ทำได้ยากยิ่งนัก ใบหน้าสวยของขอทานในตอนนี้จึงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างที่เจ้าตัวนึกขอบคุณความมืดยิ่งนักที่ช่วยทำหน้าที่ปิดบังไม่ให้ใครอีกคนได้เห็นมันแบบนี้
“ฉันมันขี้ขลาดเกินกว่าที่จะกล้าทำความรู้จักกับคำว่ารัก…”
“…”
“เพราะมันเป็นคำที่มีอิทธิพลต่อจิตใจของมนุษย์มากเกินไป….อันตรายเกินไป…อันตรายจนน่ากลัว”
“ไม่น่าเชื่อว่าขอทานผู้ยิ่งใหญ่แห่งทริสทรอจะหวาดกลัวความรักแบบนี้ได้”
“ฉันไม่ได้กลัวความรัก”
“แล้ว?” คำถามลอยๆจากนักฆ่าอย่างที่หวังจะขอคำอธิบายแต่คนที่ควรจะต่อประโยคกลับเปลี่ยนเรื่องพูดไปซะอย่างนั้น
“ว่าแต่นายเถอะ สรุปว่าอะไรกันที่ทำให้นักฆ่าเกิดอยากจะทำความรู้จักกับความรักขึ้นมา?” การเปลี่ยนเรื่องพูดที่ทำให้คิลถึงกับต้องหัวเราะขำๆก่อนจะยอมเอ่ยตอบดีๆอย่างที่ไม่อยากจะชวนคนตัวเล็กทะเลาะ
“ก็มันมีเรื่องให้ต้องสงสัยนิดหน่อยน่ะ”
“หืม?”
“ก็…นักฆ่าอาจจะกำลังตกหลุมรักอยู่ไง” น้ำเสียงอ่อนโยนที่เอ่ยตอบทำให้คนฟังเดาไม่ออกว่าไอ้นักฆ่างี่เง่าคนพูดมันพูดจริงหรือว่าแค่ยั่วเขาเล่นๆเหมือนที่มันชอบทำกันแน่
“ถ้านายยังใช้คำว่า ‘อาจจะ’ อยู่ก็อย่าพูดมันออกมาเลยคิล ฟิลมัส” ดวงตาสีเขียวคู่สวยของคนพูดได้แต่เหม่อมองความมืดตรงหน้า แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่อาจรู้ได้ว่าตอนนี้ตัวเขากำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหนกันแน่? “ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม นายก็ไม่ควรจะไปรังแกเขาด้วยคำคำนั้น”
“….”
“แปลกนะคิล…แค่คำคำเดียวแท้ๆ ทั้งๆที่มันเป็นคำพูดแค่คำเดียว แต่มันกลับทำให้คนฟังมีความสุขได้มากมายพอๆกับเสียใจได้เท่าๆกัน”
“เรื่องนั้นมันไม่แปลกหรอกก็มันเป็นเรื่องปกติของโลกใบนี้ไม่ใช่หรือไง? แต่ที่แปลกก็คือคนต่างหาก ทั้งๆที่รู้อย่างนั้นแต่มนุษย์ทุกคนก็ยังคงโหยหาคำว่ารักอยู่ดี”
“มนุษย์ทุกคน…รวมถึงนักฆ่าบางคนด้วยสินะ”
“แล้วก็คงจะไม่ยกเว้นขอทานบางคนด้วย”
“หึหึ”
“หรือว่านายจะปฏิเสธล่ะ?”
“แม้แต่คนที่ถูกเรียกว่าเป็นปราชญ์ผู้ปราดเปรื่องยังต้องจบชีวิตลงเพราะคำว่า ‘รัก’ แล้วฉันที่เป็นแค่ขอทานตัวจ้อยจะเอาอะไรไปต่อกรกับความรักได้?”
“….”
“ฮ่าๆ พูดไปนักฆ่าอย่างนายก็คงจะไม่เข้าใจหรอก” ประโยคที่ทำให้คนเป็นนักฆ่าถึงกับต้องยกมือขึ้นเกาหัว
เฮ้อ ไอ้ประโยคนี้อีกแล้ว…ทำไมขอทานของเขาถึงได้ชอบพูดประโยคนี้นักนะ?
“ทำไมนายขยันดูถูกสติปัญญาฉันจัง? ถึงฉันจะไม่ใช่ห้องสมุดเดินได้เหมือนใครบางคนแถวนี้แต่ก็ไม่ใช่คนเข้าใจอะไรยากขนาดนั้นน่า”
“ฮ่าๆ” คนเป็นห้องสมุดเดินได้หัวเราะขำๆกับคำประชดของเพื่อน “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“แล้วนายหมายความว่าไง?” คำถามที่คนฟังไม่คิดจะตอบ โรเพียงแต่ยิ้มน้อยๆแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงขาเรียวพาเจ้าของก้าวเดินแต่ในขณะที่กำลังจะเดินผ่านใครบางคนไปยังประตูห้องนั้นข้อมือเล็กก็ถูกมือใหญ่ๆจับเอาไว้ซะก่อน
“โร”
“ฉันจะกลับห้องแล้ว”
“…”
“…”
“ถ้านายไม่ได้กลัวคำว่ารัก…แล้วนายเกลียดมันรึเปล่า?...” คำถามจากนักฆ่าเรียกได้แต่เพียงแค่ความเงียบ ราวกับว่าทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่งไป…คนถามยังคงยืดข้อมือเล็กของคนอีกคนไว้อย่างนั้นทั้งๆที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม…รอคอยคำตอบจากคนที่ถูกถาม…
คนถูกถามที่ยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น…นัยน์ตาสีเขียวค่อยๆปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนล้า…
นั่นสินะ…เขาเกลียดคำว่า ‘รัก’ รึเปล่า? แม้แต่ตัวเขาเองยังตอบตัวเองไม่ได้…แล้วโร เซวาเรสจะไปเอาคำตอบที่ไหนให้กับคิล ฟิลมัสได้กัน?
เพราะคำว่ารักของคนสองคน….ถึงได้ทำให้โร เซวาเรสขอทานแห่งทริสทรอมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้แทนที่เจ้าชายชาเบรียลแห่งเวนอล?...
และเพราะคำคำนี้ด้วยใช่มั๊ย?...ที่ทำให้ที่พักพิงที่เดียวและที่สุดท้ายในชีวิตของเขาต้องจากเขาไปตลอดกาล…
เพราะคำคำนี้แค่คำเดียว…ที่สร้างบาดแผลมากมายให้กับเขา…
บาดแผล…ที่ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับมันมากแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธมันได้เช่นกัน…
แต่คำว่ารักคำนั้นมันคือคำว่ารักของคนอื่น…แล้วถ้าหากว่ามันเป็นคำว่ารักของเขาล่ะ?...
ถ้าหากว่า…มันเป็นคำพูดที่ใครซักคนมอบให้เขาแค่เพียงคนเดียว…เขาจะรู้สึกยังไงนะ?...
คำว่ารักคำเดียวกัน…แต่เป็นคำที่เขาเป็นเจ้าของแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น…
ความคิดที่ทำให้โรค่อยๆลืมตาขึ้น นัยน์ตาคู่สวยทอดมองอย่างอ่อนโยนไปยังข้อมือที่ถูกเกาะกุมอยู่ แม้ว่าในคืนเดือนมืดแบบนี้จะทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดนักแต่ความอบอุ่นจากมือใหญ่ๆที่กุมอยู่นั้นก็ยังคงสัมผัสได้ แล้วริมฝีปากสวยก็ระบายออกเป็นรอยยิ้มบางๆก่อนตัดสินใจเอ่ยเสียงตอบคำถามแผ่วเบา
“บางทีนะ…บางทีฉันอาจจะแพ้คำว่ารักก็ได้” คำตอบที่เรียกรอยยิ้มอ่อนโยนให้ค่อยๆปรากฏบนใบหน้าของคนรอ
“ยิ้มอะไรน่ะคิลมัส?”
“รู้ได้ไงว่าฉันกำลังยิ้มอยู่?” คำถามที่เรียกสีเรื่อบนใบหน้าสวยของคนฟังก่อนที่จะเอ่ยเสียงต่อคำเบาหวิว
“ก็…เดาเอา”
“ฮ่าๆ คำตอบไม่สมกับเป็นขอทานผู้รอบรู้เลยนะ”
“คงงั้นมั้ง” โรยิ้มรับคำก่อนที่จะแกล้งตีเสียงเข้ม “คำตอบก็ได้แล้ว แล้วเมื่อไหร่นายจะปล่อยมือฉันซักทีล่ะ?”
“เอ่อ โทษทีๆ” แล้วมือใหญ่ของคนเป็นนักฆ่าก็ปล่อยข้อมือเล็กของขอทานให้เป็นอิสระ โรยิ้มนิดๆแล้วเดินไปยังประตูห้องนั่งเล่นแต่ก่อนที่จะได้เปิดออกไปก็ต้องชะงักกับคำเรียกอีกครั้ง
“โร”
“หืม?”
“….”
“….”
“เปล่า ไม่มีอะไร นายไปนอนเถอะ”
“อืม”
“โร…”
“…”
“แล้วอย่านอนฝันร้ายล่ะ” รอยยิ้มละไมค่อยๆระบายบนใบหน้าสวยของคนฟังก่อนที่จะเอ่ยเสียงตอบขำๆ
“ขอบใจ”
แล้วคนตัวเล็กก็เดินออกจากห้องไป เมื่อเสียงประตูปิดลงคนเป็นนักฆ่าก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างเนือยๆ ปิดเปลือกตาลงทั้งๆที่ริมฝีปากยังคงยิ้มน้อยๆอยู่อย่างนั้น
“แพ้คำว่ารักงั้นหรอ?...แล้วแบบนี้ใครที่ไหนมันจะไปกล้าบอกว่า ‘รัก’ นายได้กันล่ะ?...”
อย่ารังแกคนที่ไม่มีใคร ด้วยคำว่ารักเลย…จะกี่ครั้งก็ลงเอย แพ้คำพูดว่ารัก
ได้ไหมคนดี ถ้าคิดจะบอกรักกัน ….ช่วยบอกกันด้วยหัวใจที่มี
แค่นี้ที่อยากขอเธอ…..
ความคิดเห็น