ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Axis of Exorcist พันธะบาปสีเลือด

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 2 ปีกที่ร่วงหล่นจากสรวงและแสงสว่างแห่งการพบพาน (5%)

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ย. 53


                           

                   เงาใหญ่ของกรอบหน้าต่างทาบร่างของชายสองคนในห้องที่มีเพียงจันทร์เป็นแสงสว่างหนึ่งเดียวบนท้องฟ้า ความเคร่งเครียดเกิดขึ้นในความเงียบสงัด เนื่องจากต่างฝ่ายต่างมิได้มีใครเอ่ยเอื้อนริมฝีปากเจรจากันเลยแม้แต่น้อย กลับกันมีเพียงแต่สายตาเท่านั้นที่กำลังบอกให้รู้ว่าเกิดสงครามขนาดย่อมในความสงบสุง

                    ชายหนุ่มเจ้าของเรือนเส้นผมสีทองประกายมุขยาวกร่อมเท้ามัดรวบเป็นเปียเดี่ยวเบื้องหลัง เขามีใบหน้าที่คมคายจนเรียกได้ว่าหล่อจัดแม้จะเห็นในความืดมิด แต่ทว่าสิ่งที่โดดเด่นกว่าความงดงามหรือความสง่านั้นกลับเป็นในหูที่ยาวและเรียวบ่งบอกถึงสายพันธ์ที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเต็มปากว่าเป็น มนุษย์

                    “ชักแย่แล้วแหะ” เสียงทุ้มต่ำว่านุ่มนวลเอ่ยออกจากริมฝีปากบาง เขา หรี่ดวงตาสีอำพันเล็กน้อยเมื่อเคลื่อนตัวไนท์สีดำบนกระดานหมากรุกให้เดินไปด้านหน้า  

    “ไม่ได้หมายถึงหมากกระดานนี้หรอกนะ เซเลส” พูดจบก็เหลือบตามองคนเบื้องหน้าที่นั่งหน้านิ่งแลจะไม่ไหวติงไม่ต่างจากรูปปั้นหินอ่อน

                    แสงจันทร์ส่องสว่างสะท้อนร่างสีขาวของชายที่ชื่อเซเลส ทั้งเส้นผมที่ยาวระกับพื้น ทั้งดวงตาเรียวคมแลนิ่งเย็นยะเยือก ผิวเนียนและใสราวกับจะมองทะลุและรวมถึงเครื่องทรงการแต่งกายทุกอย่างล้วนเป็นสีเดียวกับหิมะ เขาหลุบมองคนเบื้องหน้าเล็กน้อยแล้วถอนหายใจแรงๆ 

                    “ข้ายังมิปริปากสักคำ เอเดลัส”  เซเลสโคลงศรีษะ เขาเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกรอบ

                            อเดลัสคลี่ยิ้มเล็กน้อยพลางมองดวงหน้าคมเข้มของคนตรงหน้า

                            “นี่ๆ เด็กคนนั้นสบายดีไหม?” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยถามก่อนจะสะดุ้งเฮือกเบ้อเร่อเมื่อเจอตาขาวคมๆ ฟาดใส่ให้ แค่ตาก็ว่าน่ากลัวแล้วยังจะจ้องเหมือนกินเลือดเนื้ออีก “รู้แล้วน่าไม่เล่นก็ได้ บู่ว...” พูดจบเอเดลัสก็เป่าปากใส่อย่างขัดใจและ...ขัดกับอายุของตัวเอง

                            อย่างที่รู้กันดีว่า เด็กคนนั้นที่ว่า เป็นของๆ เซเลส ที่มีคนว่างจัดและอยากตายเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ยุ่ง

                            หรือก็คือไปยุ่งกับของสูงเท่ากับวอนตายไม่เข้าเรื่อง

                    “หึ” เซเลสจับจ้องชายหนุ่มแล้วแค่นหัวเราะ ดวงตาสีขาวที่รูม่านตาแคบเสียจนแทบปิดเป็นขีดเดียวนั้นช่างคมกริบและน่าเกรงขามไม่แตกต่างจากดวงตาของมังกร

                    ซึ่งไม่ผิดหรอก...เพราะเขาคือมังกรจริงๆ

                    และไม่ใช่มังกรธรรมดาๆ เสียด้วยสิ

                    ปัง!

                    แล้วอยู่ๆ เจ้าของมือเรียวก็กระแทกหมากหนึ่งตัวบนกระดานอย่างรุนแรง นัยน์เนตรสีบริสุทธิ์หลุบมองเอลฟ์หนุ่มด้วยสีหน้านิ่งเฉยทว่าเปี่ยมเล่ห์ไม่แต่ต่างจากรอยยิ้มเหยียดเย็นบนใบหน้าของเอเดลัส

                    “น่าสนุกดีนะ”

                    เซเลสเอ่ยน้ำเสียงนิ่งโดยที่เอเดลัสยิ้มตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่พวกเขากลับเข้าใจกันอยู่สองคน

                    เมื่อหมากที่เขาวางนั้นคือตัวบิชอปสีขาวตั้งประจันหน้ากับไนท์สีดำ...

                    คือสีขาวที่แบ่งแยกกับสีดำทว่ากลับต้องมาอยู่ร่วมกัน


     

                            คิดถูกหรือเปล่านะที่เก็บมา...

                    อิริคขยับพ่นลมหายใจยาวเหยียดไปพลางจับจ้องร่างที่นอนหลับสบายใจเฉิบบนเตียงของตนไปพลางอย่างไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำยังไงดีระหว่าปล่อยให้มันนอนอยู่อย่างนั้นกับแบกไปทิ้งไว้ที่หน้าโบสถ์...ถ้าไม่ติดที่มนุษยธรรมอันที่บอชอปพึงมีเขาทำอย่างหลังไปนานแล้ว

                    ร่างเล็กส่งเสียงครางและขยับตัวเล็กน้อยแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นจนอิริคต้องถอนใจยาว...รู้สึกเหมือนตัวเองโล่งใจเก้อ

                    นัยน์เนตรสีเลือดหรี่ลงมองร่างที่นอนหลับพริ้มอยู่บนเตียงอย่างใคร่พิจารณา

                    ดวงหน้ากลมมน ผิวสีไข่มุกตัดกับเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนยาวสลวยจนถึงบั้นเอว แพขนตายาวทาบกับแก้มเนียนใสราวกับกลีบพัด เรือนร่างที่ผอมแลบอบบางอีกทั้งยังริมฝีปากสีกุหลาบที่เผยอนิดๆ ราวกับเจ้าหญิงน้อยแสนงามรอคอยเจ้าชายมาจุมพิตเพื่อให้ตื่นจากนิทรา...

    แต่พอมองต่ำลงไปเห็นหน้าอกแบนราบของเจ้าหญิงแล้วเจ้าชายคงหมดอารมณ์

                    เพราะตัดหัวออกไปมันก็ผู้ชายขี้ก้างดีๆ นั่งเองล่ะว้า

                    อิริคแค่นหัวเราะน้อยๆ แม้ว่าจะรู้ดีตั้งแต่เก็บมาจากหอระฆังว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายก็ตามทีเถอะ...แต่...

    แต่ทว่าความงดงามในวัยแรกรุ่นนี้...รูปโฉมที่สวยพิลาศจนไม่สามารถบรรยายได้นี้...

                    ราวกับว่าความความงามทั้งโลกมารวมอยู่ในตัวคนๆ เดียวไม่มีผิด

                    ได้ยินเสียงครางดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่เนตรสีฟ้าใสจะลืมตาตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทราอันยาวนาน เด็กหนุ่มกระพริบตาปริบๆ มองชายที่อยู่เบื้องหน้าอย่างตกใจก่อนจะกระหวัดหันไปรอบๆ ห้องอย่างละเอียดถี่ไปทุกซอกราวกับจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง

    เด็กหนุ่มลอบถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาเมื่อยังเห็นตัวเองยังอยู่ในโลกมนุษย์ไม่ใช่สวรรค์

                    แหม...ก็เล่นเห็นผู้ชายหน้าตาดีอย่างกับเทวดามานั่งเฝ้าตรงหน้าไอ้เราก็ตกใจนึกว่าม่องเท่งลอยขึ้นฟ้าแล้วน่ะสิ

                    “อ้อ...” อิริคที่เห็นอาการของคนเบื้องหน้าพูดออกมาแผ่วเบา เขาหรี่ดวงตาสีเลือดลงเล็กน้อยแล้วยิ้มเหยียดๆ ตามนิสัย

    “ฟื้นแล้วเรอะ” บิชอปหนุ่มพูดเสียงห้วนพลางดึงร่างเล็กของคนผมน้ำตาลให้ลุกขึ้นนั่ง “โชคดีจริงนะข้ากำลังกำลังคิดอยู่เชียวว่าถ้าเจ้าตื่นขึ้นมาช้ากว่านี้จะลากเจ้าไปปล่อยกลางน้ำพุหน้าศาลาพระแม่”

    พูดจบก็เล่นทำเอาเจ้าหนุ่มหน้าสาวถึงกับมุ่ยคิ้วก่อนจะยิ้มแย้มตบมือ

    “ท่านเทวดาเป็นคนปากเสีย!” พูดออกมาด้วยสีหน้าดีใจจัดราวกับเด็กเพิ่งท้องสูตรคูณได้ครบสิบสองแม่ไม่มีผิด...แม้มันต่างกันตรงที่เจ้าเด็กนี่ไม่มีแม่มาแสดงความยินดีแต่อาจมีลูกปืนนักบวชกราดเข้าปากแทน

    “ว่าใครเป็นเทวดาหา...” อิริคลากเสียงยาวรู้สึกเหมือนเส้นเลือดในหัวจะเต้นตุบๆ จวนเจียนจะระเบิดอยู่รอมร่อ…แต่ก็ไม่ทันได้พูดอะไรต่อเจ้าเด็กหน้าสวยก็หูตั้งหางกระดกเป็นลูกหมาถึงเวลากินข้าววิ่งปรู๊ดเข้าไปในห้องครัวที่อยู่ติดกันเสียแล้ว

    บิชอปผมดำถอนหายใจยาวแล้วลุกขึ้นเดินตามเด็กหนุ่มที่กลายร่างเป็นลูกหมาสีน้ำตาลไปแล้วอย่างเหนื่อยอกเหนื่อยใจ...

    “หวาวๆ นี่ๆ ท่านเทวดาไอ้นี่กินได้ไหม!” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยอย่างร่างเริงกระโดดเหยงไปมารอบๆ ร่างของอิริค เรียวนิ้วมือชี้ไปยังหม้อซุปสีแดงข้นที่กำลังเดือดปุดๆ อยู่บนเตา “ข้าน่ะหิวมากเลยล่ะ อะไรก็ไม่รู้ล่ะนะพอลืมตาปุ๊บไปสติปั๊บท้องก็ร้องโครกครากเลยล่ะ...ไอ้นี่น่ะอะไรเหรอแล้วข้ากินได้ไหม...กินได้ไหม...?” พูดท่อนสุดท้ายพร้อมกับไถหน้าไปกับแขนของอิริคอย่างออดอ้อน

    “โทมาโตซิลลี่ซุป” อิริคตอบเป็นการตัดบทสั้นๆ ก่อนจะดันหัวกลมๆ สีน้ำตาลออกอย่างนึกรำคาญ ร่างโปร่งเดินไปยกหม้อซุปลงจากเตาที่ควันกรุ่นส่งกลิ่นหอมๆ ของซอสและเนื้อมะเขือเทศลอยไปทั่วห้องครัวจนหนุ่มน้อยหน้าหวานถึงกับน้ำลายสอ “แล้วเรื่องหิวไม่หิวไม่ต้องมาบอก ข้าได้ยินเสียงท้องของเจ้าแต่ลากเข้าห้องแล้ว...ให้ตายสิ ร่างกายเจ้านี่มันซื่อสัตย์ชะมัด”

    ปลายนิ้วยาวของนักบวชหนุ่มชี้ไปที่โต๊ะกินข้าวใกล้ๆ เป็นเชิงบอกว่าให้ไปนั่งรอ ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าเด็กแปลกหน้านั่นวิ่งปรู๊ดหน้าตั้งทำตามคำสั่งอย่างโดยดี

    อย่างกับลูกหมาไม่มีผิด

    อิริคคิดระหว่างตักซุปสีแดงมะเขือเทศใส่ชาม

    รู้สึกเหมือนว่าการจัดการกับเรฟเพนเซียสิบคนยังง่ายกว่าคุยกับไอ้เด็กแปลกหน้าที่ตีหน้าซื่อใสไร้เดียงสานี่ยังไงก็ไม่รู้

    ใช่แล้ว...เหมือนคุยกับออซที่กวนประสาทตาใสยังไงล่ะ!


    อิริคชยับเสียงถอนหายใจยาวเหยียดยกชามซุปพร้อมกับลากเก้าอี้หนึ่งตัวจากมุมห้องไปนั่งใกล้กับเด็กหนุ่มผมน้ำตาล นัยน์ตาสีเลือดจับจ้องใบหน้าอ่อนหวานระหว่างจ้วงกินซุปมะเขือเทศอย่างหิวโหยแล้วต้องขยับลมหายใจพ่นออกมาอีกรอบอย่างเสียไม่ได้

    ไอ้อย่างนี่สินะที่เขาเรียกว่าหนุ่มสวย?

    “เฮ้ยๆ ค่อยๆ กินก็ได้น่า” อิริคร้องเตือนเจ้าลูกหมาที่โซ้ยเอาไวเข้าว่าจนชายหนุ่มจะคว้าผ้าเช็ดหน้าจากในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาเช็ดปากเลอะๆ นั่นให้ 

    “ในหม้อเหลืออีกตั้งเยอะจะรีบกินไปตายที่ไหนกัน?”

     “ก็...ก็มันอร่อยนี่นา” พูดเสร็จก็ทำตาประกายใสปิ๊งวิ้งวับเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างจนอิริคต้องคว้าจานซุปเปล่าเกลี้ยงๆ นั่นไปเติมให้อีกรอบ

    “คุณเทวดาไม่กินเหรอ?” น้ำเสียงใสซื่อนั่นถามอย่างหวังดีแต่เรียกเลือดปุดๆ จากขมับของอิริคแทน ชายหนุ่มกระแทกชามซุปลงกับโต๊ะอย่างหงุดหงิด

    “ฉันไม่ใช่เทวดา...ยังไม่เคยตาย...และยังไม่ได้อยากตายด้วย” อิริคพูดแบบเก็บอารมณืสุดขีด ทั้งโมโหทั้งโกรธแต่ก็ไม่คิดจะทำอะไรมากไปกว่าประชด

    ซึ่งก็น่าแปลกสำหรับคนที่พูดปุ๊บลงมือปั๊บอย่างเขา

    ไม่รู้สิ...แต่รู้สึกเหมือนประทุษร้ายไปก็เท่านั้น...ล่ะมั้ง?

    “ถ้าไม่ใช่เทวดางั้นจะให้ข้าเรียากท่านว่าอะไรล่ะขอรับ?” เอ่ยถามเอาซื่อๆ ช้อนตากระพริบปริบๆ จนอิริคนึกสงสัยว่าไอ้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้นมันหมาหรือคนกันแน่

    “อิริค...คนอื่นทั่วไปเรียกข้าแบบนี้” อิริคตอบคำถามอย่างเหนื่อยหน่ายและดูจะว่าง่ายกว่าทุกครั้งเพราะนึกระอากับคำว่าท่านเทวดาอย่างงั้น ท่านเวดาอย่างนี้ของเจ้าเด็กผมยาวตรงหน้าที่เกินทน

    แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อเด็กหนุ่มขยับตัวเข้าใกล้พลางจ้องหน้าเขาชนิดตาแทบไม่กระพริบราวกับสงสัยอะไรบางอย่าง อิริคขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะดันหัวกลมๆ ของอีกฝ่ายให้กลับไปนั่งที่เดิม ถึงจะไม่รู้ว่าจ้องทำไมนักหนาแต่เห็นสายตาแบบนั้นแล้วมันรู้สึกรำคาญ

    สายตาที่ราวกับว่าเขากำลังโกหก...

    “ไม่ได้ชื่อนี้ใช่ไหมขอรับ?” เสียงอ่อนเยาว์นั้นเอ่ยพูดพร้อมกับคลี่ยิ้มเสียจนอิริคต้องค้าง...เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดกับเขาแบบนี้...

    เป็นครั้งแรกที่มีคนสงสัยในนามแห่งนักบวช...

    “สายตาของท่านมันบอกเช่นนั้นนี่นา”

    อิริคคลี่ยิ้มเล็กน้อยแม้จะบางจนแทบมองไม่เห็นแต่ยิ้มก็คือยิ้ม ชายหนุ่มยกมือขึ้นก่อนจะดันหัวอีกฝ่ายเต็มๆ แรงจนหน้าหน้า

    “อวดรู้”  อิริคตอกเข้าเสียงจนเด็กหนุ่มถึงกับหงาย “มีให้เรียกก็เรียกไปเถอะ”

    แว่วเสียงลมหายใจยาวๆ จากบิชอปหนุ่ม

    “ถ้าไม่พอใจจะเรียกอิริคงั้นก็เรียกอาร์คไปซะ” พูดจบก็คว้าชามซุปว่างเปล่าของคนตรงหน้าเดินเข้าไปในครัวอย่างหัวเสีย...ไม่ได้คิดไปเองแต่เหมือนกับว่าตัวเองจะใจอ่อนผิดปรกติ

    “มันต้องอย่างนี้สิ” เด็กหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงร่าเริงแล้วยิ้มกว้างเสียจนตาคู่กลมนั้นแทบปิด

    “ท่านอาร์ค...”

    แต่แล้วพลันรอยยิ้มนั้นก็ต้องหุบลงและตามมาด้วยเสียงแหกปากจนอิริคต้องรีบวิ่งออกจากครัวตรงเข้ามาหาแล้วเอามืออุดปากของเด็กหนุ่มเพื่อไม่ให้ส่งเสียง

    แม้ใจจริงอยากจะเอาปืนพกยัดปากก็ตามที

    “ถ้าคนอื่นตื่นมาได้วิบัติแน่ ไอ้เด็กบ้า!” อิริคขู่อย่างนึกหงุดหงิด รู้สึกเกลียดตัวเองเสียจริงที่ทิ้งปืนเอาไว้อีกห้องมิฉะนั้นเขาคงเอาอัดกรอกปากเจ้าเด็กหัวกลมนี้ไปแล้วเพื่อเป็นการตัดปัญหาและเลี่ยงการถูกส่งตัวไปสอบปากคำฐานผิดวินัยนักบวช

    ถึงเขาจะแหกวินัยมันมามากแล้วตั้งแต่เป็นนักเรียนเตรียมบวชก็ตามทีเถอะ...

    ดวงตาสีเลือดหลุบมองใบหน้าที่ทรมานราวกับขาดอากาศของอีกแล้วต้องถอนหายใจยาว

    “ถ้าเอามือออกแล้วห้ามแหกปากล่ะ...เข้าใจ?” เขาถามที่ได้รับการพยักหน้ารัวๆ เป็นการตอบกลับ

    ทันทีที่อิริคปล่อยมือออกมาจากปาก เด็กหนุ่มก็รีบตักตวงสูดอากาศเข้าไปให้เต็มปอดราวกับโหยหามานานแสนนานจนบิชอปหนุ่มเลิกคิ้ว

    ก็ไม่ได้ตั้งใจจะรุนแรงขนาดนั้นสักหน่อย

    ...มั้งนะ...

    “เป็นอะไรอยู่ๆ ก็ร้องขึ้นมา” เขาเอ่ยถามส่งๆ น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายเต็มกลืน มือลูบหลังของอีกฝ่ายป้อยๆ จะว่าสำนึกผิดก็ไม่ใช่จะว่าสงสารก็ไม่เชิง แต่คงประมาณว่าเห็นคนสวยๆ ทำหน้าตาเหมือนปลาบู่ขาดน้ำแล้วมันรู้สึกสังเวชใจแบบแปลกๆ

    แม้ว่าเขาจะไม่ใช่พวกเฟติสลักธิหญิงนิยมเหมือนเรฟเพนเซียก็ตามทีเถอะ!

    “อื้อ...ก็ข้าถามชื่อท่านไปแล้วใช่ไหม?” เด็กหนุ่มถาม

    “ก็ใช่”

    “แล้วทีนี้นะ...ข้าก็จำได้ว่าการถามชื่อคนอื่นแล้วก็ต้องบอกชื่อตัวเองด้วยแต่ว่า...พอข้าจะบอกชื่อของตัวเองขึ้นมา” น้ำเสียงอ่อนเยาว์นั้นเงียบไปครู่ จนอิริคต้องเลิกคิ้วกับสีหน้าลำบากใจเหมือนลูกหมาหาที่นอนไม่เจอของอีกฝ่าย

    “ข้าไม่รู้ว่าข้าชื่ออะไรน่ะ...แหะๆ...

    +++++++++++++++++++++++++

    อัพสั้นๆ กันถูกลืม

    (ฮา)

    ขี้เกียจไปหมดซะทุกอย่างเลยทำไงดี T[]T

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×